ซูหว่านซินกัดฟันแน่น พูดพลางนางก็ถอดเสื้อชั้นในชิ้นสุดท้ายออก"เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?!"อวิ๋นฝานเริ่มโมโห เขาเกลียดการถูกข่มขู่เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่ขู่เขาเป็นผู้หญิงด้วย!"ในเมื่อเจ้าเร่งเร้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!"อวิ๋นฝานก้าวยาวๆ ไปอุ้มซูหว่านซินที่คุกเข่าอยู่ขึ้นมาแล้วโยนลงบนเตียงซูหว่านซินร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็หลับตาเหมือนจะยอมจำนนต่อชะตากรรมเมื่อสามปีก่อน นางถูกส่งเข้าวังเพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลซูและตระกูลหลิง แต่เนื่องจากตระกูลซูพ่ายแพ้ นางจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเลย จนกระทั่งวันนี้ความปรารถนาของนางก็เป็นจริงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ร่างเดิมของอวิ๋นฝานแม้จะเคยเสเพลมาก่อน แต่หลังจากพักฟื้นไม่กี่วัน เขาก็มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะออกศึกอีกได้อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะจัดการกับหญิงสาววัยสิบแปดปีที่กำลังอยู่ในช่วงเบ่งบานได้"ฟู่"อวิ๋นฝานใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มองดูซูหว่านซินที่ยังนอนอยู่บนเตียงหยกทอง อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่านางช่างเป็นหญิงงามที่แท้จริงแม้ว่าซูหว่านซินจะอายุเพียงสิบแปดปี แต
เช้าวันถัดมา อวิ๋นฝานซึ่งในสายตาของผู้อื่นคือฮ่องเต้ผู้โง่เขลา ได้เรียกประชุมขุนนางช่วงเช้าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!"ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี…"เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน วันนี้จำนวนขุนนางที่มาประชุมลดลงถึงสองในสามที่เหลือส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อตระกูลหลิง หรือไม่ก็เป็นขุนนางทั่วไปที่ไม่มีความสำคัญอะไร"หากมีฎีกาก็กราบทูล หากไม่มีก็ให้เลิกประชุม!"เสี่ยวลิ่วจื่อดูตื่นเต้นแต่ก็กังวลเล็กน้อยขณะตะโกนเสียงดังในท้องพระโรงนี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวลิ่วจื่อตะโกนประกาศและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ขุนนางหลายคนถูกอวิ๋นฝานเรียกตัวมาประชุมในช่วงเช้าเช่นกันตามปกติ อาณาจักรต้าหมิงจะจัดประชุมขุนนางทุกสิบวันหลังรออยู่นานแต่ไม่มีขุนนางคนใดกล่าวอะไร อวิ๋นฝานจึงเริ่มพูดเอง"ในเมื่อขุนนางทั้งหลายไม่มีเรื่องจะรายงาน เช่นนั้นข้าจะประกาศบางเรื่องเอง!"เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊เบื้องล่างหน้าถอดสี หรือนี่จะเกี่ยวกับการกบฏของอ๋องอู่เวยหรือไม่?"เมื่อหลายวันก่อน พี่ชายแท้ๆ ของข้า อ๋องอู่เวย อวิ๋นเผิง ได้ก่อกบฏอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางการประชุมขุนนาง!""แม้การกบฏ
..."มู่ซือหลิง ทำได้ดีมาก ข้าพอใจยิ่งนัก!"อวิ๋นฝานคลุมผ้าขาวกลับไปบนศีรษะของพระสนมจาง หันกลับมามองมู่ซือหลิงด้วยรอยยิ้ม "มู่ซือหลิง เจ้าจงจำไว้ ข้าสนแค่ผลการทำงานขององครักษ์เงา ส่วนเรื่องวิธีการและกระบวนการ ข้าไม่สนใจ""เข้าใจหรือไม่?"มู่ซือหลิงรีบก้มศีรษะคำนับตอบทันที "กระหม่อมจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ!"อวิ๋นฝานพยักหน้าพอใจ ก่อนเดินออกจากตำหนักพระสนมจางต่อจากนี้ ก็ถึงตาเขาแสดงแล้ว!เช้าวันต่อมา มู่ซือหลิงประกาศว่าพระสนมจางสมคบคิดกับกบฏอ๋องอู่เวย พร้อมนำ "หลักฐาน" ออกมาแสดง ขุนนางเฒ่าจางวิ่งเอาหัวชนเสาหินในท้องพระโรงจนเสียชีวิตด้วยความคับแค้นใจ!บ่ายวันเดียวกัน มู่ซือหลิงได้นำกองทหารอวี้หลินสามพันนายล้อมจวนตระกูลจางและกิจการทั้งหมดของเขาในเมืองหลวงไว้!แต่ยังไม่ทันที่อวิ๋นฝานจะสั่งยึดทรัพย์ พระสนมฉวี่ ผู้ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระสนมจาง ก็เสียชีวิตลงอย่างปริศนาในยามค่ำคืน!"มู่ซือหลิง เจ้ากระทำการรีบร้อนเกินไปหน่อยหรือไม่?"อวิ๋นฝานนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย มองมู่ซือหลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมู่ซือหลิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ตอบว่า "ฝ่าบาท การลอบสังหารครั้งนี
"เตรียมก่อกบฏงั้นหรือ?"อวิ๋นฝานหัวเราะ "เป็นไปตามที่ข้าต้องการพอดีเลย!"มู่ซือหลิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถามออกมาตามสัญชาตญาณ "หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ""มู่ซือหลิง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าแค่การใส่ร้ายป้ายสีจะสามารถกวาดล้างเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหมดได้?"อวิ๋นฝานลงจากเตียง เดินออกไปยังลานด้านนอก มู่ซือหลิงรีบเดินตามไป "โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมสมองทึบ กระหม่อมไม่สามารถคิดหาวิธีที่สองได้เลยพ่ะย่ะค่ะ""ไม่มีวิธีที่สองอะไรหรอก"เขายืนอยู่กลางลาน สายลมอ่อนๆ พัดชุดนอนของอวิ๋นฝานปลิวไสว "ถ้าจะพูดว่ามี ก็คงมีแค่ใช้กำลังอย่างเดียว!""นี่..."มู่ซือหลิงอึ้งไป ก่อนพูดออกมาอย่างลำบากใจ "ฝ่าบาท...นี่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก"อวิ๋นฝานหัวเราะเบาๆ "มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?""กระหม่อมคิดว่าอาณาจักรต้าหมิงของเราตอนนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาทั้งภายในและภายนอกอยู่แล้ว หากมีสงครามกลางเมืองขึ้นอีก เกรงว่า...""เกรงว่าอะไร?"อวิ๋นฝานจ้องมองมู่ซือหลิงที่โค้งตัวลงต่ำด้วยดวงตาคมกริบ มู่ซือหลิงกลืนน้ำลาย "เกรงว่า...เกรงว่าอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้พ่ะย่ะค่ะ..."มู่ซือหลิงตั้งใจจะพูดถึ
"อารักขาฝ่าบาท!"มู่ซือหลิงที่กำลังต่อสู้กับทหารกบฏ เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงตัดสินใจหันกลับมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นฝานทันทีแต่ทหารกบฏรอบๆ ย่อมไม่ยอมให้เขาทำตามใจได้ง่ายๆ มู่ซือหลิงถูกรั้งเอาไว้ก่อนจะก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวรอบตัวอวิ๋นฝานไม่มีทหารคุ้มกันเหลืออยู่เลย ร่างกายท่อนบนที่กำยำของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสดๆเขาดูราวกับเทพสงครามที่ก้าวออกมาจากขุมนรกเมื่อมองไปยังทหารกบฏที่ล้อมรอบตัวเขา เห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขาสั่นระริก อวิ๋นฝานเผยรอยยิ้มดูแคลน"แค่พวกคนกระจอก กล้าดีอย่างไรที่คิดจะโค่นล้มแผ่นดินต้าหมิงของข้า น่าขันสิ้นดี!""เจ้าบ้าอวิ๋น...มันบ้าจริงๆ!"เฝินเจินอู่ที่ถูกล้อมรอบด้วยทหารกบฏหลายคน เมื่อเห็นอวิ๋นฝานที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถึงกับตกใจจนเกือบตกจากหลังม้า"เจ้าโจรชั่ว! ตายซะเถอะ!"อวิ๋นฝานคำรามเสียงดัง เหวี่ยงดาบพุ่งไปยังเฝินเจินอู่!ดวงตาของเฝินเจินอู่เบิกกว้าง เขาไม่คาดคิดว่าอวิ๋นฝานจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้เขายกดาบขึ้นป้องกันโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า "ดาบล้ำค่า" ในมือของเขาถูกฟันขาดครึ่ง!ท่ามกลางความตื่นตระหนก เฝินเจินอู่พร้อมทั้งม
"เราจะมอบความยุติธรรมให้กับประชาชนของเราด้วยตัวเอง!""ฝ่าบาทมิได้นะพะย่ะค่ะ!""ขอทรงพิจรณาให้รอบคอบด้วยพะย่ะค่ะ!"มู่ซือหลิงและพวกรีบมายืนขวางหน้าอวิ๋นฝานไว้ สีหน้าของพวกเขาราวกับอีกนิดจะกอดขาอวิ๋นฝานไว้แล้ว"มีอะไรมิได้กัน!"อวิ๋นฝานหรี่ตาลงเล็กน้อย "คนที่ยืนอยู่ใต้กำแพงนี้คือประชาชนของข้า ไม่ใช่ศัตรูของข้า!""พวกเขาแค่ถูกคนที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์หลอกใช้เท่านั้น!""ข้าในฐานะฮ่องเต้ของพวกเขา มีหน้าที่นำพาพวกเขากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง!""ฝ่าบาท!"มู่ซือหลิงยังอยากพูดอะไรอีก แต่ถูกอวิ๋นฝานผลักออกไปพร้อมกับกล่าวว่า "ข้าตัดสินใจแล้ว!"อวิ๋นฝานพูดจบก็เดินลงจากกำแพงเมืองไปอย่างช้าๆ!มู่ซือหลิงและพวกกัดฟัน แล้วรีบตามลงไปทันทีพวกเขาไม่ได้กลัวชาวบ้านหัวแข็งใต้กำแพงนั่น แต่กลัวว่าจะมีนักฆ่าแฝงตัวปะปนอยู่ในฝูงชนต่างหาก!ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนใต้กำแพงเมืองก็ยิ่งมีอารมณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ถึงจุดระเบิดเต็มที!"ฮ่องเต้ชั่ว ไสหัวออกไปจากต้าหมิงซะ!"ชายชราที่ถือไม้เท้าตะโกนลั่น"ไสหัวออกไปจากต้าหมิง!""คืนญาติพี่น้องของพวกเรามา!"ชายวัยกลางคนอีกคนตะโกนเสียงดังฝูงชนตอบรับพร้อมกัน
เมื่อมู่ซือหลิงพูดจบ ฝูงชนก็เดือดพล่านราวน้ำเดือด มีคนจำนวนมากพยายามอาศัยขังหวะชุลมุนเพื่อหลบหนีแต่ครั้งนี้อวิ๋นฝานตั้งใจจะกำจัดภัยในอนาคต จึงไม่มีทางปล่อยพวกเขาให้หนีง่ายๆ เขาได้สั่งให้กองทัพล้อมฝูงชนไว้ หากคนพวกนี้อยากหนี คงต้องบินขึ้นฟ้าเท่านั้น"ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย! ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย!""พวกเราเพียงถูกกบฏยุยงเท่านั้น มิได้มีเจตนากบฏเลยพะย่ะค่ะ!"แน่นอนว่ายังมีบางคนที่เลือกคุกเข่าขอความเมตตา"เราบอกแล้วว่า เรามิใช่ผู้ที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผล และยิ่งไม่ใช่ฮ่องเต้โง่เขลา!"อวิ๋นฝานยืนเอามือไพล่หลัง พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า "พวกเจ้าเพียงแค่โง่เขลาเบาปัญญา คำกล่าวว่า ดังคำกล่าวที่ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด เราสามารถปล่อยพวกเจ้าไปได้ก็ได้"คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นรีบก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง "ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยที่ไม่ประหารพวกข้า!""แต่!"อวิ๋นฝานขัดขึ้นมา "แต่คนที่อยู่เบื้องหลังยุยงพวกเจ้า เราไม่เพียงจะไม่ปล่อยไป แต่จะเฉือนเนื้อเถิอหนังพวกมันให้ทรมานด้วย!""ส่วนพรรคพวกของมัน และผู้ที่ให้การช่วยเหลือ ก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน!""ตอนนี้ โอกาสไถ่โทษและสร้างคุณค
"บ้าบิ่น ช่างบ้าบิ่นจริงๆ!"อวิ๋นฝานขยำกระดาษในมือแน่นในเวลานั้นเอง อวิ๋นฝานรู้สึกใจหวิวอย่างไม่มีสาเหตุความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าเขาพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป!"ยุยงประชาชนให้กบฏ...ประตูเมืองทิศเหนือแตก..."อวิ๋นฝานพึมพำกับตัวเอง"แย่แล้ว!"เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที นี่คือกลลวงล่อเสือออกจากถ้ำ!"เฉินเฟิง ตามข้ามา รีบไปที่เขตเมืองทางเหนือด่วน!"…เขตเมืองทางเหนือตู้จื่อหมิงนำกองทัพกว่าหมื่นนายเดินอยู่บนถนนในเขตเมืองทางเหนือ"กา...กา...""กุก กู่กู่..."เสียงของอีกาและนกฮูกดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทำให้ถนนอันเงียบสงัดจนชวนให้ใจคอไม่ดีดูยิ่งลึกลับน่ากลัว"ท่านแม่ทัพ ท่านรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ หรือไม่?"รองแม่ทัพคนสนิทของตู้จื่อหมิง นามว่าสวีอวี่ แสดงสีหน้ากังวลตู้จื่อหมิงเองก็มีสีหน้าจริงจัง "มันมีอะไรแปลกๆ แน่นอน แต่ข้างหลังพวกเราคือเขตหวงห้ามของพระราชวัง ต่อให้มีปัญหาเราก็ต้องไป!""ตามหลักแล้ว หากประตูเมืองทางเหนือถูกโจมตีแตก บนถนนควรจะวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ แต่ตลอดทั้งทาง บ้านเรือนสองข้างทางกลับดูเรียบร้อยมาก...""อีกอย่าง...อีกอย่าง..."ตู้จื่อหมิงขมวดคิ้ว คำตอบที่คิดไว้กลั
"ท่านแม่ทัพหู พวกเราควรทำอย่างไร?"หูอู่จื่อกลืนน้ำลายอย่างลำบาก จะทำอย่างไรน่ะหรือ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!ตั้งแต่อ๋องอู่เวยควบคุมกองทัพทั่วประเทศ เขาก็ไม่เคยต้องออกรบอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ป้องกันเมืองก็ยิ่งไม่เคยทำ!หูอู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ตัวว่านี่คือภารกิจสำคัญในยามวิกฤติ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือเอาชนะเผ่าม่านหรือพ่ายแพ้พร้อมความตาย"กู่ฉวี่ ข้าขอสั่งเจ้านำกองทัพหนึ่งแสนขึ้นไปป้องกันบนกำแพงเมือง พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันเมืองทั้งหมด!"หูอู่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่เขายังหนุ่ม "ส่วนตัวข้าจะนำกองทัพออกไปปราบกบฏตระกูลหลิงด้วยตนเอง!"…ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักบรรทม เมืองหลวงอวิ๋นฝานกำลังหารือเรื่องสำคัญร่วมกับสี่ขุนนางคนสนิท ได้แก่ มู่ซือหลิง ตู้จื่อหมิง เฉินเฟิง และซูลี่เหวินแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งหกกรมแล้ว แต่ขุนนางคนสนิทที่อวิ๋นฝานไว้วางใจจริงๆ ก็ยังมีเพียงสี่คนนี้โดยเฉพาะมู่ซือหลิง ซึ่งเป็นผู้ดูแลหออันอี้ที่รับผิดชอบด้านความสงบเรียบร้อยและข่าวกรองในเมืองหลวง"ฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกองทัพสองแสนท
อวิ๋นซวี่ในฐานะเจ้าชายของราชวงศ์ต้าหมิง ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ เขากัดฟัน ปล่อยดาบออกจากมือ กำหมัดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของต้วนเนี่ยนโดยตรง!ต้วนเนี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นซวี่จะห้าวหาญถึงเพียงนี้ จึงลืมตั้งรับไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้อวิ๋นซวี่ถูกดาบแทง ส่วนต้วนเนี่ยนก็ถูกหมัดอัดไปเต็มแรง ทั้งสองถอยหลังออกจากกัน"ตึก ตึก ตึก..."เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ อวิ๋นซวี่กวาดตามองอย่างเย็นชา เห็นตัวอักษร "หลิง" ที่หมวกเกราะของพวกนั้นก็พลันอุทานขึ้นมา "พวกแกคือพวกกบฏตระกูลหลิง!""ไอ้แก่ ฝีมือใช้ได้ทีเดียวหนิ!"ต้วนเนี่ยนไม่สนใจอวิ๋นซวี่แม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นเองว่า "นี่ข้าแค่ใช้พลังไปแปดส่วนเท่านั้น!"อวิ๋นซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย โกรธจัดในใจ "ไอ้เด็กปากดี เจ้ากล้าพูดโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นถูกตัดลิ้นหรือไร!"อวิ๋นซวี่พูดจบก็เงื้อดาบพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้แขนขวาถูกดาบแทง หรือแม้แขนขวาทั้งแขนจะถูกตัด เขาก็ยังกล้าถือดาบเข้าฟาดฟัน!นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างนักสู้ในยุทธภพและทหารในสมรภูมิต้วนเนี่ยนยกดาบยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาถือในมืออย่างนิ่งสงบ แล้วฟันเข้าใส่อวิ๋นซวี่อย่างแรง!
เพราะอวิ๋นซวี่ได้แจ้งกับกองกำลังป้องกันภายในของด่านทางใต้ไว้แล้ว หูอู่จื่อจึงสามารถนำทัพเข้าสู่ด่านทางใต้ได้อย่างง่ายดายหลังจากเข้ามาในด่านทางใต้ได้ เขาก็ไม่ทันได้จัดระเบียบกองทัพ รีบรุดไปพบอวิ๋นซวี่เพียงลำพังเมื่อเขาได้ยินว่าอวิ๋นซวี่ขึ้นไปตีกลองศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือราชวงศ์ต้าหมิงทุกคนจะดุดันถึงเพียงนี้?"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะท่านอ๋อง!"หูอู่จื่อมีใบหน้ามอมแมมด้วยฝุ่น เกราะของเขาก็ชำรุดจากการเดินทาง แต่อวิ๋นซวี่ยังคงตีระฆังศึก หูอู่จื่อคิดว่าอวิ๋นซวี่ไม่ได้ยิน จึงกล่าวซ้ำอีกครั้ง"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะ…""ข้าได้ยินแล้ว!"อวิ๋นซวี่มีดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง"กู่ฉวี่!""พาแม่ทัพหูไปพักผ่อน!""กระหม่อมยังไหว!"อวิ๋นซวี่เหวี่ยงไม้ตีกลองเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทำลายกลองทั้งใบ กู่ฉวี่ไม่กล้าชักช้า แต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นซวี่ จึงสั่งให้ทหารล้อมรอบเขาไว้"ตึง!"เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น กลองยักษ์สูงห้าเมตรที่ทำจากหนังวัว ถูกอวิ๋นซวี่ตีจนแตก!หูอู่จื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเลือดลมสูบฉีด
ในที่สุดต้วนเนี่ยนก็ขมวดคิ้ว "หัวหน้าตระกูลหลิง ข้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเมืองใต้ไม่น่าจะเทียบกับวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าได้แต่หากท่านกล้ารับรองว่าหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าเมืองใต้แล้ว ท่านจะมอบวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าให้ ข้าก็ตกลง!""ข้ารับรอง" หลิงหงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต ก่อนพึมพำกับตัวเอง "เจ้าเมืองใต้ ตาเฒ่านั่นไม่คุ้มค่า แต่ด่านทางใต้นั้นคุ้ม!"หลิงหงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับพบว่าต้วนเนี่ยนที่อยู่ด้านหลังได้หายตัวไปแล้ว"เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ"หลิงหงเซวียนส่ายศีรษะก่อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ "ปาคู่!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ชาวม่านใต้ ผิวสีคล้ำ ก้าวออกมาจากความมืด "หัวหน้าตระกูลหลิง มีอะไรจะสั่งขอรับ?"ชายร่างใหญ่พูดภาษาจงหยวนได้อย่างตะกุกตะกัก แต่หลิงหงเซวียนกลับไม่ได้ใส่ใจ "ไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เตรียมเปิดศึกใหญ่โจมตีด่านทางใต้!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ถอยกลับไป สายตาของหลิงหงเซวียนยังคงจับจ้องไปที่ค่ายของกองทัพหูอู่ในระยะไกล ดวงตาแดงก่ำ ความอาฆาตพุ่งพล่านจนแทบมองเห็นเป็นรูปร่าง…วันถัดมา ทหารในกองทัพของหูอู่จื่อที่ติดโรคระบาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หูอู่
ขณะที่ทหารด่านทางใต้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสนามรบ ที่หมู่บ้านซิงเถียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ก็มีกำลังพลสองแสนนายกำลังรวมตัวกันก่อนหน้านี้ไม่นาน หูอู่จื่อได้รับจดหมายจากตู้จื่อหมิง แม้เขาจะมีคนสนิทที่ให้แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เลือกที่จะจับตาดูสถานการณ์ก่อนจนกระทั่งอวิ๋นฝานประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งแผ่นดิน หูอู่จื่อจึงตัดสินใจสนับสนุนด่านทางใต้ส่วนเกาจื๋อกับซวี่เหวิน สองคนนี้ได้กลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบของหูอู่จื่อไปนานแล้วกองทัพสองแสนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตกองทัพของคนทั้งสอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นทหารใหม่พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางใต้"เคลื่อนทัพ!"หูอู่จื่อโบกมือแล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าศึกของเขาก่อนจะพุ่งทะยานออกไป กองทัพสองแสนคนด้านหลังเขาก็เริ่มเคลื่อนพลในเส้นทางที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรเส้นทางในเขตทางใต้เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหลุมบ่อซับซ้อน ด้วยความเร็วของหูอู่จื่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึงด่านทางใต้คืนนั้น ที่ค่ายของกองทัพหูอู่กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถือสิ่งของบางอย่าง เดินอย่
"ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูลี่เหวินเคยเป็นขุนนางผู้กระทำผิด แต่เนื่องด้วยเขาขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทย!"ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทยมีหน้าที่ควบคุมข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง หรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนต้องรายงานต่อกรมมหาดไทย"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!""ตู้จื่อหมิง รับพระราชโองการ!""กระหม่อมขอน้อมรับพระราชโองการด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!""แม่ทัพตู้จื่อหมิง แม้จะเคยเป็นขุนนางในกลุ่มกบฎอู่เวย แต่ด้วยไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ และยังมีจิตใจภักดีต่อต้าหมิง ทั้งยังปราบกบฏในเมืองหลวงถึงสองครั้ง มีคุณความชอบมากกว่าความผิด จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมกลาโหม!""ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ตู้จื่อหมิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเขาเคยคิดว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เลื่อนถึงขั้นเป็นเสนาบดีว่าการกรมกลาโหมในคราวเดียวเช่นนี้!"ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง
ซูหว่านซินหน้าแดงจัดด้วยความเขินอาย สายตาเลิ่กลั่กหลบหลีก ขณะที่หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะนางรู้สึกเหมือนนางกำนัลและขันทีในสวนดอกไม้ต่างกำลังจับจ้องมาที่นางด้วยความอาย นางพยายามใช้มือดันอวิ๋นฝานให้ออกไป แต่เพราะแรงน้อยเกินไป ทำให้อวิ๋นฝานเข้าใจผิดว่านางกำลังออดอ้อนอวิ๋นฝานดีใจยกใหญ่ เขาคิดว่าหญิงสาวในยุคนี้ช่างไร้เดียงสา เพียงคำหวานเรียบง่ายก็ทำให้พวกนางพอใจได้"หว่านเอ๋อร์ คืนนี้รอข้ากลับมานะ"อวิ๋นฝานรีบใช้โอกาสนี้ จูบหน้าผากซูหว่านซินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหลบออกไปทันทีโดยไม่รอให้นางได้ตั้งตัวซูหว่านซินยืนนิ่งมองตามหลังอวิ๋นฝานอยู่นานกว่าจะได้สติ ความรู้สึกหลากหลายตีวนในใจ...ฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน...อวิ๋นฝานเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์เต็มยศ แล้วหันไปบอกเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "แจ้งเหล่าขุนนางทุกคนว่าข้าจะจัดประชุมขุนนางเช้า!"เสี่ยวลิ่วจื่อไม่กล้าขัด รีบเดินออกจากตำหนักบรรทมไปแจ้งข่าวกับเหล่าขุนนางทันทีเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้าแล้ว ซึ่งเลยเวลาประชุมเช้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นฝานมิใช่คนเดิมอีกต่อไป ราชสำนักทั้งปวงอยู่ในกำ
เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝานรู้สึกสดชื่นแจ่มใสในระหว่างการต่อสู้เมื่อคืนที่ผ่านมา อวิ๋นฝานฉวยโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวเย้ายวนคนนี้เจิ้งจี อดีตสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของตัวเขาในอดีตตัวนางเป็นผลผลิตจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต้าจ้าวที่พ่ายแพ้สงครามกับอาณาจักรต้าหมิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ราชสำนักต้าหมิงยังไม่เสื่อมโทรม เคยมีขุนนางอาวุโสหลายคนเตือนให้เขาในอดีตอยู่ให้ห่างจากเจิ้งจีแต่ร่างเดิมซึ่งเป็นผู้หลงใหลในตัณหา กลับฟังเจิ้งจีทุกอย่าง แม้แต่การเสื่อมโทรมลงของราชสำนักต้าหมิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับนาง"ฝ่าบาท..."เสียงที่อ่อนโยนและเย้ายวนของเจิ้งจีดังแผ่วผ่านเข้าหูของอวิ๋นฝาน ลมหายใจอุ่นๆ ของนางทำให้เขารู้สึกจักจี้ที่หูในขณะนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือ "ลมจากหมอนข้าง""ที่รัก เจ้าตื่นแล้วหรือ?"แม้อวิ๋นฝานจะมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่าต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ชื่นชมความงามนั้น!"ฝ่าบาท~ หม่อมฉันมีคำขอหนึ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไร..."ดวงตาของเจิ้งจี
หลิงหงเซวียนหน้าแดงด้วยความโกรธ ขบฟันแน่นขณะข่มขู่อวิ๋นฝานอย่างดุร้ายว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น! ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าไป ถ้าลูกศิษย์และลูกหลานข้ารู้ว่าข้าตายแล้ว เจ้าคงรักษาแผ่นดินต้าหมิงเอาไว้ไม่ได้แน่!"เมื่ออวิ๋นฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป หลิงหงเซวียนเห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายกลัว จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักขึ้น"เจ้าบ้าอวิ๋น ไม่สู้เจ้ายอมสยบให้ข้าดีกว่า รอให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้ ข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าก็ได้เป็นอ๋องต่างแซ่ ฮ่าฮ่าฮ่า…""ตายซะ!"อวิ๋นฝานคำรามต่ำ เอาดาบหมิงตี้ในมือแทงตรงไปที่หลิงหงเซวียน เสียงหัวเราะของหลิงหงเซวียนหยุดชะงักทันที เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!"เคร้ง!"แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นฝานขุ่นเคืองคือ หลิงหงเซวียนราวกับได้รับความช่วยเหลือจากภูติผี ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ดาบหมิงตี้กลับถูกดาบหักเล่มหนึ่งปัดกระเด็นออกไปได้อวิ๋นฝานกำลังจะควบม้าพุ่งไปเพื่อเหยียบหลิงหงเซวียนให้ตาย แต่ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ต่อมาอวิ๋นฝานก็รู้สึกตาพร่ามัว เมื่อมองดูอีกครั้ง หลิงหงเซวียนก็หายตัวไปแล้ว!"ยอดฝีมือ!"อวิ๋นฝานชะงักไป สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง