…วันถัดมา อวิ๋นฝานได้เรียกประชุมขุนนางตอนเช้าขึ้นอีกครั้ง"ขุนนางข้าทั้งหลาย เชื่อว่าพวกเจ้าคงได้ยินแล้วว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง!"อวิ๋นฝานนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "อัครมหาเสนาบดีหลิงหงเซวียนแห่งอาณาจักรต้าหมิง กลายเป็นสุนัขรับใช้ของกบฏอู๋เวย!""เริ่มจากปลุกระดมประชาชนของข้า จากนั้นก็สมคบคิดกับกบฏอู๋เวยเพื่อโจมตีประตูเมืองทางเหนือ ข้าต้องนำกองทหารอวี้หลินเข้าสู้ด้วยตัวเองถึงจะกำจัดพวกมันลงได้!""ข้าขอถามพวกเจ้า ข้าควรจัดการหลิงหงเซวียนและตระกูลหลิงอย่างไร!"คำพูดนี้ชัดเจนว่าเขาพูดให้เหล่าขุนนางจากตระกูลขุนนางฟังโดยเฉพาะทั้งราชสำนักตกอยู่ในความเงียบงันทันทีสายข่าวของพวกเขารวดเร็วพอๆ กับของวังหลวงเรื่องที่ตระกูลหลิงหนีไปตั้งแต่แรก พวกเขาก็รู้ขนาดตระกูลหลิงยังหนีไป คำพูดของฝ่าบาทจึงเหมือนกำลังถามว่า จะจัดการเหล่าขุนนางจากสายตระกูลขุนนางอย่างไรดีไม่ใช่หรือ!"กระหม่อมคิดว่าควรประหารตระกูลหลิงเก้าชั่วโคตรพ่ะย่ะค่ะ!"ซูลี่เหวินกล่าวขึ้นอย่างถูกจังหวะ "การก่อกบฏถือเป็นความผิดร้ายแรง สมควร ไม่ว่าจะพิจรณาจากด้านไหนก็สมควรให้มีการประหารเก้าชั่วโคตร ไม่เพีย
ซูลี่เหวินลุกขึ้นยืน ยกมือคำนับแล้วก้าวไปข้างหน้า ขุนนางจากสายตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ต่างรู้สึกหวากหวั่นในใจ มองซูลี่เหวินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น"อืม?"อวิ๋นฝานขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่เขาก็อยากรู้ว่าซูลี่เหวินจะรายงานเรื่องอะไร จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ท่านซู เชิญว่ามาเลย!""ฝ่าบาท บ้านเมืองไม่อาจขาดผู้นำได้แม้เพียงวันเดียว ราชสำนักก็ไม่อาจขาดตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้แม้เพียงวันเดียวเช่นกัน""ตอนนี้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้กลายเป็นกบฏไปแล้ว ภาระทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่กระหม่อม ความจริงแล้ว..."เมื่อซูลี่เหวินพูดจบ ขุนนางจากสายตระกูลขุนนางคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มในใจ "ตาเฒ่า เผยหางจิ้งจอกของตัวเองออกมาแล้วสินะ!"ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการแบ่งแยกอำนาจของอัครมหาเสนาบดี แล้วเจ้ากลับมาแสดงออกอย่างเปิดเผยเช่นนี้เพื่อขออำนาจอีกครึ่งหนึ่ง นี่ไม่ใช่การอวดอำนาจที่ได้รับความโปรดปรานหรอกหรือ?"อวิ๋นฝานเองก็มีสีหน้าเข้มขึ้น "แล้วตามความเห็นของท่านซู ข้าควรจัดการเช่นไรดี?""มิกล้า!""แต่กระหม่อมขอเสนอให้ฉวยโอกาสนี้ยกเลิกระบบอัครมหาเสนาบดีที่ล้าหลังและเน่าเฟะนี้อ
"แต่..."มู่ซือหลิงเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา สีหน้าดูลังเล เหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่พูดอวิ๋นฝานขมวดคิ้ว "มีอะไรก็พูดมา อย่ามัวทำอ้ำๆ อึ้งๆ""อ้อ เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท จู่ๆ กระหม่อมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีญาติห่างๆ เพศชายคนหนึ่ง แม้เขาจะไม่ใช่นักรบเหมือนกระหม่อม แต่เขาก็เป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียง""บัณฑิตหรือ?"อวิ๋นฝานสนใจขึ้นมาทันที "สิ่งที่ข้าขาดอยู่ตอนนี้ก็คือบัณฑิตนี่แหละ!""เขาเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากที่ใด?""บางทีฝ่าบาทอาจเคยได้ยินชื่อญาติห่างๆ คนนี้ของกระหม่อมมาก่อน..."สีหน้ามู่ซือหลิงปรากฏแววภาคภูมิใจ "หนึ่งในสิบบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงของเจียงหนาน มู่หลิงอี๋!"อวิ๋นฝานอึ้งไปชั่วขณะเขาไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้มาก่อนเลยจริงๆแต่ในฐานะฮ่องเต้ เขาจะยอมรับได้อย่างไรว่าไม่รู้จักหนึ่งในสิบบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงของเจียงหนานแววตาของอวิ๋นฝานปรากฎความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนกระแอมเบาๆ "ก็พอคุ้นๆ อยู่บ้าง!""เอาอย่างนี้ เจ้าไปพาเขามาพบข้า ข้าอยากพบหน้าบัณฑิตแห่งเจียงหนานผู้นี้สักหน่อย!""เอ่อ..."มู่ซือหลิงดูอึดอัดเล็กน้อย "ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่า...อาจเชิญเขามาไม่ไ
"มิได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!""ท่านอ๋อง หากพระองค์เป็นอะไรไป แล้วพวกกระหม่อม รวมถึงประชาชนต้าหมิงที่อยู่ในด่านทางใต้นี้จะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ!"อวิ๋นซวี่กำลังจะชักดาบก้าวออกไป แต่กลับถูกแม่ทัพใต้สังกัดของตนขัดขวางอย่างพร้อมเพียงอวิ๋นซวี่หัวเราะด้วยความโมโห "ขนาดไอ้ฮ่องเต้โง่เง่าที่เมืองหลวงยังสามารถลงสนามรบเองได้ แล้วเหตุใดตัวข้าจะทำไม่ได้!"เมื่ออวิ๋นซวี่พูดจบ แม่ทัพทั้งหลายก็เงียบกริบ ถึงอวิ๋นซวี่จะกล้าดูหมิ่นฮ่องเต้ แต่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงฮ่องเต้จะเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นฮ่องเต้อยู่ดี ความผิดฐานกบฏเป็นสิ่งที่พวกเขารับผิดชอบไม่ไหว"พวกเจ้าจงหลีกทางให้ข้า!"อวิ๋นซวี่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง แสดงถึงความโกรธจัดเหล่าแม่ทัพจึงต้องหลีกทางให้อย่างจนใจในฐานะเจ้าเมืองใต้ อวิ๋นซวี่มีฝีมือการต่อสู้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองเหนือ เมื่อลงสนามรบไปไม่นานก็สังหารศัตรูได้หลายคนแต่จำนวนของชนเผ่าที่โจมตีเมืองนั้นมีมากเกินไป อีกทั้งแต่ละคนก็กล้าหาญไม่กลัวตาย เพียงเวลาไม่นาน อวิ๋นซวี่ก็แทบจะหมดแรงไม่เพียงแค่อวิ๋นซวี่ แต่ทหารรักษาดินแดงทางใต้คนอื่นๆ ก็เริ่มอ่อนล้าทีละ
"เดิมทีข้าก็คิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ..."อวิ๋นฝานแอบถอนหายใจเบาๆ "แต่ข้ากลับพบว่า ในต้าหมิงที่ยิ่งใหญ่นี้ กลับไม่มีผู้ที่ข้าสามารถใช้งานได้เลย!""หากข้ากวาดล้างตระกูลขุนนางทั้งหมดจริงๆ อาณาจักรต้าหมิงของข้าก็คงเหลือเพียงเปลือกนอกที่กลวงเปล่า!""เช่นนั้น ความตั้งใจของฝ่าบาทคือ?"เฉินเฟิงลองคาดเดา "ให้เหลือตระกูลขุนนางบางส่วนไว้?""ถูกต้อง!"อวิ๋นฝานค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนพยักหน้า "ข้าวางแผนจะใช้กลยุทธ์ขับเสือกัดหมาป่า!""ขับเสือกัดหมาป่า?"ซูลี่เหวินที่ยังไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้ามา ดวงตาเป็นประกาย "ฝ่าบาททรงหมายถึง...ปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันเอง แล้วเลือกผู้ที่ดีที่สุดจากในนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?""ท่านซูช่างรู้ใจข้ายิ่ง!"อวิ๋นฝานหัวเราะเสียงดัง ก่อนกล่าวเสริม "แต่สิ่งที่ท่านซูพูดเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของแผนการของข้าเท่านั้น!""ข้าวางแผนจะกวาดล้างตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งทั้งหมด และสนับสนุนตระกูลขุนนางชั้นสองให้ขึ้นมาแทน!""ด้วยวิธีนี้ อำนาจของตระกูลขุนนางก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก และพวกเขาก็จะแตกคอกันอย่างหนัก!""แน่นอนว่า เงื่อนไขสำคัญของทุกอย่างคือ ต้องยกเลิกกองทหารส่วนตัวของตระกูลขุนนางทั้งหมด!"
ตระกูลอวี๋ หนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งแห่งเมืองหลวงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความวุ่นวายที่ตระกูลหลิงและกบฏอู่เวยสร้างขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นอำนาจสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามในเมืองหลวงยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากหัวหน้าตระกูลอวี๋ในยุคนี้มีความเชี่ยวชาญในการวางตัว อวิ๋นฝานจึงยังหาหลักฐานใดๆ มาจับผิดไม่ได้นอกจากนี้ ตระกูลอวี๋ยังมีกองทัพส่วนตัวหนึ่งหมื่นนายที่ติดอาวุธครบครัน และควบคุมพ่อค้ากว่าสามส่วนในเมืองหลวงถือได้ว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งอย่างแท้จริงและเป็นตระกูลเดียวในบรรดาตระกูลขุนนางที่ยังไม่ถูกอวิ๋นฝานเล่นงานภายในห้องโถงของจวนตระกูลอวี๋"ท่านหัวหน้าตระกูล! เพิ่งได้รับข่าวมาว่า ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยจะให้บุตรหลานของตระกูลขุนนางบางส่วนยังคงรับราชการในราชสำนักต่อไป!"บุตรชายคนโตของหัวหน้าตระกูลอวี๋ อวี๋ซวี่เยียน เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยความยินดี ขณะที่อวี๋เหวินซิน หัวหน้าตระกูลที่กำลังเดินวนไปมาด้วยความกังวล ถึงกับตาลุกวาว รีบถามว่า"ฝ่าบาทได้ตรัสหรือไม่ว่าจะเหลือใครไว้บ้าง? มีข้อกำหนดอะไรหรือไม่?""อืม...ท่านพ่อ ลูกยังไม่ได้สืบเรื่องนี้..."อวี๋ซวี่เยียนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว "แ
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับต้าหมิงและตระกูลขุนนางนับไม่ถ้วนเช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีพื้นที่สำหรับเจรจา?ในระหว่างการเจรจา มีเพียงการเพิ่มคุณค่าของตนเองและข้อเรียกร้องให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงจะได้ผลประโยชน์มากขึ้น"ช่างเถิด...พ่อแก่แล้ว บางเรื่องเจ้าก็ต้องเผชิญด้วยตัวเอง"อวี๋เหวินซินถอนหายใจในใจ แสดงความจริงใจมากหน่อยก็ดี เขาตบไหล่อวี๋ซวี่เยียนเบาๆ "ไปเถอะ นำพัดพับของพ่อไป อนาคตของตระกูลอวี๋ ฝากไว้ในมือเจ้าแล้ว!"หลายชั่วยามต่อมา ณ จวนตระกูลซูเดิมตระกูลซูไม่มีจวนเป็นของตนเอง แม้ในช่วงรุ่งเรือง ตระกูลซูก็ยังคงยึดมั่นในความซื่อสัตย์และไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างไรก็ตาม เมื่อซูลี่เหวินได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียง มีเรื่องราวต่างๆ มากมายต้องจัดการ อวิ๋นฝานจึงพระราชทานจวนหลังหนึ่งให้และในตอนนี้ จวนตระกูลซูก็ได้เข้ามาแทนที่จวนตระกูลหลิง กลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง มีทั้งตระกูลขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้น้อย และผู้คนมากมายเดินทางมาเพื่อขอพบจนถึงเวลาเที่ยง ในที่สุดซูลี่เหวินก็ส่งแขกกลุ่มสุดท้ายออกไป และได้มีเวลาพักดื่มน้ำชาบ้าง"นายท่าน บุตรชายคนโตของตระกูล
"ลดกำลังทหาร?"อวี๋ซวี่เยียนชะงักไป พลางคิดในใจว่าฝ่าบาทกำลังขาดแคลนกำลังทหาร เหตุใดจึงคิดที่จะลดกำลังอีก..."ใช่แล้ว!"ซูลี่เหวินทำสีหน้าจริงจัง "ฝ่าบาทตรัสว่า จำนวนทหารในเมืองหลวงมีมากเกินไป แถมยังถูกกระจายไปตามจวนของตระกูลขุนนาง เป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์!"อวี๋ซวี่เยียนเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที เหงื่อเย็นชุ่มลำคอ ฝ่าบาทต้องการยกเลิกกองทัพส่วนตัวของตระกูลขุนนาง!ต้องรู้ว่าหากรวมกองทัพส่วนตัวของตระกูลขุนนางทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว อย่างน้อยก็คงมีถึงหนึ่งแสนนาย!หากตระกูลขุนนางทั้งหมดร่วมมือกัน การล้มล้างราชบัลลังก์ก็เป็นเรื่องง่ายดาย!"ท่านอัครมหาเสนาบดีซู การกระทำของฝ่าบาทครั้งนี้...ออกจะเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือไม่ขอรับ..."อวี๋ซวี่เยียนลดเสียงต่ำ "ข้าเองก็เป็นบุตรหลานของตระกูลขุนนาง แต่ใจข้าฝักใฝ่ต้าหมิง ทุกสิ่งที่ข้าทำก็เพื่อต้าหมิง การกระทำของฝ่าบาทครั้งนี้ อาจบีบให้ตระกูลขุนนางทั้งหมดลุกฮือขึ้นมาต่อต้านก็เป็นได้...!"เพียงแค่พูดไม่กี่คำ อวี๋ซวี่เยียนก็แสดงท่าทีแยกตัวออกจากตระกูลขุนนางอื่นๆ และแม้กระทั่งตระกูลอวี๋ของเขาเองด้วยแล้ว ดูแล้วช่างเหมือนสุนัขรับใช้เสียจริงซ
"ท่านแม่ทัพหู พวกเราควรทำอย่างไร?"หูอู่จื่อกลืนน้ำลายอย่างลำบาก จะทำอย่างไรน่ะหรือ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!ตั้งแต่อ๋องอู่เวยควบคุมกองทัพทั่วประเทศ เขาก็ไม่เคยต้องออกรบอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ป้องกันเมืองก็ยิ่งไม่เคยทำ!หูอู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ตัวว่านี่คือภารกิจสำคัญในยามวิกฤติ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือเอาชนะเผ่าม่านหรือพ่ายแพ้พร้อมความตาย"กู่ฉวี่ ข้าขอสั่งเจ้านำกองทัพหนึ่งแสนขึ้นไปป้องกันบนกำแพงเมือง พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันเมืองทั้งหมด!"หูอู่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่เขายังหนุ่ม "ส่วนตัวข้าจะนำกองทัพออกไปปราบกบฏตระกูลหลิงด้วยตนเอง!"…ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักบรรทม เมืองหลวงอวิ๋นฝานกำลังหารือเรื่องสำคัญร่วมกับสี่ขุนนางคนสนิท ได้แก่ มู่ซือหลิง ตู้จื่อหมิง เฉินเฟิง และซูลี่เหวินแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งหกกรมแล้ว แต่ขุนนางคนสนิทที่อวิ๋นฝานไว้วางใจจริงๆ ก็ยังมีเพียงสี่คนนี้โดยเฉพาะมู่ซือหลิง ซึ่งเป็นผู้ดูแลหออันอี้ที่รับผิดชอบด้านความสงบเรียบร้อยและข่าวกรองในเมืองหลวง"ฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกองทัพสองแสนท
อวิ๋นซวี่ในฐานะเจ้าชายของราชวงศ์ต้าหมิง ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ เขากัดฟัน ปล่อยดาบออกจากมือ กำหมัดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของต้วนเนี่ยนโดยตรง!ต้วนเนี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นซวี่จะห้าวหาญถึงเพียงนี้ จึงลืมตั้งรับไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้อวิ๋นซวี่ถูกดาบแทง ส่วนต้วนเนี่ยนก็ถูกหมัดอัดไปเต็มแรง ทั้งสองถอยหลังออกจากกัน"ตึก ตึก ตึก..."เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ อวิ๋นซวี่กวาดตามองอย่างเย็นชา เห็นตัวอักษร "หลิง" ที่หมวกเกราะของพวกนั้นก็พลันอุทานขึ้นมา "พวกแกคือพวกกบฏตระกูลหลิง!""ไอ้แก่ ฝีมือใช้ได้ทีเดียวหนิ!"ต้วนเนี่ยนไม่สนใจอวิ๋นซวี่แม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นเองว่า "นี่ข้าแค่ใช้พลังไปแปดส่วนเท่านั้น!"อวิ๋นซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย โกรธจัดในใจ "ไอ้เด็กปากดี เจ้ากล้าพูดโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นถูกตัดลิ้นหรือไร!"อวิ๋นซวี่พูดจบก็เงื้อดาบพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้แขนขวาถูกดาบแทง หรือแม้แขนขวาทั้งแขนจะถูกตัด เขาก็ยังกล้าถือดาบเข้าฟาดฟัน!นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างนักสู้ในยุทธภพและทหารในสมรภูมิต้วนเนี่ยนยกดาบยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาถือในมืออย่างนิ่งสงบ แล้วฟันเข้าใส่อวิ๋นซวี่อย่างแรง!
เพราะอวิ๋นซวี่ได้แจ้งกับกองกำลังป้องกันภายในของด่านทางใต้ไว้แล้ว หูอู่จื่อจึงสามารถนำทัพเข้าสู่ด่านทางใต้ได้อย่างง่ายดายหลังจากเข้ามาในด่านทางใต้ได้ เขาก็ไม่ทันได้จัดระเบียบกองทัพ รีบรุดไปพบอวิ๋นซวี่เพียงลำพังเมื่อเขาได้ยินว่าอวิ๋นซวี่ขึ้นไปตีกลองศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือราชวงศ์ต้าหมิงทุกคนจะดุดันถึงเพียงนี้?"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะท่านอ๋อง!"หูอู่จื่อมีใบหน้ามอมแมมด้วยฝุ่น เกราะของเขาก็ชำรุดจากการเดินทาง แต่อวิ๋นซวี่ยังคงตีระฆังศึก หูอู่จื่อคิดว่าอวิ๋นซวี่ไม่ได้ยิน จึงกล่าวซ้ำอีกครั้ง"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะ…""ข้าได้ยินแล้ว!"อวิ๋นซวี่มีดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง"กู่ฉวี่!""พาแม่ทัพหูไปพักผ่อน!""กระหม่อมยังไหว!"อวิ๋นซวี่เหวี่ยงไม้ตีกลองเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทำลายกลองทั้งใบ กู่ฉวี่ไม่กล้าชักช้า แต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นซวี่ จึงสั่งให้ทหารล้อมรอบเขาไว้"ตึง!"เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น กลองยักษ์สูงห้าเมตรที่ทำจากหนังวัว ถูกอวิ๋นซวี่ตีจนแตก!หูอู่จื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเลือดลมสูบฉีด
ในที่สุดต้วนเนี่ยนก็ขมวดคิ้ว "หัวหน้าตระกูลหลิง ข้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเมืองใต้ไม่น่าจะเทียบกับวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าได้แต่หากท่านกล้ารับรองว่าหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าเมืองใต้แล้ว ท่านจะมอบวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าให้ ข้าก็ตกลง!""ข้ารับรอง" หลิงหงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต ก่อนพึมพำกับตัวเอง "เจ้าเมืองใต้ ตาเฒ่านั่นไม่คุ้มค่า แต่ด่านทางใต้นั้นคุ้ม!"หลิงหงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับพบว่าต้วนเนี่ยนที่อยู่ด้านหลังได้หายตัวไปแล้ว"เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ"หลิงหงเซวียนส่ายศีรษะก่อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ "ปาคู่!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ชาวม่านใต้ ผิวสีคล้ำ ก้าวออกมาจากความมืด "หัวหน้าตระกูลหลิง มีอะไรจะสั่งขอรับ?"ชายร่างใหญ่พูดภาษาจงหยวนได้อย่างตะกุกตะกัก แต่หลิงหงเซวียนกลับไม่ได้ใส่ใจ "ไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เตรียมเปิดศึกใหญ่โจมตีด่านทางใต้!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ถอยกลับไป สายตาของหลิงหงเซวียนยังคงจับจ้องไปที่ค่ายของกองทัพหูอู่ในระยะไกล ดวงตาแดงก่ำ ความอาฆาตพุ่งพล่านจนแทบมองเห็นเป็นรูปร่าง…วันถัดมา ทหารในกองทัพของหูอู่จื่อที่ติดโรคระบาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หูอู่
ขณะที่ทหารด่านทางใต้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสนามรบ ที่หมู่บ้านซิงเถียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ก็มีกำลังพลสองแสนนายกำลังรวมตัวกันก่อนหน้านี้ไม่นาน หูอู่จื่อได้รับจดหมายจากตู้จื่อหมิง แม้เขาจะมีคนสนิทที่ให้แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เลือกที่จะจับตาดูสถานการณ์ก่อนจนกระทั่งอวิ๋นฝานประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งแผ่นดิน หูอู่จื่อจึงตัดสินใจสนับสนุนด่านทางใต้ส่วนเกาจื๋อกับซวี่เหวิน สองคนนี้ได้กลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบของหูอู่จื่อไปนานแล้วกองทัพสองแสนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตกองทัพของคนทั้งสอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นทหารใหม่พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางใต้"เคลื่อนทัพ!"หูอู่จื่อโบกมือแล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าศึกของเขาก่อนจะพุ่งทะยานออกไป กองทัพสองแสนคนด้านหลังเขาก็เริ่มเคลื่อนพลในเส้นทางที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรเส้นทางในเขตทางใต้เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหลุมบ่อซับซ้อน ด้วยความเร็วของหูอู่จื่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึงด่านทางใต้คืนนั้น ที่ค่ายของกองทัพหูอู่กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถือสิ่งของบางอย่าง เดินอย่
"ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูลี่เหวินเคยเป็นขุนนางผู้กระทำผิด แต่เนื่องด้วยเขาขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทย!"ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทยมีหน้าที่ควบคุมข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง หรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนต้องรายงานต่อกรมมหาดไทย"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!""ตู้จื่อหมิง รับพระราชโองการ!""กระหม่อมขอน้อมรับพระราชโองการด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!""แม่ทัพตู้จื่อหมิง แม้จะเคยเป็นขุนนางในกลุ่มกบฎอู่เวย แต่ด้วยไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ และยังมีจิตใจภักดีต่อต้าหมิง ทั้งยังปราบกบฏในเมืองหลวงถึงสองครั้ง มีคุณความชอบมากกว่าความผิด จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมกลาโหม!""ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ตู้จื่อหมิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเขาเคยคิดว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เลื่อนถึงขั้นเป็นเสนาบดีว่าการกรมกลาโหมในคราวเดียวเช่นนี้!"ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง
ซูหว่านซินหน้าแดงจัดด้วยความเขินอาย สายตาเลิ่กลั่กหลบหลีก ขณะที่หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะนางรู้สึกเหมือนนางกำนัลและขันทีในสวนดอกไม้ต่างกำลังจับจ้องมาที่นางด้วยความอาย นางพยายามใช้มือดันอวิ๋นฝานให้ออกไป แต่เพราะแรงน้อยเกินไป ทำให้อวิ๋นฝานเข้าใจผิดว่านางกำลังออดอ้อนอวิ๋นฝานดีใจยกใหญ่ เขาคิดว่าหญิงสาวในยุคนี้ช่างไร้เดียงสา เพียงคำหวานเรียบง่ายก็ทำให้พวกนางพอใจได้"หว่านเอ๋อร์ คืนนี้รอข้ากลับมานะ"อวิ๋นฝานรีบใช้โอกาสนี้ จูบหน้าผากซูหว่านซินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหลบออกไปทันทีโดยไม่รอให้นางได้ตั้งตัวซูหว่านซินยืนนิ่งมองตามหลังอวิ๋นฝานอยู่นานกว่าจะได้สติ ความรู้สึกหลากหลายตีวนในใจ...ฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน...อวิ๋นฝานเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์เต็มยศ แล้วหันไปบอกเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "แจ้งเหล่าขุนนางทุกคนว่าข้าจะจัดประชุมขุนนางเช้า!"เสี่ยวลิ่วจื่อไม่กล้าขัด รีบเดินออกจากตำหนักบรรทมไปแจ้งข่าวกับเหล่าขุนนางทันทีเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้าแล้ว ซึ่งเลยเวลาประชุมเช้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นฝานมิใช่คนเดิมอีกต่อไป ราชสำนักทั้งปวงอยู่ในกำ
เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝานรู้สึกสดชื่นแจ่มใสในระหว่างการต่อสู้เมื่อคืนที่ผ่านมา อวิ๋นฝานฉวยโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวเย้ายวนคนนี้เจิ้งจี อดีตสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของตัวเขาในอดีตตัวนางเป็นผลผลิตจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต้าจ้าวที่พ่ายแพ้สงครามกับอาณาจักรต้าหมิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ราชสำนักต้าหมิงยังไม่เสื่อมโทรม เคยมีขุนนางอาวุโสหลายคนเตือนให้เขาในอดีตอยู่ให้ห่างจากเจิ้งจีแต่ร่างเดิมซึ่งเป็นผู้หลงใหลในตัณหา กลับฟังเจิ้งจีทุกอย่าง แม้แต่การเสื่อมโทรมลงของราชสำนักต้าหมิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับนาง"ฝ่าบาท..."เสียงที่อ่อนโยนและเย้ายวนของเจิ้งจีดังแผ่วผ่านเข้าหูของอวิ๋นฝาน ลมหายใจอุ่นๆ ของนางทำให้เขารู้สึกจักจี้ที่หูในขณะนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือ "ลมจากหมอนข้าง""ที่รัก เจ้าตื่นแล้วหรือ?"แม้อวิ๋นฝานจะมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่าต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ชื่นชมความงามนั้น!"ฝ่าบาท~ หม่อมฉันมีคำขอหนึ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไร..."ดวงตาของเจิ้งจี
หลิงหงเซวียนหน้าแดงด้วยความโกรธ ขบฟันแน่นขณะข่มขู่อวิ๋นฝานอย่างดุร้ายว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น! ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าไป ถ้าลูกศิษย์และลูกหลานข้ารู้ว่าข้าตายแล้ว เจ้าคงรักษาแผ่นดินต้าหมิงเอาไว้ไม่ได้แน่!"เมื่ออวิ๋นฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป หลิงหงเซวียนเห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายกลัว จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักขึ้น"เจ้าบ้าอวิ๋น ไม่สู้เจ้ายอมสยบให้ข้าดีกว่า รอให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้ ข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าก็ได้เป็นอ๋องต่างแซ่ ฮ่าฮ่าฮ่า…""ตายซะ!"อวิ๋นฝานคำรามต่ำ เอาดาบหมิงตี้ในมือแทงตรงไปที่หลิงหงเซวียน เสียงหัวเราะของหลิงหงเซวียนหยุดชะงักทันที เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!"เคร้ง!"แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นฝานขุ่นเคืองคือ หลิงหงเซวียนราวกับได้รับความช่วยเหลือจากภูติผี ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ดาบหมิงตี้กลับถูกดาบหักเล่มหนึ่งปัดกระเด็นออกไปได้อวิ๋นฝานกำลังจะควบม้าพุ่งไปเพื่อเหยียบหลิงหงเซวียนให้ตาย แต่ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ต่อมาอวิ๋นฝานก็รู้สึกตาพร่ามัว เมื่อมองดูอีกครั้ง หลิงหงเซวียนก็หายตัวไปแล้ว!"ยอดฝีมือ!"อวิ๋นฝานชะงักไป สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง