“พี่หญิงเจ้าคะ หุบเขาสมุนไพรได้เตรียมรถม้าให้ท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงแต่ปิดทุกมุมด้วยกระดาษน้ำมันหนา ๆ เท่านั้น แต่ยังเตรียมผ้าห่มขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวไว้ท่านด้วยนะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีบีบแก้มของเหยียนตั่ว จากนั้นก็โดนนางดึงขึ้นไปบนรถม้า มันดูสวยงามมากเมื่อมองจากด้านข้าง และเมื่อเปิดม่านออกก็พบกับโลกอีกใบที่อยู่ด้านในมีโซฟานุ่ม ๆ ให้ฉู่เนี่ยนซีได้นอน และโต๊ะสี่เหลี่ยมก็มีผลไม้และขนมอบเตรียมไว้ แถมยังวาง ตำราทางการแพทย์สองเล่มไว้เผื่อว่านางจะเบื่อด้วย เหยียนตั่วเลือกเองเป็นพิเศษหลังจากรู้เรื่องราวการรักษาและการช่วยชีวิตผู้คนของชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีกล่าวขอบคุณหัวหน้าหุบเขาด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยท่านอามากเจ้าค่ะ หากซีเอ๋อร์จัดการเรื่องในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว จะกลับขอบคุณท่านอาอย่างเป็นทางการอีกครั้งเจ้าค่ะ”“เจ้าไปจัดการเถิด หุบเขาสมุนไพรจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเอง!”คำพูดที่ที่แน่วแน่ของหัวหน้าหุบเขา ไม่เพียงแต่พูดให้ฉู่เนี่ยนซีฟังเท่านั้น แต่ยังจงใจพูดให้ฮองเฮาได้ยินด้วย “ข้าล่ะ ข้าล่ะ?”เหยียนตั่วรีบยื่นหน้าไปข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี โดยกลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะลืมความตั้งใจของนา
ไทเฮานั่งลงและจับที่จับเก้าอี้เพื่อยึดเหนี่ยวร่างกาย นางกวาดสายตามองดูทั่วท้องพระโรง ความน่าเกรงขามที่สะสมมาหลายปีก็กลับมาหานางอีกคราเมื่อคิดว่าองค์จักรพรรดิได้อธิบายความจริงไปแล้ว และกังวลเกี่ยวกับอำนาจของหุบเขาสมุนไพร แม้ไทเฮาจะสง่างามแต่ก็ไม่ได้เฉียบแหลมมากนัก นางมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาที่ไม่พอใจอย่างมาก“ชายาหลี โปรดรับราชโองการ”ขันทีเฉินมาที่ ฉู่เนี่ยนซี ด้วยความเคารพพร้อมกับม้วนสีเหลืองสดใสในมือของเขา โค้งคำนับและกล่าวว่าหลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าลง ขันทีเฉินก็เปิดราชโองการและอ่านออกเสียงอย่างมั่นคง“ตามราชโองการของไทเฮา ชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีโค้งคำนับด้วยความเคารพและภักดี นางไม่ได้มีการสมรู้ร่วมคิดกับมณฑลตะวันตกเพื่อก่อกบฏ จึงประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน”“ขอบพระทัยไทเฮา”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าลง นางก็ลุกขึ้นยืนโดยมีขันทีชวี่ช่วยพยุงเข้ามารับราชโองการ และนางก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ“องค์ชายหลีเสด็จ” ขันทีที่อยู่นอกประตูตะโกนขึ้นเสียงดังสายตาของทุกคนหันมองไปที่เขาทันทีท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทา ราวกับมีเงาปกคลุมอยู่หลายชั้น มันมืดมากจนทำให้ผู้คนร
“เสด็จย่า ขุนนางที่ประจบประแจงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง แต่ขุนนางผู้ภักดีต้องตายหากพระราชาต้องการให้ขุนนางตาย และขุนนางต้องตายเท่านั้นหรือ? ในความคิดของกระหม่อม มันคือความภักดีที่โง่เขลา ยิ่งไปกว่านั้น การที่ซีเอ๋อร์ได้รับการช่วยเหลือนั้นไม่ใช่แผนการของนาง ดังนั้นเรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของนางไม่ได้”เย่เฟยหลีพูดช้า ๆ อย่างฉะฉาน แต่น้ำเสียงสงบของเขาผสมกับความเยือกเย็นเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว ไทเฮาไม่กล้าตำหนิว่าเป็นความผิดของหุบเขาสมุนไพร ราวกับว่านางได้กินผลไม้เน่าเต็มปาก กลืนไม่ได้ คายไม่ออก แต่รู้สึกไม่สบายและอึดอัดเป็นอย่างมาก“เสด็จพ่อ กระหม่อมคิดว่าเรื่องที่ชายาเหลียนนำทหารไปจับกุมซีเอ๋อร์ ตอนนี้ก็ควรเชิญอ๋องเหลียนและชายามาขอโทษซีเอ๋อร์ต่อหน้าเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีพูดอย่างเฉียบคม และจ้องไปที่ฮองเฮาโดยตรง ราวกับว่าเขากำลังบอกอะไรบางอย่างด้วยสายตา“ส่งข่าวให้อ๋องเหลียนและชายาเหลียน”เย่เฟยหลีหันศีรษะมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี จากนั้นก็กระซิบข้างหูข
เย่เฟยหลีเยาะเย้ยและมองลงไปที่ไป๋ชิงอย่างเย่อหยิ่ง “มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เห็นข้าในที่เกิดเหตุบ้าง? เป็นเพราะบาดแผลของแม่ทัพไป๋ หรือเป็นเพราะมีคำว่าอ๋องหลีสลักอยู่บนใบหน้าของชายคนนั้น? องครักษ์ส่วนตัวของจักรพรรดิก็อยู่ในวังด้วย เหตุใดไม่เรียกมาถามให้หมดว่าใครเห็นข้าบ้างเล่า?”น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายแต่อาฆาต ความสงบและไม่ยอมคนของเย่เฟยหลีทำให้ขันทีหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหงื่อแตกพลั่ก ไม่กล้าขยับตัวและทำได้เพียงปล่อยให้เหงื่อไหลลงมาบนใบหน้าฉู่เนี่ยนซีกำลังเพลิดเพลินกับการแสดง นางกอดอกและมองเยาะเย้ยคนที่อยู่ข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าแมลงในฤดูใบไม้ร่วงก่อนที่มันจะสูญพันธุ์ลงหรือไม่?“พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจำได้ว่าแม่ทัพไป๋มีหน้าที่คุ้มกันระหว่างการเดินทาง เหตุใดถึงคุ้มกันไม่อยู่เล่า? มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ แม่ทัพไป๋ แล้วโทษของเจ้าล่ะอยู่ที่ใด?”เย่เฟยหลีหรี่ตาลงและเน้นน้ำเสียงของประโยคสุดท้ายของเขา ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ระเบิดในน้ำจนทำให้เกิดคลื่นฮองเฮาจิกเล็บ ใบหน้าของนางดูถมึงทึง นางก็เหลือบมองสีหน้าของจักรพรรดิจากหางตา เกรงว่าเขาจะขุ่นเคืองตระกูลไป๋“มันเป็นข้อห้ามมาโดยตลอด ว่าด้ว
เย่เฟยหลีชิงพูดก่อน และคมกริบนี้ก็ทำให้เย่เหลียนและเจี่ยงจาวอวิ๋นขมวดคิ้วทันที“เสด็จพ่อ...”ก่อนที่เย่เหลียนจะทันได้ปกป้องตัวเอง จักรพรรดิก็อธิบายขึ้นทันทีว่าฉู่เนี่ยนซีไม่มีความผิด และในกรณีนี้ พวกเขาก็ควรขอโทษนางฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นอย่างสง่า มองทั้งสองคนด้วยสีหน้าเย้ยหยัน เจี่ยงจาวอวิ๋นมองไปรอบ ๆ ด้วยความโกรธ และกัดฟันอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะพูดกับนางว่า “นี่เป็นความเข้าใจผิด ชายาหลีโปรดอย่าถือโทษเลยนะเพคะ”นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เหลียนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉู่เนี่ยนซี ในอดีตเขามักจะมีบาดแผลในใจอยู่เสมอเพราะรอยแผลเป็นของนาง แต่ตอนนี้นางดูเหมือนนางฟ้า เขาประหลาดใจมากจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เย่เฟยหลีขอให้เขาทำเช่นนี้ และน้ำในหัวใจของเขาคงพลิกคว่ำ และคลื่นยักษ์ที่เขายกขึ้นก็รอทำลายพระตำหนักจินหลวนแทบไม่ไหว“อ๋องเหลียน ถึงคราวของท่านแล้ว”“เย่เหลียนขอประทานโทษแทนจาวอวิ๋น หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธนาง”ฉู่เนี่ยนซีมองเขาอย่างไร้อารมณ์ รู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นเขายิ้มให้ทันทีที่เย่เหลียนพูดจบ เย่เฟยหลีก็ก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าเจี่ยงจาวอวิ๋น ดวงตาที่มืดมนของเขาเป็นดั่งทะเลสาบที่ไร้ก้นบึ
“อวดดีนัก! ฉู่เนี่ยนซี ชายาเหลียนเพียงแค่ตั้งคำถาม แต่เจ้ากลับกล้าลงมือ เจ้าอยากทำตัวเหนือกว่าจักรพรรดิอย่างนั้นรึ?”ฮองเฮาตวาดนางด้วยความโกรธทันที หากนางกล้ำกลืนต่อไป ดูท่าว่าเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีคงจะจัดการนางเป็นรายต่อไปแน่“เสด็จพ่อยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย พระองค์ก็เปิดปากสั่งสอนหม่อมฉันแทนเสด็จพ่อเสียแล้ว ทำไมหรือเพคะ? ท่านอยากทำตัวเหนือกว่าเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีโยนคำพูดกลับไปที่นางอีกครั้ง ด้วยรังสีที่คล้ายจะเหนือกว่าฮองเฮานางคุกเข่าลงและจ้องมองเจี่ยงจาวอวิ๋นอย่างดุร้าย และทันใดนั้นดอกไม้ที่ชั่วร้ายก็เบ่งบานที่มุมปากของนาง “ท่านบอกเองว่าให้ข้าจำเอาไว้ นี่เพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น ท่านตีข้าสิบห้าครั้ง ข้าจะค่อย ๆ เอาคืนอย่างช้า ๆ”นางตบหน้าเจี่ยงจาวอวิ๋นเบา ๆ ความชั่วร้ายในดวงตาของนางรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และพูดเสียงต่ำที่ได้ยินกันแค่สองคน“เจี่ยงจาวอวิ๋น ท่านกลัวอะไรงั้นรึ? วันนั้นที่ท่านรีบไปที่ห้องขังท่านมีความสามารถมากไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นข้าบอกท่านแล้วว่าข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า นี่พึ่งจะเริ่มต้นเอง ท่านต้องดูแลตัวเองด้วยนะเพคะ ไม่อย่างนั้นหากท่านตายไปแล้วข้าจะคิด
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอจับตัวเจี๋ยงเกอเหล่าและเจี่ยงจาวอวิ๋นเข้าคุกและสอบสวนอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชั่วรอดไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”คำพูดที่หนักแน่นของเย่เฟยหลี ทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยลงโทษฉู่เนี่ยนซีหน้าถอดสี ‘เหตุใดสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ล่ะ?’เดิมทีพวกเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่ในพริบตาเดียวก็เสียเปรียบเสียได้เจี๋ยงเกอเหล่ามองเย่เฟยหลีด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นจึงหันไปมองเย่เหลียนลูกเขยของเขา และรู้สึกเวียนหัวราวกับท้องพระโรงกำลังสั่นไหว“เย่เฟยหลี อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”เย่เหลียนยังคงช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง เขาไม่ต้องการให้อำนาจทางทหารที่ได้รับมาอย่างยากลำบากคืนกลับไปให้กับเย่เฟยหลี“เสด็จพ่อได้โปรดออกคำสั่งจำคุกเจี๋ยงเกอเหล่ากับเจี่ยงจาวอวิ๋น และสอบปากคำพวกเขาอย่างละเอียดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”คำให้การทั้งสามถูกบดขยี้ในมือของจักรพรรดิ เขามองดูสีหน้าตื่นตระหนกของเจี๋ยงเกอเหล่าและเจี่ยงจาวอวิ๋น ก่อนจะเกิดความสงสัยขึ้นในใจจักรพรรดิโบกมือและสั่งให้ทหารองครักษ์นำตัวทั้งสองคนลงไป และพาพวกเขาไปที่เรือนจำในที่สุดพายุก็สงบลง และท้องฟ้าด้านนอกที่มืดมนก็กลับมาแจ่มใส
ซ่างกวานเยียนหน้าเปลี่ยนสี นางกระตุกมุมปาก ก่อนที่จะฝืนยิ้มแข็งไว้ นางมองเสี่ยวเถาด้วยสายตาดุดันก่อนจะเรือนตัวเองไปพร้อมกับฝูหรงอย่างโกรธเคือง“ฝูหรง เจ้าไปทำธุระให้ข้าที”ซ่างกวานเยียนนั่งลงบนโต๊ะและกระซิบกับฝูหรง หลังจากที่ฝูหรงจากไปแล้ว ซ่างกวานเยียนก็มองไปที่ลวดลายอันงดงามผ้าปูโต๊ะ และไฟในดวงตาของนางก็ลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆยังคงอยู่ในห้องของวัดเป่าฮวา ซ่างกวานเยียนไล่ฝูหรงออกไปและเข้าไปในเรือนเพียงลำพัง เมื่อเห็นชายชุดดำ นางก็ทำความเคารพอย่างง่าย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถซ่อนสีหน้าร้องเรียนของนางได้ “นายท่าน เหตุใดเรื่องนี้ถึงล้มเหลวเล่าเจ้าคะ?”“คงต้องถามตัวเจ้าว่าหาคนโง่เขลาเช่นนั้นมาจากที่ใด?”หมวกคลุมเลื่อนลงมาตามการเคลื่อนไหวของชายคนนั้น เผยให้เห็นดวงตาที่ดุร้ายของเขาดวงตาของเป่ยถูดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ใจของซ่างกวานเยียนสั่นไหว“เป็นเพราะข้าทำงานไม่ได้เรื่องเองเจ้าค่ะ”“เอาล่ะ เราเกือบจะถูกเปิดเผยเพระาเรื่องนี้แล้ว เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน เจ้าต้องรีบเก็บข้าวของและตามข้ากลับมณฑลตะวันตกโดยเร็วที่สุด ผ่านช่วงนี้ไปแล้วค่อยมาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป”“เจ้าค่ะ”หลังจากที่