ฮองเฮายืนอยู่เป็นเวลาสามชั่วยาม และนางแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของขาของตัวเอง ที่กำลังรองรับทั้งร่างกายของนางเหมือนเสาสองต้นเสียงซุบซิบคุยกันข้าง ๆ ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกตบหน้า ศักดิ์ศรีของฮองเฮาหายไปแล้ว นางเพียงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหล่มและทุกคนสามารถขึ้นมาเหยียบบนศีรษะของนางได้“ฮองเฮา เหตุใดไม่ทรงไปพักผ่อนในรถม้าเล่าเพคะ? หากยังยืนต่อไปเช่นนี้จะเหนื่อยเอาได้นะเพคะ”นางกำนัลอาวุโสฮวยเหรินมองไปยังกลุ่มคน นางกัดฟันด้วยความโกรธ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะโกรธต่อหน้าคนของหุบเขาสมุนไพร ทำได้เพียงกระซิบเพื่อปลอบฮองเฮาเท่านั้นทันใดนั้นม่านตาของฮองเฮาก็หดตัวลง และมีแสงอันคมชัดแวบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แต่นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธและยืนต่อไปเดือนสิบสองสิ้นสุดลงแล้ว ลมหนาวที่พัดแรงผสมกับเกล็ดหิมะพัดผ่านใบหน้าของทุกคนฮองเฮาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ฮวยเหรินคอยประคอง ขณะที่นางเดินไปที่รถม้า ขาและเท้าของนางก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง และรู้สึกเหมือนเข่าจะหักในตอนที่งอขา ดังนั้นนางจึงต้องเอนตัวทิ้งน้ำหนักส่วนใหญ่ไปที่ร่างกายของฮวยเหรินหิมะตกทั้งคืนก่อนที่จะหยุด รอบกายมองเห็นทุกสิ่งเป็นส
“พี่หญิงเจ้าคะ หุบเขาสมุนไพรได้เตรียมรถม้าให้ท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงแต่ปิดทุกมุมด้วยกระดาษน้ำมันหนา ๆ เท่านั้น แต่ยังเตรียมผ้าห่มขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวไว้ท่านด้วยนะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีบีบแก้มของเหยียนตั่ว จากนั้นก็โดนนางดึงขึ้นไปบนรถม้า มันดูสวยงามมากเมื่อมองจากด้านข้าง และเมื่อเปิดม่านออกก็พบกับโลกอีกใบที่อยู่ด้านในมีโซฟานุ่ม ๆ ให้ฉู่เนี่ยนซีได้นอน และโต๊ะสี่เหลี่ยมก็มีผลไม้และขนมอบเตรียมไว้ แถมยังวาง ตำราทางการแพทย์สองเล่มไว้เผื่อว่านางจะเบื่อด้วย เหยียนตั่วเลือกเองเป็นพิเศษหลังจากรู้เรื่องราวการรักษาและการช่วยชีวิตผู้คนของชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีกล่าวขอบคุณหัวหน้าหุบเขาด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยท่านอามากเจ้าค่ะ หากซีเอ๋อร์จัดการเรื่องในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว จะกลับขอบคุณท่านอาอย่างเป็นทางการอีกครั้งเจ้าค่ะ”“เจ้าไปจัดการเถิด หุบเขาสมุนไพรจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเอง!”คำพูดที่ที่แน่วแน่ของหัวหน้าหุบเขา ไม่เพียงแต่พูดให้ฉู่เนี่ยนซีฟังเท่านั้น แต่ยังจงใจพูดให้ฮองเฮาได้ยินด้วย “ข้าล่ะ ข้าล่ะ?”เหยียนตั่วรีบยื่นหน้าไปข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี โดยกลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะลืมความตั้งใจของนา
ไทเฮานั่งลงและจับที่จับเก้าอี้เพื่อยึดเหนี่ยวร่างกาย นางกวาดสายตามองดูทั่วท้องพระโรง ความน่าเกรงขามที่สะสมมาหลายปีก็กลับมาหานางอีกคราเมื่อคิดว่าองค์จักรพรรดิได้อธิบายความจริงไปแล้ว และกังวลเกี่ยวกับอำนาจของหุบเขาสมุนไพร แม้ไทเฮาจะสง่างามแต่ก็ไม่ได้เฉียบแหลมมากนัก นางมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาที่ไม่พอใจอย่างมาก“ชายาหลี โปรดรับราชโองการ”ขันทีเฉินมาที่ ฉู่เนี่ยนซี ด้วยความเคารพพร้อมกับม้วนสีเหลืองสดใสในมือของเขา โค้งคำนับและกล่าวว่าหลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าลง ขันทีเฉินก็เปิดราชโองการและอ่านออกเสียงอย่างมั่นคง“ตามราชโองการของไทเฮา ชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีโค้งคำนับด้วยความเคารพและภักดี นางไม่ได้มีการสมรู้ร่วมคิดกับมณฑลตะวันตกเพื่อก่อกบฏ จึงประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน”“ขอบพระทัยไทเฮา”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าลง นางก็ลุกขึ้นยืนโดยมีขันทีชวี่ช่วยพยุงเข้ามารับราชโองการ และนางก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ“องค์ชายหลีเสด็จ” ขันทีที่อยู่นอกประตูตะโกนขึ้นเสียงดังสายตาของทุกคนหันมองไปที่เขาทันทีท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทา ราวกับมีเงาปกคลุมอยู่หลายชั้น มันมืดมากจนทำให้ผู้คนร
“เสด็จย่า ขุนนางที่ประจบประแจงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง แต่ขุนนางผู้ภักดีต้องตายหากพระราชาต้องการให้ขุนนางตาย และขุนนางต้องตายเท่านั้นหรือ? ในความคิดของกระหม่อม มันคือความภักดีที่โง่เขลา ยิ่งไปกว่านั้น การที่ซีเอ๋อร์ได้รับการช่วยเหลือนั้นไม่ใช่แผนการของนาง ดังนั้นเรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของนางไม่ได้”เย่เฟยหลีพูดช้า ๆ อย่างฉะฉาน แต่น้ำเสียงสงบของเขาผสมกับความเยือกเย็นเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว ไทเฮาไม่กล้าตำหนิว่าเป็นความผิดของหุบเขาสมุนไพร ราวกับว่านางได้กินผลไม้เน่าเต็มปาก กลืนไม่ได้ คายไม่ออก แต่รู้สึกไม่สบายและอึดอัดเป็นอย่างมาก“เสด็จพ่อ กระหม่อมคิดว่าเรื่องที่ชายาเหลียนนำทหารไปจับกุมซีเอ๋อร์ ตอนนี้ก็ควรเชิญอ๋องเหลียนและชายามาขอโทษซีเอ๋อร์ต่อหน้าเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีพูดอย่างเฉียบคม และจ้องไปที่ฮองเฮาโดยตรง ราวกับว่าเขากำลังบอกอะไรบางอย่างด้วยสายตา“ส่งข่าวให้อ๋องเหลียนและชายาเหลียน”เย่เฟยหลีหันศีรษะมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี จากนั้นก็กระซิบข้างหูข
เย่เฟยหลีเยาะเย้ยและมองลงไปที่ไป๋ชิงอย่างเย่อหยิ่ง “มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เห็นข้าในที่เกิดเหตุบ้าง? เป็นเพราะบาดแผลของแม่ทัพไป๋ หรือเป็นเพราะมีคำว่าอ๋องหลีสลักอยู่บนใบหน้าของชายคนนั้น? องครักษ์ส่วนตัวของจักรพรรดิก็อยู่ในวังด้วย เหตุใดไม่เรียกมาถามให้หมดว่าใครเห็นข้าบ้างเล่า?”น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายแต่อาฆาต ความสงบและไม่ยอมคนของเย่เฟยหลีทำให้ขันทีหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหงื่อแตกพลั่ก ไม่กล้าขยับตัวและทำได้เพียงปล่อยให้เหงื่อไหลลงมาบนใบหน้าฉู่เนี่ยนซีกำลังเพลิดเพลินกับการแสดง นางกอดอกและมองเยาะเย้ยคนที่อยู่ข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าแมลงในฤดูใบไม้ร่วงก่อนที่มันจะสูญพันธุ์ลงหรือไม่?“พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจำได้ว่าแม่ทัพไป๋มีหน้าที่คุ้มกันระหว่างการเดินทาง เหตุใดถึงคุ้มกันไม่อยู่เล่า? มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ แม่ทัพไป๋ แล้วโทษของเจ้าล่ะอยู่ที่ใด?”เย่เฟยหลีหรี่ตาลงและเน้นน้ำเสียงของประโยคสุดท้ายของเขา ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ระเบิดในน้ำจนทำให้เกิดคลื่นฮองเฮาจิกเล็บ ใบหน้าของนางดูถมึงทึง นางก็เหลือบมองสีหน้าของจักรพรรดิจากหางตา เกรงว่าเขาจะขุ่นเคืองตระกูลไป๋“มันเป็นข้อห้ามมาโดยตลอด ว่าด้ว
เย่เฟยหลีชิงพูดก่อน และคมกริบนี้ก็ทำให้เย่เหลียนและเจี่ยงจาวอวิ๋นขมวดคิ้วทันที“เสด็จพ่อ...”ก่อนที่เย่เหลียนจะทันได้ปกป้องตัวเอง จักรพรรดิก็อธิบายขึ้นทันทีว่าฉู่เนี่ยนซีไม่มีความผิด และในกรณีนี้ พวกเขาก็ควรขอโทษนางฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นอย่างสง่า มองทั้งสองคนด้วยสีหน้าเย้ยหยัน เจี่ยงจาวอวิ๋นมองไปรอบ ๆ ด้วยความโกรธ และกัดฟันอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะพูดกับนางว่า “นี่เป็นความเข้าใจผิด ชายาหลีโปรดอย่าถือโทษเลยนะเพคะ”นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เหลียนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉู่เนี่ยนซี ในอดีตเขามักจะมีบาดแผลในใจอยู่เสมอเพราะรอยแผลเป็นของนาง แต่ตอนนี้นางดูเหมือนนางฟ้า เขาประหลาดใจมากจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เย่เฟยหลีขอให้เขาทำเช่นนี้ และน้ำในหัวใจของเขาคงพลิกคว่ำ และคลื่นยักษ์ที่เขายกขึ้นก็รอทำลายพระตำหนักจินหลวนแทบไม่ไหว“อ๋องเหลียน ถึงคราวของท่านแล้ว”“เย่เหลียนขอประทานโทษแทนจาวอวิ๋น หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธนาง”ฉู่เนี่ยนซีมองเขาอย่างไร้อารมณ์ รู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นเขายิ้มให้ทันทีที่เย่เหลียนพูดจบ เย่เฟยหลีก็ก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าเจี่ยงจาวอวิ๋น ดวงตาที่มืดมนของเขาเป็นดั่งทะเลสาบที่ไร้ก้นบึ
“อวดดีนัก! ฉู่เนี่ยนซี ชายาเหลียนเพียงแค่ตั้งคำถาม แต่เจ้ากลับกล้าลงมือ เจ้าอยากทำตัวเหนือกว่าจักรพรรดิอย่างนั้นรึ?”ฮองเฮาตวาดนางด้วยความโกรธทันที หากนางกล้ำกลืนต่อไป ดูท่าว่าเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีคงจะจัดการนางเป็นรายต่อไปแน่“เสด็จพ่อยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย พระองค์ก็เปิดปากสั่งสอนหม่อมฉันแทนเสด็จพ่อเสียแล้ว ทำไมหรือเพคะ? ท่านอยากทำตัวเหนือกว่าเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีโยนคำพูดกลับไปที่นางอีกครั้ง ด้วยรังสีที่คล้ายจะเหนือกว่าฮองเฮานางคุกเข่าลงและจ้องมองเจี่ยงจาวอวิ๋นอย่างดุร้าย และทันใดนั้นดอกไม้ที่ชั่วร้ายก็เบ่งบานที่มุมปากของนาง “ท่านบอกเองว่าให้ข้าจำเอาไว้ นี่เพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น ท่านตีข้าสิบห้าครั้ง ข้าจะค่อย ๆ เอาคืนอย่างช้า ๆ”นางตบหน้าเจี่ยงจาวอวิ๋นเบา ๆ ความชั่วร้ายในดวงตาของนางรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และพูดเสียงต่ำที่ได้ยินกันแค่สองคน“เจี่ยงจาวอวิ๋น ท่านกลัวอะไรงั้นรึ? วันนั้นที่ท่านรีบไปที่ห้องขังท่านมีความสามารถมากไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นข้าบอกท่านแล้วว่าข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า นี่พึ่งจะเริ่มต้นเอง ท่านต้องดูแลตัวเองด้วยนะเพคะ ไม่อย่างนั้นหากท่านตายไปแล้วข้าจะคิด
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอจับตัวเจี๋ยงเกอเหล่าและเจี่ยงจาวอวิ๋นเข้าคุกและสอบสวนอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชั่วรอดไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”คำพูดที่หนักแน่นของเย่เฟยหลี ทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยลงโทษฉู่เนี่ยนซีหน้าถอดสี ‘เหตุใดสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ล่ะ?’เดิมทีพวกเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่ในพริบตาเดียวก็เสียเปรียบเสียได้เจี๋ยงเกอเหล่ามองเย่เฟยหลีด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นจึงหันไปมองเย่เหลียนลูกเขยของเขา และรู้สึกเวียนหัวราวกับท้องพระโรงกำลังสั่นไหว“เย่เฟยหลี อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”เย่เหลียนยังคงช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง เขาไม่ต้องการให้อำนาจทางทหารที่ได้รับมาอย่างยากลำบากคืนกลับไปให้กับเย่เฟยหลี“เสด็จพ่อได้โปรดออกคำสั่งจำคุกเจี๋ยงเกอเหล่ากับเจี่ยงจาวอวิ๋น และสอบปากคำพวกเขาอย่างละเอียดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”คำให้การทั้งสามถูกบดขยี้ในมือของจักรพรรดิ เขามองดูสีหน้าตื่นตระหนกของเจี๋ยงเกอเหล่าและเจี่ยงจาวอวิ๋น ก่อนจะเกิดความสงสัยขึ้นในใจจักรพรรดิโบกมือและสั่งให้ทหารองครักษ์นำตัวทั้งสองคนลงไป และพาพวกเขาไปที่เรือนจำในที่สุดพายุก็สงบลง และท้องฟ้าด้านนอกที่มืดมนก็กลับมาแจ่มใส
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย