หลินเฟิงขับรถไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสายฟ้าปกติแล้วต้องใช้เวลาขับรถมากกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ด้วยการเร่งความเร็วและแซงรถไปตลอดทาง เขาสามารถถึงมหาวิทยาลัยเจียงโจวได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีทันทีที่หลินเฟิงเดินผ่านประตูมหาวิทยาลัยเจียงโจว เขาก็สังเกตเห็นรถพยาบาลจอดอยู่ที่หน้าประตูทันทีที่เห็นเช่นนั้น ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจหลินเฟิงวิ่งไปที่รถพยาบาล ทันทีที่เขาเห็นก็พบว่านักเรียนหลายคนที่เต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่บนพื้น และกำลังได้รับการปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วนหลินเฟิงเหลือบมองไปรอบ ๆ โชคดีที่ไม่พบใบหน้าที่คุ้นเคย“เฮ้! อย่าไปที่นั่นนะ ที่นั่นมีการตั้งเส้นกั้นไว้ ห้ามใครเข้าไป!”ขณะที่หลินเฟิงกำลังวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างเร่งรีบ นักเรียนหญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาขวางทางเขาอย่างทันทีเมื่อทั้งคู่เห็นหน้ากัน ต่างก็ต้องตกใจไปชั่วขณะคนที่ขวางทางหลินเฟิงอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเพื่อนสนิทของเสวี่ยฮุ่ย โจวเสี่ยวหาง“พี่หลินเฟิง?1”โจวเสี่ยวหางมีท่าทางตกใจ“เสี่ยวหาง มันเกิดอะไรขึ้น?!”แม้หลินเฟิงจะรู้สึกตื่นตระหนกมาก แต่เขาก็พยายามสงบสติเอาไว้ และสอบถามอย่างใจเย็น“ไม่แน่ใจค่ะ ช
“ฮ่าฮ่าฮ่า... สาวสวย ถ้าคุณไม่ออกมาซะตอนนี้ คุณอาจจะต้องถูกเผาตายทั้งเป็นเชียวนะ!”ชายหนุ่มผู้สวมชุดสูทสีขาวยืนอยู่หน้าตึกเรียนที่กำลังลุกไหม้ หัวเราะอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าคบเพลิงที่เพิ่งใช้จุดน้ำมันรอบๆ อาคารเรียนตอนนี้อยู่ในมือของเขาเขามองไปที่เปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและตื่นเต้น จนทำให้บางส่วนของร่างกายเขาตึงตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“แค่ก แค่ก แค่ก…….’บนชั้นห้าของอาคารเรียน ฟ่านหลิงเยว่จับมือเสวี่ยฮุ่ยไว้แน่น ขณะที่พวกเขาหลบอยู่ในห้องเรียนที่ว่าง ควันหนาทึบลอยไปทั่วจนทำให้ทั้งคู่ไอออกมาไม่หยุด“เสี่ยวเยว่ อย่ามาสนฉันเลย หนีไปซะเถอะ”หลินเสวี่ยฮุ่ยผลักเสี่ยวเยว่เบา ๆ เพื่อให้เธอรีบหนีไป และไม่ต้องสนเธอหากเป็นเพียงเสี่ยวเยว่คนเดียว เธอคงหลุดพ้นจากวงล้อมไปได้แล้วในตอนนี้เพราะต้องพาเธอที่เป็นภาระไปด้วย จึงทำให้เสี่ยวเยว่ถูกพวกนั้นล้อมจับ“บ้าชะมัด ฉันว่าแล้วทำไมพวกเขาถึงหยุดไล่ตามเราแล้ว ที่แท้ก็จุดไฟเผา ไอ้หมอนั่นเป็นคนบ้าชัด ๆ!””ฟ่านหลิงเยว่สบถด่าออกไปจากนั้นเธอก็หันมามองเสวี่ยฮุ่ยที่อยู่ข้างหลัง พร้อมกับบ่นว่า: “เสวี่
บันไดของอาคารเรียนพังลงมา และไม่สามารถขึ้นไปจากตรงนี้ได้อีกหลินเฟิงปีนต่อไปตามราวบันได ร่างกายของเขาปราดเปรียวว่องไวราวกับลิง เพียงแค่ครึ่งนาที หลินเฟิงก็ปีนขึ้นไปบนเสาค้ำที่กำลังพังลงมา ก่อนจะปีนขึ้นไปที่บนชั้นห้า“เสี่ยวเยว่! เสวี่ยฮุ่ย!”หลินเฟิงใช้พลังชี่แท้ เพื่อกระจายควันให้ลอยอยู่รอบ ๆ“พี่หลินเฟิง พวกเราอยู่ตรงนี้!”ทันใดนั้น หลินเฟิงก็ได้ยินเสียงตะโกนเบา ๆจากห้องเรียนด้านหลังระเบียงทางเดินนี่คือเสียงของเสี่ยวเยว่หลินเฟิงไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะรีบเข้าไปในห้องเรียนตรงระเบียนทางเดินเมื่อเผชิญหน้ากับกำแพงไฟ หลินเฟิงก็ก้าวขึ้นไปบนกำแพง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปในอากาศราวกับเสือชีตาร์ที่โผล่ออกมาจากเปลวไฟแล้วก็ช้อนเสี่ยวเยว่กับเสวี่ยฮุ่ยที่หมดสติให้อยู่ในอ้อมแขน“พี่หลินเฟิง บันไดไฟไหม้ไปหมดแล้ว พวกเราหนีออกไปไม่ได้แล้ว!”เสี่ยวเยว่เงยหน้ามองไปทางหลินเฟิง ด้วยสีหน้าตึงเครียด“จับฉันให้แน่น!”หลินเฟิงไม่ได้ลังเลมากนัก ลมปราณภายในของเขารวมตัวกันอยู่ในจุดตันเถียน จนกลายเป็นพายุพลังชี่แท้อยู่กลางฝ่ามือ ก่อนจะเปิดทางกำแพงไฟที่ขวางอยู่ข้างหน้าทันทีหลังจากที่กำแพงถูกเผาจนดำสนิททั
เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางหมิง ในใจของหลินเฟิงก็เกิดความสงสัย“โอวหยางหมิงกับโอวหยางชิ่งถูกฆ่าแล้วเหรอ?”“เอ๊ะ? คุณไม่รู้งั้นเหรอ?”โอวหยางหมิงตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า: “หลินเฟิง ถึงเวลานี้แล้วคุณยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกงั้นเหรอ? มันจะไม่สายเกินไปหน่อยเหรอ?”“ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขา”หลินเฟิงขมวดคิ้ว“อ่อ...งั้นความหมายของคุณคือ โอวหยางป๋อกับโอวหยางชิ่งไม่ได้ถูกคุณฆ่า? แต่พวกเขาไม่ได้ระวังระหว่างเดินทาง ก็.....แอ่ก”โอวหยางหมิงใช้นิ้วทำท่าทางปาดคอ และพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูล้อเลียน ก่อนจะพูดว่า “ก็ตายอย่างแปลกประหลาดแบบนี้งั้นเหรอ?”“ผมไม่รู้ว่าสำนักเสินฉือของพวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ แต่ผมไม่ได้ฆ่าโอวหยางป๋อกับโอวหยางชิ่ง มีคนเป็นพยานได้”หลินเฟิงมองไปทางฟ่านหลิงเยว่ฟ่านหลิงเยว่ก็เป็นพยานในตอนนั้นเช่นกัน เธอพยักหน้า ก่อนจะพูดว่า: “พี่หลินเฟิงไม่ได้ฆ่าโอวหยางป๋อกับโอวหยางชิ่ง ตอนนั้นปล่อยพวกเขาไปแล้ว”“ฉันเห็นด้วยตาของฉันเอง”“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจผิด....”โอวหยางหมิงพยักหน้าอย่างจริงจัง จากนั้นก็มองไปทางหลินเฟิงก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าฉันจะ
“หือ? คิดไม่ถึงว่าพลังชี่แท้ของไอ้หมอนี่จะแข็งแกร่งขนาดนี้ !”เปลือกตาของโอวหยางหมิงกระตุกเขายังไม่ทันตอบโต้ ก็เห็นหลินเฟิงเคลื่อนไหวแล้วรูปร่างของหลินเฟิงเหมือนกับมังกรว่ายน้ำ ลากภูตผีที่ด้านหลังแล้วพุ่งเข้าใส่ท่ามกลางคนชุดดำ หลังจากเสียงกระทบกระแทกและเสียงกรีดร้อง มีอาวุธและแขนขาที่ขาดออกมากระเด็นไปรอบหลินเฟิงยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีความกล้าภายในเวลาไม่ถึงห้านาที คนชุดดำที่ล้อมรอบต่างก็ถูกกำจัดหมดหลินเฟิงยืนอยู่คนเดียวบนยอดกองคนชุดดำ ก่อนจะพุ่งเข้าไปต่อยใบหน้าของคนชุดดำคนสุดท้ายจนจนยุบเป็นหลุมเขาส่งเสียงร้อง ก่อนจะถูกโยนทิ้งออกไปแล้วกลิ้งไปแทบเท้าของโอวหยางหมิงในตอนนี้ นอกจากโอวหยางหมิงกับหลินเฟิงก็ไม่มีใครยืนอยู่ในที่เกิดเหตุอีกเลย“นี่คือกองกำลังของคุณเหรอ? พวกกำลังภายในไร้ประโยชน์?”หลินเฟิงมองไปทางโอวหยางหมิง สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม“หึ ฉันก็ไม่ได้หวังว่าขยะพวกนี้จะสามารถคุกคามอะไรคุณได้หรอก และเมื่อคำนวณเวลาแล้ว ก็พอใช้ได้เลยนะ”โอวหยางหมิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า: “หลินเฟิง คุณต่อสู้ได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้ แต่แล้วมันยังไงล่ะ?”“วันนี้ผมจะให้บทเรียนกับคุณ ไม่ใช่
“อ่อ งั้นก็ดีแล้ว ใช่แล้ว คืนนี้เสวี่ยฮุ่ยกับเสี่ยวเยว่จะกลับมากินข้าวไหม?”“น้าจ้าว คืนนี้มีธุระนิดหน่อย พวกเราอาจจะไม่กลับได้กลับไปกินแล้ว พวกเราจะกลับไปคืนพรุ่งนี้”หลินเฟิงอดทนต่อความไม่สบายใจและพยายามที่จะสงบสติอารมณ์“ฮะ ได้ได้ได้ ฉันรู้แล้ว หลินเฟิง พวกคุณต้องระวังตัวด้วยนะ”“ครับ น้าจ้าว น้าวางใจเถอะครับ”กว่าจะปลอบใจจ้าวเฉียวอวิ๋นได้ โทรศัพท์จากทางหลิวหย่งก็โทรมาอีกครั้ง“คุณหลิน คนของตระกูลเซี่ยงเพิ่งจะมาหา เซี่ยงตงเซิงได้พาคนเข้ามาและลักพาตัวหลี่ฮุ่ยหรานกับคุณถังหว่านไป ผมกับพรรคพวกพยายามต้านทานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังทำสำเร็จ”“คุณหลิน ขอโทษ ผม....”“ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ”จิตใจของหลินเฟิงจมดิ่ง แต่ก็ยังพยายามที่จะปลอบใจหลิวหย่งในที่สุด หลินเฟิงก็วางสายโทรศัพท์ด้วยสายตาอาฆาตที่แทบจะควบคุมไม่อยู่“ตระกูลเซี่ยง!”หลินเฟิงกัดฟันก่อนงจะคำรามออกมา “หน้าไม่อายจริง ๆ พวกคุณหาเรื่องตายด้วยตัวเอง งั้นก็ไม่ต้องมาโทษฉันแล้ว!”“ติ๊งริงริง...”ในช่วงเวลาสำคัญนี้ โทรศัพท์มือถือของหลินเฟิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง“หลินเฟิง!”คราวนี้จางกุ้ยหลานที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์ เธอพ
“ตามเธอไป จะต้องสืบที่มาของอัญมณีทับทิมเม็ดนั้นให้ชัดเจน”ในหูฟัง มีคนออกคำสั่งต่อชายร่างผอมด้วยภาษาเวน่าเช่นเดียวกัน“ครับ”ผู้ชายลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินตามจางซินที่ตื่นเต้นดีใจที่อยู่ตรงหน้าไปด้วยสีหน้านิ่งเฉยพลบค่ำสำนักไป๋เกาเมืองเจียงโจว จางเจียหนิงปิดไฟดวงสุดท้ายของสำนักจางเจียหนิงบอกลากับเพื่อนร่วมงานของสำนักไป๋เกา ในตอนที่กำลังจะสะพายกระเป๋ากลับบ้านจู่ ๆ เธอสังเกตเห็นว่าตรงข้างกำแพงที่มืดมิด เหมือนจะมีร่างกายที่ผอมโรยล้มอยู่ตรงนั้น “เอ๊ะ?”จางเจียหนิงขยับเข้าไปใกล้ เธอนึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นผู้หญิงที่มีบาดแผลเต็มตัวไปหมดบาดแผลบนตัวของเด็กสาวมีหลายจุดที่ตกสะเก็ด แผลใหม่แผลเก่าเต็มไปหมด อีกทั้งเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายก็ชำรุดจนดูไม่ได้“สวัสดีค่ะ? คุณ?”จางเจียหนิงขยับเข้าไปใกล้ และตบใบหน้าของเด็กสาวเบา ๆ“หลินเฟิง...หลิน...”“หลินเฟิง?”จางเจียหนิงตกตะลึงเล็กน้อย เธอขยับหูของตัวเองเข้าไปใกล้ ๆ และฟังอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ได้ยินเสียงที่เบาบางของเด็กสาวอย่างชัดเจนจางเจียหนิงไม่ได้ฟังผิด เธอกำลังเรียกชื่อของหลินเฟิงอยู่จริง ๆ“หรือว่าจะเป็นเพื่อนของหลินเฟิง?!”
เพราะว่านี่ไม่ใช่เสวี่ยฮุ่ย และก็ไม่ใช่หมิงอิ่งอิ่งเธอคือโอวหยางชิ่งหลินเฟิงที่รู้สึกโล่งอกเพียงชั่วครู่ก็ตกอยู่ในความสงสัยอีกครั้งเขาจำได้ว่าตอนนั้นที่เขาปล่อยโอวหยางชิ่งกับโอวหยางป๋อจากไปตามหลักแล้วถึงแม้โอวหยางชิ่งจะไม่มีกำลังภายในกับตันเถียนแล้ว แต่อย่างน้อยก็มีหมัดเท้ากังฟูอยู่บ้างทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายแบบนี้?หรือว่าเป็นสำนักเสินฉือ?หลินเฟิงครุ่นคิดไม่หยุด แต่คาดเดาไปเรื่อยแบบนี้ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิงดังนั้นเขากวาดสายตามองดูกลุ่มแพทย์ที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ จากนั้นขมวดคิ้วและพูดเร่ง: “พวกคุณถอยออกหน่อย ให้ผมจัดการเถอะ”“หลินเฟิง คุณรู้จักเธอไหม?”จางเจียหนิงขยับเข้าไปถามใกล้ ๆ“รู้จัก”หลินเฟิงปล่อยกำลังภายในออกจากปลายนิ้ว และกดไปที่บนจุดฝังเข็มจุดต่าง ๆ บนตัวของโอวหยางชิ่งโดยไม่หยุดพัก จนเกิดเป็นลมพัดขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง โอวหยางชิ่งก็กระอักเลือดออกมาจากในปาก“เข็มเงิน!”หลินเฟิงยื่นมือออกไปทางจางเจียหนิง“อ่อ...ค่ะ!”จางเจียหนิงรีบวิ่งไปที่ข้าง ๆ และเปิดกล่องเข็มเงินที่ฆ่าเชื้อเอาไว้เรียบร้อยแล้วออกมา“ส่วบส่วบส่วบ”หลินเฟิงหยิบเข็มเงิน