เมื่อพูดมาถึงจุดนี้แล้วองค์จักรพรรดิก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างโดดเดี่ยวและทำอะไรไม่ถูก ทุกคำพูดของหัวหน้าหุบเขาในตอนนี้ก็เหมือนเป็นการตบหน้า ทำให้เขาไม่สามารถมองที่หัวหน้าหุบเขาได้อีก“หนิงเจิน ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งตัดหัวนาง ไม่เช่นนั้นจะ... ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก ข้าไม่สามารถปล่อยให้เคอเอ๋อร์สร้างหายนะใดใดกับอาณาจักรของข้าได้…” องค์จักรพรรดิเริ่มพูดเป็นกันเองดูเหมือนว่ายิ่งอธิบายเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ประโยชน์ องค์จักรพรรดิจึงทรงหลับตาอย่างเหนื่อยหน่ายและไม่ได้ตรัสอะไรต่อหัวหน้าหุบเขาถอนหายใจช้า ๆ หันไปด้านข้างแล้วพูดว่า “นางปลอดภัยแล้ว”“ในเมื่อนางอยู่กับเจ้า ข้าก็โล่งใจ” องค์จักรพรรดิลืมตาราวกับมีก้อนหินหล่นไปจากหัวใจ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเบาขึ้นมากเมื่อเห็นว่าเขาเป็นห่วงฉู่เนี่ยนซีจริง ๆ เจ้าของหุบเขาก็ไม่ได้มองเขาด้วยสายตาคมกริบอีกต่อไป เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่นายใหญ่เคยทำ นางจึงพูดอย่างจนใจ “นายใหญ่ทุ่มเทไปกับเจ้ามากมาย แต่เพราะยังมีนางอยู่ ข้าถึงได้มารบกวนเจ้า ซึ่งเป็นการละเมิดความปรารถนาของนายใหญ่”นางหยิบกระดาษที่พับแล้วออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางออกต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ซึ่งในนั้น
ในที่สุดนางก็เห็นสตรีในอาภรณ์ขาวนั่งสง่างามอยู่ในห้องด้านหลัง พลางมองนางอย่างเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม ราวกับว่านางกำลังดูตลกฉากใหญ่อยู่เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงตื่นตระหนก องค์จักรพรรดิจึงก้าวไปข้างหน้าและทักทาย “เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?”“เหตุใดคนข้างนอกถึง…?”“ฝีมือข้าเอง มีอะไรไหม?” หัวหน้าหุบเขาตอบอย่างหยิ่งยโส ไม่อยากแม้แต่จะมองสีหน้าลังเลใจของเขาองค์จักรพรรดิหันกลับมาเตือนนางอย่างจนใจ แต่หัวหน้าหุบเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาขององค์จักรพรรดิอย่างไม่แยแสฮองเฮาเห็นใบหน้าของนางชัดเจน นางเหยียดนิ้วหยกของนางออกด้วยความหวาดกลัว และตะโกนไปที่ประตูด้วยเสียงที่เข้มงวด “ใครก็ได้รีบมาจับนางหัวขโมยคนนี้เร็ว!”ภาพที่ข้างกายฉู่เคอมีหญิงสาวคนหนึ่งคอยติดตามอย่างใกล้ชิดยังคงปรากฏอยู่ในใจของฮองเฮา และผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านาง ฮองเฮาคว้าแขนของไทเฮาแล้วกำชุดผ้าปักโดยไม่รู้ตัว “เสด็จแม่ คนผู้นั้นมีเลือดของฝั่งมณฑลตะวันตกไหลเวียนอยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้นางต้องการจะทำอะไรถึงได้บุกมาที่วังอย่างอุกอาจเช่นนี้เพคะ”“ฮองเฮา!” องค์จักรพรรดิมองฮองเฮาด้วยความไม่พอใจและเตือนนางว่าอย่าพูดอะไรพล่อ
เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ องค์จักรพรรดิก็รีบดึงหัวหน้าหุบเขาออกไปทันทีและพูดว่า “หนิงเจิน อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”หัวหน้าหุบเขาลูบหน้าผากของตัวเองพลางหลับตาอย่างเหนื่อยหน่าย นางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไม่ว่าหนึ่งในพวกเจ้าจะเป็นใคร ต้องไปที่หุบเขาสมุนไพรของข้าแล้วขอโทษเนี่ยนซี แล้วจึงพานางกลับมาอย่างสมเกียรติ”“ฝันไปเถอะ!” ฮองเฮาโต้กลับอย่างดุเดือด“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้เจ้าเป็นคนไปก็แล้วกัน จำไว้ว่าเจ้ามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น ถ้าไม่ทำตามที่เธอเสนอ ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้ฝันอีกต่อไป!” หลังจากพูดจบ หัวหน้าหุบเขาก็มองฮองเฮาอย่างพินิจพิเคราะห์“เสนียดนัก ฉู่เนี่ยนซีเป็นนักโทษ ยังทั้งยังปั่นหัวองค์จักรพรรดิ ข้าต้องการตัดหัวนาง แต่เจ้าก็ยังให้ฮองเฮาไปเชิญนางกลับมาน่ะหรือ?!” ไทเฮาพูดด้วยความเหลือเชื่อและโกรธเคือง“ถ้าเจ้าฆ่าฉู่เนี่ยนซี ข้าจะทำให้อาณาจักรรัตติกาลแห่งนี้ล่มจมฝังลงไปพร้อมกับนางด้วย ข้าพูดอะไรย่อมทำได้ตามนั้น! นอกจากนี้ข้าคือหนิงเจิน หัวหน้าหุบเขาสมุนไพร หากพวกเจ้ายังยัดเยียดข้อห
“ได้ ข้าจะกลับไปเขียนเอง” ไทเฮาเงยหน้ามองฮองเฮาอย่างเย็นชา “ฮองเฮา เก็บของแล้วเตรียมออกเดินทาง”เล็บของนางแทงเข้าไปในเนื้อแต่นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไฟในอกของนางก็ปะทุอย่างรุนแรงจนภายในใจของนางบิดเบี้ยว ฮองเฮาทำเพียงกำผ้าเช็ดหน้าและตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจฮองเฮาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ร่างกายของนางอ่อนแอหลังจากอยู่ในวังหลังมาหลายปี นางใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการไปถึงป่าพิษ เมื่อนางลงจากรถม้า เท้าของนางก็อ่อนแรงมากจนแทบจะประคองตัวเองไม่ไหว โชคดีที่นางกำนัลอาวุโสฮวยเหรินคอยพยุงนางไว้ไม่ให้ล้มลงไปเหล่าองครักษ์หลายคนยกกล่องหนักหลายใบมาวางไว้ตรงหน้าฮองเฮา แล้วต่างประสานมือทูลว่า “ฮองเฮา ของทุกอย่างอยู่ที่นี่หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาสั่งให้พวกเขาเปิดมันออก และอัญมณีที่อยู่ในนั้นก็ทำให้ดวงตาของผู้คนพร่ามัวทันที ฮองเฮามองดูกล่องที่ใส่ทอง เงิน เครื่องประดับ ของโบราณ ภาพเหมือนบุคคล และผ้าไหม พลางกัดกรามแน่น ระงับความโกรธของตัวเอง“ไปแจ้งหัวหน้าหุบเขาของพวกเจ้าว่าข้ามาที่นี่เพื่อนำของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้แทนคำขอโทษจากราชวงศ์ และขอให้หัวหน้าหุบเขาและพระชายาหลียอมรับมันไว้ด้วย” ฮองเฮา
ฮองเฮายืนอยู่เป็นเวลาสามชั่วยาม และนางแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของขาของตัวเอง ที่กำลังรองรับทั้งร่างกายของนางเหมือนเสาสองต้นเสียงซุบซิบคุยกันข้าง ๆ ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกตบหน้า ศักดิ์ศรีของฮองเฮาหายไปแล้ว นางเพียงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหล่มและทุกคนสามารถขึ้นมาเหยียบบนศีรษะของนางได้“ฮองเฮา เหตุใดไม่ทรงไปพักผ่อนในรถม้าเล่าเพคะ? หากยังยืนต่อไปเช่นนี้จะเหนื่อยเอาได้นะเพคะ”นางกำนัลอาวุโสฮวยเหรินมองไปยังกลุ่มคน นางกัดฟันด้วยความโกรธ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะโกรธต่อหน้าคนของหุบเขาสมุนไพร ทำได้เพียงกระซิบเพื่อปลอบฮองเฮาเท่านั้นทันใดนั้นม่านตาของฮองเฮาก็หดตัวลง และมีแสงอันคมชัดแวบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แต่นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธและยืนต่อไปเดือนสิบสองสิ้นสุดลงแล้ว ลมหนาวที่พัดแรงผสมกับเกล็ดหิมะพัดผ่านใบหน้าของทุกคนฮองเฮาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ฮวยเหรินคอยประคอง ขณะที่นางเดินไปที่รถม้า ขาและเท้าของนางก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง และรู้สึกเหมือนเข่าจะหักในตอนที่งอขา ดังนั้นนางจึงต้องเอนตัวทิ้งน้ำหนักส่วนใหญ่ไปที่ร่างกายของฮวยเหรินหิมะตกทั้งคืนก่อนที่จะหยุด รอบกายมองเห็นทุกสิ่งเป็นส
“พี่หญิงเจ้าคะ หุบเขาสมุนไพรได้เตรียมรถม้าให้ท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงแต่ปิดทุกมุมด้วยกระดาษน้ำมันหนา ๆ เท่านั้น แต่ยังเตรียมผ้าห่มขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวไว้ท่านด้วยนะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีบีบแก้มของเหยียนตั่ว จากนั้นก็โดนนางดึงขึ้นไปบนรถม้า มันดูสวยงามมากเมื่อมองจากด้านข้าง และเมื่อเปิดม่านออกก็พบกับโลกอีกใบที่อยู่ด้านในมีโซฟานุ่ม ๆ ให้ฉู่เนี่ยนซีได้นอน และโต๊ะสี่เหลี่ยมก็มีผลไม้และขนมอบเตรียมไว้ แถมยังวาง ตำราทางการแพทย์สองเล่มไว้เผื่อว่านางจะเบื่อด้วย เหยียนตั่วเลือกเองเป็นพิเศษหลังจากรู้เรื่องราวการรักษาและการช่วยชีวิตผู้คนของชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีกล่าวขอบคุณหัวหน้าหุบเขาด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยท่านอามากเจ้าค่ะ หากซีเอ๋อร์จัดการเรื่องในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว จะกลับขอบคุณท่านอาอย่างเป็นทางการอีกครั้งเจ้าค่ะ”“เจ้าไปจัดการเถิด หุบเขาสมุนไพรจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเอง!”คำพูดที่ที่แน่วแน่ของหัวหน้าหุบเขา ไม่เพียงแต่พูดให้ฉู่เนี่ยนซีฟังเท่านั้น แต่ยังจงใจพูดให้ฮองเฮาได้ยินด้วย “ข้าล่ะ ข้าล่ะ?”เหยียนตั่วรีบยื่นหน้าไปข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี โดยกลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะลืมความตั้งใจของนา
ไทเฮานั่งลงและจับที่จับเก้าอี้เพื่อยึดเหนี่ยวร่างกาย นางกวาดสายตามองดูทั่วท้องพระโรง ความน่าเกรงขามที่สะสมมาหลายปีก็กลับมาหานางอีกคราเมื่อคิดว่าองค์จักรพรรดิได้อธิบายความจริงไปแล้ว และกังวลเกี่ยวกับอำนาจของหุบเขาสมุนไพร แม้ไทเฮาจะสง่างามแต่ก็ไม่ได้เฉียบแหลมมากนัก นางมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาที่ไม่พอใจอย่างมาก“ชายาหลี โปรดรับราชโองการ”ขันทีเฉินมาที่ ฉู่เนี่ยนซี ด้วยความเคารพพร้อมกับม้วนสีเหลืองสดใสในมือของเขา โค้งคำนับและกล่าวว่าหลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าลง ขันทีเฉินก็เปิดราชโองการและอ่านออกเสียงอย่างมั่นคง“ตามราชโองการของไทเฮา ชายาหลี ฉู่เนี่ยนซีโค้งคำนับด้วยความเคารพและภักดี นางไม่ได้มีการสมรู้ร่วมคิดกับมณฑลตะวันตกเพื่อก่อกบฏ จึงประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน”“ขอบพระทัยไทเฮา”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีคุกเข่าลง นางก็ลุกขึ้นยืนโดยมีขันทีชวี่ช่วยพยุงเข้ามารับราชโองการ และนางก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ“องค์ชายหลีเสด็จ” ขันทีที่อยู่นอกประตูตะโกนขึ้นเสียงดังสายตาของทุกคนหันมองไปที่เขาทันทีท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทา ราวกับมีเงาปกคลุมอยู่หลายชั้น มันมืดมากจนทำให้ผู้คนร
“เสด็จย่า ขุนนางที่ประจบประแจงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง แต่ขุนนางผู้ภักดีต้องตายหากพระราชาต้องการให้ขุนนางตาย และขุนนางต้องตายเท่านั้นหรือ? ในความคิดของกระหม่อม มันคือความภักดีที่โง่เขลา ยิ่งไปกว่านั้น การที่ซีเอ๋อร์ได้รับการช่วยเหลือนั้นไม่ใช่แผนการของนาง ดังนั้นเรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของนางไม่ได้”เย่เฟยหลีพูดช้า ๆ อย่างฉะฉาน แต่น้ำเสียงสงบของเขาผสมกับความเยือกเย็นเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว ไทเฮาไม่กล้าตำหนิว่าเป็นความผิดของหุบเขาสมุนไพร ราวกับว่านางได้กินผลไม้เน่าเต็มปาก กลืนไม่ได้ คายไม่ออก แต่รู้สึกไม่สบายและอึดอัดเป็นอย่างมาก“เสด็จพ่อ กระหม่อมคิดว่าเรื่องที่ชายาเหลียนนำทหารไปจับกุมซีเอ๋อร์ ตอนนี้ก็ควรเชิญอ๋องเหลียนและชายามาขอโทษซีเอ๋อร์ต่อหน้าเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีพูดอย่างเฉียบคม และจ้องไปที่ฮองเฮาโดยตรง ราวกับว่าเขากำลังบอกอะไรบางอย่างด้วยสายตา“ส่งข่าวให้อ๋องเหลียนและชายาเหลียน”เย่เฟยหลีหันศีรษะมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี จากนั้นก็กระซิบข้างหูข