แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: เข็มทิศการใช้ชีวิตไปวันๆ
มู่ซือหลิงค้อมตัวเล็กน้อยก่อนตอบ "กราบทูลฝ่าบาท กองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนายได้โอนย้ายไปอยู่ใต้การบังคับบัญชาของตู้จื่อหมิงทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

"ทำได้ไม่เลว!"

อวิ๋นฝานพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนหันกลับไปมองที่ตู้จื่อหมิงอีกครั้ง

"ข้าขอถามเจ้า เจ้า จงรักภักดีต่อข้าหรือไม่?"

ชั่วขณะนั้น ดวงตาของอวิ๋นฝานดุดันอย่างยิ่ง ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจและล่วงรู้สิ่งที่คิด!

"กระหม่อมยินดีพลีชีพเพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!"

แม้หลังของตู้จื่อหมิงจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่ดวงตาของเขากลับซื่อตรง ไม่เห็นถึงความหวั่นเกรงใดๆ

"ดี!"

แววตาของอวิ๋นฝานฉายแววชื่นชม "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จงรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนมู่ซือหลิงและบังคับบัญชากองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเถิด!"

"ฝ่ะ…ฝ่าบาท เช่นนี้คงไม่เหมาะสมกระมังพ่ะย่ะค่ะ"

ตู้จื่อหมิงแสดงท่าทางลังเล พลางแอบมองมู่ซือหลิงที่อยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

"ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม"

อวิ๋นฝานพูดด้วยน้ำเสียงสงบ "ตกลงตามนี้ เจ้าออกไปก่อนเถิด"

"พ่ะย่ะค่ะ"

ตู้จื่อหมิงไม่กล้าขัดคำสั่ง ถอยหลังสามก้าวก่อนจะเดินออกจากตำหนักบรรทม

"ฝ่าบาท กระหม่อมทำอะไรผิดพลาดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

มู่ซือหลิงมองอวิ๋นฝานด้วยสายตาเกือบเหมือนตัดพ้อ แสดงถึงความอัดอั้นใจอย่างเต็มที่

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวิ๋นฝานก็หัวเราะ "ทำไม เจ้าไม่พอใจหรือ?"

"กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!"

อวิ๋นฝานหัวเราะเบาๆ "ข้าให้ตู้จื่อหมิงมารับตำแหน่งแทนเจ้า เพราะเจ้ามีหน้าที่สำคัญยิ่งกว่าต้องไปทำอย่างไร!"

มู่ซือหลิงถามด้วยความสงสัย "หน้าที่สำคัญยิ่งกว่านี้?"

"ใช่แล้ว!"

อวิ๋นฝานลุกขึ้นยืน ตบไหล่มู่ซือหลิงพลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ข้าตั้งใจจะก่อตั้งหน่วยงานตรวจสอบขุนนาง!"

"นามว่าองครักษ์เงา! ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุด จะได้เป็นผู้บังคับบัญชา"

"ข้าคิดแล้วคิดอีก พบว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้!"

"ตรวจสอบขุนนางทั้งหมด?!"

มู่ซือหลิงตกใจ รีบส่ายหัว "ฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจรับหน้าที่สำคัญเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ!"

"ได้! เช่นนั้นเจ้าก็แนะนำคนมาให้ข้าสิ"

อวิ๋นฝานลุกขึ้นมองมู่ซือหลิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "มู่ซือหลิง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะปัดความรับผิดชอบ"

"ในตอนนี้ อาณาจักรต้าหมิงของเราประสบทั้งปัญหาภายในและภายนอก และคนที่ข้าเชื่อใจก็มีเพียงเจ้า!"

มู่ซือหลิงตัวสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำ "กระหม่อมพร้อมพลีชีพเพื่อฝ่าบาท ไม่หวาดหวั่นใดๆ พ่ะย่ะค่ะ!"

"ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย ตำแหน่งผู้บังคับบัญชานี้ กระหม่อมจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แม้ต้องเสี่ยงขัดแย้งกับขุนนางทั้งหลายก็ตาม!"

"ดี!"

อวิ๋นฝานพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง พูดว่า "ตอนนี้ข้าจะมอบภารกิจแรกให้เจ้า!"

ซูลี่เหวิน

เคยเป็นขุนนางปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าหมิง

แต่ปัจจุบัน กลายเป็นนักโทษที่ถูกคุมขัง

"แค่กๆๆ...พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด!"

ซูลี่เหวินอายุเกินเจ็ดสิบปีแล้ว เดิมทีก็ป่วยหนักอยู่แล้ว การถูกคุมขังในเรือนจำสามปีทำให้เขายิ่งอ่อนแอจนแทบจะหมดแรง

รถม้าพาซูลี่เหวินวนไปหลายรอบ เปลี่ยนยานพาหนะหลายครั้ง สุดท้ายก็มาถึงตำหนักบรรทมของอวิ๋นฝาน

"ฝ่าบาท กระหม่อมพาซูลี่เหวินมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

"อืม ทำได้ดี พาตัวเขาเข้ามา เจ้าก็ถอยออกไปได้แล้ว"

มู่ซือหลิงประสานมือคำนับแล้วถอยออกไป

ไม่นาน ซูลี่เหวินก็เดินโซเซเข้ามาในตำหนักบรรทม เมื่อเห็นอวิ๋นฝานก็ถลึงตาพร้อมตะโกนด่าชี้นิ้วตรงไปที่อวิ๋นฝาน

"เจ้ามันฮ่องเต้โง่เง่า! ถุย!"

"ปล่อยข้า! ข้าจะเอาหัวชนเสาหินนี้ให้ตายไปเลย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของข้า!"

"ต้าหมิงของเราช่างโชคร้ายยิ่งนัก โชคร้ายยิ่งนัก!"

"บังอาจ!"

ยังไม่ทันที่อวิ๋นฝานจะพูดอะไร เสี่ยวลิ่วจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ทนดูต่อไม่ไหว "ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาด สิ่งที่ทำก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการแสร้งทำ เพียงเพื่อโค่นอ๋องอู่เวย…"

"หุบปาก!"

อวิ๋นฝานทำท่าโกรธ เสี่ยวลิ่วจื่อเข้าใจและเงียบไปทันที

"เป็นเช่นนี้จริงหรือ?"

แววตาของซูลี่เหวินฉายแววสงสัย แม้เขาจะอยู่ในคุก แต่ก็พอได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชสำนักเมื่อไม่นานมานี้บ้าง

"ท่านซู ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงลอบพาตัวท่านมาที่นี่?"

"ลอบหรือ?"

ซูลี่เหวินอึ้งไป ก่อนหน้านี้เขาเพียงคิดว่าตนจะถูกประหาร จึงไม่ได้สังเกตอะไรมาก

แต่เมื่อลองคิดย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าตนจะถูกกลุ่มชายชุดดำพาตัวมาที่นี่จริงๆ...

"อืม"

อวิ๋นฝานไม่รอคำตอบจากซูลี่เหวิน พูดต่อว่า "เพราะข้าต้องการจะล้างมลทินให้เจ้า!"

"นี่…"

ซูลี่เหวินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนมองสำรวจฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งด้วยความไม่อยากเชื่อ

อวิ๋นฝานในอดีตมีใบหน้าผอมซูบ ริมฝีปากขาว แสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตอย่างเสเพล ดวงตาก็พร่ามัวไม่มีสติ

แต่อวิ๋นฝานในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยบารมี ดวงตาคมกริบเหมือนเสือ ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจของผู้คน

ซูลี่เหวินยิ่งตกใจมากขึ้น หรือเพียงไม่กี่ปีที่ไม่ได้พบกัน ฮ่องเต้ของเขาจะเปลี่ยนจากฮ่องเต้ผู้โง่เขลามาเป็นฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาดได้จริง?

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูลี่เหวินเช่นนี้ อวิ๋นฝานก็ยิ้ม "ท่านซู แต่ก่อนคนชั่วครองเมือง ข้าจำต้องแสร้งทำตัวโง่เขลาและส่งขุนนางผู้ซื่อสัตย์หลายคนเข้าคุก"

"แต่ตอนนี้กบฏถูกกำจัดแล้ว พวกเจ้าเหล่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับมารับตำแหน่งได้แล้ว"

ซูลี่เหวินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "คือ...ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็ชราแล้ว เกรงว่าจะไม่สามารถช่วยเหลือฝ่าบาทได้อีกต่อไป"

อวิ๋นฝานยิ้มออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนซูลี่เหวินจะยังมีความกังขาอยู่

"ท่านซู!"

ฉับพลันอวิ๋นฝานก็พูดเสียงดังขึ้น "ข้า ขอให้ท่านรับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งอาณาจักรต้าหมิงของข้า!"

"กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!"

ซูลี่เหวินตกใจจนลนลาน รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที

ในฐานะขุนนางปราชญ์ แม้ภายนอกจะเขียนวิพากษ์วิจารณ์อวิ๋นฝานอย่างรุนแรงเพียงใด แต่ความคิดเรื่องความจงรักภักดีระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางกลับฝังลึกในใจเขา

"ท่านอัครมหาเสนาบดีซู"

เมื่อเห็นดังนั้น อวิ๋นฝานจึงเปลี่ยนคำเรียกทันที "เจ้ารู้จักหลิงหงเซวียนหรือไม่?"

"ย่อมรู้จักแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"

ซูลี่เหวินกัดฟันพูด "หากไม่ใช่เพราะเขา ตระกูลซูของข้าคงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้!"

เมื่อหลายปีก่อน ร่างเดิมของอวิ๋นฝานโง่เขลา การเมืองในราชสำนักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ในตอนนั้นอ๋องอู่เวยยังไม่คิดกบฏ ตระกูลขุนนางก็มีเพียงตระกูลซูและตระกูลหลิงสองตระกูลใหญ่เท่านั้น

สุดท้ายตระกูลซูพ่ายแพ้ ภายใต้การชักใยของหลิงหงเซวียน ซูลี่เหวินถูกใส่ร้ายจนต้องติดคุก สายตระกูลหลักของตระกูลซูบางส่วนถูกเนรเทศ บางส่วนก็ถูกประหาร

"ข้าจะทำลายตระกูลหลิงให้สิ้นซาก!"

อวิ๋นฝานลุกขึ้นยืน บารมีฮ่องเต้สะท้อนก้องไปทั่วตำหนักบรรทม "ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังจะล้มล้างอัครมหาเสนาบดี และแต่งตั้งเสนาบดีว่าการทั้งหกกรมขึ้นมาใหม่!"

อวิ๋นฝานยืนนิ่งด้วยท่าเชิดศีรษะอยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นซูลี่เหวินแสดงปฏิกิริยาใดๆ จนเขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตาแก่ช่วยรับมุกกับเขาหน่อยสิ!

แต่เมื่อเขาหันไปมองซูลี่เหวิน กลับพบว่าอีกฝ่ายได้น้ำตาคลอเบ้าไปแล้ว!

"กระหม่อม…กระหม่อม..."

ซูลี่เหวินตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น สุดท้ายถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น "กระหม่อมยินดีติดตามฝ่าบาทเพื่อฟื้นฟูอาณาจักรต้าหมิงพ่ะย่ะค่ะ!"

"แม้ต้องตาย กระหม่อมก็ไม่เสียดายชีวิต!"

"ฮ่าฮ่าฮ่า…ดี!"

อวิ๋นฝานเดินไปข้างหน้า ตบไหล่ซูลี่เหวินหนักๆ "ท่านซูไปพักผ่อนและดูแลสุขภาพก่อนเถิด วันหลังเราค่อยหารือเรื่องสำคัญกัน"

ซูลี่เหวินรู้สึกปลาบปลื้มจนไม่อยากเชื่อ กล่าวขอบคุณพระมหากรุณาธิคุณหลายครั้งก่อนจะถูกพาตัวออกจากตำหนักอย่างลับๆ

"ฝ่าบาท ฮองเฮาซูขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"

หลังจากซูลี่เหวินออกไปได้ไม่นาน เสียงขันทีเสี่ยวลิ่วจื่อก็ดังขึ้นจากนอกประตู

"ฮองเฮาซู?"

อวิ๋นฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยู่นานกว่าจะนึกชื่อคนนี้ได้จากความทรงจำของร่างเดิม

ฮองเฮาซู มีชื่อเดิมว่าซูหว่านซิน อายุสิบแปดปี เป็นหลานสาวแท้ๆ ของซูลี่เหวิน

ที่ซูหว่านซินได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ก็เพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลซูและตระกูลหลิงเมื่อสามปีก่อน

กล่าวคือ ซูหว่านซินซึ่งอายุเพียงสิบห้าปีในตอนนั้น ได้กลายเป็นเครื่องมือของตระกูลซูในการแสวงหาอำนาจ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นฝานก็ถอนหายใจเบาๆ "ให้นางเข้ามา!"

ผ่านไปไม่นานนัก เสียงหอบเบาๆ ของสตรีก็ดังมาจากนอกประตู

"ฝะ…ฝ่าบาท"

อวิ๋นฝานที่อยู่หลังประตูฟังแล้วรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน "ฮองเฮาซู รีบเข้ามาเถิด"

"ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท"

ดูเหมือนซูหว่านซินจะหวาดกลัวอวิ๋นฝานมาก พอเข้าประตูมาก็คุกเข่าลงกราบทันที

"ฮองเฮา รีบลุกขึ้นเถิด"

เมื่อเห็นเช่นนั้น อวิ๋นฝานจึงรีบเข้าไปพยุง "เฮ้อ นี่มันกรรมที่ร่างเดิมก่อไว้ทั้งนั้น!"

แม้ว่าอวิ๋นฝานจะมีนิสัยชอบแสดงอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ แต่เพราะเขาได้รับการศึกษาสมัยใหม่ จึงไม่อาจยอมรับให้ผู้หญิงมากราบไหว้เขาได้

แต่ซูหว่านซินกลับหน้าซีดเผือดเพราะความกลัว "ฝะ…ฝ่าบาท ท่านปู่ของหม่อมฉันอายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว หากท่านพูดสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินฝ่าบาท…ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่อมฉันแทนเถิดเพคะ!"

พูดจบ ซูหว่านซินก็กัดริมฝีปากเบาๆ แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออกทันที ทำเอาอวิ๋นฝานที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบเลือดกำเดาพุ่งเลยทีเดียว

"อ่ะแฮ่ม ฮองเฮาซู ใส่เสื้อกลับไปก่อนเถิด"

อวิ๋นฝานหันหลังให้ อยากมองแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอาย ท่าทางของเขาดูอิหลักอิเหลื่ออย่างมาก

ส่วนเสี่ยวลิ่วจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ได้แอบถอยออกจากตำหนักบรรทมอย่างเงียบๆ ไปแล้ว

"หากฝ่าบาทไม่ทรงยอมปล่อยท่านปู่ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไม่สวมเสื้อเด็ดขาดเพคะ!"

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 7

    ซูหว่านซินกัดฟันแน่น พูดพลางนางก็ถอดเสื้อชั้นในชิ้นสุดท้ายออก"เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?!"อวิ๋นฝานเริ่มโมโห เขาเกลียดการถูกข่มขู่เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่ขู่เขาเป็นผู้หญิงด้วย!"ในเมื่อเจ้าเร่งเร้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!"อวิ๋นฝานก้าวยาวๆ ไปอุ้มซูหว่านซินที่คุกเข่าอยู่ขึ้นมาแล้วโยนลงบนเตียงซูหว่านซินร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็หลับตาเหมือนจะยอมจำนนต่อชะตากรรมเมื่อสามปีก่อน นางถูกส่งเข้าวังเพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลซูและตระกูลหลิง แต่เนื่องจากตระกูลซูพ่ายแพ้ นางจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเลย จนกระทั่งวันนี้ความปรารถนาของนางก็เป็นจริงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ร่างเดิมของอวิ๋นฝานแม้จะเคยเสเพลมาก่อน แต่หลังจากพักฟื้นไม่กี่วัน เขาก็มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะออกศึกอีกได้อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะจัดการกับหญิงสาววัยสิบแปดปีที่กำลังอยู่ในช่วงเบ่งบานได้"ฟู่"อวิ๋นฝานใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มองดูซูหว่านซินที่ยังนอนอยู่บนเตียงหยกทอง อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่านางช่างเป็นหญิงงามที่แท้จริงแม้ว่าซูหว่านซินจะอายุเพียงสิบแปดปี แต

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 8

    เช้าวันถัดมา อวิ๋นฝานซึ่งในสายตาของผู้อื่นคือฮ่องเต้ผู้โง่เขลา ได้เรียกประชุมขุนนางช่วงเช้าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!"ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี…"เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน วันนี้จำนวนขุนนางที่มาประชุมลดลงถึงสองในสามที่เหลือส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อตระกูลหลิง หรือไม่ก็เป็นขุนนางทั่วไปที่ไม่มีความสำคัญอะไร"หากมีฎีกาก็กราบทูล หากไม่มีก็ให้เลิกประชุม!"เสี่ยวลิ่วจื่อดูตื่นเต้นแต่ก็กังวลเล็กน้อยขณะตะโกนเสียงดังในท้องพระโรงนี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวลิ่วจื่อตะโกนประกาศและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ขุนนางหลายคนถูกอวิ๋นฝานเรียกตัวมาประชุมในช่วงเช้าเช่นกันตามปกติ อาณาจักรต้าหมิงจะจัดประชุมขุนนางทุกสิบวันหลังรออยู่นานแต่ไม่มีขุนนางคนใดกล่าวอะไร อวิ๋นฝานจึงเริ่มพูดเอง"ในเมื่อขุนนางทั้งหลายไม่มีเรื่องจะรายงาน เช่นนั้นข้าจะประกาศบางเรื่องเอง!"เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊เบื้องล่างหน้าถอดสี หรือนี่จะเกี่ยวกับการกบฏของอ๋องอู่เวยหรือไม่?"เมื่อหลายวันก่อน พี่ชายแท้ๆ ของข้า อ๋องอู่เวย อวิ๋นเผิง ได้ก่อกบฏอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางการประชุมขุนนาง!""แม้การกบฏ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 9

    ..."มู่ซือหลิง ทำได้ดีมาก ข้าพอใจยิ่งนัก!"อวิ๋นฝานคลุมผ้าขาวกลับไปบนศีรษะของพระสนมจาง หันกลับมามองมู่ซือหลิงด้วยรอยยิ้ม "มู่ซือหลิง เจ้าจงจำไว้ ข้าสนแค่ผลการทำงานขององครักษ์เงา ส่วนเรื่องวิธีการและกระบวนการ ข้าไม่สนใจ""เข้าใจหรือไม่?"มู่ซือหลิงรีบก้มศีรษะคำนับตอบทันที "กระหม่อมจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ!"อวิ๋นฝานพยักหน้าพอใจ ก่อนเดินออกจากตำหนักพระสนมจางต่อจากนี้ ก็ถึงตาเขาแสดงแล้ว!เช้าวันต่อมา มู่ซือหลิงประกาศว่าพระสนมจางสมคบคิดกับกบฏอ๋องอู่เวย พร้อมนำ "หลักฐาน" ออกมาแสดง ขุนนางเฒ่าจางวิ่งเอาหัวชนเสาหินในท้องพระโรงจนเสียชีวิตด้วยความคับแค้นใจ!บ่ายวันเดียวกัน มู่ซือหลิงได้นำกองทหารอวี้หลินสามพันนายล้อมจวนตระกูลจางและกิจการทั้งหมดของเขาในเมืองหลวงไว้!แต่ยังไม่ทันที่อวิ๋นฝานจะสั่งยึดทรัพย์ พระสนมฉวี่ ผู้ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระสนมจาง ก็เสียชีวิตลงอย่างปริศนาในยามค่ำคืน!"มู่ซือหลิง เจ้ากระทำการรีบร้อนเกินไปหน่อยหรือไม่?"อวิ๋นฝานนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย มองมู่ซือหลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมู่ซือหลิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ตอบว่า "ฝ่าบาท การลอบสังหารครั้งนี

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 10

    "เตรียมก่อกบฏงั้นหรือ?"อวิ๋นฝานหัวเราะ "เป็นไปตามที่ข้าต้องการพอดีเลย!"มู่ซือหลิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถามออกมาตามสัญชาตญาณ "หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ""มู่ซือหลิง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าแค่การใส่ร้ายป้ายสีจะสามารถกวาดล้างเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหมดได้?"อวิ๋นฝานลงจากเตียง เดินออกไปยังลานด้านนอก มู่ซือหลิงรีบเดินตามไป "โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมสมองทึบ กระหม่อมไม่สามารถคิดหาวิธีที่สองได้เลยพ่ะย่ะค่ะ""ไม่มีวิธีที่สองอะไรหรอก"เขายืนอยู่กลางลาน สายลมอ่อนๆ พัดชุดนอนของอวิ๋นฝานปลิวไสว "ถ้าจะพูดว่ามี ก็คงมีแค่ใช้กำลังอย่างเดียว!""นี่..."มู่ซือหลิงอึ้งไป ก่อนพูดออกมาอย่างลำบากใจ "ฝ่าบาท...นี่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก"อวิ๋นฝานหัวเราะเบาๆ "มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?""กระหม่อมคิดว่าอาณาจักรต้าหมิงของเราตอนนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาทั้งภายในและภายนอกอยู่แล้ว หากมีสงครามกลางเมืองขึ้นอีก เกรงว่า...""เกรงว่าอะไร?"อวิ๋นฝานจ้องมองมู่ซือหลิงที่โค้งตัวลงต่ำด้วยดวงตาคมกริบ มู่ซือหลิงกลืนน้ำลาย "เกรงว่า...เกรงว่าอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้พ่ะย่ะค่ะ..."มู่ซือหลิงตั้งใจจะพูดถึ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 11

    "อารักขาฝ่าบาท!"มู่ซือหลิงที่กำลังต่อสู้กับทหารกบฏ เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงตัดสินใจหันกลับมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นฝานทันทีแต่ทหารกบฏรอบๆ ย่อมไม่ยอมให้เขาทำตามใจได้ง่ายๆ มู่ซือหลิงถูกรั้งเอาไว้ก่อนจะก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวรอบตัวอวิ๋นฝานไม่มีทหารคุ้มกันเหลืออยู่เลย ร่างกายท่อนบนที่กำยำของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสดๆเขาดูราวกับเทพสงครามที่ก้าวออกมาจากขุมนรกเมื่อมองไปยังทหารกบฏที่ล้อมรอบตัวเขา เห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขาสั่นระริก อวิ๋นฝานเผยรอยยิ้มดูแคลน"แค่พวกคนกระจอก กล้าดีอย่างไรที่คิดจะโค่นล้มแผ่นดินต้าหมิงของข้า น่าขันสิ้นดี!""เจ้าบ้าอวิ๋น...มันบ้าจริงๆ!"เฝินเจินอู่ที่ถูกล้อมรอบด้วยทหารกบฏหลายคน เมื่อเห็นอวิ๋นฝานที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถึงกับตกใจจนเกือบตกจากหลังม้า"เจ้าโจรชั่ว! ตายซะเถอะ!"อวิ๋นฝานคำรามเสียงดัง เหวี่ยงดาบพุ่งไปยังเฝินเจินอู่!ดวงตาของเฝินเจินอู่เบิกกว้าง เขาไม่คาดคิดว่าอวิ๋นฝานจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้เขายกดาบขึ้นป้องกันโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า "ดาบล้ำค่า" ในมือของเขาถูกฟันขาดครึ่ง!ท่ามกลางความตื่นตระหนก เฝินเจินอู่พร้อมทั้งม

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 12

    "เราจะมอบความยุติธรรมให้กับประชาชนของเราด้วยตัวเอง!""ฝ่าบาทมิได้นะพะย่ะค่ะ!""ขอทรงพิจรณาให้รอบคอบด้วยพะย่ะค่ะ!"มู่ซือหลิงและพวกรีบมายืนขวางหน้าอวิ๋นฝานไว้ สีหน้าของพวกเขาราวกับอีกนิดจะกอดขาอวิ๋นฝานไว้แล้ว"มีอะไรมิได้กัน!"อวิ๋นฝานหรี่ตาลงเล็กน้อย "คนที่ยืนอยู่ใต้กำแพงนี้คือประชาชนของข้า ไม่ใช่ศัตรูของข้า!""พวกเขาแค่ถูกคนที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์หลอกใช้เท่านั้น!""ข้าในฐานะฮ่องเต้ของพวกเขา มีหน้าที่นำพาพวกเขากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง!""ฝ่าบาท!"มู่ซือหลิงยังอยากพูดอะไรอีก แต่ถูกอวิ๋นฝานผลักออกไปพร้อมกับกล่าวว่า "ข้าตัดสินใจแล้ว!"อวิ๋นฝานพูดจบก็เดินลงจากกำแพงเมืองไปอย่างช้าๆ!มู่ซือหลิงและพวกกัดฟัน แล้วรีบตามลงไปทันทีพวกเขาไม่ได้กลัวชาวบ้านหัวแข็งใต้กำแพงนั่น แต่กลัวว่าจะมีนักฆ่าแฝงตัวปะปนอยู่ในฝูงชนต่างหาก!ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนใต้กำแพงเมืองก็ยิ่งมีอารมณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ถึงจุดระเบิดเต็มที!"ฮ่องเต้ชั่ว ไสหัวออกไปจากต้าหมิงซะ!"ชายชราที่ถือไม้เท้าตะโกนลั่น"ไสหัวออกไปจากต้าหมิง!""คืนญาติพี่น้องของพวกเรามา!"ชายวัยกลางคนอีกคนตะโกนเสียงดังฝูงชนตอบรับพร้อมกัน

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 13

    เมื่อมู่ซือหลิงพูดจบ ฝูงชนก็เดือดพล่านราวน้ำเดือด มีคนจำนวนมากพยายามอาศัยขังหวะชุลมุนเพื่อหลบหนีแต่ครั้งนี้อวิ๋นฝานตั้งใจจะกำจัดภัยในอนาคต จึงไม่มีทางปล่อยพวกเขาให้หนีง่ายๆ เขาได้สั่งให้กองทัพล้อมฝูงชนไว้ หากคนพวกนี้อยากหนี คงต้องบินขึ้นฟ้าเท่านั้น"ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย! ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย!""พวกเราเพียงถูกกบฏยุยงเท่านั้น มิได้มีเจตนากบฏเลยพะย่ะค่ะ!"แน่นอนว่ายังมีบางคนที่เลือกคุกเข่าขอความเมตตา"เราบอกแล้วว่า เรามิใช่ผู้ที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผล และยิ่งไม่ใช่ฮ่องเต้โง่เขลา!"อวิ๋นฝานยืนเอามือไพล่หลัง พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า "พวกเจ้าเพียงแค่โง่เขลาเบาปัญญา คำกล่าวว่า ดังคำกล่าวที่ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด เราสามารถปล่อยพวกเจ้าไปได้ก็ได้"คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นรีบก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง "ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยที่ไม่ประหารพวกข้า!""แต่!"อวิ๋นฝานขัดขึ้นมา "แต่คนที่อยู่เบื้องหลังยุยงพวกเจ้า เราไม่เพียงจะไม่ปล่อยไป แต่จะเฉือนเนื้อเถิอหนังพวกมันให้ทรมานด้วย!""ส่วนพรรคพวกของมัน และผู้ที่ให้การช่วยเหลือ ก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน!""ตอนนี้ โอกาสไถ่โทษและสร้างคุณค

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 14

    "บ้าบิ่น ช่างบ้าบิ่นจริงๆ!"อวิ๋นฝานขยำกระดาษในมือแน่นในเวลานั้นเอง อวิ๋นฝานรู้สึกใจหวิวอย่างไม่มีสาเหตุความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าเขาพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป!"ยุยงประชาชนให้กบฏ...ประตูเมืองทิศเหนือแตก..."อวิ๋นฝานพึมพำกับตัวเอง"แย่แล้ว!"เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที นี่คือกลลวงล่อเสือออกจากถ้ำ!"เฉินเฟิง ตามข้ามา รีบไปที่เขตเมืองทางเหนือด่วน!"…เขตเมืองทางเหนือตู้จื่อหมิงนำกองทัพกว่าหมื่นนายเดินอยู่บนถนนในเขตเมืองทางเหนือ"กา...กา...""กุก กู่กู่..."เสียงของอีกาและนกฮูกดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทำให้ถนนอันเงียบสงัดจนชวนให้ใจคอไม่ดีดูยิ่งลึกลับน่ากลัว"ท่านแม่ทัพ ท่านรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ หรือไม่?"รองแม่ทัพคนสนิทของตู้จื่อหมิง นามว่าสวีอวี่ แสดงสีหน้ากังวลตู้จื่อหมิงเองก็มีสีหน้าจริงจัง "มันมีอะไรแปลกๆ แน่นอน แต่ข้างหลังพวกเราคือเขตหวงห้ามของพระราชวัง ต่อให้มีปัญหาเราก็ต้องไป!""ตามหลักแล้ว หากประตูเมืองทางเหนือถูกโจมตีแตก บนถนนควรจะวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ แต่ตลอดทั้งทาง บ้านเรือนสองข้างทางกลับดูเรียบร้อยมาก...""อีกอย่าง...อีกอย่าง..."ตู้จื่อหมิงขมวดคิ้ว คำตอบที่คิดไว้กลั

บทล่าสุด

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 40

    "ท่านแม่ทัพหู พวกเราควรทำอย่างไร?"หูอู่จื่อกลืนน้ำลายอย่างลำบาก จะทำอย่างไรน่ะหรือ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!ตั้งแต่อ๋องอู่เวยควบคุมกองทัพทั่วประเทศ เขาก็ไม่เคยต้องออกรบอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ป้องกันเมืองก็ยิ่งไม่เคยทำ!หูอู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ตัวว่านี่คือภารกิจสำคัญในยามวิกฤติ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือเอาชนะเผ่าม่านหรือพ่ายแพ้พร้อมความตาย"กู่ฉวี่ ข้าขอสั่งเจ้านำกองทัพหนึ่งแสนขึ้นไปป้องกันบนกำแพงเมือง พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันเมืองทั้งหมด!"หูอู่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่เขายังหนุ่ม "ส่วนตัวข้าจะนำกองทัพออกไปปราบกบฏตระกูลหลิงด้วยตนเอง!"…ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักบรรทม เมืองหลวงอวิ๋นฝานกำลังหารือเรื่องสำคัญร่วมกับสี่ขุนนางคนสนิท ได้แก่ มู่ซือหลิง ตู้จื่อหมิง เฉินเฟิง และซูลี่เหวินแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งหกกรมแล้ว แต่ขุนนางคนสนิทที่อวิ๋นฝานไว้วางใจจริงๆ ก็ยังมีเพียงสี่คนนี้โดยเฉพาะมู่ซือหลิง ซึ่งเป็นผู้ดูแลหออันอี้ที่รับผิดชอบด้านความสงบเรียบร้อยและข่าวกรองในเมืองหลวง"ฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกองทัพสองแสนท

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 39

    อวิ๋นซวี่ในฐานะเจ้าชายของราชวงศ์ต้าหมิง ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ เขากัดฟัน ปล่อยดาบออกจากมือ กำหมัดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของต้วนเนี่ยนโดยตรง!ต้วนเนี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นซวี่จะห้าวหาญถึงเพียงนี้ จึงลืมตั้งรับไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้อวิ๋นซวี่ถูกดาบแทง ส่วนต้วนเนี่ยนก็ถูกหมัดอัดไปเต็มแรง ทั้งสองถอยหลังออกจากกัน"ตึก ตึก ตึก..."เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ อวิ๋นซวี่กวาดตามองอย่างเย็นชา เห็นตัวอักษร "หลิง" ที่หมวกเกราะของพวกนั้นก็พลันอุทานขึ้นมา "พวกแกคือพวกกบฏตระกูลหลิง!""ไอ้แก่ ฝีมือใช้ได้ทีเดียวหนิ!"ต้วนเนี่ยนไม่สนใจอวิ๋นซวี่แม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นเองว่า "นี่ข้าแค่ใช้พลังไปแปดส่วนเท่านั้น!"อวิ๋นซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย โกรธจัดในใจ "ไอ้เด็กปากดี เจ้ากล้าพูดโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นถูกตัดลิ้นหรือไร!"อวิ๋นซวี่พูดจบก็เงื้อดาบพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้แขนขวาถูกดาบแทง หรือแม้แขนขวาทั้งแขนจะถูกตัด เขาก็ยังกล้าถือดาบเข้าฟาดฟัน!นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างนักสู้ในยุทธภพและทหารในสมรภูมิต้วนเนี่ยนยกดาบยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาถือในมืออย่างนิ่งสงบ แล้วฟันเข้าใส่อวิ๋นซวี่อย่างแรง!

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 38

    เพราะอวิ๋นซวี่ได้แจ้งกับกองกำลังป้องกันภายในของด่านทางใต้ไว้แล้ว หูอู่จื่อจึงสามารถนำทัพเข้าสู่ด่านทางใต้ได้อย่างง่ายดายหลังจากเข้ามาในด่านทางใต้ได้ เขาก็ไม่ทันได้จัดระเบียบกองทัพ รีบรุดไปพบอวิ๋นซวี่เพียงลำพังเมื่อเขาได้ยินว่าอวิ๋นซวี่ขึ้นไปตีกลองศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือราชวงศ์ต้าหมิงทุกคนจะดุดันถึงเพียงนี้?"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะท่านอ๋อง!"หูอู่จื่อมีใบหน้ามอมแมมด้วยฝุ่น เกราะของเขาก็ชำรุดจากการเดินทาง แต่อวิ๋นซวี่ยังคงตีระฆังศึก หูอู่จื่อคิดว่าอวิ๋นซวี่ไม่ได้ยิน จึงกล่าวซ้ำอีกครั้ง"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะ…""ข้าได้ยินแล้ว!"อวิ๋นซวี่มีดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง"กู่ฉวี่!""พาแม่ทัพหูไปพักผ่อน!""กระหม่อมยังไหว!"อวิ๋นซวี่เหวี่ยงไม้ตีกลองเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทำลายกลองทั้งใบ กู่ฉวี่ไม่กล้าชักช้า แต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นซวี่ จึงสั่งให้ทหารล้อมรอบเขาไว้"ตึง!"เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น กลองยักษ์สูงห้าเมตรที่ทำจากหนังวัว ถูกอวิ๋นซวี่ตีจนแตก!หูอู่จื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเลือดลมสูบฉีด

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 37

    ในที่สุดต้วนเนี่ยนก็ขมวดคิ้ว "หัวหน้าตระกูลหลิง ข้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเมืองใต้ไม่น่าจะเทียบกับวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าได้แต่หากท่านกล้ารับรองว่าหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าเมืองใต้แล้ว ท่านจะมอบวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าให้ ข้าก็ตกลง!""ข้ารับรอง" หลิงหงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต ก่อนพึมพำกับตัวเอง "เจ้าเมืองใต้ ตาเฒ่านั่นไม่คุ้มค่า แต่ด่านทางใต้นั้นคุ้ม!"หลิงหงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับพบว่าต้วนเนี่ยนที่อยู่ด้านหลังได้หายตัวไปแล้ว"เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ"หลิงหงเซวียนส่ายศีรษะก่อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ "ปาคู่!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ชาวม่านใต้ ผิวสีคล้ำ ก้าวออกมาจากความมืด "หัวหน้าตระกูลหลิง มีอะไรจะสั่งขอรับ?"ชายร่างใหญ่พูดภาษาจงหยวนได้อย่างตะกุกตะกัก แต่หลิงหงเซวียนกลับไม่ได้ใส่ใจ "ไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เตรียมเปิดศึกใหญ่โจมตีด่านทางใต้!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ถอยกลับไป สายตาของหลิงหงเซวียนยังคงจับจ้องไปที่ค่ายของกองทัพหูอู่ในระยะไกล ดวงตาแดงก่ำ ความอาฆาตพุ่งพล่านจนแทบมองเห็นเป็นรูปร่าง…วันถัดมา ทหารในกองทัพของหูอู่จื่อที่ติดโรคระบาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หูอู่

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 36

    ขณะที่ทหารด่านทางใต้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสนามรบ ที่หมู่บ้านซิงเถียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ก็มีกำลังพลสองแสนนายกำลังรวมตัวกันก่อนหน้านี้ไม่นาน หูอู่จื่อได้รับจดหมายจากตู้จื่อหมิง แม้เขาจะมีคนสนิทที่ให้แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เลือกที่จะจับตาดูสถานการณ์ก่อนจนกระทั่งอวิ๋นฝานประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งแผ่นดิน หูอู่จื่อจึงตัดสินใจสนับสนุนด่านทางใต้ส่วนเกาจื๋อกับซวี่เหวิน สองคนนี้ได้กลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบของหูอู่จื่อไปนานแล้วกองทัพสองแสนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตกองทัพของคนทั้งสอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นทหารใหม่พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางใต้"เคลื่อนทัพ!"หูอู่จื่อโบกมือแล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าศึกของเขาก่อนจะพุ่งทะยานออกไป กองทัพสองแสนคนด้านหลังเขาก็เริ่มเคลื่อนพลในเส้นทางที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรเส้นทางในเขตทางใต้เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหลุมบ่อซับซ้อน ด้วยความเร็วของหูอู่จื่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึงด่านทางใต้คืนนั้น ที่ค่ายของกองทัพหูอู่กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถือสิ่งของบางอย่าง เดินอย่

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 35

    "ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูลี่เหวินเคยเป็นขุนนางผู้กระทำผิด แต่เนื่องด้วยเขาขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทย!"ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทยมีหน้าที่ควบคุมข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง หรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนต้องรายงานต่อกรมมหาดไทย"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!""ตู้จื่อหมิง รับพระราชโองการ!""กระหม่อมขอน้อมรับพระราชโองการด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!""แม่ทัพตู้จื่อหมิง แม้จะเคยเป็นขุนนางในกลุ่มกบฎอู่เวย แต่ด้วยไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ และยังมีจิตใจภักดีต่อต้าหมิง ทั้งยังปราบกบฏในเมืองหลวงถึงสองครั้ง มีคุณความชอบมากกว่าความผิด จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมกลาโหม!""ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ตู้จื่อหมิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเขาเคยคิดว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เลื่อนถึงขั้นเป็นเสนาบดีว่าการกรมกลาโหมในคราวเดียวเช่นนี้!"ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 34

    ซูหว่านซินหน้าแดงจัดด้วยความเขินอาย สายตาเลิ่กลั่กหลบหลีก ขณะที่หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะนางรู้สึกเหมือนนางกำนัลและขันทีในสวนดอกไม้ต่างกำลังจับจ้องมาที่นางด้วยความอาย นางพยายามใช้มือดันอวิ๋นฝานให้ออกไป แต่เพราะแรงน้อยเกินไป ทำให้อวิ๋นฝานเข้าใจผิดว่านางกำลังออดอ้อนอวิ๋นฝานดีใจยกใหญ่ เขาคิดว่าหญิงสาวในยุคนี้ช่างไร้เดียงสา เพียงคำหวานเรียบง่ายก็ทำให้พวกนางพอใจได้"หว่านเอ๋อร์ คืนนี้รอข้ากลับมานะ"อวิ๋นฝานรีบใช้โอกาสนี้ จูบหน้าผากซูหว่านซินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหลบออกไปทันทีโดยไม่รอให้นางได้ตั้งตัวซูหว่านซินยืนนิ่งมองตามหลังอวิ๋นฝานอยู่นานกว่าจะได้สติ ความรู้สึกหลากหลายตีวนในใจ...ฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน...อวิ๋นฝานเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์เต็มยศ แล้วหันไปบอกเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "แจ้งเหล่าขุนนางทุกคนว่าข้าจะจัดประชุมขุนนางเช้า!"เสี่ยวลิ่วจื่อไม่กล้าขัด รีบเดินออกจากตำหนักบรรทมไปแจ้งข่าวกับเหล่าขุนนางทันทีเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้าแล้ว ซึ่งเลยเวลาประชุมเช้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นฝานมิใช่คนเดิมอีกต่อไป ราชสำนักทั้งปวงอยู่ในกำ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 33

    เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝานรู้สึกสดชื่นแจ่มใสในระหว่างการต่อสู้เมื่อคืนที่ผ่านมา อวิ๋นฝานฉวยโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวเย้ายวนคนนี้เจิ้งจี อดีตสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของตัวเขาในอดีตตัวนางเป็นผลผลิตจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต้าจ้าวที่พ่ายแพ้สงครามกับอาณาจักรต้าหมิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ราชสำนักต้าหมิงยังไม่เสื่อมโทรม เคยมีขุนนางอาวุโสหลายคนเตือนให้เขาในอดีตอยู่ให้ห่างจากเจิ้งจีแต่ร่างเดิมซึ่งเป็นผู้หลงใหลในตัณหา กลับฟังเจิ้งจีทุกอย่าง แม้แต่การเสื่อมโทรมลงของราชสำนักต้าหมิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับนาง"ฝ่าบาท..."เสียงที่อ่อนโยนและเย้ายวนของเจิ้งจีดังแผ่วผ่านเข้าหูของอวิ๋นฝาน ลมหายใจอุ่นๆ ของนางทำให้เขารู้สึกจักจี้ที่หูในขณะนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือ "ลมจากหมอนข้าง""ที่รัก เจ้าตื่นแล้วหรือ?"แม้อวิ๋นฝานจะมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่าต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ชื่นชมความงามนั้น!"ฝ่าบาท~ หม่อมฉันมีคำขอหนึ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไร..."ดวงตาของเจิ้งจี

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 32

    หลิงหงเซวียนหน้าแดงด้วยความโกรธ ขบฟันแน่นขณะข่มขู่อวิ๋นฝานอย่างดุร้ายว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น! ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าไป ถ้าลูกศิษย์และลูกหลานข้ารู้ว่าข้าตายแล้ว เจ้าคงรักษาแผ่นดินต้าหมิงเอาไว้ไม่ได้แน่!"เมื่ออวิ๋นฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป หลิงหงเซวียนเห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายกลัว จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักขึ้น"เจ้าบ้าอวิ๋น ไม่สู้เจ้ายอมสยบให้ข้าดีกว่า รอให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้ ข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าก็ได้เป็นอ๋องต่างแซ่ ฮ่าฮ่าฮ่า…""ตายซะ!"อวิ๋นฝานคำรามต่ำ เอาดาบหมิงตี้ในมือแทงตรงไปที่หลิงหงเซวียน เสียงหัวเราะของหลิงหงเซวียนหยุดชะงักทันที เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!"เคร้ง!"แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นฝานขุ่นเคืองคือ หลิงหงเซวียนราวกับได้รับความช่วยเหลือจากภูติผี ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ดาบหมิงตี้กลับถูกดาบหักเล่มหนึ่งปัดกระเด็นออกไปได้อวิ๋นฝานกำลังจะควบม้าพุ่งไปเพื่อเหยียบหลิงหงเซวียนให้ตาย แต่ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ต่อมาอวิ๋นฝานก็รู้สึกตาพร่ามัว เมื่อมองดูอีกครั้ง หลิงหงเซวียนก็หายตัวไปแล้ว!"ยอดฝีมือ!"อวิ๋นฝานชะงักไป สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status