เทพเจ้าโชคลาภ?จางซู?จางซูอยู่ที่ติ้งเป่ยไม่ใช่หรือ?เยี่ยจื่อชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจแล้ว กล่าวด้วยความตะลึง “เจ้าคงไม่คิดจะหาเงินจากฝ่าบาทหรอกกระมัง?”นอกจากเทพเจ้าโชคลาภจางซูแล้ว มีเพียงจักรพรรดิเหวินที่คู่ควรเรียกว่าเทพเจ้าโชคลาภ!“เหตุใดเจ้าฉลาดเพียงนี้!”หยุนเจิงหัวเราะเสียงประหลาด ยกมือขึ้นดีดจมูกงามของเยี่ยจื่อ“น่าเบื่อ!”เยี่ยจื่อปัดมือของหยุนเจิง จากนั้นก็ยืนแขนงามโอบกอดคอของหยุนเจิง “เจ้ากล้าคิดเกินไปแล้วกระมัง? เจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ยังกล้าหาเงินจากฝ่าบาทอีก เจ้าไม่กลัวฝ่าบาทจะเฆี่ยนเจ้าจนตายหรือ?”เขาหลอกเอาเงินคนจนเป็นนิสัยแล้ว?แม้แต่เสด็จพ่อเขาก็คิดจะหลอก?อีกอย่าง ฝ่าบาทก็ไม่มีทางให้เงินกับเขา!ฝ่าบาทให้เสบียงเขามากมายเช่นนั้น ทั้งยังแต่งตั้งเขาเป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งแล้วหากเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิองค์อื่น เกรงว่าคงจัดการเขาเหมือนกบฏไปแล้ว!เขาชำนาญสงครามเช่นนี้ ฝ่าบาทยังจะให้เงินเขาหรือ?ฝันไว้หอมหวานเชียว!ไม่สู้เขาขอให้ฝ่าบาทยกตำแหน่งจักรพรรดิให้เขาโดยตรงเลยดีกว่า!“ไม่ให้เงิน อย่างน้อยก็เปิดแนวหน้าของฟู่โจวได้น
หยุนเจิงและเยี่ยจื่อรีบร้อนเดินออกจากห้องหากเป็นก่อนหน้านี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนคงหลอกล้าเยี่ยจื่อไม่น้อยแต่สถานการณ์ตรงหน้า เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับไม่มีจิตใจไปทำเช่นนั้น“เสด็จพ่อมีถึงเมื่อใด?”หยุนเจิงถามเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างใจร้อน“วันนี้ตอนเช้า”เสิ่นลั่วเยี่ยนตอบด้วยความร้อนใจ “จั่วเริ่นขี่ม้าเร็วมารายงาน เสด็จพ่อนำทหารม้าชั้นยอดมาเพียงสามร้อยกว่าคน ไม่ยอมเข้าด่าน กำลังรอให้เจ้าไปรับ จั่วเริ่นบอกว่าได้ตั้งค่ายให้เสด็จพ่อนอกด้านเป่ยลู่ชั่วคราว...”พาทหารม้าชั้นยอดมาเพียงสามร้อยกว่าคน?ตาแก่นี่บ้าไปแล้วกระมัง?ควบม้าเร็วมาตลอดทาง?ให้ตายสิ!ประมาทเดินไปแล้ว!คำนวณเป็นพันเป็นหมื่น ก็ไม่อาจคาดคิดว่าเสด็จพ่อจะมาถึงไวเช่นนี้!คราวนี้ เกรงว่าเขาคงต้องจมฟองน้ำลายตายแล้วหยุนเจิงสูดหายใจลึก จากนั้นก็กล่าว “พวกเราเร่งเดินทางตอนกลางคืนไปด่านเป่ยลู่ก่อน จากนั้นให้พวกแม่ยายตามไปด่านเป่ยลู่ทีหลัง! พี่สะใภ้ เจ้าสั่งให้คนในจวนที่ติ้งเป่ยเตรียมตัว หากเสด็จพ่อต้องการมาที่ติ้งเป่ย พวกเราไม่เตรียมสิ่งใดสักอย่างไม่ได้...”“ได้!”เยี่ยจื่อไม่สนใจความเขินอาย ตอบตกลงทันทีหลังจากสั่งการเรื่องราว
ตอนที่พวกเขาเร่งเดินทางมาถึง จั่วเริ่นได้นำคนอารักขาความปลอดภัยจักรพรรดิเหวินด้วยตัวเองแล้วแต่ว่า ศีรษะของจั่วเริ่นตกลง ท่าทางเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อเห็นพวกหยุนเจิง ในที่สุดจั่วเริ่นก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก รีบวิ่งมาหา จากนั้นก็ทำความเคารพหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนง่ายๆ กระซิบกล่าว “องค์ชาย พวกท่านต้องระวังเอาไว้ ตอนนี้โทสะของจักรพรรดิเหวินมีมาก วันนี้ตอนเช้าฝ่าบาทสั่งคนไปหารากหวงจิงใหญ่เท่านั้นมาโดยเฉพาะ...”กล่าวจบ จั่วเริ่วก็เอานิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ทำเป็นวงขึ้นมาเมื่อเห็นการเปรียบเทียบขนาดของจั่วเริ่น หยุนเจิงใบหน้าดำอึมครึมอย่างควบคุมไม่อยุ่รากหวงจิงใหญ่เท่านี้?น่าควรเรียกว่ากระบองหวงจิงกระมัง?คิดจะเฆี่ยนเขาจนตายจริงหรือ!หยุนเจิงบ่นในใจ จากนั้นก็กระซิบถาม “เจ้าได้เชิญเสด็จพ่อเข้าด่านไปพักผ่อนหรือไม่?”“ข้าน้อยเชิญแล้ว แต่ฝ่าบาทไม่ไป!”จั่วเริ่นตอบด้วยรอยยิ้มแห้งจริงด้วย!รู้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อไม่มีทางเป็นฝ่ายเข้าด่าน!“เช่นนั้นตอนที่เสด็จพ่อปฏิเสธ ได้กล่าวสิ่งใดหรือไม่?”หยุนเจิงกระซิบถามอีกครั้งจั่วเริ่นพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กดเสียงต่ำ
ทั้งสามคนก้มหน้าก้มตา หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนยังดี เพียงแค่หวาดกลัวอยู่บ้างแต่ศีรษะของฉินชีหู่แทบปักลงไปกับพื้นแล้วถึงเช่นไร ไม่ว่าจักรพรรดิเหวินจะเฆี่ยนเอาหรือไม่ ไม่ช้าก็เร็วตาแก่ของเขาก็จะมาเฆี่ยนเอาด้วยสาเหตุนี้ตอนนี้ฉินชีหู่อยากให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนที่สู้กับฮูเจี๋ยในการรบครั้งนั้นจริงๆ“เสด็จพ่อ ท่านอยากเฆี่ยนก็เฆี่ยนเถอะ!”ในที่สุด ก็เป็นหยุนเจิงที่เอ่ยปากทำลายความเงียบ “ท่านถือกระบอกหมุนไหหมุนมา อย่าหมุนจนเวียนหัวเล่า”เขาไม่ได้ก่อกบฏ ทั้งยังส่งศีษระพวกฮูเจี๋ยไปให้เขาแล้วต่อให้เขาเฆี่ยน ก็คงไม่อาจลงมือหนักมากเกินไปกระมัง?เซี่ยนสักสองสามที ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาหากเฆี่ยนรุนแรงเกินไป เขาคงไม่ทำเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินทรงหัวเราะออกมาด้วยความกริ้วดีจริง!ยังรู้จักเป็นห่วงข้า?กลัวข้าจะเวียนหัวแล้ว?“ข้าไม่กล้าเฆี่ยนเจ้า”จักรพรรดิเหวินกุมท่อนหวงจิงในพระหัตถ์ จากนั้นก็กล่าวเสียงเรียบ “นี่คือถิ่นของเจ้า เจ้าแค่สั่งการคำเดียว ธนูไม้บนกำแพงเมืองไม่ยิงทะลุข้าตายที่นี่หรือ?”“เสด็จพ่อล้อเล่นแล้ว พวกกระหม่อมไม่กล้ายิงพระองค์หรอก!”หยุนเจิงเ
“เสด็จพ่อ พระองค์อย่าทรงกริ้วเลย”หยุนเจิงยิ้มแห้งกล่าว “ไม่ว่าต่อให้ทรมานลูกเพียงใด ลูกก็ยังเป็นลูกของพระองค์ไม่ใช่หรือ?”“เหอะ ตอนที่ยื่นมือมาบังคับขอเงินข้า เจ้าก็เป็นลูกชายข้าแล้ว?” จักรพรรดิเหวินทรงกริ้วจนหัวเราะ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม “ให้ข้าเป็นจักรพรรดิสูงสุด เขาก็เป็นลูกชายของข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”เจ้าลูกทรพี หน้าไม่อายจริง!แต่ว่าไปแล้ว เจ้าลูกทรพีนี่ก็รู้จักพูดอื้ม นิสัยจิตใจนับว่าสุขุมแต่ว่า...กวนประสาท!หยุนเจิงหัวเราะอย่างเกรงใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้ถามหาเงินจากเสด็จพ่อ แต่ต้องการเงินจากคลังหลวง! ทหารของกองทหารมณฑลทางเหนือทำสงครามเพื่อต้าเฉียน ไม่ได้ทำสงครามเพื่อลูก...”จักรพรรดิเหวินเมื่อได้ฟัง พระเนตรฉายแววเหน็บหนาวออกมาทำสงครามเพื่อต้าเฉียนหรือ?จักรพรรดิเหวินจะไม่เข้าพระทัยได้เช่นไร ความหมายของหยุนเจิงคือ เขาหยุนเจิงเป็นขุนนางของต้าเฉียน กองทหารมณฑลทางเหนือก็ยังเป็นกองทัพของต้าเฉียน ไม่ใช่กองทัพของหยุนเจิงเขาไม่มีใจก่อกบฎ!ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าเป็นลูกชายของเขาจักรพรรดิเหวินนิ่งเงียบชั่วครู่ ทิ้งท่อนไม
หยุนเจิงจ้องมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นราชโองการตอนที่เขาหยิบราชโองการขึ้นมา พบว่าด้านในคือราชโองการว่างเปล่าด้านบน ยังประทับตราเอาไว้!มองดูราชโองการเปล่าในมือ หยุนเจิงรู้สึกตัวชาตาแก่นี่คิดจะทำสิ่งใด?ให้ราชโองการว่างเปล่ากับเขา ให้เขาเขียนตามใจชอบหรือ?“ท่านอ๋อง เลิกอึ้งได้แล้ว!”จักรพรรดิเหวินชี้ไปยังโต๊ะภายในกระโจม “เจ้าอยากจะเขียนสิ่งใดก็เขียน! ต่อให้เจ้าเขียนให้สละตำแหน่งแทนข้าก็ยังได้!”“เสด็จพ่อ นี่ท่าน...จำเป็นหรือ?”หยุนเจิงจนใจ ยังก่อเรื่องไม่พอหรือ?พอประมาณก็พอแล้ว!เหตุใดต้องที่เขาลำบากใจ ทดสอบเขาสักหน่อย เขาถึงจะสบายใจ?“จำเป็นหรือ?”จักรพรรดิเหวินถลึงพระเนตร “ข้าถูกเจ้าหลอกกลายเป็นคนโง่ เจ้าถามข้าว่าจำเป็นหรือ?”“ที่ลูกทำเพราะจนปัญญาไม่ใช่หรือ?” หยุนเจิงหัวเราะอย่างรู้สึกผิดหยุนเจิงกล่าวไป สอดราชโองการว่างเปล่าเข้าไปในแขนเสื้ออย่างมีความสุข ราวกับเหล่าหลี่เดินทางไกลเพื่อโขมยบุหรี่อื้ม นำกลับไปเขียนแต่งตั้งเยี่ยจื่อและเมี่ยวอินให้อนุของเขาก็ไม่เลวอีกอย่าง สั่งให้คนส่งเงินและเสบียงมาให้เขาสักหน่อย?จักรพรรดิเหวินกำลังทอดพระเนตรอยู่ ใบหน้ากระตุกอย่างควบ
มิน่าเล่า!เขาถึงว่าเหตุใดตาแก่นี่มาเร็วเช่นนี้!ทนไม่ไหวที่จะมาทดสอบเขาถึงซั่วเป่ยแล้ว?ช่างเถอะ!เช่นไรก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้ากันในสนามรบมาก!เขาเป็นห่วงว่า พวกเขาพ่อลูกตอนพบกันอีกครั้ง ก็ต้องเผชิญหน้ากันในสนามรบแล้วบอกตามตรง ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าคิดจักรพรรดิเหวิมมองหยุนเจิงอย่างมีเลศนัย ตอนที่ประทับอยู่ในกระโจม ก็ได้พลิกหน้าสมุดบัญชีดูอีกครั้งอ่านไปอ่านมา คิ้วของจักรพรรดิเหวินขมวดขึ้นมา “รบกับฮูเจี๋ย พวกเจ้าก็มีความตายมากมายเพียงนี้แล้ว? บอกมา เจ้าคิดจะหลอกเอาเงินจากข้าเท่าใด? หรือไม่ เจ้าเอาข้าชั่งน้ำหนักดู ว่าตัวข้ามีราคาเท่าใด?”อุว๊ะ!ตาแก่ กินหมัดข้าสักที!หยุนเจิงคำรามลั่นในใจ อธิบายอย่างจนใจ “เสด็จพ่อเข้าใจผิดแล้ว! นี่คือทหารที่เสียชีวิตตอนที่เจียเหยานำทัพบุกทะลวงสันดอนเป่ยหวน! ส่วนการรบกับฮูเจี๋ย ผู้เสียชีวิตที่ด้านหน้าและหลังรวมกันประมาณเจ็ดพันคน...”เขาไม่เชื่อว่าหันจิ้นไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้กับเสด็จพ่อ!ต่อให้หานจิ้นไม่รู้จำนวนตัวเลขผู้บาดเจ็บเสียชีวิต แต่ก็พอประมาณการคร่าวๆ ได้อีกอย่าง สรุปแล้วพวกเขานำคนไปจำนวนเพียงเท่านั้
ท่านอ๋องแบกเกี้ยว พระชายานำทางต่อให้จักรพรรดิเหวินต้องรอยู่นอกด่านเป่ยลู่หนึ่งวันกล่าว แต่ก็เข้าด่านเป่ยลู่อย่างสง่าผ่าเผยหยุนเจิงทอดถอนใจ วิธีการของจักรพรรดิเหวินเล่นได้อย่างสวยงามนักทั้งประกาศอำนาจอธิปไตยและตำแหน่งของพระองค์ ทั้งไม่ตกต่ำหลังเข้าด่านเป่ยลู่ ค่อยติดตามพวกหยุนเจิงไปยังจวนแม่ทัพของด่านเป่ยลู่เพิ่งได้ประทับภายในจวนครู่เดียว จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นยืน “เจ้าหก ตามข้าไปเดินเล่นด้านบนด่านของทางเหนือ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนแอบกังวล จากนั้นก็กล่าวว่า “หม่อมฉันไปเดินกับเสด็จพ่อด้วยเพคะ!”หยุนเจิงแม้จะเป็นวรยุทธ แต่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกโจวไต้แน่นอน!หากจักรพรรดิเหวินหาเรื่องขึ้นมากะทันหัน ให้คนมัดหยุนเจิงไว้ จะทำเช่นไร?“ก็ได้!”จักรพรรดิเหวินอ่านใจของเสิ่นลั่วเยี่ยนออก แต่ไม่เปิดเผยไม่นาน พวกเขาก็เดินทางไปยังด้านบนด่านของประตูทางเหนือจักรพรรดิเหวินพระหัตถ์สองข้างไพล่หลัง มองไปยังทิศทางที่ตั้งของสามเมืองชายแดนเงียบๆเนิ่นนาน จักรพรรดิเหวินเอ่ยปากถาม “สามเมืองชายแดนล้วนมีทหารประจำการแล้ว?”“ไม่พ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงตอบ “หลังเป่ยหวนถอนทัพไป สามเมืองชายแดนเผชิญกับระดับ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