Share

บทที่ 3

Author: เข็มทิศการใช้ชีวิตไปวันๆ
มู่ซือหลิงมองหน้าอวิ๋นฝานอย่างตกตะลึง พูดจาติดขัด "แต่…แต่…แต่เช่นนี้อาจทำให้ตระกูลผู้สนับสนุน…"

"ไม่มีแต่!"

อวิ๋นฝานตบเก้าอี้มังกรอย่างแรง เสียงตวาดของเขาทำให้มู่ซือหลิงถึงกับตัวสั่น!

เขารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ!"

มู่ซือหลิงพูดจบก็รีบออกจากท้องพระโรง เพื่อสั่งการให้ทหารยึดทรัพย์สินของกบฏและจับกุมทุกคนในตระกูลของพวกเขา

"นี่…" ทหารที่ได้รับคำสั่งต่างมองหน้ากัน เพราะคำสั่งนี้อาจทำให้คนหลายหมื่นคนต้องเสียหัว

แถมทั้งหมดยังเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของอาณาจักรต้าหมิงอีกด้วย!

"ยังไม่รีบไปอีก! หรือพวกเจ้าก็อยากเสียหัวเหมือนกัน?" มู่ซือหลิงขมวดคิ้วตะคอกด้วยเสียงเย็นชา

ทหารจึงเริ่มปฏิบัติการ และวันนั้นก็กลายเป็นหัวข้อที่ทั้งราชสำนักต้าหมิงไม่มีใครกล้าพูดถึงอีก

ทั้งท้องพระโรงเต็มไปด้วยความเละเทะ

ขุนนางฝ่ายสนับสนุนฮ่องเต้ที่รอดชีวิตถูกบารมีของอวิ๋นฝานกดดันจนต้องคุกเข่ากับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะออกเสียง

ส่วนขุนนางฝ่ายอ๋องอู่เวยถึงกับนั่งทรุดลงกับพื้น น้ำเลือดน้ำหนองไหลเปรอะไปทั่วพื้น

และบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ในที่สุดก็ถูกทำลายลงด้วยคำสั่งของอวิ๋นฝาน "สังหารเดี๋ยวนี้!"

เพียงคำสั่งสั้นๆ สี่คำ ก็ทำให้ขุนนางฝ่ายอ๋องอู่เวยทั้งหมดหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ เสียงร้องขอชีวิตและข่มขู่ดังขึ้นไม่หยุด แต่อวิ๋นฝานกลับมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา

หัวของผู้คนหลุดจากบ่าลงพื้นทีละหัว พรมในท้องพระโรงค่อยๆ ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงสด ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่สนับสนุนฮ่องเต้บางคนถึงกับเป็นลมหมดสติไป!

ขุนนางบู๊ที่เหลือต่างพากันชื่นชมความเด็ดขาดและการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นฝาน

ในอดีต อวิ๋นฝานรู้จักแต่การเสพสุข บางครั้งสามเดือนก็ยังไม่เข้าว่าราชการเช้าเลยสักครั้ง อีกทั้งยังไม่มีความเด็ดขาดใดๆ

สุดท้ายเขายังร่วมมือกับขุนนางชั่ว สร้างบทลงโทษอันโหดร้ายหลายอย่าง และด้วยการที่อ๋องอู่เวยยึดครองอำนาจปกครอง ใช้ทรัพยากรไปกับการสงครามอย่างสิ้นเปลือง ทำให้อาณาจักรต้าหมิงตกอยู่ในสภาพที่ประชาชนทุกข์ยากลำบาก

แต่วันนี้ ความโหดเหี้ยมและเด็ดขาดของอวิ๋นฝานกลับทำให้ทุกคนคาดไม่ถึง เขาไม่เพียงแต่แก้ปัญหาการก่อกบฎได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังไม่มีเค้าของความโง่เขลาอย่างในอดีตปรากฎให้เห็นบนใบหน้าด้วยซ้ำ

เพียงแต่…ดูเหมือนฝ่าบาทจะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมกว่าเดิมนะ…

บรรยากาศในท้องพระโรงนิ่งงันอีกครั้ง เลือดที่ไหลนองพื้นและศพไร้หัวกว่าร้อยศพทำให้บรรยากาศไม่เพียงแต่หนักอึ้ง แต่ยังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ขุนนางต่างพากันถอนหายใจในใจ ไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปสองก้านธูปแล้ว

"ฝ่าบาท…" ในตอนนี้ มู่ซือหลิงเดินเข้ามาในท้องพระโรง คุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยสีหน้าลำบากใจ

"มีเรื่องหนึ่งที่ต้องกราบทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

"ว่ามา!" อวิ๋นฝานขมวดคิ้ว

"ในระหว่างการยึดทรัพย์ กระหม่อมพบว่ามีลูกหลานของกบฏหลายคนอาศัยอยู่ในห้องสู่สวรรค์ของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ…"

แม้มู่ซือหลิงจะพยายามพูดอ้อมค้อมที่สุด แต่อวิ๋นฝานก็ยังคงอับอายอยู่ดี ส่วนขุนนางที่เหลือในท้องพระโรงต่างก็มีสีหน้าแปลกๆ

แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้ ถ้าทำเช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า

"ข้ารู้แล้ว!" อวิ๋นฝานแสร้งทำเป็นเบื่อหน่ายแล้วโบกมือ

"ถ้าเช่นนั้น นอกจากสตรีเหล่านี้ ที่เหลือในครอบครัวของกบฏ ฆ่าทิ้งทั้งหมด!"

