ตระกูลอวี๋ หนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งแห่งเมืองหลวงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความวุ่นวายที่ตระกูลหลิงและกบฏอู่เวยสร้างขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นอำนาจสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามในเมืองหลวงยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากหัวหน้าตระกูลอวี๋ในยุคนี้มีความเชี่ยวชาญในการวางตัว อวิ๋นฝานจึงยังหาหลักฐานใดๆ มาจับผิดไม่ได้นอกจากนี้ ตระกูลอวี๋ยังมีกองทัพส่วนตัวหนึ่งหมื่นนายที่ติดอาวุธครบครัน และควบคุมพ่อค้ากว่าสามส่วนในเมืองหลวงถือได้ว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งอย่างแท้จริงและเป็นตระกูลเดียวในบรรดาตระกูลขุนนางที่ยังไม่ถูกอวิ๋นฝานเล่นงานภายในห้องโถงของจวนตระกูลอวี๋"ท่านหัวหน้าตระกูล! เพิ่งได้รับข่าวมาว่า ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยจะให้บุตรหลานของตระกูลขุนนางบางส่วนยังคงรับราชการในราชสำนักต่อไป!"บุตรชายคนโตของหัวหน้าตระกูลอวี๋ อวี๋ซวี่เยียน เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยความยินดี ขณะที่อวี๋เหวินซิน หัวหน้าตระกูลที่กำลังเดินวนไปมาด้วยความกังวล ถึงกับตาลุกวาว รีบถามว่า"ฝ่าบาทได้ตรัสหรือไม่ว่าจะเหลือใครไว้บ้าง? มีข้อกำหนดอะไรหรือไม่?""อืม...ท่านพ่อ ลูกยังไม่ได้สืบเรื่องนี้..."อวี๋ซวี่เยียนลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว "แ
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับต้าหมิงและตระกูลขุนนางนับไม่ถ้วนเช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีพื้นที่สำหรับเจรจา?ในระหว่างการเจรจา มีเพียงการเพิ่มคุณค่าของตนเองและข้อเรียกร้องให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงจะได้ผลประโยชน์มากขึ้น"ช่างเถิด...พ่อแก่แล้ว บางเรื่องเจ้าก็ต้องเผชิญด้วยตัวเอง"อวี๋เหวินซินถอนหายใจในใจ แสดงความจริงใจมากหน่อยก็ดี เขาตบไหล่อวี๋ซวี่เยียนเบาๆ "ไปเถอะ นำพัดพับของพ่อไป อนาคตของตระกูลอวี๋ ฝากไว้ในมือเจ้าแล้ว!"หลายชั่วยามต่อมา ณ จวนตระกูลซูเดิมตระกูลซูไม่มีจวนเป็นของตนเอง แม้ในช่วงรุ่งเรือง ตระกูลซูก็ยังคงยึดมั่นในความซื่อสัตย์และไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างไรก็ตาม เมื่อซูลี่เหวินได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียง มีเรื่องราวต่างๆ มากมายต้องจัดการ อวิ๋นฝานจึงพระราชทานจวนหลังหนึ่งให้และในตอนนี้ จวนตระกูลซูก็ได้เข้ามาแทนที่จวนตระกูลหลิง กลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง มีทั้งตระกูลขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้น้อย และผู้คนมากมายเดินทางมาเพื่อขอพบจนถึงเวลาเที่ยง ในที่สุดซูลี่เหวินก็ส่งแขกกลุ่มสุดท้ายออกไป และได้มีเวลาพักดื่มน้ำชาบ้าง"นายท่าน บุตรชายคนโตของตระกูล
"ลดกำลังทหาร?"อวี๋ซวี่เยียนชะงักไป พลางคิดในใจว่าฝ่าบาทกำลังขาดแคลนกำลังทหาร เหตุใดจึงคิดที่จะลดกำลังอีก..."ใช่แล้ว!"ซูลี่เหวินทำสีหน้าจริงจัง "ฝ่าบาทตรัสว่า จำนวนทหารในเมืองหลวงมีมากเกินไป แถมยังถูกกระจายไปตามจวนของตระกูลขุนนาง เป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์!"อวี๋ซวี่เยียนเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที เหงื่อเย็นชุ่มลำคอ ฝ่าบาทต้องการยกเลิกกองทัพส่วนตัวของตระกูลขุนนาง!ต้องรู้ว่าหากรวมกองทัพส่วนตัวของตระกูลขุนนางทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว อย่างน้อยก็คงมีถึงหนึ่งแสนนาย!หากตระกูลขุนนางทั้งหมดร่วมมือกัน การล้มล้างราชบัลลังก์ก็เป็นเรื่องง่ายดาย!"ท่านอัครมหาเสนาบดีซู การกระทำของฝ่าบาทครั้งนี้...ออกจะเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือไม่ขอรับ..."อวี๋ซวี่เยียนลดเสียงต่ำ "ข้าเองก็เป็นบุตรหลานของตระกูลขุนนาง แต่ใจข้าฝักใฝ่ต้าหมิง ทุกสิ่งที่ข้าทำก็เพื่อต้าหมิง การกระทำของฝ่าบาทครั้งนี้ อาจบีบให้ตระกูลขุนนางทั้งหมดลุกฮือขึ้นมาต่อต้านก็เป็นได้...!"เพียงแค่พูดไม่กี่คำ อวี๋ซวี่เยียนก็แสดงท่าทีแยกตัวออกจากตระกูลขุนนางอื่นๆ และแม้กระทั่งตระกูลอวี๋ของเขาเองด้วยแล้ว ดูแล้วช่างเหมือนสุนัขรับใช้เสียจริงซ
"ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือ" ซูลี่เหวินกล่าวพร้อมตบหีบสัมฤทธิ์เบาๆ "ด้วยความจริงใจเต็มหีบนี้ ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องทรงตอบรับแน่""ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีซูๆ!"อวี๋ซวี่เยียนดีใจสุดขีด เมื่อเห็นซูลี่เหวินยกถ้วยชาขึ้น เขาจึงรีบลุกขึ้นขอตัวออกไปหลังจากอวี๋ซวี่เยียนออกไปแล้ว ซูลี่เหวินก็สั่งให้คนเตรียมรถม้า เพื่อเดินทางไปเข้าเฝ้าอวิ๋นฝานที่ตำหนักบรรทม"เจ้าหมายความว่า ตระกูลอวี๋ยินดีมอบที่ดินเกือบทั้งหมดเพียงเพื่อความอยู่รอดหรือ?"อวิ๋นฝานวางพู่กันลง จ้องมองไปที่ซูลี่เหวินอย่างแน่วแน่ "แล้วท่านอัครมหาเสนาบดีซูตอบเขาไปว่าอย่างไร?"ซูลี่เหวินค้อมตัวและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังด้วยความเคารพอวิ๋นฝานก้มศีรษะคิดอยู่ครู่หนึ่ง "อืม...เจ้ากลับไปบอกอวี๋ซวี่เยียน ให้เขากำจัดตระกูลทั้งห้านั้นไปเสีย""หา?" ซูลี่เหวินถึงกับอึ้งไป "นี่...จะเหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ?""ในเมื่อจะล้มล้างตระกูลขุนนางทั้งหมด ก็ต้องใช้กำลังทหาร!"อวิ๋นฝานประสานมือวางไว้ตรงหน้า "นี่คือก้าวสำคัญที่สุดในการทำให้ราชสำนักมั่นคง และเป็นก้าวสุดท้ายที่ข้าจะควบคุมราชสำนักได้อย่างสมบูรณ์!""ตระกูลขุนนางที่ไม่มีทหารส่วนตัว ก็เหมือน
"ที่ข้าเรียกเจ้ามา ก็เพราะเรื่องนี้!"เฉินเฟิงมีสีหน้าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยความเคารพ "ฝ่าบาทบัญชามาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ!""ง่ายมาก เกณฑ์ทหาร!"อวิ๋นฝานมีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง "ตอนนี้ ข้ามีกองทัพในมือเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ในขณะที่ช่วงที่กลุ่มอำนาจอู่เวยครองอำนาจ พวกเขามีกองทัพถึงสามล้านนาย!""ตอนนี้เผ่าม่านใต้ก็กำลังบุกรุกด่านทางใต้ เป็นช่วงเวลาที่ต้องการกำลังพล ข้าต้องการให้เจ้าเกณฑ์ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายภายในสามวัน!""หนึ่งแสนห้าหมื่น?"เฉินเฟิงตกใจ "ฝ่าบาท...นี่...กระหม่อมคงไร้ความสามารถเกินไป การเกณฑ์ทหารถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นนายในสามวันนั้นช่าง...""ฟังข้าให้จบก่อน" อวิ๋นฝานโบกมือส่งสัญญาณ "ข้าย่อมรู้ว่าในสามวันจะเกณฑ์ทหารให้ครบหนึ่งแสนห้าหมื่นนายมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นข้าได้เตรียมแหล่งกำลังพลไว้ให้เจ้าแล้ว!""แหล่งกำลังพล?" เฉินเฟิงถามด้วยความสงสัย"ถูกต้อง แหล่งกำลังพลนี้ก็คือเหล่าทหารส่วนตัวของตระกูลขุนนาง!"อวิ๋นฝานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ถึงข้าจะจัดการล้มล้างตระกูลขุนนางไปแล้วครึ่งหนึ่ง ก็ยังมีทหารส่วนตัวอีกห้าหมื่นนายที่ไร้ที่ไป!""และพ
ตู้จื่อหมิงส่ายหน้าทันที "เวลากระชั้นชิดเกินไป แม้ว่าข้าจะสามารถเกลี้ยกล่อมแม่ทัพเหล่านั้นได้ในเวลาหนึ่งวัน แต่การจะจัดระเบียบและรวมกำลังพลในเมืองหลวง จากนั้ยก็เคลื่อนทัพไปยังด่านทางใต้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกสามวัน!""แต่นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท"เฉินเฟิงยักไหล่ "และแม่ทัพตู้ก็น่าจะรู้ดีว่าด่านทางใต้นั้นสำคัญเพียงไหนใช่หรือไม่?""หากด่านทางใต้ถูกเผ่าม่านใต้ตีแตกได้ ด้วยกำลังของต้าหมิงในตอนนี้..."ตู้จื่อหมิงถอนหายใจและพูดขัดเฉินเฟิงขึ้น "ช่างเถอะ! ข้าจะหาทางเอง!"หลังจากเฉินเฟิงจากไป ตู้จื่อหมิงก็ขมวดคิ้วแน่นและเดินไปมาในห้องด้วยความกระวนกระวายแล้วจู่ๆ ตู้จื่อหมิงก็นึกขึ้นได้ ฝ่าบาทไม่ได้กำหนดว่าต้องให้เขาเกลี้ยกล่อมกองทัพใกล้เมืองหลวงเท่านั้นหนิ!เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงไม่สามารถไปเกลี้ยกล่อมอดีตกองทัพอู่เวยที่ด่านทางใต้ได้เล่า?ดวงตาของตู้จื่อหมิงเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ เขาหยิบกระดาษและพู่กันออกมาเขียนจดหมายสามฉบับ แต่เมื่อกำลังจะเรียกบ่าวรับใช้ก็กลับลังเลหากส่งจดหมายสามฉบับนี้ไปด้วยวิธีการปกติ เกรงว่ากว่าจะไปถึงคงกินเวลานานจนไม่ทันการณ์แน่ถึงตอนนั้นเกรงว่าด่านทางใต้ก็คงถูกต
"โอ๊ะ?" มู่ซือหลิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "แม่ทัพตู้แน่ใจได้อย่างไรว่า แม่ทัพทั้งสามนายที่ท่านพูดถึงจะยอมสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาท?""บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าแม่ทัพสองนายแรกจะยอมสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทหรือไม่"ตู้จื่อหมิงยิ้มเล็กน้อย "แต่แม่ทัพนายสุดท้าย คือหูอู่จื่อ เขาคือพี่น้องร่วมสาบานของข้า ถึงแม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็สนิทกันราวกับพี่น้องแท้ๆ""ยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพสองนายแรกยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพี่น้องร่วมสาบานของข้า เพราะเช่นนี้ พวกเขาก็ย่อมต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาท"มู่ซือหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่นับว่าเป็นวิธีการที่ประหยัดทั้งเวลาและแรงกำลังคนที่สุดในตอนนี้"ว่าแต่แม่ทัพตู้ แม่ทัพหูอู่จื่อที่ท่านพูดถึงนี้...เขามีกำลังพลกี่นายกัน?""หนึ่งแสนนายขึ้นไป!"ตู้จื่อหมิงพูดไปพลางแสดงสายตาชื่นชม "อีกทั้งกำลังพลเหล่านี้ล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่ชำนาญพื้นที่ในท้องถิ่น เหมาะสมที่จะให้จัดการกับพวกชนเผ่าม่านใต้ดีที่สุด!"เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของมู่ซือหลิงก็เป็นประกาย หากเป็นเช่นนี้จริง ก็จะช่วยประหยัดแรงไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!"ดี! พี่ตู้ งานนี้ข้าจะช่วยจัดการให้แน่น
องครักษ์เงาคนหนึ่งรีบรุดเข้ามารายงานรอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นฝานหายไปทันที ราวกับจิตสังหารลุกโชนโหมกระพือพุ่งขึ้นสู่ฟ้า"เรียกเฉินเฟิงมา สวมชุดออกรบให้ข้า!"หลังจากศึกใหญ่สองครั้งที่ผ่านมา อวิ๋นฝานพบว่าชุดฮ่องเต้ค่อนข้าเกะกะ จึงสั่งให้มู่ซือหลิงจัดทำชุดออกรบพิเศษสำหรับเขาโดยเฉพาะมาให้ไม่นานนัก สายลับหลายคนก็ยกชุดรบมาถึงเบื้องหน้าอวิ๋นฝาน ชุดรบนั้นนอกจากจะออกแบบให้พอดีกับสัดส่วนของอวิ๋นฝานแล้ว ยังเสริมเกราะอ่อนในจุดสำคัญด้วย เน้นออกแบบให้มีสีดำทอง ดูหนักแน่นแต่ก็ยังคงความสง่างาม"ฝ่าบาท!"เฉินเฟิงคุกเข่าลงเบื้องหน้า อวิ๋นฝานพยักหน้าเล็กน้อย "นำกองทหารอวี้หลินตามข้าไปจับตัวกบฏหลิง!"ครั้งนี้ อวิ๋นฝานเตรียมการมาอย่างดี ถือไพ่เหนือกว่าในทุกด้าน กองทหารอวี้หลินพันนายต่างขี่ม้าศึกตัวสูงใหญ่ดูสง่างาม ขบวนทัพเคลื่อนผ่านถนนเขตเมืองใต้ดูน่าเกรงขามยิ่งในเวลาเดียวกัน ณ จวนในเขตเมืองใต้ หลิงหงเซวียนกำลังรวมพลคนสนิทในตระกูลหลิง วางแผนทำการปะทะครั้งสุดท้ายกับอวิ๋นฝานอยู่กองกำลังประจำเขตใต้ ภายใต้การนำของกงเจี้ยนสิง ซึ่งเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่รับใช้หัวหน้าตระกูลหลิงมาถึงสามรุ่น นับเป็นไ
"ท่านแม่ทัพหู พวกเราควรทำอย่างไร?"หูอู่จื่อกลืนน้ำลายอย่างลำบาก จะทำอย่างไรน่ะหรือ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!ตั้งแต่อ๋องอู่เวยควบคุมกองทัพทั่วประเทศ เขาก็ไม่เคยต้องออกรบอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ป้องกันเมืองก็ยิ่งไม่เคยทำ!หูอู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ตัวว่านี่คือภารกิจสำคัญในยามวิกฤติ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือเอาชนะเผ่าม่านหรือพ่ายแพ้พร้อมความตาย"กู่ฉวี่ ข้าขอสั่งเจ้านำกองทัพหนึ่งแสนขึ้นไปป้องกันบนกำแพงเมือง พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันเมืองทั้งหมด!"หูอู่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่เขายังหนุ่ม "ส่วนตัวข้าจะนำกองทัพออกไปปราบกบฏตระกูลหลิงด้วยตนเอง!"…ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักบรรทม เมืองหลวงอวิ๋นฝานกำลังหารือเรื่องสำคัญร่วมกับสี่ขุนนางคนสนิท ได้แก่ มู่ซือหลิง ตู้จื่อหมิง เฉินเฟิง และซูลี่เหวินแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งหกกรมแล้ว แต่ขุนนางคนสนิทที่อวิ๋นฝานไว้วางใจจริงๆ ก็ยังมีเพียงสี่คนนี้โดยเฉพาะมู่ซือหลิง ซึ่งเป็นผู้ดูแลหออันอี้ที่รับผิดชอบด้านความสงบเรียบร้อยและข่าวกรองในเมืองหลวง"ฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกองทัพสองแสนท
อวิ๋นซวี่ในฐานะเจ้าชายของราชวงศ์ต้าหมิง ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ เขากัดฟัน ปล่อยดาบออกจากมือ กำหมัดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของต้วนเนี่ยนโดยตรง!ต้วนเนี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นซวี่จะห้าวหาญถึงเพียงนี้ จึงลืมตั้งรับไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้อวิ๋นซวี่ถูกดาบแทง ส่วนต้วนเนี่ยนก็ถูกหมัดอัดไปเต็มแรง ทั้งสองถอยหลังออกจากกัน"ตึก ตึก ตึก..."เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ อวิ๋นซวี่กวาดตามองอย่างเย็นชา เห็นตัวอักษร "หลิง" ที่หมวกเกราะของพวกนั้นก็พลันอุทานขึ้นมา "พวกแกคือพวกกบฏตระกูลหลิง!""ไอ้แก่ ฝีมือใช้ได้ทีเดียวหนิ!"ต้วนเนี่ยนไม่สนใจอวิ๋นซวี่แม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นเองว่า "นี่ข้าแค่ใช้พลังไปแปดส่วนเท่านั้น!"อวิ๋นซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย โกรธจัดในใจ "ไอ้เด็กปากดี เจ้ากล้าพูดโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นถูกตัดลิ้นหรือไร!"อวิ๋นซวี่พูดจบก็เงื้อดาบพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้แขนขวาถูกดาบแทง หรือแม้แขนขวาทั้งแขนจะถูกตัด เขาก็ยังกล้าถือดาบเข้าฟาดฟัน!นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างนักสู้ในยุทธภพและทหารในสมรภูมิต้วนเนี่ยนยกดาบยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาถือในมืออย่างนิ่งสงบ แล้วฟันเข้าใส่อวิ๋นซวี่อย่างแรง!
เพราะอวิ๋นซวี่ได้แจ้งกับกองกำลังป้องกันภายในของด่านทางใต้ไว้แล้ว หูอู่จื่อจึงสามารถนำทัพเข้าสู่ด่านทางใต้ได้อย่างง่ายดายหลังจากเข้ามาในด่านทางใต้ได้ เขาก็ไม่ทันได้จัดระเบียบกองทัพ รีบรุดไปพบอวิ๋นซวี่เพียงลำพังเมื่อเขาได้ยินว่าอวิ๋นซวี่ขึ้นไปตีกลองศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือราชวงศ์ต้าหมิงทุกคนจะดุดันถึงเพียงนี้?"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะท่านอ๋อง!"หูอู่จื่อมีใบหน้ามอมแมมด้วยฝุ่น เกราะของเขาก็ชำรุดจากการเดินทาง แต่อวิ๋นซวี่ยังคงตีระฆังศึก หูอู่จื่อคิดว่าอวิ๋นซวี่ไม่ได้ยิน จึงกล่าวซ้ำอีกครั้ง"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะ…""ข้าได้ยินแล้ว!"อวิ๋นซวี่มีดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง"กู่ฉวี่!""พาแม่ทัพหูไปพักผ่อน!""กระหม่อมยังไหว!"อวิ๋นซวี่เหวี่ยงไม้ตีกลองเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทำลายกลองทั้งใบ กู่ฉวี่ไม่กล้าชักช้า แต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นซวี่ จึงสั่งให้ทหารล้อมรอบเขาไว้"ตึง!"เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น กลองยักษ์สูงห้าเมตรที่ทำจากหนังวัว ถูกอวิ๋นซวี่ตีจนแตก!หูอู่จื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเลือดลมสูบฉีด
ในที่สุดต้วนเนี่ยนก็ขมวดคิ้ว "หัวหน้าตระกูลหลิง ข้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเมืองใต้ไม่น่าจะเทียบกับวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าได้แต่หากท่านกล้ารับรองว่าหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าเมืองใต้แล้ว ท่านจะมอบวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าให้ ข้าก็ตกลง!""ข้ารับรอง" หลิงหงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต ก่อนพึมพำกับตัวเอง "เจ้าเมืองใต้ ตาเฒ่านั่นไม่คุ้มค่า แต่ด่านทางใต้นั้นคุ้ม!"หลิงหงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับพบว่าต้วนเนี่ยนที่อยู่ด้านหลังได้หายตัวไปแล้ว"เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ"หลิงหงเซวียนส่ายศีรษะก่อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ "ปาคู่!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ชาวม่านใต้ ผิวสีคล้ำ ก้าวออกมาจากความมืด "หัวหน้าตระกูลหลิง มีอะไรจะสั่งขอรับ?"ชายร่างใหญ่พูดภาษาจงหยวนได้อย่างตะกุกตะกัก แต่หลิงหงเซวียนกลับไม่ได้ใส่ใจ "ไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เตรียมเปิดศึกใหญ่โจมตีด่านทางใต้!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ถอยกลับไป สายตาของหลิงหงเซวียนยังคงจับจ้องไปที่ค่ายของกองทัพหูอู่ในระยะไกล ดวงตาแดงก่ำ ความอาฆาตพุ่งพล่านจนแทบมองเห็นเป็นรูปร่าง…วันถัดมา ทหารในกองทัพของหูอู่จื่อที่ติดโรคระบาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หูอู่
ขณะที่ทหารด่านทางใต้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสนามรบ ที่หมู่บ้านซิงเถียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ก็มีกำลังพลสองแสนนายกำลังรวมตัวกันก่อนหน้านี้ไม่นาน หูอู่จื่อได้รับจดหมายจากตู้จื่อหมิง แม้เขาจะมีคนสนิทที่ให้แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เลือกที่จะจับตาดูสถานการณ์ก่อนจนกระทั่งอวิ๋นฝานประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งแผ่นดิน หูอู่จื่อจึงตัดสินใจสนับสนุนด่านทางใต้ส่วนเกาจื๋อกับซวี่เหวิน สองคนนี้ได้กลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบของหูอู่จื่อไปนานแล้วกองทัพสองแสนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตกองทัพของคนทั้งสอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นทหารใหม่พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางใต้"เคลื่อนทัพ!"หูอู่จื่อโบกมือแล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าศึกของเขาก่อนจะพุ่งทะยานออกไป กองทัพสองแสนคนด้านหลังเขาก็เริ่มเคลื่อนพลในเส้นทางที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรเส้นทางในเขตทางใต้เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหลุมบ่อซับซ้อน ด้วยความเร็วของหูอู่จื่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึงด่านทางใต้คืนนั้น ที่ค่ายของกองทัพหูอู่กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถือสิ่งของบางอย่าง เดินอย่
"ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูลี่เหวินเคยเป็นขุนนางผู้กระทำผิด แต่เนื่องด้วยเขาขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทย!"ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทยมีหน้าที่ควบคุมข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง หรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนต้องรายงานต่อกรมมหาดไทย"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!""ตู้จื่อหมิง รับพระราชโองการ!""กระหม่อมขอน้อมรับพระราชโองการด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!""แม่ทัพตู้จื่อหมิง แม้จะเคยเป็นขุนนางในกลุ่มกบฎอู่เวย แต่ด้วยไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ และยังมีจิตใจภักดีต่อต้าหมิง ทั้งยังปราบกบฏในเมืองหลวงถึงสองครั้ง มีคุณความชอบมากกว่าความผิด จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมกลาโหม!""ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ตู้จื่อหมิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเขาเคยคิดว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เลื่อนถึงขั้นเป็นเสนาบดีว่าการกรมกลาโหมในคราวเดียวเช่นนี้!"ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง
ซูหว่านซินหน้าแดงจัดด้วยความเขินอาย สายตาเลิ่กลั่กหลบหลีก ขณะที่หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะนางรู้สึกเหมือนนางกำนัลและขันทีในสวนดอกไม้ต่างกำลังจับจ้องมาที่นางด้วยความอาย นางพยายามใช้มือดันอวิ๋นฝานให้ออกไป แต่เพราะแรงน้อยเกินไป ทำให้อวิ๋นฝานเข้าใจผิดว่านางกำลังออดอ้อนอวิ๋นฝานดีใจยกใหญ่ เขาคิดว่าหญิงสาวในยุคนี้ช่างไร้เดียงสา เพียงคำหวานเรียบง่ายก็ทำให้พวกนางพอใจได้"หว่านเอ๋อร์ คืนนี้รอข้ากลับมานะ"อวิ๋นฝานรีบใช้โอกาสนี้ จูบหน้าผากซูหว่านซินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหลบออกไปทันทีโดยไม่รอให้นางได้ตั้งตัวซูหว่านซินยืนนิ่งมองตามหลังอวิ๋นฝานอยู่นานกว่าจะได้สติ ความรู้สึกหลากหลายตีวนในใจ...ฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน...อวิ๋นฝานเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์เต็มยศ แล้วหันไปบอกเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "แจ้งเหล่าขุนนางทุกคนว่าข้าจะจัดประชุมขุนนางเช้า!"เสี่ยวลิ่วจื่อไม่กล้าขัด รีบเดินออกจากตำหนักบรรทมไปแจ้งข่าวกับเหล่าขุนนางทันทีเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้าแล้ว ซึ่งเลยเวลาประชุมเช้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นฝานมิใช่คนเดิมอีกต่อไป ราชสำนักทั้งปวงอยู่ในกำ
เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝานรู้สึกสดชื่นแจ่มใสในระหว่างการต่อสู้เมื่อคืนที่ผ่านมา อวิ๋นฝานฉวยโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวเย้ายวนคนนี้เจิ้งจี อดีตสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของตัวเขาในอดีตตัวนางเป็นผลผลิตจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต้าจ้าวที่พ่ายแพ้สงครามกับอาณาจักรต้าหมิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ราชสำนักต้าหมิงยังไม่เสื่อมโทรม เคยมีขุนนางอาวุโสหลายคนเตือนให้เขาในอดีตอยู่ให้ห่างจากเจิ้งจีแต่ร่างเดิมซึ่งเป็นผู้หลงใหลในตัณหา กลับฟังเจิ้งจีทุกอย่าง แม้แต่การเสื่อมโทรมลงของราชสำนักต้าหมิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับนาง"ฝ่าบาท..."เสียงที่อ่อนโยนและเย้ายวนของเจิ้งจีดังแผ่วผ่านเข้าหูของอวิ๋นฝาน ลมหายใจอุ่นๆ ของนางทำให้เขารู้สึกจักจี้ที่หูในขณะนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือ "ลมจากหมอนข้าง""ที่รัก เจ้าตื่นแล้วหรือ?"แม้อวิ๋นฝานจะมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่าต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ชื่นชมความงามนั้น!"ฝ่าบาท~ หม่อมฉันมีคำขอหนึ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไร..."ดวงตาของเจิ้งจี
หลิงหงเซวียนหน้าแดงด้วยความโกรธ ขบฟันแน่นขณะข่มขู่อวิ๋นฝานอย่างดุร้ายว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น! ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าไป ถ้าลูกศิษย์และลูกหลานข้ารู้ว่าข้าตายแล้ว เจ้าคงรักษาแผ่นดินต้าหมิงเอาไว้ไม่ได้แน่!"เมื่ออวิ๋นฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป หลิงหงเซวียนเห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายกลัว จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักขึ้น"เจ้าบ้าอวิ๋น ไม่สู้เจ้ายอมสยบให้ข้าดีกว่า รอให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้ ข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าก็ได้เป็นอ๋องต่างแซ่ ฮ่าฮ่าฮ่า…""ตายซะ!"อวิ๋นฝานคำรามต่ำ เอาดาบหมิงตี้ในมือแทงตรงไปที่หลิงหงเซวียน เสียงหัวเราะของหลิงหงเซวียนหยุดชะงักทันที เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!"เคร้ง!"แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นฝานขุ่นเคืองคือ หลิงหงเซวียนราวกับได้รับความช่วยเหลือจากภูติผี ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ดาบหมิงตี้กลับถูกดาบหักเล่มหนึ่งปัดกระเด็นออกไปได้อวิ๋นฝานกำลังจะควบม้าพุ่งไปเพื่อเหยียบหลิงหงเซวียนให้ตาย แต่ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ต่อมาอวิ๋นฝานก็รู้สึกตาพร่ามัว เมื่อมองดูอีกครั้ง หลิงหงเซวียนก็หายตัวไปแล้ว!"ยอดฝีมือ!"อวิ๋นฝานชะงักไป สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง