Share

บทที่ 13

Author: เข็มทิศการใช้ชีวิตไปวันๆ
เมื่อมู่ซือหลิงพูดจบ ฝูงชนก็เดือดพล่านราวน้ำเดือด มีคนจำนวนมากพยายามอาศัยขังหวะชุลมุนเพื่อหลบหนี

แต่ครั้งนี้อวิ๋นฝานตั้งใจจะกำจัดภัยในอนาคต จึงไม่มีทางปล่อยพวกเขาให้หนีง่ายๆ เขาได้สั่งให้กองทัพล้อมฝูงชนไว้ หากคนพวกนี้อยากหนี คงต้องบินขึ้นฟ้าเท่านั้น

"ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย! ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย!"

"พวกเราเพียงถูกกบฏยุยงเท่านั้น มิได้มีเจตนากบฏเลยพะย่ะค่ะ!"

แน่นอนว่ายังมีบางคนที่เลือกคุกเข่าขอความเมตตา

"เราบอกแล้วว่า เรามิใช่ผู้ที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไร้เหตุผล และยิ่งไม่ใช่ฮ่องเต้โง่เขลา!"

อวิ๋นฝานยืนเอามือไพล่หลัง พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า "พวกเจ้าเพียงแค่โง่เขลาเบาปัญญา คำกล่าวว่า ดังคำกล่าวที่ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด เราสามารถปล่อยพวกเจ้าไปได้ก็ได้"

คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นรีบก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง "ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยที่ไม่ประหารพวกข้า!"

"แต่!"

อวิ๋นฝานขัดขึ้นมา "แต่คนที่อยู่เบื้องหลังยุยงพวกเจ้า เราไม่เพียงจะไม่ปล่อยไป แต่จะเฉือนเนื้อเถิอหนังพวกมันให้ทรมานด้วย!"

"ส่วนพรรคพวกของมัน และผู้ที่ให้การช่วยเหลือ ก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน!"

"ตอนนี้ โอกาสไถ่โทษและสร้างคุณความดีอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว!"

"ตามหาคนที่อยู่เบื้องหลังในกลุ่มของพวกเจ้า เราจะไม่เพียงยกโทษประหารให้ แต่ยังจะมอบที่ดินร้อยหมู่ และเงินอีกพันตำลึงเงินให้อีกด้วย!"

เมื่ออวิ๋นฝานกล่าวจบ ฝูงชนก็โกลาหลอีกครั้ง!

"ข้าฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ ให้ที่ดินร้อยหมู่!"

"โอ้โห! ที่ดินของนายทุนบ้านข้ายังมีไม่ถึงห้าสิบหมู่เลย!"

"บอกมานะ เจ้าคือตัวการใช่หรือไม่!"

"อย่ามาปรักปรำคนอื่นสิ! ข้าว่าเจ้านั่นแหละตัวการ!"

ในฝูงชนมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ไม่น้อย ตามคำกล่าวที่ว่า รางวัลใหญ่มักดึงดูดวีรบุรุษ เพื่อที่ดินร้อยหมู่นี้ พวกคนไม่กลัวตายจึงตะลุมบอนกันเอง ต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นตัวการ

"พวกคนโง่เขลา!"

อวิ๋นฝานมองฝูงชนที่เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ แล้วส่ายศีรษะ "ประชาชนนี่ช่างเป็นอาวุธที่ง่ายต่อการหลอกใช้จริงๆ!"

"ตู้จื่อหมิง!"

"พะย่ะค่ะ!"

อวิ๋นฝานชี้ไปที่คนในฝูงชนหลายคน "คนนี้ คนนี้ แล้วก็คนนี้ จับตัวมาให้หมด!"

ตู้จื่อหมิงชะงักไป ก่อนยกมือคำนับพร้อมทำสีหน้าสงสัย "ฝ่าบาท เพราะเหตุใดหรือพะย่ะค่ะ?"

"เพราะเหตุใด?"

อวิ๋นฝานยิ้มบาง "ถ้าเจ้าสังเกตให้ดี ตอนที่ลิ่งซานผิงถูกจับ คนพวกนี้มีสีหน้าที่น่าสนใจอย่างยิ่ง"

"ฝ่าบาทสายตาหลักแหลมยิ่ง!" มู่ซือหลิงที่อยู่ข้างๆ อดเอ่ยชมไม่ได้

อวิ๋นฝานโบกมือ "รีบจัดการเดี๋ยวนี้!"

ตู้จื่อหมิงชักดาบออกมาแล้วขึ้นม้า "กองทหารม้า ตามข้าไปจับกุมกบฏ!"

ทหารม้าราวหนึ่งร้อยนายบุกเข้าสู่ฝูงชน กบฏในฝูงชนเหมือนนกที่ตกใจเสียงธนู พวกมันตกใจจนหนีไม่คิดชีวิต ทหารที่ต้องการสร้างผลงานรีบจับคนที่วิ่งหนีเร็วที่สุดทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น อวิ๋นฝานก็หมดความสนใจ เมื่อไม่มีพวกยุยงปลุกปั่น ประชาชนที่เหลือก็จะสลายตัวไปในไม่ช้า

สิ่งเดียวที่ทำให้เขากังวลคือ เขายังไม่พบผู้บงการตัวจริงเบื้องหลัง ซึ่งก็คือหลิงหงเซวียน ตัวบ่อนทำลายที่ใหญ่ที่สุดในราชสำนักแห่งอาณาจักรต้าหมิง!

"ฝ่าบาท! ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!"

ขณะที่อวิ๋นฝานกำลังจะเดินเข้าพระราชวัง ทหารม้านายหนึ่งที่เต็มไปด้วยเลือดก็ล้มลงตรงหน้าเขา "ฝ่าบาท ประตูเมืองทิศเหนือถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายโจมตีจนแตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"

"ว่าอะไรนะ?"

อวิ๋นฝานทั้งตกใจทั้งโกรธจัด เขาหันกลับไปมองทหารที่มารายงานอย่างรวดเร็ว "แล้วทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตูเมืองทิศเหนือ พวกเขามัวทำอะไรกันอยู่!"

"ฝ่าบาท พระองค์ลืมแล้วหรือ ทหารที่ประจำการที่ประตูเมืองทิศเหนือถูกย้ายมาประจำใกล้พระราชวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

มู่ซือหลิงกระซิบบอกอวิ๋นฝานที่ข้างหูเบาๆ

อวิ๋นฝานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนออกคำสั่งเด็ดขาด "ส่งทหารจากประตูเมืองทิศตะวันออกและตะวันตกไปเสริมกำลังทันที ผู้ใดขัดขืนก็ฆ่าซะ!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

หลังจากนายทหารที่ไม่ทราบชื่อจากไป อวิ๋นฝานก็หันไปสั่งมู่ซือหลิง "มู่ซือหลิง เราขอสั่งให้เจ้ารวบรวมองครักษ์เงาห้าสิบนาย ไปจับกุมพวกกลุ่มกบฎอู๋เวยที่เหลือรอด!"

"พวกกลุ่มกบฎอู๋เวยที่เหลือรอด?"

มู่ซือหลิงชะงัก "ฝ่าบาท ขุนนางเกือบเก้าส่วนของกลุ่มอู๋เวยถูกหม่อมฉันประหารเก้าชั่วโคตรไปหมดแล้วหนิพ่ะย่ะค่ะ..."

"เราสั่งให้ไปเจ้าก็ต้องไป!"

"พูดไร้สาระอยู่ได้!"

มู่ซือหลิงรู้สึกสะดุ้งในใจ รีบยกมือคำนับแล้วถอยออกไป "พ่ะย่ะค่ะ!"

เมื่อมู่ซือหลิงจากไป ตู้จื่อหมิงก็นำตัวกบฏทั้งหมดมาจับกุมสำเร็จ

ตู้จื่อหมิงคุมตัวกบฏมากกว่าห้าสิบคนมาด้วยความยินดี และเตรียมจะคุกเข่าขอความดีความชอบจากอวิ๋นฝาน แต่กลับพบว่าอวิ๋นฝานมีสีหน้ามืดมนจนชวนให้หวาดกลัว!

ตู้จื่อหมิงรีบยืนตัวตรง เตรียมจะทำความเคารพ แต่กลับได้ยินอวิ๋นฝานสั่งด้วยเสียงหนักแน่น "ตู้จื่อหมิง เขตเมืองเหนือถูกพวกที่เหลือของกลุ่มอู๋เวยโจมตีจนแตก ตอนนี้เราขอสั่งให้เจ้าคุมกองกำลังไปกวาดล้างซะ!"

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของตู้จื่อหมิงก็จริงจังขึ้นทันที เขาไม่กล้าชักช้า รีบจับดาบและยกมือคำนับ "พ่ะย่ะค่ะ!"

"อืม!"

"พาทหารที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดไปด้วย หากข้าคาดไม่ผิด คืนนี้คงจะมีการสู้รบครั้งใหญ่!"

"แต่ถ้าเช่นนั้น ฝ่าบาทพระองค์ก็..."

อวิ๋นฝานโบกมือ "เรามีกองทหารอวี้หลินอยู่ไม่ต้องกังวล!"

"จำไว้ ไม่ว่าใครที่ปะปนอยู่ในกลุ่มกบฏ ให้ถือว่าเป็นกบฏทั้งหมด!"

"แม้แต่จะเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า ก็ต้องฆ่าทิ้งทันที!"

"เราไม่อยากเห็นเชลยกบฏ เราอยากเห็นแค่หัวของกบฏเท่านั้น!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

ตู้จื่อหมิงกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากใจ ถอยหลังสามก้าวแล้วขึ้นม้าไป "ทุกคน ตามข้ามา!"

เหล่าทหารหลายหมื่นนายที่กำลังยุ่งอยู่กับการควบคุมฝูงชนก็ออกไปทันที ส่วนฝูงชนก็แตกกระเจิงอย่างไร้ทิศทาง

เมื่อเห็นเช่นนั้น อวิ๋นฝานก็ตะโกนเรียกเสียงดัง "เฉินเฟิง!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

แม่ทัพหนุ่มที่เพิ่งพ้นวัยยี่สิบปีเดินออกมาจากกลุ่ม

"รวมพลกองทหารอวี้หลินทั้งหมด ไปที่จวนตระกูลหลิงกับข้า!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

เฉินเฟิงไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้ากองทหารอวี้หลิน แต่ยังเป็นผู้ภักดีต่อราชวงศ์โดยแท้ แม้แต่แซ่เฉินของเขาก็ยังได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้องค์ก่อนเพราะความจงรักภักดี

ตระกูลเฉินทั้งหมด รวมถึงเครือญาติสายรอง มีเพียงห้าสิบคนเท่านั้น แต่ผู้ชายทุกคนในตระกูลล้วนได้รับตำแหน่งขุนนาง

แม้กระทั่งในช่วงที่ราชวงศ์ก่อนอ่อนแอและถูกสองกลุ่มอำนาจผลัดกันควบคุม ตระกูลเฉินก็ยังสามารถครองตำแหน่งในราชสำนักได้

ตอนนี้ราชสำนักเพิ่งผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทำให้ตำแหน่งมากมายว่างลง ดังนั้นอวิ๋นฝานจึงตั้งใจใช้โอกาสนี้สนับสนุนตระกูลเฉินอย่างเต็มที่ เพื่อให้แทนที่ตระกูลหลิงและกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในต้าหมิง!

"ฝ่าบาท มาถึงจวนตระกูลหลิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

คำเตือนของเฉินเฟิงดึงอวิ๋นฝานออกจากภวังค์ เขาเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรสีทอง "จวนตระกูลหลิง"

"เผาป้ายนี้ให้ข้าซะ!"

อวิ๋นฝานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "คนอื่นๆ ตามข้าบุกเข้าไปในจวน!"

"ไม่ว่าพบใครในจวน ให้ฆ่าทันที!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

กองทหารอวี้หลินคือกองกำลังชั้นยอดในต้าหมิง เมื่อรวมตัวกัน ความน่าเกรงขามจึงสะเทือนฟ้าดิน

ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะผู้ภักดีต่อฮ่องเต้ พวกเขาเคยถูกตระกูลหลิงกดขี่มาก่อน ตอนนี้จึงแทบอยากระบายความแค้นทั้งหมดออกมา

"ปัง!"

เฉินเฟิงเป็นผู้นำบุกนำเข้าไปก่อน เตะเปิดประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลิงทันที แต่ภาพที่เห็นภายในกลับทำให้เขาอึ้งไป

"ฝ่ะ...ฝ่าบาท ในจวน...ในจวนไม่มีใครเลยพ่ะย่ะค่ะ!"

เมื่อเห็นอวิ๋นฝานเดินเข้ามา เฉินเฟิงก็ถอยไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้วก้มศีรษะรายงาน

ลานใหญ่จวนตระกูลหลิงในเวลานี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หินหมุนกระจัดกระจาย พื้นเปื้อนไปด้วยน้ำสกปรก ประตูของเรือนใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามแรงลม หากมีหญ้าขึ้นรกในลานอีกหน่อย ใครๆ ก็คงคิดว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างมาหลายปี

อวิ๋นฝานไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่วางมือไว้บนด้ามดาบที่คาดเอว แล้วเดินไปยังเรือนใหญ่ช้าๆ

เฉินเฟิงและกองทหารอวี้หลินรีบเดินตามทันที เรียงแถวล้อมรอบอวิ๋นฝานเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

อวิ๋นฝานเดินเข้าไปในเรือนใหญ่และพบกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่บนพื้น เขาจ้องมันด้วยสายตาแน่วแน่ก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมา

บนกระดาษเขียนไว้เพียงประโยคเดียวว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น ความสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!"

Related chapters

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 14

    "บ้าบิ่น ช่างบ้าบิ่นจริงๆ!"อวิ๋นฝานขยำกระดาษในมือแน่นในเวลานั้นเอง อวิ๋นฝานรู้สึกใจหวิวอย่างไม่มีสาเหตุความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าเขาพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป!"ยุยงประชาชนให้กบฏ...ประตูเมืองทิศเหนือแตก..."อวิ๋นฝานพึมพำกับตัวเอง"แย่แล้ว!"เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที นี่คือกลลวงล่อเสือออกจากถ้ำ!"เฉินเฟิง ตามข้ามา รีบไปที่เขตเมืองทางเหนือด่วน!"…เขตเมืองทางเหนือตู้จื่อหมิงนำกองทัพกว่าหมื่นนายเดินอยู่บนถนนในเขตเมืองทางเหนือ"กา...กา...""กุก กู่กู่..."เสียงของอีกาและนกฮูกดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทำให้ถนนอันเงียบสงัดจนชวนให้ใจคอไม่ดีดูยิ่งลึกลับน่ากลัว"ท่านแม่ทัพ ท่านรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ หรือไม่?"รองแม่ทัพคนสนิทของตู้จื่อหมิง นามว่าสวีอวี่ แสดงสีหน้ากังวลตู้จื่อหมิงเองก็มีสีหน้าจริงจัง "มันมีอะไรแปลกๆ แน่นอน แต่ข้างหลังพวกเราคือเขตหวงห้ามของพระราชวัง ต่อให้มีปัญหาเราก็ต้องไป!""ตามหลักแล้ว หากประตูเมืองทางเหนือถูกโจมตีแตก บนถนนควรจะวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ แต่ตลอดทั้งทาง บ้านเรือนสองข้างทางกลับดูเรียบร้อยมาก...""อีกอย่าง...อีกอย่าง..."ตู้จื่อหมิงขมวดคิ้ว คำตอบที่คิดไว้กลั

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 15

    เขตเมืองทางเหนือ ถนนเทียนเป่ยถนนเทียนเป่ยตัดผ่านเขตเมืองทางเหนือทั้งหมด ถนนทุกสายในเขตนี้ล้วนแยกย่อยออกมาจากถนนเทียนเป่ย"นี่คือดาบประจำตัวของแม่ทัพซวี"เฉินเฟิงหยิบดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาจากซากปรักหักพัง แล้วรีบนำไปถวายแก่อวิ๋นฝาน"ไม่ผิด ดาบนี้เป็นของแม่ทัพซวีจริงๆ"อวิ๋นฝานจ้องดาบอยู่พักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจ "ดูเหมือนว่าเราจะมาช้าเกินไปอีกแล้ว""ฝ่าบาท ได้จำนวนผู้ที่บาดเจ็บล้มตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"ทหารนายหนึ่งจากกองทหารอวี้หลินวิ่งเข้ามารายงาน "สูญเสียทหารประจำการเขตตะวันออกไปกว่าสองหมื่นนาย ส่วนทหารฝ่ายศัตรูสูญเสียไปเพียงห้าพันกว่านายพ่ะย่ะค่ะ!"อวิ๋นฝานเงียบไป ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ดาบพกประจำตัว "ตรวจสอบได้หรือยังว่าศัตรูเป็นกลุ่มไหน?""คาดว่าเป็นพวกกบฏอู๋เวยที่เหลือรอดพ่ะย่ะค่ะ"เฉินเฟิงตอบเสียงหนักแน่น "กบฏเหล่านี้มีอาวุธที่ใช้จริงในกองทัพต้าหมิง ซึ่งบางอย่างมีเฉพาะในกองกำลังชายแดนเท่านั้น นอกจากกลุ่มอู๋เวยแล้ว กระหม่อมคิดไม่ออกว่าจะเป็นกลุ่มไหนได้อีกพ่ะย่ะค่ะ""ช่างเถอะ!"หลังจากเงียบไปพักใหญ่ อวิ๋นฝานจึงละสายตาจากดาบ "ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน หากกล้ามาหาเรื่องข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 16

    อวิ๋นฝานดุจดั่งพยัคฆ์ที่เข้าสู่ฝูงแกะ ฆ่าฟันศัตรูรอบด้านอย่างไร้ผู้ต้านทาน!"ตึง ตึง ตึง! ตึง!"เสียงกลองแบบมีจังหวะดังมาจากศูนย์กลางของกองทัพศัตรู ทัพศัตรูที่เสียขบวนไปก่อนนี้กลับจัดระเบียบทัพใหม่ในทันที พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวไปทางซ้ายและขวาอย่างมีเป้าหมายเพื่อโอบล้อมกองทหารอวี้หลินไว้!อวิ๋นฝานขมวดคิ้วทันที นี่มันคือสัญญาณกลองของกองทัพอาณาจักรต้าหมิงชัดๆ!"เฉินเฟิง เจ้าจงนำกองทหารอวี้หลินห้าร้อยนายโจมตีด้านซ้าย ส่วนข้าจะบุกด้านขวา เป้าหมายไม่ใช่เพื่อสังหารศัตรู แต่เพื่อไม่ให้พวกกบฏเหล่านี้จัดการเตรียมทัพได้สำเร็จ!"มาถึงจุดนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่แค่กบฏธรรมดา!ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ท่าทาง หรือยุทธศาสตร์ กบฏกลุ่มนี้สามารถต่อกรกับกองทัพต้าหมิงได้จริงๆ!แม้ว่าตู้จื่อหมิงและลู่เจิ้นกวนจะไม่ใช่แม่ทัพที่ไร้ฝีมือ และทหารภายใต้การบัญชาการของพวกเขาก็เป็นกำลังพลชั้นยอดของอาณาจักรต้าหมิง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ฝ่ายอวิ๋นฝานก็ยังคงเสียเปรียบ!ดูเหมือนว่ากบฏกลุ่มนี้จะได้วางแผนทุกอย่างไว้แล้วอวิ๋นฝานและเฉินเฟิงนำกองทหารอวี้หลินฝ่ายละห้าร้อยนายบุกโจมตีขนาบสองข้าง เพื่อส

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 17

    อวิ๋นฝานอาศัยโอกาสนี้พลิกข้อมือของชายหนวดหนาที่ถือดาบไว้ ชายหนวดหนาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดาบจึงหลุดจากมือเขาเข้ามาอยู่ในมือของอวิ๋นฝานทันที!อวิ๋นฝานผลักตัวชายหนวดหนาอย่างแรง ใบดาบแทงทะลุคอของเขา การเคลื่อนไหวทั้งหมดของอวิ๋นฝานดูลื่นไหล งดงามแต่เต็มไปด้วยความรุนแรงชายหนวดหนาล้มลงบนร่างของอวิ๋นฝานด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เลือดสดๆ ย้อมร่างท่อนบนของอวิ๋นฝานจนแดงฉาน ทหารกองทหารอวี้หลินที่อยู่รอบๆ รีบเข้ามาอารักขาเขาในขณะเดียวกัน เฉินเฟิงที่กำลังเผชิญสถานการณ์ยากลำบากทางด้านขวา เมื่อเห็นฝ่าบาทของตนตกอยู่ในอันตราย ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยโทสะและฟันศีรษะศัตรูตรงหน้าขาดในดาบเดียว!จากนั้น เฉินเฟิงก็เหมือนเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามกลับชาติมาเกิด เขาคนเดียวต่อสู้กับศัตรูอราวสิบคน สถานการณ์ที่เสียเปรียบกลับพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ!อวิ๋นฝานมองเฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าหัวหน้ากองทหารอวี้หลินที่ปกติดูธรรมดาจะมีฝีมือมากเช่นนี้"ฝ่าบาท กระหม่อมจะอารักขาพระองค์ออกจากที่นี่เองพ่ะย่ะค่ะ!"เฉินเฟิงถอยออกจากสนามรบ ก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าอวิ๋นฝาน ท่ามกลางสนามรบที่วุ่นวายและเต็มไปด้วย

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 18

    "งานที่ข้ามอบหมายให้เจ้าทำ เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"อวิ๋นฝานเดินไปด้านหลังมู่ซือหลิงอย่างเงียบเชียบด้วยสีหน้าสงบนิ่งมู่ซือหลิงสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นอวิ๋นฝานจึงตั้งสติได้และรีบกล่าวรายงาน"ฝ่าบาท กระหม่อมได้กำจัดพวกกบฏอู๋เวยนอกเมืองหลวงทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!""กระหม่อมขอรับรองด้วยชีวิต!""เอาล่ะ เข้ามาคุยข้างใน"อวิ๋นฝานชี้ไปที่ตำหนักบรรทมก่อนเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่งยิ่งอวิ๋นฝานดูสงบเช่นนี้ มู่ซือหลิงก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเมื่อกลับมาที่ตำหนักบรรทม อวิ๋นฝานก็สั่งเสี่ยวลิ่วจื่อให้ชงชา "เล่ามาเถอะ เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่?"เมื่อได้ยินดังนั้น มู่ซือหลิงก็ทรุดตัวลงคุกเข่า "ไม่กี่วันก่อน ฝ่าบาททรงสั่งให้กระหม่อมจับตาดูกบฏที่หลบหนีไปยังหมู่บ้านรอบเมืองหลวง กระหม่อมไม่กล้าละเลย จึงตรวจสอบเอกสารที่ส่งมาทั้งวันทั้งคืน""กระทั่งว่ายังไปตรวจดูด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง!""แต่...แต่กระหม่อมก็ไม่พบร่องรอยของกองกำลังกบฏเลยสักนิด...""พอแล้ว"อวิ๋นฝานโบกมือเล็กน้อย สีหน้าดูหงุดหงิด "ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า""หรืออาจจะพูดได้ว่า กองกำลังที่บุกทำลายเ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 19

    …วันถัดมา อวิ๋นฝานได้เรียกประชุมขุนนางตอนเช้าขึ้นอีกครั้ง"ขุนนางข้าทั้งหลาย เชื่อว่าพวกเจ้าคงได้ยินแล้วว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง!"อวิ๋นฝานนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "อัครมหาเสนาบดีหลิงหงเซวียนแห่งอาณาจักรต้าหมิง กลายเป็นสุนัขรับใช้ของกบฏอู๋เวย!""เริ่มจากปลุกระดมประชาชนของข้า จากนั้นก็สมคบคิดกับกบฏอู๋เวยเพื่อโจมตีประตูเมืองทางเหนือ ข้าต้องนำกองทหารอวี้หลินเข้าสู้ด้วยตัวเองถึงจะกำจัดพวกมันลงได้!""ข้าขอถามพวกเจ้า ข้าควรจัดการหลิงหงเซวียนและตระกูลหลิงอย่างไร!"คำพูดนี้ชัดเจนว่าเขาพูดให้เหล่าขุนนางจากตระกูลขุนนางฟังโดยเฉพาะทั้งราชสำนักตกอยู่ในความเงียบงันทันทีสายข่าวของพวกเขารวดเร็วพอๆ กับของวังหลวงเรื่องที่ตระกูลหลิงหนีไปตั้งแต่แรก พวกเขาก็รู้ขนาดตระกูลหลิงยังหนีไป คำพูดของฝ่าบาทจึงเหมือนกำลังถามว่า จะจัดการเหล่าขุนนางจากสายตระกูลขุนนางอย่างไรดีไม่ใช่หรือ!"กระหม่อมคิดว่าควรประหารตระกูลหลิงเก้าชั่วโคตรพ่ะย่ะค่ะ!"ซูลี่เหวินกล่าวขึ้นอย่างถูกจังหวะ "การก่อกบฏถือเป็นความผิดร้ายแรง สมควร ไม่ว่าจะพิจรณาจากด้านไหนก็สมควรให้มีการประหารเก้าชั่วโคตร ไม่เพีย

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 20

    ซูลี่เหวินลุกขึ้นยืน ยกมือคำนับแล้วก้าวไปข้างหน้า ขุนนางจากสายตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ต่างรู้สึกหวากหวั่นในใจ มองซูลี่เหวินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น"อืม?"อวิ๋นฝานขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่เขาก็อยากรู้ว่าซูลี่เหวินจะรายงานเรื่องอะไร จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ท่านซู เชิญว่ามาเลย!""ฝ่าบาท บ้านเมืองไม่อาจขาดผู้นำได้แม้เพียงวันเดียว ราชสำนักก็ไม่อาจขาดตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้แม้เพียงวันเดียวเช่นกัน""ตอนนี้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้กลายเป็นกบฏไปแล้ว ภาระทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่กระหม่อม ความจริงแล้ว..."เมื่อซูลี่เหวินพูดจบ ขุนนางจากสายตระกูลขุนนางคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มในใจ "ตาเฒ่า เผยหางจิ้งจอกของตัวเองออกมาแล้วสินะ!"ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการแบ่งแยกอำนาจของอัครมหาเสนาบดี แล้วเจ้ากลับมาแสดงออกอย่างเปิดเผยเช่นนี้เพื่อขออำนาจอีกครึ่งหนึ่ง นี่ไม่ใช่การอวดอำนาจที่ได้รับความโปรดปรานหรอกหรือ?"อวิ๋นฝานเองก็มีสีหน้าเข้มขึ้น "แล้วตามความเห็นของท่านซู ข้าควรจัดการเช่นไรดี?""มิกล้า!""แต่กระหม่อมขอเสนอให้ฉวยโอกาสนี้ยกเลิกระบบอัครมหาเสนาบดีที่ล้าหลังและเน่าเฟะนี้อ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 21

    "แต่..."มู่ซือหลิงเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา สีหน้าดูลังเล เหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่พูดอวิ๋นฝานขมวดคิ้ว "มีอะไรก็พูดมา อย่ามัวทำอ้ำๆ อึ้งๆ""อ้อ เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท จู่ๆ กระหม่อมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีญาติห่างๆ เพศชายคนหนึ่ง แม้เขาจะไม่ใช่นักรบเหมือนกระหม่อม แต่เขาก็เป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียง""บัณฑิตหรือ?"อวิ๋นฝานสนใจขึ้นมาทันที "สิ่งที่ข้าขาดอยู่ตอนนี้ก็คือบัณฑิตนี่แหละ!""เขาเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากที่ใด?""บางทีฝ่าบาทอาจเคยได้ยินชื่อญาติห่างๆ คนนี้ของกระหม่อมมาก่อน..."สีหน้ามู่ซือหลิงปรากฏแววภาคภูมิใจ "หนึ่งในสิบบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงของเจียงหนาน มู่หลิงอี๋!"อวิ๋นฝานอึ้งไปชั่วขณะเขาไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้มาก่อนเลยจริงๆแต่ในฐานะฮ่องเต้ เขาจะยอมรับได้อย่างไรว่าไม่รู้จักหนึ่งในสิบบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงของเจียงหนานแววตาของอวิ๋นฝานปรากฎความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนกระแอมเบาๆ "ก็พอคุ้นๆ อยู่บ้าง!""เอาอย่างนี้ เจ้าไปพาเขามาพบข้า ข้าอยากพบหน้าบัณฑิตแห่งเจียงหนานผู้นี้สักหน่อย!""เอ่อ..."มู่ซือหลิงดูอึดอัดเล็กน้อย "ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่า...อาจเชิญเขามาไม่ไ

Latest chapter

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 40

    "ท่านแม่ทัพหู พวกเราควรทำอย่างไร?"หูอู่จื่อกลืนน้ำลายอย่างลำบาก จะทำอย่างไรน่ะหรือ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!ตั้งแต่อ๋องอู่เวยควบคุมกองทัพทั่วประเทศ เขาก็ไม่เคยต้องออกรบอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ป้องกันเมืองก็ยิ่งไม่เคยทำ!หูอู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ตัวว่านี่คือภารกิจสำคัญในยามวิกฤติ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือเอาชนะเผ่าม่านหรือพ่ายแพ้พร้อมความตาย"กู่ฉวี่ ข้าขอสั่งเจ้านำกองทัพหนึ่งแสนขึ้นไปป้องกันบนกำแพงเมือง พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันเมืองทั้งหมด!"หูอู่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่เขายังหนุ่ม "ส่วนตัวข้าจะนำกองทัพออกไปปราบกบฏตระกูลหลิงด้วยตนเอง!"…ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักบรรทม เมืองหลวงอวิ๋นฝานกำลังหารือเรื่องสำคัญร่วมกับสี่ขุนนางคนสนิท ได้แก่ มู่ซือหลิง ตู้จื่อหมิง เฉินเฟิง และซูลี่เหวินแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งหกกรมแล้ว แต่ขุนนางคนสนิทที่อวิ๋นฝานไว้วางใจจริงๆ ก็ยังมีเพียงสี่คนนี้โดยเฉพาะมู่ซือหลิง ซึ่งเป็นผู้ดูแลหออันอี้ที่รับผิดชอบด้านความสงบเรียบร้อยและข่าวกรองในเมืองหลวง"ฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกองทัพสองแสนท

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 39

    อวิ๋นซวี่ในฐานะเจ้าชายของราชวงศ์ต้าหมิง ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ เขากัดฟัน ปล่อยดาบออกจากมือ กำหมัดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของต้วนเนี่ยนโดยตรง!ต้วนเนี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นซวี่จะห้าวหาญถึงเพียงนี้ จึงลืมตั้งรับไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้อวิ๋นซวี่ถูกดาบแทง ส่วนต้วนเนี่ยนก็ถูกหมัดอัดไปเต็มแรง ทั้งสองถอยหลังออกจากกัน"ตึก ตึก ตึก..."เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ อวิ๋นซวี่กวาดตามองอย่างเย็นชา เห็นตัวอักษร "หลิง" ที่หมวกเกราะของพวกนั้นก็พลันอุทานขึ้นมา "พวกแกคือพวกกบฏตระกูลหลิง!""ไอ้แก่ ฝีมือใช้ได้ทีเดียวหนิ!"ต้วนเนี่ยนไม่สนใจอวิ๋นซวี่แม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นเองว่า "นี่ข้าแค่ใช้พลังไปแปดส่วนเท่านั้น!"อวิ๋นซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย โกรธจัดในใจ "ไอ้เด็กปากดี เจ้ากล้าพูดโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นถูกตัดลิ้นหรือไร!"อวิ๋นซวี่พูดจบก็เงื้อดาบพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้แขนขวาถูกดาบแทง หรือแม้แขนขวาทั้งแขนจะถูกตัด เขาก็ยังกล้าถือดาบเข้าฟาดฟัน!นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างนักสู้ในยุทธภพและทหารในสมรภูมิต้วนเนี่ยนยกดาบยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาถือในมืออย่างนิ่งสงบ แล้วฟันเข้าใส่อวิ๋นซวี่อย่างแรง!

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 38

    เพราะอวิ๋นซวี่ได้แจ้งกับกองกำลังป้องกันภายในของด่านทางใต้ไว้แล้ว หูอู่จื่อจึงสามารถนำทัพเข้าสู่ด่านทางใต้ได้อย่างง่ายดายหลังจากเข้ามาในด่านทางใต้ได้ เขาก็ไม่ทันได้จัดระเบียบกองทัพ รีบรุดไปพบอวิ๋นซวี่เพียงลำพังเมื่อเขาได้ยินว่าอวิ๋นซวี่ขึ้นไปตีกลองศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือราชวงศ์ต้าหมิงทุกคนจะดุดันถึงเพียงนี้?"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะท่านอ๋อง!"หูอู่จื่อมีใบหน้ามอมแมมด้วยฝุ่น เกราะของเขาก็ชำรุดจากการเดินทาง แต่อวิ๋นซวี่ยังคงตีระฆังศึก หูอู่จื่อคิดว่าอวิ๋นซวี่ไม่ได้ยิน จึงกล่าวซ้ำอีกครั้ง"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะ…""ข้าได้ยินแล้ว!"อวิ๋นซวี่มีดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง"กู่ฉวี่!""พาแม่ทัพหูไปพักผ่อน!""กระหม่อมยังไหว!"อวิ๋นซวี่เหวี่ยงไม้ตีกลองเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทำลายกลองทั้งใบ กู่ฉวี่ไม่กล้าชักช้า แต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นซวี่ จึงสั่งให้ทหารล้อมรอบเขาไว้"ตึง!"เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น กลองยักษ์สูงห้าเมตรที่ทำจากหนังวัว ถูกอวิ๋นซวี่ตีจนแตก!หูอู่จื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเลือดลมสูบฉีด

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 37

    ในที่สุดต้วนเนี่ยนก็ขมวดคิ้ว "หัวหน้าตระกูลหลิง ข้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเมืองใต้ไม่น่าจะเทียบกับวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าได้แต่หากท่านกล้ารับรองว่าหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าเมืองใต้แล้ว ท่านจะมอบวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าให้ ข้าก็ตกลง!""ข้ารับรอง" หลิงหงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต ก่อนพึมพำกับตัวเอง "เจ้าเมืองใต้ ตาเฒ่านั่นไม่คุ้มค่า แต่ด่านทางใต้นั้นคุ้ม!"หลิงหงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับพบว่าต้วนเนี่ยนที่อยู่ด้านหลังได้หายตัวไปแล้ว"เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ"หลิงหงเซวียนส่ายศีรษะก่อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ "ปาคู่!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ชาวม่านใต้ ผิวสีคล้ำ ก้าวออกมาจากความมืด "หัวหน้าตระกูลหลิง มีอะไรจะสั่งขอรับ?"ชายร่างใหญ่พูดภาษาจงหยวนได้อย่างตะกุกตะกัก แต่หลิงหงเซวียนกลับไม่ได้ใส่ใจ "ไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เตรียมเปิดศึกใหญ่โจมตีด่านทางใต้!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ถอยกลับไป สายตาของหลิงหงเซวียนยังคงจับจ้องไปที่ค่ายของกองทัพหูอู่ในระยะไกล ดวงตาแดงก่ำ ความอาฆาตพุ่งพล่านจนแทบมองเห็นเป็นรูปร่าง…วันถัดมา ทหารในกองทัพของหูอู่จื่อที่ติดโรคระบาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หูอู่

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 36

    ขณะที่ทหารด่านทางใต้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสนามรบ ที่หมู่บ้านซิงเถียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ก็มีกำลังพลสองแสนนายกำลังรวมตัวกันก่อนหน้านี้ไม่นาน หูอู่จื่อได้รับจดหมายจากตู้จื่อหมิง แม้เขาจะมีคนสนิทที่ให้แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เลือกที่จะจับตาดูสถานการณ์ก่อนจนกระทั่งอวิ๋นฝานประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งแผ่นดิน หูอู่จื่อจึงตัดสินใจสนับสนุนด่านทางใต้ส่วนเกาจื๋อกับซวี่เหวิน สองคนนี้ได้กลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบของหูอู่จื่อไปนานแล้วกองทัพสองแสนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตกองทัพของคนทั้งสอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นทหารใหม่พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางใต้"เคลื่อนทัพ!"หูอู่จื่อโบกมือแล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าศึกของเขาก่อนจะพุ่งทะยานออกไป กองทัพสองแสนคนด้านหลังเขาก็เริ่มเคลื่อนพลในเส้นทางที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรเส้นทางในเขตทางใต้เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหลุมบ่อซับซ้อน ด้วยความเร็วของหูอู่จื่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึงด่านทางใต้คืนนั้น ที่ค่ายของกองทัพหูอู่กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถือสิ่งของบางอย่าง เดินอย่

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 35

    "ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูลี่เหวินเคยเป็นขุนนางผู้กระทำผิด แต่เนื่องด้วยเขาขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทย!"ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทยมีหน้าที่ควบคุมข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง หรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนต้องรายงานต่อกรมมหาดไทย"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!""ตู้จื่อหมิง รับพระราชโองการ!""กระหม่อมขอน้อมรับพระราชโองการด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!""แม่ทัพตู้จื่อหมิง แม้จะเคยเป็นขุนนางในกลุ่มกบฎอู่เวย แต่ด้วยไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ และยังมีจิตใจภักดีต่อต้าหมิง ทั้งยังปราบกบฏในเมืองหลวงถึงสองครั้ง มีคุณความชอบมากกว่าความผิด จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมกลาโหม!""ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ตู้จื่อหมิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเขาเคยคิดว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เลื่อนถึงขั้นเป็นเสนาบดีว่าการกรมกลาโหมในคราวเดียวเช่นนี้!"ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 34

    ซูหว่านซินหน้าแดงจัดด้วยความเขินอาย สายตาเลิ่กลั่กหลบหลีก ขณะที่หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะนางรู้สึกเหมือนนางกำนัลและขันทีในสวนดอกไม้ต่างกำลังจับจ้องมาที่นางด้วยความอาย นางพยายามใช้มือดันอวิ๋นฝานให้ออกไป แต่เพราะแรงน้อยเกินไป ทำให้อวิ๋นฝานเข้าใจผิดว่านางกำลังออดอ้อนอวิ๋นฝานดีใจยกใหญ่ เขาคิดว่าหญิงสาวในยุคนี้ช่างไร้เดียงสา เพียงคำหวานเรียบง่ายก็ทำให้พวกนางพอใจได้"หว่านเอ๋อร์ คืนนี้รอข้ากลับมานะ"อวิ๋นฝานรีบใช้โอกาสนี้ จูบหน้าผากซูหว่านซินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหลบออกไปทันทีโดยไม่รอให้นางได้ตั้งตัวซูหว่านซินยืนนิ่งมองตามหลังอวิ๋นฝานอยู่นานกว่าจะได้สติ ความรู้สึกหลากหลายตีวนในใจ...ฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน...อวิ๋นฝานเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์เต็มยศ แล้วหันไปบอกเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "แจ้งเหล่าขุนนางทุกคนว่าข้าจะจัดประชุมขุนนางเช้า!"เสี่ยวลิ่วจื่อไม่กล้าขัด รีบเดินออกจากตำหนักบรรทมไปแจ้งข่าวกับเหล่าขุนนางทันทีเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้าแล้ว ซึ่งเลยเวลาประชุมเช้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นฝานมิใช่คนเดิมอีกต่อไป ราชสำนักทั้งปวงอยู่ในกำ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 33

    เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝานรู้สึกสดชื่นแจ่มใสในระหว่างการต่อสู้เมื่อคืนที่ผ่านมา อวิ๋นฝานฉวยโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวเย้ายวนคนนี้เจิ้งจี อดีตสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของตัวเขาในอดีตตัวนางเป็นผลผลิตจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต้าจ้าวที่พ่ายแพ้สงครามกับอาณาจักรต้าหมิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ราชสำนักต้าหมิงยังไม่เสื่อมโทรม เคยมีขุนนางอาวุโสหลายคนเตือนให้เขาในอดีตอยู่ให้ห่างจากเจิ้งจีแต่ร่างเดิมซึ่งเป็นผู้หลงใหลในตัณหา กลับฟังเจิ้งจีทุกอย่าง แม้แต่การเสื่อมโทรมลงของราชสำนักต้าหมิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับนาง"ฝ่าบาท..."เสียงที่อ่อนโยนและเย้ายวนของเจิ้งจีดังแผ่วผ่านเข้าหูของอวิ๋นฝาน ลมหายใจอุ่นๆ ของนางทำให้เขารู้สึกจักจี้ที่หูในขณะนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือ "ลมจากหมอนข้าง""ที่รัก เจ้าตื่นแล้วหรือ?"แม้อวิ๋นฝานจะมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่าต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ชื่นชมความงามนั้น!"ฝ่าบาท~ หม่อมฉันมีคำขอหนึ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไร..."ดวงตาของเจิ้งจี

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 32

    หลิงหงเซวียนหน้าแดงด้วยความโกรธ ขบฟันแน่นขณะข่มขู่อวิ๋นฝานอย่างดุร้ายว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น! ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าไป ถ้าลูกศิษย์และลูกหลานข้ารู้ว่าข้าตายแล้ว เจ้าคงรักษาแผ่นดินต้าหมิงเอาไว้ไม่ได้แน่!"เมื่ออวิ๋นฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป หลิงหงเซวียนเห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายกลัว จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักขึ้น"เจ้าบ้าอวิ๋น ไม่สู้เจ้ายอมสยบให้ข้าดีกว่า รอให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้ ข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าก็ได้เป็นอ๋องต่างแซ่ ฮ่าฮ่าฮ่า…""ตายซะ!"อวิ๋นฝานคำรามต่ำ เอาดาบหมิงตี้ในมือแทงตรงไปที่หลิงหงเซวียน เสียงหัวเราะของหลิงหงเซวียนหยุดชะงักทันที เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!"เคร้ง!"แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นฝานขุ่นเคืองคือ หลิงหงเซวียนราวกับได้รับความช่วยเหลือจากภูติผี ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ดาบหมิงตี้กลับถูกดาบหักเล่มหนึ่งปัดกระเด็นออกไปได้อวิ๋นฝานกำลังจะควบม้าพุ่งไปเพื่อเหยียบหลิงหงเซวียนให้ตาย แต่ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ต่อมาอวิ๋นฝานก็รู้สึกตาพร่ามัว เมื่อมองดูอีกครั้ง หลิงหงเซวียนก็หายตัวไปแล้ว!"ยอดฝีมือ!"อวิ๋นฝานชะงักไป สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status