ล้อเล่นหรือไง อุตส่าข้ามเวลามาทั้งที จะไม่ให้เก็บผู้หญิงไว้สำราญบ้างงั้นเหรอ?

เมื่อขุนนางในท้องพระโรงได้ยินคำพูดของอวิ๋นฝาน ต่างก็เผยสายตาผิดหวังออกมา อย่างที่คิดไว้ ฝ่าบาทยังคงโง่เขลาไม่เปลี่ยน…

อวิ๋นฝานถูกขุนนางเหล่านั้นจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด จึงตัดสินใจออกจากท้องพระโรงและไปที่ตำหนักบรรทมเพื่ออ่านฎีกา

แม้อวิ๋นฝานจะมีความทรงจำของร่างเดิม แต่เขายังคงต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของอาณาจักรต้าหมิงด้วยตนเอง

"ขอต้อนรับฝ่าบาทเสด็จสู่ตำหนักบรรทม…"

ทันทีที่เขาก้าวเข้าตำหนักบรรทม ก็เห็นสาวน้อยวัยแรกรุ่นสิบกว่าคนในชุดนอนบางเบาเดินเข้ามาหา อวิ๋นฝานถึงกับหน้ามืดไป ร่างเดิมของเขานี่ช่างรู้วิธีสนุกจริงๆ!

อวิ๋นฝานกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาพยายามอดกลั้นไฟปรารถนาในใจแล้วสั่งให้พวกนางออกไปทั้งหมด เพราะตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญในการรักษาความมั่นคงของราชสำนัก ไม่มีเวลามาเสียเปล่า

"เสี่ยวลิ่วจื่อ!"

เสี่ยวลิ่วจื่อคือชื่อของขันทีน้อยคนนั้น

"พ่ะย่ะค่ะ"

เสี่ยวลิ่วจื่อเดินเข้ามาหาอวิ๋นฝานด้วยความระมัดระวัง เขาก้มตัวลงเพื่อรอคำสั่ง

"เอาฎีกาทั้งหมดที่เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของอาณาจักรต้าหมิงมาให้ข้า!"

"พ่ะย่ะค่ะ" เสี่ยวลิ่วจื่ออุ้มเอาฎีกาหลายกองมาให้ อวิ๋นฝานถึงกับหน้ามืดอีกครั้ง ร่างเดิมของเขาต้องขี้เกียจขนาดไหนกันเนี่ย!

หลังจากใช้เวลานานมากจนตาของอวิ๋นฝานเริ่มล้า เขาก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของอาณาจักรต้าหมิงในที่สุด

อาณาจักรต้าหมิงเป็นรัฐรวมศูนย์อย่างไม่ต้องสงสัย กองทัพทั่วทั้งแผ่นดินอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก

แต่เนื่องจากอ๋องอู่เวยแทรกแซงทางการเมือง ทำให้สิทธิ์ในการควบคุมกองทัพตกไปอยู่ในมือของตระกูลขุนนางใหญ่และกลุ่มอำนาจท้องถิ่น เดิมทีเพราะมีอ๋องอู่เวยคุมอยู่ กลุ่มอำนาจเหล่านี้จึงยังไม่กล้ากระทำการใดๆ

แต่ครั้งนี้เมื่ออวิ๋นฝานกำจัดกลุ่มอ๋องอู่เวยออกจากราชสำนักไปโดยสิ้นเชิง กลุ่มอำนาจเหล่านี้ย่อมต้องตั้งตนเป็นอิสระอย่างแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น อาณาจักรต้าหมิงซึ่งก่อตั้งมาเกือบ 300 ปี ในฐานะราชวงศ์ในระบบศักดินา ก็แสดงปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นในยุคปลายของราชวงศ์ในระบบศักดินาทั้งหมดเช่นดัน

ราชสำนักเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน พระญาติแทรกแซงการเมือง ที่ดินอยู่ในมือกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน และเมื่อรวมกับสถานการณ์กองทัพท้องถิ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น หากไม่มีอวิ๋นฝาน อาณาจักรต้าหมิง แม้จะตกอยู่ในมือของอ๋องอู่เวย อวิ๋นเผิง ก็จะต้องล่มสลายลงภายในห้าสิบปี

"ในเมื่อข้าได้เป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรต้าหมิงแล้ว ข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงแผ่นดินต้าหมิง แม้จะไม่สำเร็จ แต่ข้าก็ต้องลองทำ!"

อวิ๋นฝานจิบชาอึกหนึ่งก่อนจะวางถ้วยชาลง จากนั้นกำหมัดแน่นพลางตั้งปณิธานในใจ

เขาได้วางแผนที่จะต่อสู้แบบเต็มกำลังแล้ว

อาณาจักรต้าหมิงเน่าเฟะจนถึงแก่นแล้ว

หากต้องการพยุงอาณาจักรต้าหมิงที่กำลังจะล้มครืนนี้ ต้องทำลายก่อนแล้วค่อยสร้างขึ้นใหม่!

เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำสำเร็จหรือไม่

แต่เขามีความรู้ในยุคปัจจุบันที่สะสมไว้มากว่าสามสิบปี!

และมีประสบการณ์ชีวิตจากการเป็นทหารรับจ้างอีกเกือบยี่สิบปี!

ในฐานะคนข้ามเวลา การมายังโลกนี้ ในบางแง่มุม เทคโนโลยีสมัยใหม่ ความคิดและประสบการณ์ของเขาก็เป็นเหมือนการโจมตีจากมุมสูง

ส่วนการชำระล้างราชสำนักครั้งใหญ่ก็คือก้าวแรกของเขา!

การก่อกบฏของอ๋องอู่เวยได้ "ทำลาย" สภาพการณ์ที่หยุดนิ่งเดิมๆ ส่วนสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือ "สร้าง" ขึ้นใหม่!

พูดง่ายๆ ก็คือต้องสนับสนุนคนที่ไว้ใจได้ให้ขึ้นสู่อำนาจ!

แต่จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ?

อวิ๋นฝานขมวดคิ้ว หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อีกไม่นานอาณาจักรต้าหมิงต้องพังทลายลง ดินแดนที่ครอบครองก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว และประชาชนก็จะยิ่งทุกข์ยากลำบากขึ้น

ควรเริ่มจากการเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างในกองทัพ หรือเริ่มจากการฟื้นฟูการทำงานของกระทรวงมหาดไทยก่อน นี่เป็นปัญหาสำคัญ

การเป็นฮ่องเต้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!

"ฝ่าบาท ท่านอัครมหาเสนาบดีหลิงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"

น้ำเสียงแหลมเล็กของเสี่ยวลิ่วจื่อดังเข้ามาจากด้านนอกประตู

อวิ๋นฝานที่กำลังเตรียมจะนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง จำต้องลุกขึ้นมาแต่งตัว

ไม่นานนัก ชายชราผู้มีคิ้วหนาและรูปร่างสูงใหญ่ อายุเลยหกสิบปีก็เดินเข้ามา

ชายชราดูมีชีวิตชีวา หากไม่บอก คงไม่มีใครคิดว่าเขาอยู่ในวัยชราแล้ว

"กระหม่อมขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"

หลิงหงเซวียนแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม คุกเข่าลงต่อหน้า แม้จะถูกอวิ๋นฝานจ้องมองสำรวจ แต่เขาก็สะทกสะท้านใดๆ

"ถ้าหากเจ้ามาเพื่อขอความเห็นใจให้ตระกูลขุนนางเหล่านั้น เจ้าก็กลับออกไปได้เลยตอนนี้"

อวิ๋นฝานกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง พร้อมเล่นถ้วยชาในมือไปด้วยพลางๆ

Related chapters

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 4

    หลิงหงเซวียนชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คาดคิดว่าอวิ๋นฝานจะพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้อวิ๋นฝานแอบหัวเราะเย็นในใจ ตระกูลหลิงเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรต้าหมิง และหลิงหงเซวียนก็เป็นหัวหน้าตระกูล การมาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้จึงมีจุดประสงค์ที่เห็นชัดเจนหลิงหงเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวเตือนด้วยเสียงหนักแน่น"ฝ่าบาท กระหม่อมมาที่นี่เพื่อเรื่องของตระกูลขุนนางจริงพ่ะย่ะค่ะ…""ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนได้แล้ว"อวิ๋นฝานยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ "เสี่ยวลิ่วจื่อ ไปส่งใต้เท้าหลิงออกจากวังซะ!""เจ้า!"หลิงหงเซวียนมองอวิ๋นฝานอย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตาของเขาปรากฏแววอาฆาตขึ้นเล็กน้อย"ฝ่าบาท…ตอนที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ ตระกูลหลิงได้ช่วยเหลือพระองค์ไว้ไม่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ…"หลิงหงเซวียนยกมือคำนับ พยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายบรรพบุรุษตระกูลหลิงคือหลิงป้าเทียน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในยุคก่อตั้งอาณาจักรต้าหมิง หลิงป้าถียนเป็นบุคคลระดับตำนานที่รับใช้ฮ่องเต้มาถึงห้ารัชกาลและด้วยเหตุนี้ ตระกูลหลิงจึงแผ่ขยายอำนาจในอาณาจักรต้าหมิงมาได้นานถึงสามร้อยปีแม้แต่ในทุกการแย่งชิงราชบัลลังก์ในแต่ละสมัย ก็สามาร

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 5

    เก้ามณฑลทางตอนเหนือถูกตระกูลขุนนางหลายตระกูลควบคุม พื้นที่กว่าเก้าส่วนตกอยู่ในมือของนายทุน เกษตรกรจำนวนมากต้องกลายเป็นชาวนาเช่าที่แม้แต่ในปีที่เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตได้ดี ก็ยังมีคนอดตายตามท้องถนนนับไม่ถ้วน!ที่สำคัญกว่านั้น ตระกูลขุนนางเหล่านี้ยังไม่จ่ายภาษีด้วย!แต่ราชสำนักกลับต้องจัดสรรเงินให้เก้ามณฑลทางเหนือทุกปี"นี่มันคือเนื้อร้ายชัดๆ!"เมื่ออวิ๋นฝานอ่านฎีกาจบ เขากำหมัดแน่นก่อนทุบลงบนโต๊ะเคลือบทองอย่างแรง"เพราะไอ้พวกแมลงกินแผ่นดินพวกนี้แหละ ที่ทำให้อาณาจักรต้าหมิงเราตกต่ำถึงเพียงนี้!"เสี่ยวลิ่วจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นฝานไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เทชาให้อวิ๋นฝานเรื่อยๆ"เสี่ยวลิ่วจื่อ ไปเรียกอ๋องเซียวเหยามาพบข้า!"…จวนอ๋องเซียวเหยาอ๋องเซียวเหยา อวิ๋นซวิ้น หนึ่งในสามเชื้อพระวงศ์อ๋องผู้ทรงอิทธิพล"ท่านอ๋อง เชิญลองชิมชาหลงหลิงที่กระหม่อมนำมาฝากดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ"หากมีคนนอกอยู่ที่นี่ คงจะตกตะลึงจนอ้าปากค้างแน่หัวหน้าตระกูลหลิงผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีอำนาจสูงรองจากฮ่องเต้ กลับแสดงท่าทีเคารพต่ออ๋องเซียวเหยาผู้ที่ถูกคนมองว่าไร้ประโยชน์ที่สุดในบรรดาเชื้อพระวงศ์อ๋องทั้งสาม!"อืม หอมด

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 6

    มู่ซือหลิงค้อมตัวเล็กน้อยก่อนตอบ "กราบทูลฝ่าบาท กองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนายได้โอนย้ายไปอยู่ใต้การบังคับบัญชาของตู้จื่อหมิงทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ""ทำได้ไม่เลว!"อวิ๋นฝานพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนหันกลับไปมองที่ตู้จื่อหมิงอีกครั้ง"ข้าขอถามเจ้า เจ้า จงรักภักดีต่อข้าหรือไม่?"ชั่วขณะนั้น ดวงตาของอวิ๋นฝานดุดันอย่างยิ่ง ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจและล่วงรู้สิ่งที่คิด!"กระหม่อมยินดีพลีชีพเพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!"แม้หลังของตู้จื่อหมิงจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่ดวงตาของเขากลับซื่อตรง ไม่เห็นถึงความหวั่นเกรงใดๆ"ดี!"แววตาของอวิ๋นฝานฉายแววชื่นชม "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จงรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แทนมู่ซือหลิงและบังคับบัญชากองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเถิด!""ฝ่ะ…ฝ่าบาท เช่นนี้คงไม่เหมาะสมกระมังพ่ะย่ะค่ะ"ตู้จื่อหมิงแสดงท่าทางลังเล พลางแอบมองมู่ซือหลิงที่อยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ"ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม"อวิ๋นฝานพูดด้วยน้ำเสียงสงบ "ตกลงตามนี้ เจ้าออกไปก่อนเถิด""พ่ะย่ะค่ะ"ตู้จื่อหมิงไม่กล้าขัดคำสั่ง ถอยหลังสามก้าวก่อนจะเดินออกจากตำหนักบรรทม"ฝ่าบาท กระหม่อมทำอะไรผิดพลาดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?"มู่ซือหลิ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 7

    ซูหว่านซินกัดฟันแน่น พูดพลางนางก็ถอดเสื้อชั้นในชิ้นสุดท้ายออก"เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?!"อวิ๋นฝานเริ่มโมโห เขาเกลียดการถูกข่มขู่เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่ขู่เขาเป็นผู้หญิงด้วย!"ในเมื่อเจ้าเร่งเร้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!"อวิ๋นฝานก้าวยาวๆ ไปอุ้มซูหว่านซินที่คุกเข่าอยู่ขึ้นมาแล้วโยนลงบนเตียงซูหว่านซินร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็หลับตาเหมือนจะยอมจำนนต่อชะตากรรมเมื่อสามปีก่อน นางถูกส่งเข้าวังเพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลซูและตระกูลหลิง แต่เนื่องจากตระกูลซูพ่ายแพ้ นางจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเลย จนกระทั่งวันนี้ความปรารถนาของนางก็เป็นจริงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ร่างเดิมของอวิ๋นฝานแม้จะเคยเสเพลมาก่อน แต่หลังจากพักฟื้นไม่กี่วัน เขาก็มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะออกศึกอีกได้อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะจัดการกับหญิงสาววัยสิบแปดปีที่กำลังอยู่ในช่วงเบ่งบานได้"ฟู่"อวิ๋นฝานใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มองดูซูหว่านซินที่ยังนอนอยู่บนเตียงหยกทอง อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่านางช่างเป็นหญิงงามที่แท้จริงแม้ว่าซูหว่านซินจะอายุเพียงสิบแปดปี แต

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 8

    เช้าวันถัดมา อวิ๋นฝานซึ่งในสายตาของผู้อื่นคือฮ่องเต้ผู้โง่เขลา ได้เรียกประชุมขุนนางช่วงเช้าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!"ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี…"เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน วันนี้จำนวนขุนนางที่มาประชุมลดลงถึงสองในสามที่เหลือส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อตระกูลหลิง หรือไม่ก็เป็นขุนนางทั่วไปที่ไม่มีความสำคัญอะไร"หากมีฎีกาก็กราบทูล หากไม่มีก็ให้เลิกประชุม!"เสี่ยวลิ่วจื่อดูตื่นเต้นแต่ก็กังวลเล็กน้อยขณะตะโกนเสียงดังในท้องพระโรงนี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวลิ่วจื่อตะโกนประกาศและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ขุนนางหลายคนถูกอวิ๋นฝานเรียกตัวมาประชุมในช่วงเช้าเช่นกันตามปกติ อาณาจักรต้าหมิงจะจัดประชุมขุนนางทุกสิบวันหลังรออยู่นานแต่ไม่มีขุนนางคนใดกล่าวอะไร อวิ๋นฝานจึงเริ่มพูดเอง"ในเมื่อขุนนางทั้งหลายไม่มีเรื่องจะรายงาน เช่นนั้นข้าจะประกาศบางเรื่องเอง!"เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊เบื้องล่างหน้าถอดสี หรือนี่จะเกี่ยวกับการกบฏของอ๋องอู่เวยหรือไม่?"เมื่อหลายวันก่อน พี่ชายแท้ๆ ของข้า อ๋องอู่เวย อวิ๋นเผิง ได้ก่อกบฏอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางการประชุมขุนนาง!""แม้การกบฏ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 9

    ..."มู่ซือหลิง ทำได้ดีมาก ข้าพอใจยิ่งนัก!"อวิ๋นฝานคลุมผ้าขาวกลับไปบนศีรษะของพระสนมจาง หันกลับมามองมู่ซือหลิงด้วยรอยยิ้ม "มู่ซือหลิง เจ้าจงจำไว้ ข้าสนแค่ผลการทำงานขององครักษ์เงา ส่วนเรื่องวิธีการและกระบวนการ ข้าไม่สนใจ""เข้าใจหรือไม่?"มู่ซือหลิงรีบก้มศีรษะคำนับตอบทันที "กระหม่อมจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ!"อวิ๋นฝานพยักหน้าพอใจ ก่อนเดินออกจากตำหนักพระสนมจางต่อจากนี้ ก็ถึงตาเขาแสดงแล้ว!เช้าวันต่อมา มู่ซือหลิงประกาศว่าพระสนมจางสมคบคิดกับกบฏอ๋องอู่เวย พร้อมนำ "หลักฐาน" ออกมาแสดง ขุนนางเฒ่าจางวิ่งเอาหัวชนเสาหินในท้องพระโรงจนเสียชีวิตด้วยความคับแค้นใจ!บ่ายวันเดียวกัน มู่ซือหลิงได้นำกองทหารอวี้หลินสามพันนายล้อมจวนตระกูลจางและกิจการทั้งหมดของเขาในเมืองหลวงไว้!แต่ยังไม่ทันที่อวิ๋นฝานจะสั่งยึดทรัพย์ พระสนมฉวี่ ผู้ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระสนมจาง ก็เสียชีวิตลงอย่างปริศนาในยามค่ำคืน!"มู่ซือหลิง เจ้ากระทำการรีบร้อนเกินไปหน่อยหรือไม่?"อวิ๋นฝานนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย มองมู่ซือหลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมู่ซือหลิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ตอบว่า "ฝ่าบาท การลอบสังหารครั้งนี

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 10

    "เตรียมก่อกบฏงั้นหรือ?"อวิ๋นฝานหัวเราะ "เป็นไปตามที่ข้าต้องการพอดีเลย!"มู่ซือหลิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถามออกมาตามสัญชาตญาณ "หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ""มู่ซือหลิง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าแค่การใส่ร้ายป้ายสีจะสามารถกวาดล้างเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหมดได้?"อวิ๋นฝานลงจากเตียง เดินออกไปยังลานด้านนอก มู่ซือหลิงรีบเดินตามไป "โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมสมองทึบ กระหม่อมไม่สามารถคิดหาวิธีที่สองได้เลยพ่ะย่ะค่ะ""ไม่มีวิธีที่สองอะไรหรอก"เขายืนอยู่กลางลาน สายลมอ่อนๆ พัดชุดนอนของอวิ๋นฝานปลิวไสว "ถ้าจะพูดว่ามี ก็คงมีแค่ใช้กำลังอย่างเดียว!""นี่..."มู่ซือหลิงอึ้งไป ก่อนพูดออกมาอย่างลำบากใจ "ฝ่าบาท...นี่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก"อวิ๋นฝานหัวเราะเบาๆ "มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?""กระหม่อมคิดว่าอาณาจักรต้าหมิงของเราตอนนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาทั้งภายในและภายนอกอยู่แล้ว หากมีสงครามกลางเมืองขึ้นอีก เกรงว่า...""เกรงว่าอะไร?"อวิ๋นฝานจ้องมองมู่ซือหลิงที่โค้งตัวลงต่ำด้วยดวงตาคมกริบ มู่ซือหลิงกลืนน้ำลาย "เกรงว่า...เกรงว่าอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้พ่ะย่ะค่ะ..."มู่ซือหลิงตั้งใจจะพูดถึ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 11

    "อารักขาฝ่าบาท!"มู่ซือหลิงที่กำลังต่อสู้กับทหารกบฏ เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงตัดสินใจหันกลับมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นฝานทันทีแต่ทหารกบฏรอบๆ ย่อมไม่ยอมให้เขาทำตามใจได้ง่ายๆ มู่ซือหลิงถูกรั้งเอาไว้ก่อนจะก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวรอบตัวอวิ๋นฝานไม่มีทหารคุ้มกันเหลืออยู่เลย ร่างกายท่อนบนที่กำยำของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสดๆเขาดูราวกับเทพสงครามที่ก้าวออกมาจากขุมนรกเมื่อมองไปยังทหารกบฏที่ล้อมรอบตัวเขา เห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขาสั่นระริก อวิ๋นฝานเผยรอยยิ้มดูแคลน"แค่พวกคนกระจอก กล้าดีอย่างไรที่คิดจะโค่นล้มแผ่นดินต้าหมิงของข้า น่าขันสิ้นดี!""เจ้าบ้าอวิ๋น...มันบ้าจริงๆ!"เฝินเจินอู่ที่ถูกล้อมรอบด้วยทหารกบฏหลายคน เมื่อเห็นอวิ๋นฝานที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถึงกับตกใจจนเกือบตกจากหลังม้า"เจ้าโจรชั่ว! ตายซะเถอะ!"อวิ๋นฝานคำรามเสียงดัง เหวี่ยงดาบพุ่งไปยังเฝินเจินอู่!ดวงตาของเฝินเจินอู่เบิกกว้าง เขาไม่คาดคิดว่าอวิ๋นฝานจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้เขายกดาบขึ้นป้องกันโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า "ดาบล้ำค่า" ในมือของเขาถูกฟันขาดครึ่ง!ท่ามกลางความตื่นตระหนก เฝินเจินอู่พร้อมทั้งม

Latest chapter

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 40

    "ท่านแม่ทัพหู พวกเราควรทำอย่างไร?"หูอู่จื่อกลืนน้ำลายอย่างลำบาก จะทำอย่างไรน่ะหรือ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!ตั้งแต่อ๋องอู่เวยควบคุมกองทัพทั่วประเทศ เขาก็ไม่เคยต้องออกรบอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ป้องกันเมืองก็ยิ่งไม่เคยทำ!หูอู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ตัวว่านี่คือภารกิจสำคัญในยามวิกฤติ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือเอาชนะเผ่าม่านหรือพ่ายแพ้พร้อมความตาย"กู่ฉวี่ ข้าขอสั่งเจ้านำกองทัพหนึ่งแสนขึ้นไปป้องกันบนกำแพงเมือง พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันเมืองทั้งหมด!"หูอู่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่เขายังหนุ่ม "ส่วนตัวข้าจะนำกองทัพออกไปปราบกบฏตระกูลหลิงด้วยตนเอง!"…ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักบรรทม เมืองหลวงอวิ๋นฝานกำลังหารือเรื่องสำคัญร่วมกับสี่ขุนนางคนสนิท ได้แก่ มู่ซือหลิง ตู้จื่อหมิง เฉินเฟิง และซูลี่เหวินแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งหกกรมแล้ว แต่ขุนนางคนสนิทที่อวิ๋นฝานไว้วางใจจริงๆ ก็ยังมีเพียงสี่คนนี้โดยเฉพาะมู่ซือหลิง ซึ่งเป็นผู้ดูแลหออันอี้ที่รับผิดชอบด้านความสงบเรียบร้อยและข่าวกรองในเมืองหลวง"ฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกองทัพสองแสนท

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 39

    อวิ๋นซวี่ในฐานะเจ้าชายของราชวงศ์ต้าหมิง ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ เขากัดฟัน ปล่อยดาบออกจากมือ กำหมัดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของต้วนเนี่ยนโดยตรง!ต้วนเนี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นซวี่จะห้าวหาญถึงเพียงนี้ จึงลืมตั้งรับไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้อวิ๋นซวี่ถูกดาบแทง ส่วนต้วนเนี่ยนก็ถูกหมัดอัดไปเต็มแรง ทั้งสองถอยหลังออกจากกัน"ตึก ตึก ตึก..."เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าล้อมรอบทั้งสองไว้ อวิ๋นซวี่กวาดตามองอย่างเย็นชา เห็นตัวอักษร "หลิง" ที่หมวกเกราะของพวกนั้นก็พลันอุทานขึ้นมา "พวกแกคือพวกกบฏตระกูลหลิง!""ไอ้แก่ ฝีมือใช้ได้ทีเดียวหนิ!"ต้วนเนี่ยนไม่สนใจอวิ๋นซวี่แม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นเองว่า "นี่ข้าแค่ใช้พลังไปแปดส่วนเท่านั้น!"อวิ๋นซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย โกรธจัดในใจ "ไอ้เด็กปากดี เจ้ากล้าพูดโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นถูกตัดลิ้นหรือไร!"อวิ๋นซวี่พูดจบก็เงื้อดาบพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้แขนขวาถูกดาบแทง หรือแม้แขนขวาทั้งแขนจะถูกตัด เขาก็ยังกล้าถือดาบเข้าฟาดฟัน!นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างนักสู้ในยุทธภพและทหารในสมรภูมิต้วนเนี่ยนยกดาบยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าขึ้นมาถือในมืออย่างนิ่งสงบ แล้วฟันเข้าใส่อวิ๋นซวี่อย่างแรง!

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 38

    เพราะอวิ๋นซวี่ได้แจ้งกับกองกำลังป้องกันภายในของด่านทางใต้ไว้แล้ว หูอู่จื่อจึงสามารถนำทัพเข้าสู่ด่านทางใต้ได้อย่างง่ายดายหลังจากเข้ามาในด่านทางใต้ได้ เขาก็ไม่ทันได้จัดระเบียบกองทัพ รีบรุดไปพบอวิ๋นซวี่เพียงลำพังเมื่อเขาได้ยินว่าอวิ๋นซวี่ขึ้นไปตีกลองศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือราชวงศ์ต้าหมิงทุกคนจะดุดันถึงเพียงนี้?"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะท่านอ๋อง!"หูอู่จื่อมีใบหน้ามอมแมมด้วยฝุ่น เกราะของเขาก็ชำรุดจากการเดินทาง แต่อวิ๋นซวี่ยังคงตีระฆังศึก หูอู่จื่อคิดว่าอวิ๋นซวี่ไม่ได้ยิน จึงกล่าวซ้ำอีกครั้ง"แม่ทัพหูอู่จื่อ ขอคารวะ…""ข้าได้ยินแล้ว!"อวิ๋นซวี่มีดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง"กู่ฉวี่!""พาแม่ทัพหูไปพักผ่อน!""กระหม่อมยังไหว!"อวิ๋นซวี่เหวี่ยงไม้ตีกลองเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทำลายกลองทั้งใบ กู่ฉวี่ไม่กล้าชักช้า แต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นซวี่ จึงสั่งให้ทหารล้อมรอบเขาไว้"ตึง!"เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น กลองยักษ์สูงห้าเมตรที่ทำจากหนังวัว ถูกอวิ๋นซวี่ตีจนแตก!หูอู่จื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเลือดลมสูบฉีด

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 37

    ในที่สุดต้วนเนี่ยนก็ขมวดคิ้ว "หัวหน้าตระกูลหลิง ข้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเมืองใต้ไม่น่าจะเทียบกับวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าได้แต่หากท่านกล้ารับรองว่าหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าเมืองใต้แล้ว ท่านจะมอบวิชาสวรรค์เคลื่อนฟ้าให้ ข้าก็ตกลง!""ข้ารับรอง" หลิงหงเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต ก่อนพึมพำกับตัวเอง "เจ้าเมืองใต้ ตาเฒ่านั่นไม่คุ้มค่า แต่ด่านทางใต้นั้นคุ้ม!"หลิงหงเซวียนยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับพบว่าต้วนเนี่ยนที่อยู่ด้านหลังได้หายตัวไปแล้ว"เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ"หลิงหงเซวียนส่ายศีรษะก่อนหันมองด้วยสายตาคมกริบ "ปาคู่!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ชาวม่านใต้ ผิวสีคล้ำ ก้าวออกมาจากความมืด "หัวหน้าตระกูลหลิง มีอะไรจะสั่งขอรับ?"ชายร่างใหญ่พูดภาษาจงหยวนได้อย่างตะกุกตะกัก แต่หลิงหงเซวียนกลับไม่ได้ใส่ใจ "ไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เตรียมเปิดศึกใหญ่โจมตีด่านทางใต้!""ขอรับ!"ชายร่างใหญ่ถอยกลับไป สายตาของหลิงหงเซวียนยังคงจับจ้องไปที่ค่ายของกองทัพหูอู่ในระยะไกล ดวงตาแดงก่ำ ความอาฆาตพุ่งพล่านจนแทบมองเห็นเป็นรูปร่าง…วันถัดมา ทหารในกองทัพของหูอู่จื่อที่ติดโรคระบาดยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หูอู่

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 36

    ขณะที่ทหารด่านทางใต้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในสนามรบ ที่หมู่บ้านซิงเถียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ก็มีกำลังพลสองแสนนายกำลังรวมตัวกันก่อนหน้านี้ไม่นาน หูอู่จื่อได้รับจดหมายจากตู้จื่อหมิง แม้เขาจะมีคนสนิทที่ให้แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เลือกที่จะจับตาดูสถานการณ์ก่อนจนกระทั่งอวิ๋นฝานประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งแผ่นดิน หูอู่จื่อจึงตัดสินใจสนับสนุนด่านทางใต้ส่วนเกาจื๋อกับซวี่เหวิน สองคนนี้ได้กลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบของหูอู่จื่อไปนานแล้วกองทัพสองแสนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาในตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตกองทัพของคนทั้งสอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นทหารใหม่พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนทางใต้"เคลื่อนทัพ!"หูอู่จื่อโบกมือแล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าศึกของเขาก่อนจะพุ่งทะยานออกไป กองทัพสองแสนคนด้านหลังเขาก็เริ่มเคลื่อนพลในเส้นทางที่ยาวหลายสิบกิโลเมตรเส้นทางในเขตทางใต้เต็มไปด้วยภูเขาสูงชันและหลุมบ่อซับซ้อน ด้วยความเร็วของหูอู่จื่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึงด่านทางใต้คืนนั้น ที่ค่ายของกองทัพหูอู่กลุ่มคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถือสิ่งของบางอย่าง เดินอย่

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 35

    "ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูลี่เหวินเคยเป็นขุนนางผู้กระทำผิด แต่เนื่องด้วยเขาขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทย!"ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมมหาดไทยมีหน้าที่ควบคุมข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง หรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนต้องรายงานต่อกรมมหาดไทย"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!""ตู้จื่อหมิง รับพระราชโองการ!""กระหม่อมขอน้อมรับพระราชโองการด้วยความเคารพพ่ะย่ะค่ะ!""แม่ทัพตู้จื่อหมิง แม้จะเคยเป็นขุนนางในกลุ่มกบฎอู่เวย แต่ด้วยไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ และยังมีจิตใจภักดีต่อต้าหมิง ทั้งยังปราบกบฏในเมืองหลวงถึงสองครั้ง มีคุณความชอบมากกว่าความผิด จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการกรมกลาโหม!""ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ตู้จื่อหมิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเขาเคยคิดว่าการปฏิรูปครั้งนี้อาจช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เลื่อนถึงขั้นเป็นเสนาบดีว่าการกรมกลาโหมในคราวเดียวเช่นนี้!"ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 34

    ซูหว่านซินหน้าแดงจัดด้วยความเขินอาย สายตาเลิ่กลั่กหลบหลีก ขณะที่หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะนางรู้สึกเหมือนนางกำนัลและขันทีในสวนดอกไม้ต่างกำลังจับจ้องมาที่นางด้วยความอาย นางพยายามใช้มือดันอวิ๋นฝานให้ออกไป แต่เพราะแรงน้อยเกินไป ทำให้อวิ๋นฝานเข้าใจผิดว่านางกำลังออดอ้อนอวิ๋นฝานดีใจยกใหญ่ เขาคิดว่าหญิงสาวในยุคนี้ช่างไร้เดียงสา เพียงคำหวานเรียบง่ายก็ทำให้พวกนางพอใจได้"หว่านเอ๋อร์ คืนนี้รอข้ากลับมานะ"อวิ๋นฝานรีบใช้โอกาสนี้ จูบหน้าผากซูหว่านซินอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหลบออกไปทันทีโดยไม่รอให้นางได้ตั้งตัวซูหว่านซินยืนนิ่งมองตามหลังอวิ๋นฝานอยู่นานกว่าจะได้สติ ความรู้สึกหลากหลายตีวนในใจ...ฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน...อวิ๋นฝานเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์เต็มยศ แล้วหันไปบอกเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "แจ้งเหล่าขุนนางทุกคนว่าข้าจะจัดประชุมขุนนางเช้า!"เสี่ยวลิ่วจื่อไม่กล้าขัด รีบเดินออกจากตำหนักบรรทมไปแจ้งข่าวกับเหล่าขุนนางทันทีเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้าแล้ว ซึ่งเลยเวลาประชุมเช้าไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นฝานมิใช่คนเดิมอีกต่อไป ราชสำนักทั้งปวงอยู่ในกำ

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 33

    เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝานรู้สึกสดชื่นแจ่มใสในระหว่างการต่อสู้เมื่อคืนที่ผ่านมา อวิ๋นฝานฉวยโอกาสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวเย้ายวนคนนี้เจิ้งจี อดีตสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของตัวเขาในอดีตตัวนางเป็นผลผลิตจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต้าจ้าวที่พ่ายแพ้สงครามกับอาณาจักรต้าหมิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ราชสำนักต้าหมิงยังไม่เสื่อมโทรม เคยมีขุนนางอาวุโสหลายคนเตือนให้เขาในอดีตอยู่ให้ห่างจากเจิ้งจีแต่ร่างเดิมซึ่งเป็นผู้หลงใหลในตัณหา กลับฟังเจิ้งจีทุกอย่าง แม้แต่การเสื่อมโทรมลงของราชสำนักต้าหมิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับนาง"ฝ่าบาท..."เสียงที่อ่อนโยนและเย้ายวนของเจิ้งจีดังแผ่วผ่านเข้าหูของอวิ๋นฝาน ลมหายใจอุ่นๆ ของนางทำให้เขารู้สึกจักจี้ที่หูในขณะนี้ อวิ๋นฝานเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือ "ลมจากหมอนข้าง""ที่รัก เจ้าตื่นแล้วหรือ?"แม้อวิ๋นฝานจะมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดที่จะฆ่าต่อให้นางจะงดงามเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ชื่นชมความงามนั้น!"ฝ่าบาท~ หม่อมฉันมีคำขอหนึ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไร..."ดวงตาของเจิ้งจี

  • หวนคืนสู่อดีตในฐานะทรราช   บทที่ 32

    หลิงหงเซวียนหน้าแดงด้วยความโกรธ ขบฟันแน่นขณะข่มขู่อวิ๋นฝานอย่างดุร้ายว่า "เจ้าบ้าอวิ๋น! ข้าขอเตือนให้เจ้าปล่อยข้าไป ถ้าลูกศิษย์และลูกหลานข้ารู้ว่าข้าตายแล้ว เจ้าคงรักษาแผ่นดินต้าหมิงเอาไว้ไม่ได้แน่!"เมื่ออวิ๋นฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป หลิงหงเซวียนเห็นดังนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายกลัว จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักขึ้น"เจ้าบ้าอวิ๋น ไม่สู้เจ้ายอมสยบให้ข้าดีกว่า รอให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้ ข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าก็ได้เป็นอ๋องต่างแซ่ ฮ่าฮ่าฮ่า…""ตายซะ!"อวิ๋นฝานคำรามต่ำ เอาดาบหมิงตี้ในมือแทงตรงไปที่หลิงหงเซวียน เสียงหัวเราะของหลิงหงเซวียนหยุดชะงักทันที เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างไร้สิ้นสุด!"เคร้ง!"แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นฝานขุ่นเคืองคือ หลิงหงเซวียนราวกับได้รับความช่วยเหลือจากภูติผี ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ ดาบหมิงตี้กลับถูกดาบหักเล่มหนึ่งปัดกระเด็นออกไปได้อวิ๋นฝานกำลังจะควบม้าพุ่งไปเพื่อเหยียบหลิงหงเซวียนให้ตาย แต่ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ต่อมาอวิ๋นฝานก็รู้สึกตาพร่ามัว เมื่อมองดูอีกครั้ง หลิงหงเซวียนก็หายตัวไปแล้ว!"ยอดฝีมือ!"อวิ๋นฝานชะงักไป สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status