มหาเสนาบดีฉู่กำลังประมวลผลเอกสารราชการทีละรายการอย่างไม่รู้สึกง่วงเลย เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อจุ่มพู่กันลงในหมึก ทันใดนั้น เอกสารทางการจากปีที่แล้วก็ถูกหมึกหยดอย่างรวดเร็ว“ในเมื่อไม่มีสมาธิแล้ว ก็มาพูดคุยกันดีกว่า”เสียงผู้หญิงเย็นชาดังขึ้นใกล้ประตู ผสมกับลมหนาวในคืนที่หนาวเย็น ซึ่งกวาดล้างความอบอุ่นในห้องหนังสือไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศเย็นหรือเสียงที่ทำให้มหาเสนาบดีฉู่สั่นสะท้านในทันทีหลังจากที่สตรีนางนั้นปิดประตู ดวงตาที่กระตือรือร้นแต่สงบของนางก็จ้องมองไปที่มหาเสนาบดีฉู่ เพียงครู่หนึ่ง นางก็มาหามหาเสนาบดีฉู่พลางใช้สองมือตบโต๊ะ บังคับให้มหาเสนาบดีฉู่มองเข้าไปในดวงตาของนางโดยตรง“หนิงเจิน...” มหาเสนาบดีฉู่พึมพำชื่อสตรีนางนั้น ชุดคลุมกันหนาวสีขาวเตะตาของเขา มีเสียงดังปังบนโต๊ะ พู่กันที่เขาถือในมือร่วงหล่นลงคนที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหัวหน้าหุบเขา “ข้าถามเจ้าหน่อย ฉู่เนี่ยนซีเป็นลูกสาวของนายใหญ่หรือ?” เมื่อหัวหน้าหุบเขาได้ยินมหาเสนาบดีฉู่เรียกชื่อของนาง นางก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกลับมาดูอย่างเย็นชาอีกครั้ง แต่ดวงตาของนางมีความร้อนใจอยู่หน่อ
“วังกระจอก ๆ นั่นไม่คณามือข้าหรอก” หัวหน้าหุบเขาเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม “อีกไม่นานข้าจะทำให้เนี่ยนซีกลับมาอย่างสมเกียรติและศักดิ์ศรี หากใครกล้าปฏิเสธนาง ข้าจะกระชากหัวมันทิ้งเสีย!”ทันทีที่หัวหน้าหุบเขาพูดจบ นางก็เปิดประตูและหายไปในความมืดโดยไม่ปรายตามามองแม้แต่น้อย มหาเสนาบดีฉู่ถอนหายใจ ยืนอยู่ที่ประตูอย่างจนใจและเป็นกังวลในขณะที่มองดูท้องฟ้าสีครามเข้มหัวหน้าหุบเขามาถึงพระตำหนักหย่างซินและค้นหาองค์จักรพรรดิแต่ไม่พบเขา ทันใดนั้นนางก็เห็นขันทีหนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินมา หัวหน้าหุบเขาก็พุ่งไปบีบคอเขาด้วยมือขวา แล้วผลักเขาไปที่เสาข้าง ๆ แม้จะไม่ได้ใช้กำลังใดใดก็ตาม แต่ขันทีหนุ่มน้อยก็รู้สึกหวาดกลัวจนใบหน้าของเขาซีดและแขนขาอ่อนแรง“ถามหน่อยว่าจักรพรรดิขี้ระแวงนั่นอยู่ที่ไหน?” ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกไป ขันทีหนุ่มน้อยก็ตกใจมากจนน้ำตาไหล ท่าทางนี้ทำให้หัวหน้าหุบเขาขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ“ฝะ...ฝ่าบาททรงอยู่ในห้องทรงงาน…” ขันทีหนุ่มน้อยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตอบคำถามของหัวหน้าหุบเขา จากนั้นเขาก็ถูกหัวหน้าหุบเขาโยนลงกับพื้นยาวกับโยนลงโคลน“เจ้ากำลังทำเรื่องสารเลวอะไรอยู่? ว่าอย่างไร? เจ
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้แล้วองค์จักรพรรดิก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างโดดเดี่ยวและทำอะไรไม่ถูก ทุกคำพูดของหัวหน้าหุบเขาในตอนนี้ก็เหมือนเป็นการตบหน้า ทำให้เขาไม่สามารถมองที่หัวหน้าหุบเขาได้อีก“หนิงเจิน ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งตัดหัวนาง ไม่เช่นนั้นจะ... ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก ข้าไม่สามารถปล่อยให้เคอเอ๋อร์สร้างหายนะใดใดกับอาณาจักรของข้าได้…” องค์จักรพรรดิเริ่มพูดเป็นกันเองดูเหมือนว่ายิ่งอธิบายเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ประโยชน์ องค์จักรพรรดิจึงทรงหลับตาอย่างเหนื่อยหน่ายและไม่ได้ตรัสอะไรต่อหัวหน้าหุบเขาถอนหายใจช้า ๆ หันไปด้านข้างแล้วพูดว่า “นางปลอดภัยแล้ว”“ในเมื่อนางอยู่กับเจ้า ข้าก็โล่งใจ” องค์จักรพรรดิลืมตาราวกับมีก้อนหินหล่นไปจากหัวใจ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเบาขึ้นมากเมื่อเห็นว่าเขาเป็นห่วงฉู่เนี่ยนซีจริง ๆ เจ้าของหุบเขาก็ไม่ได้มองเขาด้วยสายตาคมกริบอีกต่อไป เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่นายใหญ่เคยทำ นางจึงพูดอย่างจนใจ “นายใหญ่ทุ่มเทไปกับเจ้ามากมาย แต่เพราะยังมีนางอยู่ ข้าถึงได้มารบกวนเจ้า ซึ่งเป็นการละเมิดความปรารถนาของนายใหญ่”นางหยิบกระดาษที่พับแล้วออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางออกต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ซึ่งในนั้น
ในที่สุดนางก็เห็นสตรีในอาภรณ์ขาวนั่งสง่างามอยู่ในห้องด้านหลัง พลางมองนางอย่างเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม ราวกับว่านางกำลังดูตลกฉากใหญ่อยู่เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงตื่นตระหนก องค์จักรพรรดิจึงก้าวไปข้างหน้าและทักทาย “เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?”“เหตุใดคนข้างนอกถึง…?”“ฝีมือข้าเอง มีอะไรไหม?” หัวหน้าหุบเขาตอบอย่างหยิ่งยโส ไม่อยากแม้แต่จะมองสีหน้าลังเลใจของเขาองค์จักรพรรดิหันกลับมาเตือนนางอย่างจนใจ แต่หัวหน้าหุบเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาขององค์จักรพรรดิอย่างไม่แยแสฮองเฮาเห็นใบหน้าของนางชัดเจน นางเหยียดนิ้วหยกของนางออกด้วยความหวาดกลัว และตะโกนไปที่ประตูด้วยเสียงที่เข้มงวด “ใครก็ได้รีบมาจับนางหัวขโมยคนนี้เร็ว!”ภาพที่ข้างกายฉู่เคอมีหญิงสาวคนหนึ่งคอยติดตามอย่างใกล้ชิดยังคงปรากฏอยู่ในใจของฮองเฮา และผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านาง ฮองเฮาคว้าแขนของไทเฮาแล้วกำชุดผ้าปักโดยไม่รู้ตัว “เสด็จแม่ คนผู้นั้นมีเลือดของฝั่งมณฑลตะวันตกไหลเวียนอยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้นางต้องการจะทำอะไรถึงได้บุกมาที่วังอย่างอุกอาจเช่นนี้เพคะ”“ฮองเฮา!” องค์จักรพรรดิมองฮองเฮาด้วยความไม่พอใจและเตือนนางว่าอย่าพูดอะไรพล่อ
เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ องค์จักรพรรดิก็รีบดึงหัวหน้าหุบเขาออกไปทันทีและพูดว่า “หนิงเจิน อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”หัวหน้าหุบเขาลูบหน้าผากของตัวเองพลางหลับตาอย่างเหนื่อยหน่าย นางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไม่ว่าหนึ่งในพวกเจ้าจะเป็นใคร ต้องไปที่หุบเขาสมุนไพรของข้าแล้วขอโทษเนี่ยนซี แล้วจึงพานางกลับมาอย่างสมเกียรติ”“ฝันไปเถอะ!” ฮองเฮาโต้กลับอย่างดุเดือด“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้เจ้าเป็นคนไปก็แล้วกัน จำไว้ว่าเจ้ามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น ถ้าไม่ทำตามที่เธอเสนอ ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้ฝันอีกต่อไป!” หลังจากพูดจบ หัวหน้าหุบเขาก็มองฮองเฮาอย่างพินิจพิเคราะห์“เสนียดนัก ฉู่เนี่ยนซีเป็นนักโทษ ยังทั้งยังปั่นหัวองค์จักรพรรดิ ข้าต้องการตัดหัวนาง แต่เจ้าก็ยังให้ฮองเฮาไปเชิญนางกลับมาน่ะหรือ?!” ไทเฮาพูดด้วยความเหลือเชื่อและโกรธเคือง“ถ้าเจ้าฆ่าฉู่เนี่ยนซี ข้าจะทำให้อาณาจักรรัตติกาลแห่งนี้ล่มจมฝังลงไปพร้อมกับนางด้วย ข้าพูดอะไรย่อมทำได้ตามนั้น! นอกจากนี้ข้าคือหนิงเจิน หัวหน้าหุบเขาสมุนไพร หากพวกเจ้ายังยัดเยียดข้อห
“ได้ ข้าจะกลับไปเขียนเอง” ไทเฮาเงยหน้ามองฮองเฮาอย่างเย็นชา “ฮองเฮา เก็บของแล้วเตรียมออกเดินทาง”เล็บของนางแทงเข้าไปในเนื้อแต่นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไฟในอกของนางก็ปะทุอย่างรุนแรงจนภายในใจของนางบิดเบี้ยว ฮองเฮาทำเพียงกำผ้าเช็ดหน้าและตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจฮองเฮาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ร่างกายของนางอ่อนแอหลังจากอยู่ในวังหลังมาหลายปี นางใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการไปถึงป่าพิษ เมื่อนางลงจากรถม้า เท้าของนางก็อ่อนแรงมากจนแทบจะประคองตัวเองไม่ไหว โชคดีที่นางกำนัลอาวุโสฮวยเหรินคอยพยุงนางไว้ไม่ให้ล้มลงไปเหล่าองครักษ์หลายคนยกกล่องหนักหลายใบมาวางไว้ตรงหน้าฮองเฮา แล้วต่างประสานมือทูลว่า “ฮองเฮา ของทุกอย่างอยู่ที่นี่หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาสั่งให้พวกเขาเปิดมันออก และอัญมณีที่อยู่ในนั้นก็ทำให้ดวงตาของผู้คนพร่ามัวทันที ฮองเฮามองดูกล่องที่ใส่ทอง เงิน เครื่องประดับ ของโบราณ ภาพเหมือนบุคคล และผ้าไหม พลางกัดกรามแน่น ระงับความโกรธของตัวเอง“ไปแจ้งหัวหน้าหุบเขาของพวกเจ้าว่าข้ามาที่นี่เพื่อนำของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้แทนคำขอโทษจากราชวงศ์ และขอให้หัวหน้าหุบเขาและพระชายาหลียอมรับมันไว้ด้วย” ฮองเฮา
ฮองเฮายืนอยู่เป็นเวลาสามชั่วยาม และนางแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของขาของตัวเอง ที่กำลังรองรับทั้งร่างกายของนางเหมือนเสาสองต้นเสียงซุบซิบคุยกันข้าง ๆ ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกตบหน้า ศักดิ์ศรีของฮองเฮาหายไปแล้ว นางเพียงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหล่มและทุกคนสามารถขึ้นมาเหยียบบนศีรษะของนางได้“ฮองเฮา เหตุใดไม่ทรงไปพักผ่อนในรถม้าเล่าเพคะ? หากยังยืนต่อไปเช่นนี้จะเหนื่อยเอาได้นะเพคะ”นางกำนัลอาวุโสฮวยเหรินมองไปยังกลุ่มคน นางกัดฟันด้วยความโกรธ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะโกรธต่อหน้าคนของหุบเขาสมุนไพร ทำได้เพียงกระซิบเพื่อปลอบฮองเฮาเท่านั้นทันใดนั้นม่านตาของฮองเฮาก็หดตัวลง และมีแสงอันคมชัดแวบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แต่นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธและยืนต่อไปเดือนสิบสองสิ้นสุดลงแล้ว ลมหนาวที่พัดแรงผสมกับเกล็ดหิมะพัดผ่านใบหน้าของทุกคนฮองเฮาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ฮวยเหรินคอยประคอง ขณะที่นางเดินไปที่รถม้า ขาและเท้าของนางก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง และรู้สึกเหมือนเข่าจะหักในตอนที่งอขา ดังนั้นนางจึงต้องเอนตัวทิ้งน้ำหนักส่วนใหญ่ไปที่ร่างกายของฮวยเหรินหิมะตกทั้งคืนก่อนที่จะหยุด รอบกายมองเห็นทุกสิ่งเป็นส
“พี่หญิงเจ้าคะ หุบเขาสมุนไพรได้เตรียมรถม้าให้ท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงแต่ปิดทุกมุมด้วยกระดาษน้ำมันหนา ๆ เท่านั้น แต่ยังเตรียมผ้าห่มขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวไว้ท่านด้วยนะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีบีบแก้มของเหยียนตั่ว จากนั้นก็โดนนางดึงขึ้นไปบนรถม้า มันดูสวยงามมากเมื่อมองจากด้านข้าง และเมื่อเปิดม่านออกก็พบกับโลกอีกใบที่อยู่ด้านในมีโซฟานุ่ม ๆ ให้ฉู่เนี่ยนซีได้นอน และโต๊ะสี่เหลี่ยมก็มีผลไม้และขนมอบเตรียมไว้ แถมยังวาง ตำราทางการแพทย์สองเล่มไว้เผื่อว่านางจะเบื่อด้วย เหยียนตั่วเลือกเองเป็นพิเศษหลังจากรู้เรื่องราวการรักษาและการช่วยชีวิตผู้คนของชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีกล่าวขอบคุณหัวหน้าหุบเขาด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยท่านอามากเจ้าค่ะ หากซีเอ๋อร์จัดการเรื่องในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว จะกลับขอบคุณท่านอาอย่างเป็นทางการอีกครั้งเจ้าค่ะ”“เจ้าไปจัดการเถิด หุบเขาสมุนไพรจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเอง!”คำพูดที่ที่แน่วแน่ของหัวหน้าหุบเขา ไม่เพียงแต่พูดให้ฉู่เนี่ยนซีฟังเท่านั้น แต่ยังจงใจพูดให้ฮองเฮาได้ยินด้วย “ข้าล่ะ ข้าล่ะ?”เหยียนตั่วรีบยื่นหน้าไปข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี โดยกลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะลืมความตั้งใจของนา
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย