ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เย่เฟยหลีก็มองนางอย่างสงบ ทำให้นางกลืนคำพูดกลับลง ไปทันที ในตอนแรกเขาแก้ตัวแทนนาง มาวันนี้เขาก็ทะเลาะกับฮ่องเฮาอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งนั่นทำให้ ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย“อย่าหยาบคาย!” จักรพรรดิตะโกนเสียงดังมาจากด้านข้าง “นางเป็นมารดาของประเทศ และเป็นท่านแม่ของเจ้า!”เย่เฟยหลียังคงมีสีหน้าเย็นชา เขายืนตัวตรงมองไปที่ฮ่องเฮาอย่างไม่เกรงกลัว "ลูกเพียงแค่อยากจะเตือนให้พระองค์รู้ถึงสถานะของตนก็เท่านั้น"“เจ้า...” ฮ่องเฮาไม่คิดว่าท่าทีของอีกฝ่ายจะแข็งกร้าวเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของจักรพรรดิที่ดูเหมือนไม่อยากจะพูดอะไร นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความคับข้องใจ และสงบสติอารมณ์ด้วยท่าทางที่สง่างาม "องค์ชายหลีและภรรยาช่างรักกันดีจริง ๆ พระชายาหลีเก่งไม่เบา ถึงได้ทำให้องค์ชายหลีพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ได้ แต่ทว่าเรื่องในวันนี้ ข้าเองก็มีส่วนผิด ที่เข้าใจพระชายาหลีผิดไป นอกจากของที่ข้านำมามอบให้พระชายาหลีในวันนี้แล้ว ข้าจะสั่งให้คนนำปิ่นปักผมชิ้นโปรดของข้ามาส่งเป็นการชดเชยในภายหลังด้วย”พูดจบฮ่องเฮาก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซี ก่อนจะสะบัดแข
“ไม่มีพะย่ะค่ะ ท่านพ่อก็คงจะเดาเรื่องนี้ออกหมดแล้วไม่ใช่หรือ? คงไม่จำเป็นต้องให้ลูกอธิบายอะไรอีก”“เหอะ พวกเจ้าทั้งสองกล้าไม่น้อย คนหนึ่งกล้าเล่นงานองค์ชายจนเป็นใบ้ แถมยังกล้าพูดว่าองค์ชายเจ็ดมีความสัมพันธ์กับนางสนมของเจ้าอีก ส่วนอีกคนก็กล้าวางหลุมพรางจักรพรรดิและปกปิดมัน ไม่กลัวว่าข้าจะโกรธแล้วลงโทษพวกเจ้าเลยหรือ?”จักรพรรดิจ้องมองด้วยความโกรธ แต่ดวงตาของเขากลับสงบตามปกติเย่เฟยหลีมองเขานิ่ง ๆ โดยมีมุมปากโค้งงอที่หาชมได้ยาก “ถ้าท่านพ่ออยากจะลงโทษ เมื่อครู่ก็ไม่คงไม่เอาแต่มองอยู่เฉย ๆ หรอกพะย่ะค่ะ”จักรพรรดิสงบนิ่งยกมือขึ้นลูบเคราตัวเอง และมองไปที่เย่เฟยหลี่อย่างไม่อาจเข้าใจได้ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่ชอบเจ้า?"เย่เฟยหลีหันกลับมามองเขาแล้วพูดขึ้นชัด ๆ ทีละคำ "เพราะในบรรดาองค์ชายของท่านพ่อ มีเพียงลูกเท่านั้นที่เหมือนท่านมากที่สุด!"จักรพรรดิตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเย่เฟยหลีไม่สะทกสะท้าน ยังคงสงบนิ่ง และพูดขึ้นนิ่ง ๆ ว่า "และก็เป็นเพราะการที่ท่านไม่ชอบข้ามันดูจงใจเกินไป ดังนั้นฮ่องเฮาจึงไม่เชื่อ ไม่อย่างนั้นลูกจะกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของนางได้อย่างไร"
เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินว่าจักรพรรดิจากไปแล้ว นางก็ตรงไปที่ห้องหนังสือของเย่เเฟยหลีทันทีในเวลานี้ เย่เเฟยหลีได้ถอดชุดเกราะออกแล้วและสวมอาภรณ์สีขาว ความเคร่งขรึมและดุดันของเขาลดลงเล็กน้อย แต่ดูสง่างามและหล่อมากขึ้น เวลานี้เขากำลังนั่งอ่านบทความอยู่บนโต๊ะ เย่เเฟยหลีรู้สึกได้ว่ามีคนมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นฉู่เนี่ยนซีที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ตรงหน้าประตูเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้สติ เธอก็กระแอมไอแก้เขิน "เอ่อ...ข้าเอายามาส่ง"เมื่อพูดอย่างนั้น นางก็เดินไปที่ข้างโต๊ะและวางยาในมือลง "นี่คือยาสำหรับรักษาเย่ฉงเฉิง"นางไม่ได้วางยาพิษเขาจริง ๆ เพียงแค่ฝังเข็มเพื่อทำให้เขาไม่สามารถเปล่งเสียงได้เท่านั้นและยานี้จะช่วยรักษาผลกระทบจากการฝัง แม้ว่านางจะสามารถไปฝังเข็มเพื่อรักษาเขาได้ แต่นางยังนึกแค้นไม่หาย และเขาไม่คู่ควรให้นางต้องไปรักษาด้วยตัวเอง "เข้าใจแล้ว!"“แล้วก็ ขอบคุณท่านด้วย” ฉู่เนี่ยนซีพูดอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นเย่เเฟยหลีมองมาด้วยสีหน้าสงบ นางก็ไม่พอใจทันที "แต่ข้าไม่เสียใจที่ทำเช่นนั้นหรอกนะ"พูดจบนางก็เลิกมองเย่เเฟยหลี หันหลังกลับ ตั้งท่าจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว "ข้าขอโทษ"เสียงทุ้มลึ
ฉู่เนี่ยนซีตกตะลึงเล็กน้อย และถอนหายใจกับความผิดปกติของเขาในวันนี้ แต่คิดว่านั่นคงเป็นเพราะเย่เฟยหลีเข้าใจนางผิดเมื่อวานนี้ เขาถึงได้พูดดี ๆ กับนางนางจึงแค่ขานรับเบา ๆ แล้วจากไปเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ได้ใส่ใจของนาง เย่เฟยหลีก็รู้สึกขัดหูขัดตาเล็กน้อยจนกระทั่งเหลียงหยวนเข้ามา เย่เฟยหลีก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง“ท่านอ๋อง หลังจากที่องค์ชายเฉิงกลับไปแล้ว เขาก็หยุดสร้างปัญหาพะย่ะค่ะ เพียงแต่โวยวายว่าจะพบท่าน ครึ่งวันกว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้”เย่เฟยหลีเหลือบมองยาบนโต๊ะและคิดอยู่ครู่หนึ่ง“อีกสองสามวันค่อยให้เขาทานยานี้”เหลียงหยวนดูงุนงง "ยานี้...พระชายานำมาให้หรือพะย่ะค่ะ?""อืม"“แล้วเหตุใด…” ต้องรออีกสองสามวันก่อนที่เหลียงหยวนจะพูดจบ ดวงตาเย็นชาของเย่เฟยหลีก็เหลือบมองไป“รับทราบพะย่ะค่ะ”เหลียงหยวนอดไม่ได้ที่จะหดคอกลับ และเริ่มสวดภาวนาให้องค์ชายเฉิงในใจ พระชายาและองค์ชายร่วมมือกันจัดการเรื่องนี้ องค์ชายเฉิงช่างน่าสงสารจริง ๆอีกด้านหนึ่ง ฉู่เนี่ยนซีรีบกลับไปที่เรือนของตัวเองอย่างรวดเร็ว อวี๋หนานกลับมาแล้ว และกำลังรายงานสถานการณ์ในหอการแพทย์กับนาง ในวันต่อ ๆ มา เนื่องจาก
เมื่อไทเฮาเห็นทางทางสงบนิ่งของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยในใจ สิ่งนี้ต่างไปจากข่าวลือที่เคยได้ยินมา แต่การชิงของคนอื่นไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีไทเฮาขมวดคิ้ว และไม่ได้สนใจนางอีก “จักรพรรดิ เริ่มพิธีเซ่นไหว้เถิด”“เริ่มพิธีเซ่นไหว้!” เมื่อจักรพรรดิพยักหน้า เสียงคมชัดของขันทีเฉินก็ดังก้องไปทั่วทั้งลานกลุ่มคนในชุดนักพรตยืนอยู่บนแท่น และวางสัตว์หกชนิดลงบนโต๊ะ ได้แก่ ม้า วัว แกะ ไก่ สุนัข และหมูผู้นำนักพรตที่มีเครายาว ในมือข้างหนึ่งถือแส้และอีกข้างถือแก้วสุรา เสียงกลองดังขึ้นและมีการจุดธูปบนเครื่องสังเวยเขาปาข้าวสาร เผาธูปและกระดาษ ก่อนจะคุกเข่าลงคำนับถือเป็นอันเสร็จพิธี ผู้นำนักพรตยื่นธูปเก้าดอกให้ไทเฮา จักรพรรดิและฮ่องเฮาตามลำดับทั้งสามหยิบธูป จุดไฟก่อนจะคุกเข่าลงบนเสื่อและกราบไหว้เทพเจ้า อธิษฐานด้วยศรัทธาเมื่อเสียงกลองหยุดลง ทั้งสามก็ยืนขึ้นและปักธูปลงในกระถางแต่ทันทีที่ปักธูปลงไป ธูปที่ลุกไหม้ก็หักลงทันที และธูปอีกครึ่งหนึ่งก็ตกลงไปบนโต๊ะไทเฮาเป็นเช่นนั้น และแม้แต่จักรพรรดิและฮ่องเฮาเองก็เป็นแบบเดียวกันเหตุการณ์พลิกผันครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแ
หลังจากนั้นไม่นาน นักพรตทีหนวดเครายาวก็กลับมาสงบอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อทุกคนมองดูท่าทางที่อ่อนแรงของเขาและถอนหายใจ ในขณะที่พวกเขากังวลเกี่ยวกับวิธีแก้หายนะ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องนักพรตที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ เขาเป็นคนที่ถูกสวรรค์เมตตาเป็นอย่างมากทีเดียวฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ แค่กระตุกนิดหน่อยก็เหนื่อยจนเหงื่อออกเสียแล้ว“ท่านนักพรต เป็นอย่างไรบ้าง?!” จักรพรรดิและไทเฮารีบไปข้างหน้าผู้นำนักพรตปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วพยักหน้า "สำเร็จลุล่วงพะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร ข้าจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”“ขณะที่ข้าสื่อสารกับสวรรค์ จึงรู้ต้นเหตุของหายนะนี้ เพียงแค่หาสิ่งนี้ให้พบ และเผามันเพื่อบูชา จะไม่เพียงแต่สามารถทำลายหายนะนี้ได้เท่านั้น แต่ยังจะปกปักรักษาให้ไทเฮาและจักรพรรดิมีอายุยืนยาวได้ด้วย ประเทศชาติและราษฎรก็จะอยู่รอดปลอดภัยพะย่ะค่ะ”ไทเฮารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และตรัสถามอย่างรวดเร็ว “แล้วต้นเหตุของหายนะนี้มาจากไหนกัน”“ต้นเหตุของหายนะคือสตรีที่เกิดในวันที่สามเดือนเก้
มหาเสนาบดีฉู่บีบมือตัวเองแล้วยืนขึ้นทันที "ใต้เท้าหลิว ท่านควรคิดให้รอบคอบก่อนจะพูดอะไรออกมา! บุตรสาวของท่านไม่ใช่ หมายความว่าบุตรสาวของข้าใช่อย่างนั้นรึ?!"เสนาบดีฉู่มีสีหน้ามืดมน ถึงเขาจะยืนประสานมืออยู่ตรงนั้นแต่ก็ยังสร้างแรงกดดันต่อใต้เท้าหลิวได้“ทุกคนในเมืองแห่งรัตติกาล ใครไม่รู้บ้างว่าเมื่อก่อนพระชายาหลีไม่ใช่แค่ไล่ตามองค์ชายหลีตลอดทั้งวันเท่านั้น แต่ยังก่อปัญหาไปทั่ว ได้ยินมาว่าลูกชายคนโตของเสนาบดีฉู่มีอาการขาพิการก็อาจจะมีสาเหตุจากนาง ถ้าจะกล่าวหาว่าใครคือหายนะ คนผู้นั้นก็ต้องเป็นพระชายาหลีอย่างแน่นอน” ใต้เท้าหลิวพยายามเพิกเฉยต่อแรงกดดันของเสนาบดีฉู่ และพูดขึ้นทีละคำการแสดงออกของจักรพรรดินั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในขณะที่มองดูพวกเขาทั้งสองจากนั้นเสนาบดีฉู่ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านพูดเองว่าเป็นเรื่องในอดีต! เป็นความจริงที่ลูกชายคนโตของข้าบาดเจ็บ แต่บุตรสาวของข้าเป็นคนรักษาเขาจนกลับมาเดินได้อีกครั้ง”ทุกคนต่างเฝ้าดูความตื่นเต้น แต่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อได้ยินว่าฉู่เนี่ยนซีเป็นผู้รักษาฉู่เจี้ยนอี้ พวกเขานึกมาโดยตลอดว่าเฮ่อหลานหมอมหัศจรรย์เป็นผู้
ผู้คนบนแท่นบูชาต่างงงงวยอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้ แต่เมื่อนางพูดแบบนั้นออกมา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล ทันใดนั้นฮ่องเฮาก็ตะโกนขึ้นมาว่า "ฉู่เนี่ยนซี นี่เจ้าจะทำอะไร? เจ้าคิดจะฆ่าคนเพื่อปิดปากอย่างนั้นรึ? รีบเข้าไปหยุดนางเร็วเข้า!" "“ใครกล้า!” ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีดูเหมือนจะเปล่งแสงเย็น ๆ ออกมา นางมองไปที่องครักษ์ที่กำลังจะเข้ามา ก่อนจะหันไปหาฮ่องเฮา “ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรเพคะ ไม่ว่ายังไงซีเออร์ก็เป็นคนของราชวงศ์ ตอนนี้กำลังถูกคนใส่ร้ายว่าเป็นตัวหายนะ ยังไงก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนเสียก่อน หากหม่อมฉันเป็นตัวหายนะจริง หม่อมฉันจะเห็นแก่ไทเฮา จักรพรรดิ และแผ่นดิน หม่อมฉันจะโยนตัวเองเข้าไปในกองไฟเอง เป็นเช่นไรเพคะ เพียงแต่จะให้หม่อมฉันถูกเผาอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไรกัน”คำพูดของฉู่เนี่ยนซีนั้นชอบธรรมและน่าเกรงขาม จนผู้คนอดไม่ได้ที่จะประทับใจแม้ว่าจะเชื่อในเทพเจ้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเผาคนให้ตายอย่างไม่มีเหตุมีผลได้ไทเฮามองนางอย่างอึ้ง ๆ ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ในใจ ในด้านหนึ่งนางเชื่อนักพรต แต่ในทางกลับกันก็เห็นว่าการกระทำของฉู่เนี่ยนซีนั้นทั้งสง่างามและสมเหตุสมผล ไม่ได