“ฝ่าบาท กระหม่อมขอจับตัวเจี๋ยงเกอเหล่าและเจี่ยงจาวอวิ๋นเข้าคุกและสอบสวนอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชั่วรอดไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”คำพูดที่หนักแน่นของเย่เฟยหลี ทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยลงโทษฉู่เนี่ยนซีหน้าถอดสี ‘เหตุใดสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ล่ะ?’เดิมทีพวกเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่ในพริบตาเดียวก็เสียเปรียบเสียได้เจี๋ยงเกอเหล่ามองเย่เฟยหลีด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นจึงหันไปมองเย่เหลียนลูกเขยของเขา และรู้สึกเวียนหัวราวกับท้องพระโรงกำลังสั่นไหว“เย่เฟยหลี อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”เย่เหลียนยังคงช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง เขาไม่ต้องการให้อำนาจทางทหารที่ได้รับมาอย่างยากลำบากคืนกลับไปให้กับเย่เฟยหลี“เสด็จพ่อได้โปรดออกคำสั่งจำคุกเจี๋ยงเกอเหล่ากับเจี่ยงจาวอวิ๋น และสอบปากคำพวกเขาอย่างละเอียดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”คำให้การทั้งสามถูกบดขยี้ในมือของจักรพรรดิ เขามองดูสีหน้าตื่นตระหนกของเจี๋ยงเกอเหล่าและเจี่ยงจาวอวิ๋น ก่อนจะเกิดความสงสัยขึ้นในใจจักรพรรดิโบกมือและสั่งให้ทหารองครักษ์นำตัวทั้งสองคนลงไป และพาพวกเขาไปที่เรือนจำในที่สุดพายุก็สงบลง และท้องฟ้าด้านนอกที่มืดมนก็กลับมาแจ่มใส
ซ่างกวานเยียนหน้าเปลี่ยนสี นางกระตุกมุมปาก ก่อนที่จะฝืนยิ้มแข็งไว้ นางมองเสี่ยวเถาด้วยสายตาดุดันก่อนจะเรือนตัวเองไปพร้อมกับฝูหรงอย่างโกรธเคือง“ฝูหรง เจ้าไปทำธุระให้ข้าที”ซ่างกวานเยียนนั่งลงบนโต๊ะและกระซิบกับฝูหรง หลังจากที่ฝูหรงจากไปแล้ว ซ่างกวานเยียนก็มองไปที่ลวดลายอันงดงามผ้าปูโต๊ะ และไฟในดวงตาของนางก็ลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆยังคงอยู่ในห้องของวัดเป่าฮวา ซ่างกวานเยียนไล่ฝูหรงออกไปและเข้าไปในเรือนเพียงลำพัง เมื่อเห็นชายชุดดำ นางก็ทำความเคารพอย่างง่าย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถซ่อนสีหน้าร้องเรียนของนางได้ “นายท่าน เหตุใดเรื่องนี้ถึงล้มเหลวเล่าเจ้าคะ?”“คงต้องถามตัวเจ้าว่าหาคนโง่เขลาเช่นนั้นมาจากที่ใด?”หมวกคลุมเลื่อนลงมาตามการเคลื่อนไหวของชายคนนั้น เผยให้เห็นดวงตาที่ดุร้ายของเขาดวงตาของเป่ยถูดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ใจของซ่างกวานเยียนสั่นไหว“เป็นเพราะข้าทำงานไม่ได้เรื่องเองเจ้าค่ะ”“เอาล่ะ เราเกือบจะถูกเปิดเผยเพระาเรื่องนี้แล้ว เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน เจ้าต้องรีบเก็บข้าวของและตามข้ากลับมณฑลตะวันตกโดยเร็วที่สุด ผ่านช่วงนี้ไปแล้วค่อยมาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป”“เจ้าค่ะ”หลังจากที่
“เกิดอะไรขึ้น?!” แม้ว่าซ่างกวานชางจะโกรธเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีเหตุผล “นางทำอะไรเจ้า?”“เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นว่าข้ากำลังตั้งครรภ์ นางก็รู้สึกไม่พอใจและอิจฉา จึงใช้มีดแทงข้าเจ้าค่ะ! ท่านพี่ ข้ากลัวเหลือเกิน หลังจากทหารรอบ ๆ จวนของท่านอ๋องหลีจากไป ข้าจึงรีบส่งคนไปตามท่านมาทันที”ซ่างกวานเยียนอยู่ในอ้อมแขนของซ่างกวานชางเหมือนลูกแมวที่หวาดกลัว นางร้องไห้หนักมากจนแก้มแดงไปหมด“นางกล้าทำเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร !”ซ่างกวานชางโกรธมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นซ่างกวานเยียนปลดกระดุมชุดของนางออกเพื่อเผยให้บาดแผลตรงเอวที่ยังไม่หายดีให้เขาดู ซ่างกวนชางก็รู้สึกถึงไฟที่ลุกไหม้อยู่ในอกของเขาทันที“นางเป็นชายาเอก ส่วนข้าเป็นเพียงสนม ผู้หญิงอ่อนแออย่างข้าจะทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าค่ะ ชีวิตข้าอยู่ในกำมือนางแล้ว”ขณะที่พูดซ่างกวานเยียนก็คว้าข้อมือของซ่างกวานชาง และร้องไห้อย่างขมขื่นซ่างกวานชางมีสีหน้าดุร้าย เมื่อเห็นซ่างกวานเยียนร้องไห้อย่างเศร้า ๆ ในอ้อมแขนของตน เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังจะแตกสลาย“เยียนเอ๋อร์ เจ้าหยุดร้องเถิด หากร่างกายของเจ้าได้รับบาดเจ็บ มันจะยิ่งยากต่อการรักษาบาดแผล ฉู่เนี
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส และในตอนเช้าจักรพรรดิได้มอบอำนาจทางทหารทั้งหมดของกองทัพตระกูลเย่แห่งอาณาจักรแห่งรัตติกาลกลับคืนให้เย่เฟยหลีเย่เหลียนและไป๋ชิงต่างก็โต้แย้ง แต่พวกเขาต่างก็ถูกจักรพรรดิตำหนิ จึงทำได้เพียงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธอย่างทำอะไรไม่ได้หลังจากศาลช่วงเช้า เย่เฟยหลีก็ถูกขันทีเฉินเชิญให้ไปที่ห้องอักษรของจักรพรรดิ คนรับใช้โดยรอบต่างก็ถูกขับไล่ออกไป “หลีเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงมอบอำนาจทางทหารทั้งหมดกลับคืนให้เจ้าโดยเร็วเช่นนี้?”ดวงตาเคร่งขรึมของจักรพรรดิเต็มไปด้วยความพึงพอใจ“เสด็จพ่อมีแผนการ ลูกเพียงแค่ฟังคำสั่งของท่านพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีตอบโดยไม่พลาดจังหวะเดียว การแสดงออกด้วยความเคารพและสงบของเขาปกปิดความคิดที่พลุ่งพล่านในส่วนลึกดูเหมือนว่าเขาจะเดาได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด? แต่คำพูดดังกล่าวไม่สามารถออกมาจากปากของเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกกล่าวหาว่าโลภราชบัลลังก์จักรพรรดิพยักหน้า และเตือนเขาว่าอย่าเป็นเหมือนคนในราชวงศ์ก่อนที่มีอำนาจและกระทำโดยพลการ แต่ให้รักษาความตั้งใจที่แท้จริงและปฏิบัติต่อประชาชนอย่างจริงใจ ก่อนที่จะให้เขากลับไปได้จักรพรรดิยืนอยู่ริ
เมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ลงโทษเขา ผู้คุมจึงล้มลุกคลุกคลานรีบมุ่งไปยังห้องขังของเจี่ยงจาวอวิ๋นเสี่ยวเถาประคองฉู่เนี่ยนซีเข้าไปในคุก ยิ่งเข้าไปข้างในรอบข้างก็ยิ่งมืดลง มีเลือดของใครบางคนกระเซ็นอยู่ตามมุมต่าง ๆ ซึ่งยังเป็นสีแดงสดอยู่ คงจะเป็นเลือดใหม่ ทันใดนั้นเสี่ยวเถาก็รู้สึกหวาดกลัวในใจ พลางกระชับของฉู่เนี่ยนซีไว้แน่นไม่คิดจะปล่อยไปง่าย ๆ“ไม่เป็นไร ข้าอยู่นี่”ฉู่เนี่ยนซีปลอบนางเบา ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชาขณะที่หวังลี่กำลังเข้ากะปฏิบัติงานและถือกุญแจมาเพื่อจะเข้าไปตรวจสอบนักโทษ เขาเลี้ยวตรงหัวมุมและได้เผชิญหน้ากับฉู่เนี่ยนซีและเสี่ยวเถาแบบจัง ๆ เขาตกใจอ้าปากกว้าง แทบจะทรุดตัวลงกับพื้นฉู่เนี่ยนซีถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ นางเงยหน้ามองหวังลี่พลางพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าเอง”หลังจากที่เห็นบุคคลนั้นอย่างชัดเจนแล้ว หวังลี่ก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่ ใบหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีซีดเป็นสีผิวเดิม จากนั้นก็ทำความเคารพฉู่เนี่ยนซีอย่างเหมาะสม“พระชายาหลีเพิ่งจะจากที่นี่ไปได้ไม่กี่วัน เหตุใดถึงกลับมาอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”ฉู่เนี่ยนซีขยิบตาให้เสี่ยวเถา และเสี่ยวเถาก็เข้าใจทั
“ชีวิตข้าดีขึ้นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ภัยพิบัติจากสวรรค์ยังพอหลีกหนีได้ แต่มนุษย์เราไม่อาจหลีกเลี่ยงบาปที่ตัวเองก่อไว้ได้ เจี่ยงจาวอวิ๋น เจ้าทำตัวเจ้าเองทั้งนั้น”ฉู่เนี่ยนซีมองนางอย่างเย็นชาราวกับมองตัวหนอนในคูน้ำเน่าเหม็น ในใจรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมากหวังลี่ยกเก้าอี้สะอาดมาให้ฉู่เนี่ยนซีนั่ง “กระหม่อมจะไปรออยู่นอกประตู หากพระชายาหลีต้องการอะไรก็รับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีมองเสี่ยวเถาอย่างอ่อนโยน “เจ้าเองก็ออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวจะกลัวเอาเปล่า ๆ “เสี่ยวเถาย่อรับคำและออกไปพร้อมกับหวังลี่“ฉู่เนี่ยนซี เจ้าจะขู่ใครกัน? อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าจะมาก่อความวุ่นวายอะไรได้ ตระกูลของท่านแม่ข้าเป็นผู้อาวุโสในราชสำนัก และสวามีข้าก็เป็นองค์ชายที่ใกล้ชิดกับฮองเฮามากที่สุด เจ้ากล้าดีอย่างไรคิดจะมาปลิดชีวิตข้า?!”เจี่ยงจาวอวิ๋นอยากจะพุ่งเข้าใส่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความดุดัน ดวงตาของนางราวกับสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง และยิ่งโกรธมากขึ้นเพราะตนเองไม่สามารถขยับได้“ข้าจะฆ่าเจ้าไปทำไม? มือสกปรกเปล่า ๆ ”ฉู่เนี่ยนซีเดินช้า ๆ ไปหาเจี่ยงจาวอวิ๋น บีบปากของนางบังคับให้นางมองมาที่ตนเจี่ยงจาวอวิ๋นถ
แต่นางไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ซึ่งทำให้เย่เฟยหลีพอใจมาก“ข้ามีเรื่องต้องไปถามท่านพ่อให้ชัดเจน หากท่านมีธุระก็ไปจัดการก่อนเถอะ”“ข้าไม่มีธุระอะไร เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”ภายใต้แสงจันทร์สว่างสดใสที่ส่องแสงอันหนาวเย็นทอดลงบนถนน ในรถม้าเงียบไปตลอดทางจนมาถึงประตูจวนมหาเสนาบดีฉู่สาวใช้ในจวนเห็นฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ เมื่อฉู่เนี่ยนซี ถามว่าพ่อของนางอยู่ที่ไหน นางก็ตอบด้วยความนอบน้อม “นายท่านอยู่ในห้องหนังสือเพคะ”เย่เฟยหลีหันไปหาฉู่เนี่ยนซี “ต้องให้ข้าไปกับเจ้าหรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านไปรอข้าที่ห้องโถงใหญ่สักครู่เถิด”“ได้”ประตูห้องหนังสือถูกฉู่เนี่ยนซีผลักเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด มหาเสนาบดีฉู่ที่ยังคงง่วนอยู่กับหนังสือราชการบนโต๊ะ เขาคิดว่าเป็นฮูหยินฉู่ จึงทำท่าเหมือนจะบ่น แต่จริง ๆ แล้วเขากลับพูดอย่างเป็นสุข “ฮูหยิน ข้าขอจัดการงานตรงนี้อีกสักหน่อยแล้วจะไปพักผ่อน เจ้ารอ…”เมื่อเห็นชัดว่าเป็นฉู่เนี่ยนซี มหาเสนาบดีฉู่ก็หยุดพูด ความสุขที่ได้เห็นลูกสาวทำให้เขาลุกจากโต๊ะทันทีและมาหาฉู่เนี่ยนซี“ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ตอนน
ขณะที่แสงเทียนในห้องอ่านหนังสือเต้นโรมเลียอากาศด้านบน เรื่องในอดีตก็แพร่กระจายออกไปในห้วงเวลาแห่งปัจจุบันอีกครั้ง ทุกคำพูดที่มหาเสนาบดีฉู่พูดเป็นราวกับคลื่นอันแสนปั่นป่วนในอดีต ฉู่เนี่ยนซีที่กำลังฟังอยู่ตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง นางก็เข้าใจว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิถึงมีสีหน้าซับซ้อนเช่นนั้นเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นจี้หยกนางไม่รู้ว่าตอนนั้นเป็นจี้หยกหรือใบหน้าของนางที่ช่วยชีวิตนางไว้ แม่ของนางเพียงต้องการจะปิดบังเรื่องนี้ไว้จนถึงที่สุดเพื่ออยากให้นางมีชีวิตที่ไร้กังวลเท่านั้นกว่าจะได้ออกมาจากห้องหนังสือก็เกือบจะถึงยามไฮ่ ในตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีกำลังจะยอมรับประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยปั่นป่วนดั่งคลื่นโหมกระหน่ำรวมไปถึงตัวตนที่แท้จริงของนางแต่ประวัติศาสตร์ก็ยังคงเป็นประวัติศาสตร์และอดีตก็เป็นได้เพียงอดีตเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ความรักที่มหาเสนาบดีฉู่และฮูหยินฉู่มีต่อนางนั้นล้วนเป็นของจริงและในใจของนางก็รู้สึกไม่ต่างจากได้ความรักจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเมื่อฉู่เนี่ยนซีมาถึงห้องโถงใหญ่ก็เห็นเย่เฟยหลีกำลังดื่มชา เขาเห็นว่าใบหน้าของนางดูแย่ลงเล็กน้อย
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย