“ทหารเหล่านี้มักง่ายเกินไปจริงๆ ง่ายต่อการถูกคนบุกประตูเมืองมาก!”“หากข้าได้รับอำนาจการคุ้มกันของเมืองซั่วฟางล่ะก็ ข้าจะออกกฎเหล็ก ห้ามเปิดประตูเมืองหลังฟ้ามึดเด็ดขาด ไม่ว่าใครก็ตาม!”ความปลอดภัยของประตูเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด!ทันทีที่ประตูเมืองถูกศัตรูบุกรุก ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ“ไม่เลว รู้จักคิดพิจารณาเรื่องพวกนี้แล้ว”หยุนเจิงเยาะเย้ยนางอีกประโยคหนึ่ง ถึงจะพูดต่อไปว่า “ถึงแม้เจ้าจะพูดมีเหตุมีผล แต่ก็ไม่สามารถออกกฏเหล็กตายตัวได้! เจ้าลองคิดดูซิ หากคนของเราถูกศัตรูไล่ล่า แล้วจำเป็นต้องเข้าเมือง หากเจ้าไม่เปิดประตูเมือง เจ้าจะยืนมองคนของเราถูกศัตรูฆ่าตายน่ะหรือ?”“เอ่อ…”เสิ่นลั่วเยี่ยนชะงักเบาๆ ไม่รู้จักตอบอย่างไรดีสิ่งที่หยุนเจิงพูดมามีความเป็นไปได้มากหากถูกศัตรูไล่ล่า แล้ววิ่งหนีมาถึงประตูเมืองฝ่ายตน ทว่าคนเฝ้าประตูเมืองกลับไม่ยอมเปิดประตูให้เนื่องด้วยคำสั่ง แล้วเช่นนั้นทหารที่ถูกศัตรูฆ่าตายจะรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหน?“ดังนั้นเรื่องนี้ไม่สามารถทำให้เป็นกฎเหล็กตายตัวได้”หยุนเจิงยิ้มเบาๆ “เพียงแต่ว่า การตรวจสอบควรจะเข้มงวดมากกว่านี้! แล้วก็สามารถเข้าเมืองได้
ความคิดอุดมคติสวยงาม แต่ความจริงช่างโหดร้ายตื่นมายามเช้า หยุนเจิงก็รู้สึกอ่อนเพลียไปทั้งตัว ทั้งยังไอไม่หยุดเมี่ยวอินตรวจอาการให้ได้ผลว่าเขาเป็นหวัดฤดูหนาวเกรงว่าสาเหตุคงมาจากการที่ตากลมหิมะกลับจวนเมื่อคืนนี้“ฮ่าๆ…”“ร่างกายน้อยๆ ของท่านแม้แต่ลมหิมะยังไม่สามารถทนได้เลย แล้วยังจะไปฝึกซ้อมคนพวกนั้นเองเนี่ยนะ?”“ตอนนี้ยังจะอวดดีกับข้าหรือไม่?”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เพียงแต่ไม่เป็นห่วง แต่ยังหัวเราะเยาะเขาอีกด้วยหยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้ามึดมน ในใจหดหู่เป็นที่สุดมารดามันเถอะ!สุขภาพของตนอ่อนแอเพียงนี้เชียวหรือ?ลำพังแค่ลมหิมะน้อยๆ ก็ไม่สมารถรทนได้?แล้วยังจะใช้ชีวิตอยู่ที่ซั่วเป่ยทำซากอะไรกัน!มารดามันเถอะ!ขายขี้หน้าจริงๆ!“พอ หยุดหัวเราะได้แล้ว!”เยี่ยจื่อตีเสิ่นลั่วเยี่ยนเบาๆ “ข้าเกรงว่า เขาน่าจะเหนื่อยจากการมาถึงซั่วเป่ย เมื่อคืนยังตากลมหิมะกลับจวนด้วยถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้”“ใช่ๆ!”หยุนเจิงพยักหน้าหงึกๆ แล้วมองเสิ่นลั่วเยี่ยนเศร้าๆ “ข้าต้องเหนื่อยเกินไปแน่ๆ เจ้าไม่เป็นห่วงข้าไม่พอ ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะข้าอีก!”“ได้ๆ ข้าไม่รู้จักเป็นห่วงคน พอใจหรือยัง?”เ
หมิงเย่ว์และเยี่ยจื่อเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางแอบด่าอยู่ในใจเป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับไม่รู้จักอายเลยสักนิดเรื่องเช่นนี้ยังมีหน้ามาพูดต่อหน้าพวกนางอีก!“เจ้าถามเอง จะมาโทษข้าหรือ?”หยุนเจิงมองเมี่ยวอินด้วยความขุ่นเคือง “หนังสือโบราณที่ข้าเคยอ่านเล่มนั้นมีบันทึกวิชาการฝึกฝนนี้ไว ข้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าที่เป็นยอดฝีมือนอกโลกจะสอนวิชานี้ให้กับเจ้าเสียอีก!”มารดามันเถอะ!บทละครไม่ควรเขียนเช่นนี้สิ!อยากจะฉวยโอกาสสักหน่อยนี่มันยากจริงๆ!“ตนไม่ฝึกวิชาเองดีๆ แต่คิดอยากเดินทางลัด!”เมี่ยวอินแค่นเสียงฮึ แล้วก้มหน้าฝังเข็มให้หยุนเจิงต่อไปรอให้เมี่ยวอินฝังเข็มเสร็จ คนในจวนก็ไปซื้อยากลับมาถึงพอดีซินเซิงรีบวิ่งเข้าไปต้มยาให้กับหยุนเจิงทันทีเมี่ยวอินจ้องเขาด้วยความอับอายแล้วก็พาหมิงเย่ว์ออกจากห้องทันทีทั้งสองเดินออกไป หมิงเย่ว์ก็เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิง วิชาฝึกฝนสองสิ่งอย่างเท่าเทียมที่เขาหมายถึง ก็คือวิชาเหอหวนกงที่อาจารย์สอนไม่ใช่หรือ?”“เงียบ!”เมี่ยวอินจ้องหมิงเย่ว์ไปทีหนึ่ง “เจ้าเพียงแค่ทำเหมือนไม่รู้อะไรก็เป็นพอ!”“ก็ได้!”หมิงเย่ว์ยิ้มเบาๆ แล้วหยอกล้อว่า “ข้าคิด
ด้วยความเขินอาย เยี่ยจื่อจึงหยิกแรงกว่าเดิมทว่าไม่ว่านางจะออกแรงแค่ไหน หยุนเจิงก็อดทนกับความเจ็บปวด แล้วโอบกอดนางไว้แน่นในที่สุด เยี่ยจื่อก็ทำใจออกแรงมากขึ้นอีกไม่ลงจึงค่อยๆ คลายมือตนเองออก และหยุดขัดขืนในที่สุด“รีบปล่อยข้า!”เยี่ยจื่อเขินอายสุดขีด “หากคนอื่นมาเห็นเข้า ข้าก็ไม่มีหน้ามีชีวิตต่อแล้ว!”“ไม่รุนแรงปานนั้นหรอก”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้มๆ “เจ้านะเจ้า เจ้าใส่ใจกับมารยาทที่ว่ามากเกินไปแล้ว! มารยาททั้งหมด แท้จริงแล้วก็แค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น! ขอแค่ตนเองมีความสุขแล้วจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นทำไมกัน?”“ท่าน…”เยี่ยจื่อโมโหจัด ใบหน้าแดงก่ำกล่าวว่า “ท่านปล่อยข้าก่อน ข้าค่อยๆ พูดกับท่าน!”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้ม “ข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็คงวิ่งหนีเป็นแน่”เยี่ยจื่อหงุดหงิดแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้อย่างท่าน ข้าหนีไปตอนนี้มีประโยชน์อะไรกัน? ข้าจะสามารถวิ่งหนีจนท่านตามหาข้าไม่พบเลยนั้นหรือ?”หืม?หยุนเจิงเอียวศีรษะครุ่นคิดดูเหมือนจะจริง!“ซินเซิง เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”หยุนเจิงมองไปทางหน้าประตูกะทันหันเยี่ยจื่อหัวใจลนลาน รีบมองไปทางหน้าประตูแต่แล้วไม่มีแม้แ
หยุนเจิงมองหน้าเยี่ยจื่อด้วยความจริงจัง ไม่รู้สึกว่าในคำพูดของตนมีความหมายโดยนัยเลย“ใครอยากให้ท่านมาเจ็บใจกัน?”เยี่ยจื่อตอบกลับอย่างโมโห “ข้าว่านะ ไม่ทำให้ข้าจนมุมจนปลิดชีวิตตนเอง ท่านคงจะไม่พอใจจริงๆ!”“อย่าๆ!”หยุนเจิงรีบปัดเป่าความคิดของเยี่ยจื่อออก “ปลิดชีวิตตนเองอะไรกัน! หากเจ้ายังไม่หายโกรธ เจ้าก็ตีข้าสักรอบ แต่อย่าคิดมากเด็ดขาด!”กล่าวจบ หยุนเจิงพลันเปิดผ้าห่มเผยให้เห็นแผ่นอกของตน“มา ตีตรงนี้! ใช้หมัดน้อยๆ ตีอกข้า”หยุนเจิงชี้ไปที่แผ่นอกของตนใช้หมัดน้อยๆ ตีอก?เยี่ยจื่อขมวดคิ้วเบาๆคำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ดูแปลกๆ!“ตีท่าน? ข้าปวดมือเปล่าๆ!”เยี่ยจื่อจ้องเขาอย่างโมโห “รีบห่มผ้าซะ อยากนอนอีกหลายวันใช่หรือไม่?”กล่าวจบ เยี่ยจื่อก็ดึงผ้าห่มๆ ให้กับหยุนเจิง“ดูสิ เจ้าเป็นห่วงข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมรับ”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “เจ้ากลัวอะไรอยู่กันแน่? เหตุใดถึงไม่กล้าทำตามหัวใจตนเองเสียที?”“ใครเป็นห่วงท่านกัน?”เยี่ยจื่อแค่นเสียงเย็นชาอย่างปากไม่ตรงกับใจ “ข้ากลัวว่าท่านจะป่วยตาย ทำให้ลั่วเยี่ยนต้องเป็นหม้ายเท่านั้น!”เสิ่นลั่วเยี่ยนอีกแล้ว?หยุนเจิงครุ่นคิด แล้วถามว่า “เจ้า
เวลาค่ำ ตู้กุยหยวนมาถึงเดิมกองทหารโลหิตที่ตู้กุยหยวนเป็นผู้บัญชาการก่อนหน้านั้นถือเป็นกองกำลังพิเศษอยู่แล้วทว่าพวกเขาพึ่งพาในอำนาจของแต่ละคนมากกว่า และไม่เข้าใจแก่นแท้ของกองกำลังพิเศษหยุนเจิงพูดความคิดเรื่องกองกำลังพิเศษในสมองของตนให้กับตู้กุยหยวนฟังอย่างตั้งใจ รวมถึงวิธีการฝึกซ้อมคนเหล่านั้น ต้องสอนอะไรให้กับคนเหล่านั้น พูดให้กับตู้กุยหยวนฟังทั้งหมดพวกเขาทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าระหว่างนั้น ซินเซิงยกซุปยาเข้ามาให้ แต่หยุนเจิงก็ปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวค่อยดื่มฟังคำพูดของหยุนเจิงจบ ตู้กุยหยวนก็อ้ำอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกผ่านไปนานพอควร ตู้กุยหยวนถึงได้ฟื้นคืนสติอย่างยากลำบาก แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดายว่า “หากพบกับองค์ชายให้เร็วกว่านั้น ได้ยินคำพูดเหล่านี้ขององค์ชายเร็วกว่านี้ บางทีกองทหารโลหิตก็คงไม่สูญหาย…”“กองทหารโลหิตไม่ได้สูญหาย! เพียงแค่พักตัวอยู่เท่านั้น”หยุนเจิงกล่าวจริงจัง “ข้าจะก่อตั้งกองทหารโลหิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้ได้!”“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”ตู้กุยหยวนพยักหน้า “แต่ทว่าข้าน้อยสามารถฝึกซ้อมให้ได้ แต่ไม่สามารถบังคับบัญชาพวกเขาได้ พวกเขาถูกกำหนดให้เข้าไปลึกห
เขาเพียงแค่บอกกับฝ่ายจัดการเสบียง ก็สามารถส่งเสบียงไปให้ฮั่วกู้ได้แล้วแต่ทว่าหลังจากส่งไปให้แล้ว สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือความวุ่นวายสุดชีวิต!หากเขาจัดเสบียงใหกับทหารมณฑลเมืองซั่วฟางล่ะก็ ทหารกระทรวงอื่นๆ รู้เข้าจะเป็นอย่างไร?“ข้าคิดไม่รอบคอบจริงๆ”ฮั่วกู้ขอโทษอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างขมขื่น “ทว่าข้าเองก็หมดหนทางจริงๆ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนและม้าในมือข้าจะต้องกลายเป็นขององค์ชายหกแน่!”เว่ยเหวินจงคิดหนักนี่ก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน!เห็นได้ชัดว่าหยุนเจิงกำลังโน้มน้าวซื้อใจคนอยู่!ดูท่าแล้ว ไท่จื่อพูดถูกว่าหยุนเจิงมีความคิดก่อกบฏ!ทว่าหากจะใช้เรื่องนี้มากล่าวหาว่าหยุนเจิงคิดก่อกบฏนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วหากเขากล้าใช้เรื่องนี้แจ้งจักรพรรดิเหวินกล่าวหาว่าหยุนเจิงคิดก่อกบฏอีก คนที่ซวยต้องเป็นตัวเขาเองแน่ๆแต่ทว่าหากปล่อยไว้ คนฮั่วกู้จะต้องกลายเป็นคนของหยุนเจิงสักวันแน่ไม่ช้าก็เร็ว!หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่ใช่วิธี!ปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ ไม่มีผลดีอะไรต่อพวกเขาทั้งนั้นหากอนาคตหยุนเจิงคิดจะก่อกบฏจริงๆ ในอนาคตฝ่าบาทต้องลงโทษเขาที่ประมาทเลินเล่อแน่!แต่ทว่าเขาเองก็ไม่สามารถสั่งกา
ฤดูหนาวครั้งหนึ่ง ทำให้หยุนเจิงต้องนอนหมกอยู่ในห้องสองวันเต็มเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ สถานการณ์ต่างๆ ข้างนอกก็เปลี่ยนไปมากแล้วบริเวณที่สายตามองเห็นล้วนแต่เป็นหิมะขาวโพลนผืนหนึ่งในจวนของพวกเขามีคนคอยทำความสะอาดจึงดูไม่ค่อยออกนักแต่หากออกไปหน้าประตูใหญ่ของจวนอ๋อง หิมะบนพื้นมากจนแทบจะท่วมขาแล้ว“อากาศผีบ้านี่เปลี่ยนไปไวเหลือเกิน”หยุนเจิงปล่อยม่านรถม้าลง แล้วมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้าตกตะลึงเขาเองก็ไม่อยากนั่งรถม้าช้าๆ เช่นกันแต่เขาเพิ่งดีขึ้นไม่นาน ทุกคนจึงไม่อยากให้เขาขี่ม้าตากลมหิมะอีก กลัวว่าเขาจะล้มป่วยอีก“มิเช่นนั้นจะเรียกว่าซั่วเป่ยได้อย่างไรล่ะ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองบนใส่เขา แล้วบ่นว่า “บอกให้ท่านพักผ่อนอีกสักสองวันไม่ฟัง หากท่านล้มป่วยอีก คนที่ลำบากก็เป็นคนของตนเองทั้งนั้น.“ข้าต้องคุ้นเคยกับอากาศเช่นนี้แน่ ไม่ช้าก็เร็ว”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้มแย้ม แล้วถามว่า “พวกเจ้าส่งคนไปดูที่ริมแม่น้ำไป๋สุ่ยหรือยัง?”“ไปมาแล้ว”เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าว “แม่น้ำไป๋สุ่ยไม่เป็นน้ำแข็ง ข้าถามมาแล้ว พวกเขาต่างก็บอกว่า กว่าแม่น้ำไป๋สุ่ยจะกลายเป็นน้ำแข็งจนสามารถข้ามฝั่งไปได้ อย่างน้อ