บทที่ 6 เริ่มสำรวจมิติ
"แกพูดจริงใช่ไหมหวังเหว่ย! ดีจริงๆ แกจะได้พาครอบครัวกลับมาปักกิ่งสักที เฮ้อ" หลี่เฟยเทียนถึงจะถามย้ำสหายไปให้มั่นใจอย่างนั้น แต่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความยินดีกับสหาย และโล่งใจที่ครอบครัวซ่งจะได้กลับมาซะที "ฉันพูดเรื่องจริงสิตาแก่หลี่ ฉันถึงบอกแกยังไงล่ะ ว่าวันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ ฮ่า ๆๆ!! " ท่านพลเรือเอกพิเศษพูดเสร็จก็หัวเราะออกมาเสียงดังราวฟ้าผ่า ทะลุประตูห้องทำงานส่วนตัว ออกไปจนลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขายังได้ยินอย่างชัดเจน คุณตาซ่งของหลานๆ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ พลางยกมือแกร่งใช้ปลายนิ้วเรียว เช็ดน้ำตาตรงหางตา ที่มันไหลออกมาจากการหัวเราะอย่างอารมณ์ดี วันนี้เขาไม่สามารถวางมาดให้ใครดูได้อีกแล้ว ขอสักวันแล้วกัน ลูกน้องยังเคารพเขาเหมือนเดิมนั่นละ คุณตาซ่งคิดเข้าข้างตัวเองแบบคิดเองเออเอง และพยักหน้าพอใจกับความคิดนี้ของตนอีกด้วย… ต้องรู้ก่อนว่าการลงใต้ไปสร้างผลงานที่นั่น ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก และไม่ใช่ใครก็ได้ ที่จะได้ย้ายลงใต้เพื่อไปสร้างผลงาน คนหนุ่มเก่งๆ ที่มองหาโอกาสเติบโต จะมองเห็นว่ากว่างโจวเหมาะสมกับการเลื่อนตำแหน่งมาก แต่คนส่วนมากที่ไม่ใช่ คนหนุ่มเก่งๆ หรือทหารยศสูงมีประสบการณ์แล้ว มักจะมองว่ากว่างโจวไม่เหมาะกับการเติบโตในหน้าที่การงาน เพราะมีภาพลักษณ์ค่อนข้างแตกต่าง จากเมืองทางเหนือที่เป็นเมืองหลวง ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วย ราชการและเป็นทางการ แต่ในกว่างโจวจะรู้สึกและรับรู้ได้ถึง การค้าและความวุ่นวาย พวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่เมืองหลวงเพียงเท่านั้น แต่ก็ถือว่าพวกเขาคิดถูกแล้ว นั่นก็เพราะว่าที่กว่างโจวมันมีแต่ คนหนุ่มเก่งๆ นี่แหละ พวกเขาสองสหายถึงได้ดีใจกันมากขนาดนี้ ที่นี่มีแต่คนอยากเก็บผลงานจริงๆ เพราะมีคนเก่งมากความสามารถหลายคน ตำแหน่งสูงๆ มีไม่ครบคนแน่นอนอยู่แล้ว การอนุมัติจึงต้องใช้เวลาหลายปี เพื่อพิจารณาให้ได้คนที่เหมาะสมที่สุดในตอนแรกพวกเขาคิดไว้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หกปีถึงจะได้กลับปักกิ่ง แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอนานถึงขนาดนั้นแล้ว “แล้วแกจะกลับมาฉลองครบเดือน หลานน้อยของฉันเลยรึเปล่าล่ะ” คุณปู่หลี่ไม่สนใจเสียงหัวเราะที่ดังก้องราวฟ้าผ่าของสหาย ทั้งที่เมื่อครู่หูเขาเกิดเสียงวิ้ง จนอื้อไปชั่วขณะเลยทีเดียว นี่มันคืออาการปกติของซ่งหวังเหว่ย เป็นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จัก จนตอนนี้แก่แล้วก็ยังไม่หาย ที่มักจะหลุดบ่อยๆ ยามอยู่กับคนคุ้นเคย ก็เขามันเป็นคนเพี้ยนๆ! “หลานน้อยของแกคนเดียวที่ไหนกันตาแก่หลี่! ฉันจะกลับให้ทันฉลองครบเดือนหลานแน่นอน ก่อนมารับสายแกฉันยื่นเรื่องย้ายกลับปักกิ่งแล้ว ” คุณตาซ่งเอ่ยท้วงสหาย ก่อนจะรับปากยืนยันไปฉลองครบเดือนหลานสาว “ได้ฉันจะรอแก แต่เดี๋ยวก่อนหวังเหว่ย แกจะเรียกฉันว่าตาแก่อีกกี่คำแกถึงจะพอใจกัน! ฉันอายุแค่ 48 ฉันยังไม่แก่ถึงขนาดใช้คำนั้น! เจ้าแก่แซ่ซ่ง!!” พูดเสียงดังใส่เพื่อนให้หูดับเป็นการแก้แค้นเสร็จ ก็วางสายทันทีอย่างโมโหเพื่อนรักจอมเพี้ยน คุณย่าจางยกมือบางปิดปากหัวเราะออกมาเบาๆ เธอนั่งฟังสองเพื่อนสนิทคุยกัน เหมือนทะเลาะกันมากกว่าอย่างเคยชิน พวกเขากระชับมิตรกันบ่อยๆ แบบนี้นี่ละ ปีนี้หลี่เฟยเทียนอายุ 48 ถือว่ามากพอสมควร ร่างแกร่งของเขาสูงใหญ่กำยำสมกับเป็นนายทหารยศสูง ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ผิวของเขาขาวมากทั้งที่ต้องออกตรวจงานกลางแจ้งในบางครั้ง ผิวกายผิวหน้ายังเต่งตึง มีแค่ร่องรอยประสบการณ์ชีวิตขีดที่หางตาบ้างเล็กน้อย หน้าตาของเขาดีมาก นี่คือต้นแบบใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกชายเธอเชียวนะ จะมีหน้าตาด้อยกว่าลูกชายได้อย่างไร จางเลี่ยงเหลี่ยงปีนี้ 45 แล้วแต่รูปร่างหน้าตาดีมาก ยังดูอ่อนเยาว์ และสวยสง่าสมกับมีลูกชายหน้าตาหล่อเหลาได้ขนาดนั้น “คุณยังไม่แก่เลยค่ะ ยังดูเป็นชายหนุ่มสุดหล่อสำหรับฉันอยู่เสมอ” คุณย่าจางผู้ไม่เคยเหนียมอาย กับการแสดงความรักกับสามี เธอพูดยืนยันความคิดของเธอให้สามีได้รับรู้ “หึ หึ หึ…. แน่นอนว่าคุณก็ยังดูสวยเสมอในสายตาของผม” คุณปู่หลี่หัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างชอบใจกับคำพูดภรรยา ดึงคุณย่าจางเข้ามากอดจนจมอกกว้าง ก่อนทั้งคู่จะพากันไปนอนพักกลางวันให้สมกับที่วันนี้เป็นวันหยุดของคุณปู่หลี่บทที่ 7 เจ้านกน้อยเฟยเฟย หลังจากเจ้าตัวน้อยหายเหนื่อย และอิ่มท้องแล้วเธอจึงมีสติกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวอีกครั้ง เด็กน้อยหันมองธรรมชาติรอบตัวอย่างสนใจเมื่อได้ยินเสียงนกร้อง ราวกับจะขับขานบทเพลงไพเราะให้เธอฟังอยู่เต็มไปหมด มันมีหลายเสียงมาก ร้องซ้อนๆ กันราวกับมีนกเป็นสิบๆ ตัวกระจายตัวอยู่รอบตัวเธอขับขานบทเพลงให้เธอฟัง ฟังดูเหมือนเสียงร้องเยอะเกินไปแต่มันไม่ได้น่ารำคาญเลยมันตรงกันข้ามเลยละ เธอชอบมันมากจนอยากเห็นว่ามันคือนกพันธุ์อะไร คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ลุกขึ้นจากพื้น และเดินตามเสียงตรงในทิศทางที่เธอได้ยินเสียงนกชัดที่สุดทันที สำรวจพื้นที่เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้เธออยากเห็นนกชนิดนี้มากกว่า เพราะรู้สึกชอบมันมากจนเธอเองยังแปลกใจ เด็กหญิงตัวน้อยเดินตามเสียงนกไปด้วยขาสั้นๆ ของเธอ เดินอ้อมโขดหินก้อนใหญ่ที่อยู่ริมธารน้ำตกไป หลังโขดหินนั่นมีต้นไม้สองต้น ขึ้นคู่กันอยู่ขนาดไม่ได้ใหญ่มากนัก ตรงลำต้นของพวกมันมีกล้วยไม้ป่าหยั่งรากของมันเกาะเปลือกไม้ตามลำต้น ขึ้นตั้งแต่โคนต้นไปจนถึงกิ่งไม้ใหญ่ มันมีอยู่หลายเถามาก แต่ไม่ได้ดูรก เพราะแต่ละเถามีแต่พวงดอก
บทที่ 8 เฟยเฟยพาสำรวจมิติ ติ๊ง! เมื่อลิฟต์ถึงชั้นสามแล้ว หลี่เฟยหย่าจึงก้าวเดินออกไปสำรวจสิ่งดีๆ ที่รอเธออยู่ทันที ตามที่เจ้าเฟยเฟยบอกอย่างมุ่งมั่น โดยมีเจ้านกน้อยบินนำทางเธอไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ตรงหน้าเธอตอนนี้คือประตูไม้บานใหญ่ มีลูกบิดประตูอยู่ในระดับที่เด็กวัยสองขวบเปิดไม่ได้แน่นอน เด็กหญิงตัวน้อยจึงทำหน้ามุ่ยมองประตูตรงหน้าอย่างขัดใจ “เจ้านายเอามือแตะบานประตูได้เลย มันจะเปิดให้เองครับ” เฟยเฟยรีบบอกเจ้านายตัวน้อยของมัน เมื่อเห็นหน้ายุ่งๆ ของเธอ เจ้าตัวน้อยก็ทำตามที่เฟยเฟยบอกอย่างไม่รอช้าทันที ประตูตรงหน้าค่อยๆ เปิดออก เธอจึงมองสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นี่มันห้างสรรพสินค้ากิจการของครอบครัวเธอ ที่เธอรู้ว่านี่คือห้างสรรพสินค้าของครอบครัว เพราะว่าประตูที่เปิดออกมันไม่ได้พาเข้าไปในห้างทันที มันอยู่ที่หน้าทางเข้าที่มีป้ายชื่อตัวอักษรใหญ่ๆ ติดอยู่ตรงตัวตึกตรงหน้าเธอ “ว้าว!! นี่มันสุดยอดมากเฟยเฟย ท่านเทพดีที่สุด! เรารีบเข้าไปดูข้างในกันเถอะ ฉันอยากรู้เร็วๆ แล้วว่าห้องต่อไปมันคืออะไร ” ค
บทที่ 9 เรื่องน่ายินดีของครอบครัว ซ่งผู่เย่วที่เห็นลูกสาวตัวน้อยตื่นมาแล้วก็คึกคัก อารมณ์ดีไม่มีร้องไห้งอแง เธอจึงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะก้มลงหอมแก้มป่องๆ ของเจ้าเด็กรู้ความไปฟอด ใหญ่ “ตื่นมาก็อารมณ์ดีเชียวนะเจ้าตัวน้อย กินนมก่อนจะได้มีแรงเล่นกับคุณพ่อตอนเขากลับบ้านนะคะ” หลี่เฟยหย่ากินนมของคุณแม่เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง แม้จะไม่รู้สึกหิวจากการกินน้ำมรกตในมิติไปแล้วก็ตาม เธออยากจะเล่าเรื่องมิติของเธอให้คุณพ่อคุณแม่ และทุกคนในครอบครัวฟังจริงๆ และจะไม่มีใครทำอันตรายเธอได้แน่นอน เพราะเธอไม่ได้แค่สำรวจมิติอย่างเดียว เวลาสามชั่วโมงในนั้นระหว่างที่เธอสำรวจมิติ มีเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าเฟยเฟยพูดจ้อไม่หยุดอยู่ตลอด เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ ได้พูดเสริมขึ้นมาว่าน้ำตกมรกตนั่น ถ้าอยากให้ใครภักดีและไม่คิดร้ายกับเธอ ต้องเอาดอกกล้วยไม้ที่รังของมันไปแช่ในน้ำตกมรกตก่อนให้คนอื่นดื่ม เจ้าตัวน้อยเสียดายมากอยากให้คนในครอบครัวใช้ของดีๆ จากห้างสรรพสินค้าของเธอ และพาพี่ชายฝาแฝดไปล่องเรือเล่นจริงๆ เธอสามารถพาคนอื่นเข้าไปในมิติได้ เมื่อทุกคนกินน้ำตกม
บทที่ 10 ฉลองครบเดือนของเจ้าตัวน้อย เด็กๆ มักโตเร็วเสมอ นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วหลังจากที่หลี่เฟยหย่า เจ้าตัวน้อยดวงใจของครอบครัวตระกูลหลี่เกิดมา คุณย่าจางรีบตื่นแต่เช้ามืด เพื่อเตรียมพิธีฉลองครบเดือนให้หลานสาวตัวน้อยของเธอ อยู่ในห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ที่จะเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง เธอสั่งให้แม่บ้านเตรียมขิงดอง และต้มไข่ไก่ย้อมแดงหนึ่งร้อยสิบสามฟอง คุณย่าจางสั่งให้ต้มไข่ไก่เยอะราวกับจะแจกให้ครบทุกคน ในย่านที่พักอาศัยพิเศษนี้เลยทีเดียว ที่ต้องเตรียมสองอย่างนี้ก็มีเหตุผล ตามความเชื่อแล้ว ไข่ หมายถึงความอุดมสมบูรณ์และมีอายุยืนยาว สีแดงหมายถึงโชคดี รูปทรงกลมของไข่หมายถึงความสุขสมบูรณ์ และการมอบไข่ย้อมแดงให้แขกด้วยเลขคี่ เป็นการบอกกลายๆ ว่าเด็กที่คลอดเป็นเด็กผู้หญิง ส่วนขิงดอง ด้วยความเชื่อที่ว่า จะทำให้ร่างกายผู้เป็นแม่คืนสู่สมดุลหลังการคลอดบุตร คุณย่าจางแค่อยากจะอวดหลานสาวที่น่ารัก ให้คนอื่นรู้เท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ได้จะเอาไปให้ทุกคนจริงอย่างที่อยากทำ เพียงแค่จะแจกแค่บ้านที่รู้จักกัน ที่อยู่ติดกับบ้านตระกูลหลี่ซ้ายขวาด้านละสองหลังนี่ และหน้าบ้านที่อยู่อีกฟากฝั่งถนนอีกสี่หลัง
บทที่ 11 พี่ชายหน้าหล่อต้องหลงความน่ารักของหย่าเออร์ หลี่เฟยหย่าชอบคุณลุงของเธอมาก เขาทั้งหน้าตาหล่อเหลาและอ่อนโยน บุคลิกเหมือนคุณแม่มาก แต่ต้องรอดูต่อไปว่าคุณลุงจะเหมือนคุณตาด้วยรึเปล่า อยากเห็นของขวัญที่คุณลุงให้เร็วๆ แล้วสิ เธอละกลัวจริงๆ ว่ามันจะเป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย สำหรับของขวัญครบเดือนเด็กทารก เจ้าทารกน้อยตั้งตารอการเปิดของขวัญ และซองแดงที่ได้ทั้งหมดของวันนี้ นี่เป็นกิจกรรมแก้เบื่อสำหรับทารกวัยหนึ่งเดือนอย่างเธอเชียวนะ ของขวัญของคุณลุงเป็นอะไรเธอก็ชอบทั้งหมด แต่ถ้าเป็นตุ๊กตาตัวน้อยสักตัวจะดีมาก เธอจะได้ใช้มันเป็นไอเทมเพิ่มความน่ารักถือติดตัวเล่นได้ คนน่ารักแบบเธอถึงจะน่ารักมากอยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่เฉยๆ มันก็แค่ดูน่ารักไงล่ะ เธอขอเพิ่มความน่าเอ็นดูด้วยการเป็นเด็กน้อยติดตุ๊กตาสักตัวแล้วกัน! เจ้าตัวน้อยเฟยหย่าจอมหลงตัวเอง นอนคิดถึงของขวัญที่อยากได้อย่างมุ่งมั่นแบบเด็กๆ เธอไม่ได้คาดหวังสักนิด แต่ขอให้เป็นตุ๊กตาน่ารักๆ แล้วกันค่ะคุณลุง ซ่งหลี่เจี๋ยผู้ไม่รู้ความคิดในใจของหลานสาว รับเจ้าตัวน้อยมาจากคุณย่าจาง ที่ยอมให้คนอื่นอุ้มหลานสาวแล้ว ตัดหน้าคุณตาซ่งที่ยกมือเตรียมอุ้ม
บทที่ 12 เปิดของขวัญ ทุกคนทานอาหารและพูดคุยกัน ด้วยเรื่องราวมากมายที่ต่างพบเจอมาในช่วง ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี เวลาล่วงเลยมานานแขกเตรียมตัวกลับบ้าน คุณย่าจางจึงสั่งให้ป้าฉางช่วยกันนำตะกร้าใส่ไข่ย้อมแดงและขิงดอง นำมาให้ครอบครัวเฉิน และครอบครัวซ่งครอบครัวละหนึ่งตะกร้าก่อนที่พวกเขาจะกลับบ้านกัน ส่วนเจ้าตัวน้อยไม่ได้ร่วมล่ำลาส่งแขกกลับบ้านด้วย เพราะฝืนร่างกายทารกน้อยไม่ไหว ตอนนี้จึงนอนหลับปุ๋ยหลังจากกลับมานอนดูดนมจากเจ้าขวดนมใบน้อย ที่ถูกลืมไปก่อนหน้านี้จนอิ่ม ไข่ที่เหลือจากที่ให้บ้านเฉินและบ้านซ่งไป คุณย่าจางให้แม่บ้านสี่พี่น้องช่วยจัดใส่ตะกร้า พร้อมผลไม้อีกนิดหน่อย ที่คุณยายหม่าซื้อกลับมาฝากจากกว่างโจว นำไปแจกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ตามที่คุณย่าจางคิดไว้ตั้งแต่เช้า เมื่อจบงานฉลองครบเดือนเจ้าตัวน้อยของบ้านแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนทำกิจกรรมของตัวเอง เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของคนทั้งบ้าน ที่ลาเพื่อดวงใจของทุกคนโดยเฉพาะ วันสำคัญของลูกสาวหลานสาวทั้งทีจะละเลยได้ยังไง ความจริงในวันนี้ต้องตั้งชื่อให้หลี่เ
บทที่ 13 ความเหงาของเจ้านกน้อยเฟยเฟย หลี่เฟยหย่าเดินหิ้วแขนตุ๊กตากระต่ายเดินไปหาเจ้านกน้อยเฟยเฟยที่รังของมัน เด็กน้อยเดินหิ้วแขนตุ๊กตา จนขามันลากไปกับพื้นไม่สมกับความน่ารักของมันเลยสักนิด เจ้าตัวน้อยทำแบบนี้ได้เพราะรู้ว่ามันไม่มีทางเปื้อนดินแน่นอน แต่ถ้าออกไปข้างนอก เมื่อเธอตัวโตขึ้นจนพอจะเดินพามันไปไหนมาไหนได้อีกหน่อย จะถนอมมันให้อยู่กับเธอไปนานๆ เลย เมื่อเดินช้าๆ ไปอย่างไม่เร่งรีบ ชมบรรยากาศในมิติของตัวเองไปด้วยระหว่างทาง เหมือนเคยเจ้าเฟยเฟยมันขับขานบทเพลงเพราะๆ ด้วยเสียงของมันอย่างทุกครั้ง เหตุผลคือมันเหงาอีกแล้ว! เสียงที่สะท้อนรอบทิศ ทุกครั้งที่ร้องด้วยเสียงนกของมันแบบนี้ เจ้าเฟยเฟยขอท่านเทพให้เสียงเป็นแบบนั้นเอง ยังบอกเพิ่มมาอีกว่านี่น่ะ ทำให้รู้สึกว่ามีเพื่อนนกอยู่ใกล้ๆ มันอีกมากมาย ฟังเหตุผลของเจ้านกนั่นมาถึงตรงนี้แล้ว เธอก็อยากจะจับมันโยนลงไปในลำธารที่มีเหล่าฝูงปลาหลีฮื้ออยู่ เพื่อยืนยันกับมันอีกครั้งว่าในนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีกนอกจากมัน เด็กน้อยไม่รู้ว่าเพราะอะไรเจ้าเฟยเฟย ถึงชอบลืมเหล่าปลานำโชคพวกนี้อยู่เรื่อย
บทที่ 14 วิ่งเตาะแตะเล่นกับเหล่าพี่ชาย หลังจากที่เจ้าตัวน้อยหลี่เฟยหย่าพาตุ๊กตาเพื่อนใหม่ อย่างเจ้าชุนชุนเข้าไปเพิ่มโชคในมิติ และได้รับการยอมรับการเป็นเพื่อนจากเจ้านกน้อยเฟยเฟยแล้ว ตอนนี้หลี่เฟยหย่าอายุครบหนึ่งปี ผ่านพ้นวันเกิดเจ้าตัวน้อยมาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เป็นหนึ่งปีที่เจ้าตัวน้อยใช้เวลากับครอบครัวอย่างสงบสุขมาก และก็ใช้ความเป็นเด็กได้คุ้มค่ามากเช่นกัน เธอทำตัวน่ารักหว่านเสน่ห์แบบเด็กน้อย ให้ครอบครัวหลงรักเธอตามตามใจมากจนไม่กล้าขัดใจลูกสาวหลานสาวเลย จนซ่งผู่เย่วกลัวว่าถ้าตามใจกันอยู่แบบนี้ ลูกสาวตัวน้อยของเธอจะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ แต่สุดท้ายพอได้เห็นลูกสาวทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูใส่ เธอก็ดุไม่ลงกลายเป็นว่าเธอเองก็ตามใจลูกสาวไม่แพ้ใคร ไม่เป็นไรถ้าลูกสาวเธอจะเอาแต่ใจนิดหน่อย เจ้าตัวน้อยของเธอเป็นเด็กมีเหตุผล แม้จะเอาแต่ใจบ้างแต่ไม่ได้มากจนเกินรับไหว ลูกสาวตัวน้อยคนนี้มีพัฒนาการเกินเด็กวัยเดียวกันไปมาก ฉลาดรู้ความราวอัจฉริยะตัวน้อยทีเดียว ถ้าทั้งบ้านมีแต่เธอที่ขัดใจเจ้าตัวน้อยอยู่คนเดียว เกิดลูกสาวไม่รักขึ้นมาเธอจะต
บทที่ 50 ชีวิตคู่ที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ จบคำสารภาพรักด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นการยืนยัน พ่อหนุ่มเจ้าน้ำตาที่ก้มหน้าหลุบตาลงมองต่ำดูเศร้าสร้อย พานให้คนมองใจอ่อนยวบแอบชะงักไปหนึ่งจังหวะเล็กๆ ซ่อนสีหน้าดีใจไว้ได้อย่างมิดชิด ถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับดวงตากลมโต ที่จ้องมองมาอย่างต้องการยืนยันคำพูดจากใจจริงของเธออย่างน่าเอ็นดู คนพี่เม้มปากข่มใจไม่ให้หลงอ่อนข้อไปกับความน่ารักตรงหน้า เขาเล่นใหญ่สวมบทคนรักจิตใจอ่อนไหวขี้น้อยใจขนาดนี้แล้ว ต้องเอาคนตัวเล็กตรงหน้าให้อยู่หมัด “ถ้าน้องยืนยันอย่างหนักแน่นขนาดนี้พี่ก็เชื่อจนหมดใจแล้วครับ พี่ก็รักหย่าเออร์มากขึ้นในทุกๆ วันเหมือนกัน สัญญาแล้วนะครับ หลังเรียนจบแต่งเลยทันที” “ค่ะ! ไม่ผิดสัญญาแน่ค่ะ” “ครับ… ดีมากครับเด็กน่ารักต้องไม่ผิดสัญญา แต่….” คนเจ้าแผนการเริ่มคิดอยากกลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งแล้ว “อะ อะไรคะ! ตะ แต่อะไรถามน้องมาให้หมดเลยค่ะ พี่ช่างอยากรู้อะไรน้องจะตอบทุกเรื่องเลย” คนน้องหลงคิดว่าคนพี่จะหมดข้อข้องใจแล้ว เพราะเขาก็บอกรักเธอกลั
บทที่ 49 สวมบทพ่อหนุ่มเจ้าน้ำตา หลังกอดปลอบเพื่อนสาวจนหายน้อยใจแล้ว หวงหนิงอ้ายก็ขอแยกตัวไปนั่งตรงโซนบาร์เครื่องดื่ม ด้วยรู้ว่าเพื่อนตัวน้อยต้องขึ้นไปหาคู่หมั้นหนุ่มที่ห้องทำงาน เหมือนทุกครั้งที่พวกเขาพากันมาที่นี่ “หยะ-…” ……. “อ๋า! น้องสาว... หย่าเออร์ เลิกเรียนแล้ว น้องกินอะไรมารึยัง หิวรึเปล่า วันนี้เรียนหนักรึเปล่า ถ้าเหนื่อยเกินไปน้องเปลี่ยนคณะที่เรียนใหม่ได้นะ…” พอเปิดประตูห้องทำงานใหญ่ของสามหนุ่มเพื่อนสนิทเข้ามา หวงหนิงเฉิงที่ความรู้สึกไวที่สุดและรอคนรักอย่างใจจดใจจ่ออยู่ก่อนแล้ว เอ่ยเรียกคู่หมั้นตัวน้อยยังไม่ทันจบ เจ้าเพื่อนรักแฝดคนพี่รีบทิ้งปากกาในมืออย่างของไร้ความหมาย ก่อนแกล้งส่งเสียงแปร๋นอย่างแตกสาวกลบเสียงเพื่อนสนิทจนไม่ได้ยิน พร้อมกันนั้นเจ้าเพื่อนแฝดคนน้องก็ลุกจากที่นั่งไปโอบน้องน้อยของพวกเขา พามานั่งเบียดกันสามคนบนโซฟาตัวเดียวกัน ทำเมินเพื่อนหนุ่มราวกับห้องนี้มีกันอยู่แค่พวกเขาสามพี่น้อง “……..” คนถูกเมินได้แต่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่รอให้มองทั้งสามนั่งกอดกันกลม
บทที่ 48 ยอมรับความแตกต่าง เมื่อไม่มีใครเป็นอะไรพวกเขาจึงแยกกันกลับบ้าน เหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ก้าวผ่านร่างของสวีหยู่เยียนซึ่งกำลังโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บร่าง และสืบสวนเรื่องราวเพื่อนดำเนินคดีต่อไป มันก็เป็นแค่เรื่องร้ายๆ เรื่องหนึ่งที่อาจจะหนักหน่อย ผ่านพ้นไปได้อีกเรื่องในวัยสิบหกปีของพวกเขา ภายหลังผลคดีจากการสืบสวนออกมาอีกว่า สวีหยู่เยียนฆ่าชายพนักงานโรงแรมรัฐแห่งหนึ่งตาย แต่ก่อนการลงมือฆาตกรรม เพื่อนข้างห้องได้ยินเสียงทำร้ายร่างกายด่าทอตบตีกัน มีการข่มขู่ทรมานเอาเงินจากเธอแถมยังกักขังสวีหยู่เยียนไว้ในห้องไว้ข่มขืนซ้ำๆ ไม่ปล่อยเธอออกจากห้องจนสุดท้ายเธอจึงก่อเหตุลงมือกับชายคนนั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอสติหลุด จากเรื่องที่ชายคนนั้นทำเรื่องเลวทรามกับเธอ ส่วนแม่ที่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ ก็ได้หอบเงินหนีไปก่อนแล้วตอนที่เซี่ยเหว่ยพ่อเลี้ยงของเธอโดนจับ ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวที่บ้านหลังนั้นโดยที่มีเซี่ยเติ้งหลุนคอยเข้าออกบ้างยามต้องการใช้ประโยชน์จากเธอ หลังเรื่องราววุ่นวายจบลง บรรดาผู้คนรอบตัวของหลี่เฟยหย่าทั้งค
บทที่ 47 ความขาดสติจนกลายเป็นความบ้าคลั่ง 2/2 สวีหยู่เยียนเลือกมาอาละวาดก่อเรื่องในเวลาเลิกเรียนพอดี คนในส่วนหน้าโรงเรียนจึงเยอะ พวกเขาต่างพากันลนลานวิ่งหาที่หลบลูกกระสุนที่ถูกปล่อยออกมาในบางจังหวะที่สวีหยู่เยียนคลุ้มคลั่ง สวนสวยเพื่อนั่งเล่นและเป็นซุ้มรอรถตรงนี้ เหล่าคนในโรงเรียนจะรู้กัน ว่าเป็นที่นั่งของเหล่าลูกหลานคนมีเงินเพื่อมานั่งรอรถที่บ้านมารับ กลุ่มที่รู้ฐานะตัวเองพวกเขามักจะหลีกเลี่ยงไม่มานั่งที่นี่ ถึงแม้พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้แบ่งแยกให้ใครนั่งได้หรือไม่ได้ เมื่อปฏิบัติต่อๆ กันมาเรื่อยๆ หลักปีนานเข้า มันก็กลายเป็นพื้นที่อภิสิทธิ์เฉพาะไปโดยปริยาย ถึงพวกเขาจะก้มลงหมอบหาที่หลบซ่อนตัวแล้ว แต่สวีหยู่เยียนที่กำลังเดินผ่านเพื่อไปยังซุ้มตรงที่หลี่เฟยหย่าหลบอยู่ สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็น กลุ่มคนที่เธอเคยไปมีเรื่องด้วยเพราะความอิจฉาอยู่หลายคนทีเดียว “ฮ่าๆ! อ้อ… ฉันก็เผลอแปลกใจไปแวบหนึ่ง ที่เจอพวกคนสารเลวชอบทำตัวสูงส่งอย่างพวกแกไป ลืมไปได้ยังไงกันนะ แหม! ก็นี่มันสวนชนชั้นสูงของพวกแกนี่นา ดี! จะได้ไม่ต้องไปตามคิดบัญชีนังพวกที่ชอบดูถูกฉันให้เหนื่อ
บทที่ 46 ความขาดสติจนกลายเป็นความบ้าคลั่ง 1/2 หลังกลับมาจากค่ายนอกเมืองแล้วกลับเข้ามาทำงานต่อ โดยลากเพื่อนสนิททั้งสองมาเคลียร์เอกสาร ที่เหมือนทำเท่าไรก็ไม่หมดในส่วนของพวกเขา ที่บางครั้งเฉินหวงช่างต้องรับมาทำ เพราะสองพี่น้องมีงานต้องออกไปทำนอกพื้นที่ตลอด จนหาเวลานั่งติดเก้าอี้เคลียร์เอกสารน้อยเหลือเกิน วันนี้อยู่ด้วยกันแล้วถือโอกาสเปิดห้องประชุมไปด้วยเลยแล้วกัน หลี่เฟยฮุ้ยและหลี่เฟยเจินหลังจากนี้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนเข้ามายังตลาดลับ ที่พวกเขาร่วมลงทุนอีก คนที่เป็นเจ้านายใหญ่โดยถือเปอร์เซ็นถึง70% เลยคือเฉินหวงช่าง ส่วนสองแฝดถือคนละ 15% เมื่อหลายเดือนก่อน หยางต้าหยวนที่ถือเปอร์เซ็นอยู่ 7% อยู่ๆ ก็คิดขายคืนให้เฉินหวงช่าง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้มีคำถามขอคำอธิบายใดๆ ให้หยางต้าหยวนตอบ เขาเพียงทำเอกสารการรับซื้อยื่นให้อีกฝ่ายเซ็น พร้อมกับให้ลูกน้องไปเอาเงินถึงสองกระเป๋าใหญ่ ส่งให้หยางต้าหยวนง่ายๆ เท่านั้น “พวกนายไปขอให้คุณลุงหลี่เจี๋ย ปล่อยข่าวการรับสมัครบอดี้การ์ดให้กับทหารปลดเกษียณที่ค่ายทางใต้ด้วยแล้วกัน” เฉินหวงช่างบอกสหายหลั
บทที่ 45 ทรมานเจ้าคนน่าขนลุก NC 🔥ชน/ช รุนแรง* ผัวะๆ!! “อ่า!... อ๊ากกก! ปล่อยฉันๆ! พวกแกมันก็ค้าขายทำลายชาติไม่ต่างจากฉันนี่ แล้วจะมาทำลายพวกเดียวกันทำไม ฮะ! อั่ก!!” เซี่ยเติ้งหลุนที่โดนฝ่าเท้าหนักๆ สองพี่น้องบ้านหลี่รุมอย่างไม่ยั้งแรง ร้องตะโกนโต้แย้งอย่างสู้อะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูจะยังแข็งแรงดีมากๆ อยู่บ่งบอกถึงความถึกที่ซ่อนไว้ ขัดแย้งกับภาพลักษณ์คุณชายแสนสุภาพเจ้าสำอางที่แสดงให้เห็นไปก่อนหน้า พลั่กๆ!! “เหอะ! ไอ้เวร สารเลวนี่มันปากดี มีแรงพูดไม่หยุดจริงๆ! ฉันขอเตือนให้แกเก็บเสียงไว้แหกปากหลังจากนี้ดีกว่าไหม แกได้แหกปากเหม็นๆ นี่จนพอใจแน่” หลี่เฟยฮุ้ยพูดออกมาอย่างเหลืออด กับการแหกปากพ่นคำพูดหาความสำนึกไม่ได้นี่ ขณะยกเท้ากระทืบหนักๆ ลงบนร่างคุดคู้ที่พื้น เซี่ยเติ่งหลุนโดนลูกน้องของเฉินหวงช่าง พากลับมาขังไว้ก่อนหน้านี้ กำลังโดนสองแฝดบ้านหลี่จัดการทรมานระบายอารมณ์ หลังเหตุการณ์คืนวันงานเลี้ยงเมื่อวันก่อนหลายวันก่อนผ่านไป บ้านตระกูลหลี่และตระกูลเฉินทั้งสองบ้านได้ตกลงเกี่ยวดองกั
บทที่ 44 สถานะที่เปลี่ยนไป หลี่เฟยหย่าไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว มารู้สึกตัวด้วยความหงุดหงิด ก็ตอนที่เหมือนโดนกอดรัดจนขยับพลิกตัวไม่ได้นี่ละ แถมยังมีไอ้เจ้าความรู้สึกที่เหมือนโดนปลุกเร้าที่ร่องกลีบอวบ และปลายยอดถันนี่อีก “จ๊วบ~ จุ๊บ… จุ๊บ… ฟอด ~ จุ๊บ!….” คนหื่นที่ไม่ยอดหลับยอมนอน แม้จะปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหลับได้เต็มอิ่ม แต่เขาก็ยังคงคลอเคลียไม่ห่าง ใบหน้าที่ติดเรียบนิ่งจนดูเย่อหยิ่งเป็นปกตินั่น ตอนนี้กลับมีแววหวาน นัยน์ตาฉายความหลงใหลอย่างแสนรัก ที่หลี่เฟยหย่าไม่คิดว่าจะได้เห็น แต่เฉินหวงช่างที่เงยหน้าขึ้นมา สบเข้ากับแววตานิ่งค้างของหลี่เฟยหย่า ที่เห็นสีหน้าและแววตาเปิดเปลือยความรู้สึกในใจตอนเผลอไปจนหมดเปลือก ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะปกปิดแต่อย่างใด กลับยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาเลียกลีบปากอิ่ม ที่บวมช้ำของคนตัวเล็กคล้ายต้องการจะยั่วยวนกัน กอดกระชับขาเรียวเล็กข้างหนึ่ง ที่นอนในท่านอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหากัน ให้มาก่ายเกยบนท่อนแขนกำยำของตนมากขึ้น สะโพกแกร่งแสนร้ายกาจขยับในจังหวะเนิบนาบ ให้ท่อนเอ็นที่ไม่ยอมหลับยอมนอนตามเจ้าของ คอยเสียดแ
บทที่ 43 เฉินหวงช่าง NC 🔞🔥+++ 2/2 สองมือเรียวเล็กของหลี่เฟยหย่า ดึงรั้งกางเกงแสนเกะกะออกจากสะโพกหนั่นแน่น ที่ยกขึ้นให้ร่างเล็กถอดออกอย่างง่ายดาย “ฮ่าส์!…..” ร่างสูงหลุดครางเสียงพร่า หลังโดนสองมือเล็ก แสนเผด็จการ กดเข้ากลางลำคอหนา ให้ทิ้งตัวนอนหงาย ตรึงร่างแกร่งไว้กับพื้นเตียง ก่อนที่ร่างเล็กจะขึ้นคร่อมทิ้งสะโพกกลมมน ลงมาบดเบียดกลีบสาวอวบอูม ให้แย้มผลิบานโอบแนบไปกับแท่งร้อนลำใหญ่ “อาส์… หย่าเออร์… ฮื้มส์….” เสียงทุ้มครางเสียงต่ำสั่นพร่าอย่างกระสันซ่าน ไปกับการร่อนสะโพกเด้งๆ นั่น บดขยี้ไปกับแท่งร้อนของเขาอย่างเร่งร้อน น้ำหวานสีใสไหลอาบเคลือบความแข็งขืนจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย “ฮ่าส์ พี่ช่าง….. พี่ช่างขา… อ่าส์!” คนพี่โดนน้องน้อยของเขาครางเรียก ด้วยเสียงหวานหยาดเยิ้มเข้าซ้ำๆ ก็ยิ่งเพิ่มความเสียวซ่านจนปลายหัวหยักสีฉ่ำปล่อยน้ำหล่อลื่นออกมา เรียวปากหยักยกยิ้มร้ายอย่างชอบใจกับการกดตรึงร่าง จนเหมือนเขาเป็นทาสราคะ อย่างเอาแต่ใจของคนตัวเล็ก ชายหนุ่มโอบร่างเล็กให้ลงมาแนบอกอวบอิ่มไปกับแผงอกกว้าง
บทที่ 42 เฉินหวงช่าง NC 🔞 +++ 1/2 ยังไม่ทันได้พูดพล่ามความเสียสติออกมาจนจบประโยคดี เซี่ยเติ้งหลุนก็โดนมือปริศนากระชากผมจากทางด้านหลัง ให้ทันกลับมารับหมัดหนักๆ ซัดเข้าที่หน้าตรงจมูกจุดที่มีปลายประสาทจำนวนมาก “อั๊กๆ !!!” เมื่อได้รับหมัดแรกแล้วหมัดที่สอง ที่สามก็ตามมาติดๆ ซัดเข้าที่จุดเดิมซ้ำๆ เว้นดวงตาให้มันไว้มองการทรมานแสนโหดร้ายจากเขา หลังจากจบเรื่องหลังจากนี้ เฉินหวงช่างก้าวเท้ายาวๆ ตามเซี่ยเติ้งหลุน ที่พยายามลนลานลุกหนีไป จนล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น เพราะรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหวแต่สุดท้าย ก็โดนตามมาเหยียบด้วยเท้าหนักๆ เข้าที่กลางหลัง ก่อนจะโดนพลิกตัวให้หันกลับมารับฝ่าเท้าหนักๆ อัดเข้าที่กลางอก และกลางลำตัวเข้าซ้ำๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ มีเพียงแค่สีหน้าเหี้ยมเกรียมอย่างคนโกรธจัดเท่านั้น กร๊อบๆ!!!! “อั๊ก!!… อ๊ากกกกก!!!!” เฉินหวงช่างไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ เมื่อเห็นร่างเล็กบอบบางสั่นเทาอย่างไม่สู้ดีนัก เขาเลือกจับเซี่ยเติ้งหลุนหักขาออกจากข้อต่อทั้งสองข้างอย่างเลือดเย็น ไม่น