จางกุ้ยหลานเห็นว่าด่าไปก็ไม่มีประโยชน์จึงเดินเข้ามาผลักหลินเฟิง“ออกไปซะ! ตอนนี้ฮุ่ยหรานไม่อยู่ ตะโกนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”“หลี่ฮุ่ยหราน!”“วันมะรืน!”หลินเฟิงอดทนต่อกำปั้นและเล็บของจางกุ้ยหลานก่อนจะตะโกนใส่คฤหาสน์ตระกูลหลี่ “วันมะรืนนี้ฉันจะไปฉุดเจ้าสาว! ฉันจะไปแน่ ๆ!”“หลี่ฮุ่ยหราน ฉันจะเอาตัวเธอไปให้ได้! แล้วฉันก็ไม่สนด้วยว่าเธอจะยินดีไหม!”“ฉันหลินเฟิงคนนี้มันก็เอาแต่ใจแล้วก็บ้าแบบนี้นี่แหละ!”“ไม่มีใครห้ามฉันได้ คนตระกูลหลี่ก็ห้ามไม่ได้ กู้เฉินก็ห้ามไม่ได้ ตระกูลหลงของจิงเฉิงก็ห้ามฉันไม่ได้!”หลังจากตะโกนเสร็จหลินเฟิงก็ยืนเงียบ ๆ เพื่อจะรอฟังว่าหลี่ฮุ่ยหรานที่อยู่ในคฤหาสน์จะพูดว่าอะไรแต่จนถึงตอนนี้ นอกจากเสียงตะโกนด่าทอของจางกุ้ยหลานก็ไม่มีเสียงอะไรเลยหลินเฟิงเองก็ไม่ได้ท้อแท้ ในตอนที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้นประตูของคฤหาสน์ก็เปิดออก หลี่ฮุ่ยหรานที่อยู่ในชุดนอนกำลังเดินออกมา“นี่ลูกออกมาทำไม?!”จางกุ้ยหลานเห็นหลี่ฮุ่ยหลานเดินออกมาจริง ๆ ก็รู้สึกร้อนใจ“ลูกจ๊ะ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกับคุณชายกู้แล้ว เพื่อตระกูลหลี่ของเรา ลูกอย่าถูกเจ้าปีศาจคนนี้หลอกเอาเชียว
“หลี่ฮุ่ยหรานเธอโกหก ฉันรู้จักเธอดี เวลาที่เธอโกหกเธอจะหลบสายตา”หลินเฟิงพูดเสียงเบา“หลินเฟิง อย่าคิดว่าคุณรู้จักฉันดี ฉันเป็นคนยังไงคุณไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด ฉันจะบอกคุณก็ได้”หลี่ฮุ่ยหรานยิ้ม “ตอนนี้ฉันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ใคร ๆ ก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง และอย่าเอาแต่หวังสูง ผู้หญิงคนหนึ่งก็แค่หวังว่าจะได้แต่งงานกับคนที่พึ่งพาได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?”“แทนที่จะเอาแต่ต่อกรกับบรรดาพวกที่ถือหุ้นในบริษัท การเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านไม่สบายกว่าเหรอ แบบนี้ก็ดีกับทุกฝ่ายด้วย”“หลี่ฮุ่ยหราน นี่คือสิ่งที่คุณคิดจริง ๆ เหรอ?”หลินเฟิงจ้องตาของหลี่ฮุ่ยหราน“มันคือความจริงค่ะ”ครั้งนี้หลี่ฮุ่ยหรานไม่ได้หลบสายตา เธอมองไปทางหลินเฟิงไม่กระพริบตา “ไม่สนว่าคุณจะคิดยังไง หรือจะเข้าข้างตัวเองแบบไหนหรืออยากจะอวดเก่งอะไร แต่วันพรุ่งนี้ฉันไม่มีทางหนีไปกับคุณแน่ ๆ คุณหยุดคิดเถอะ”“ดึกแล้ว ฉันเหนื่อยแล้วด้วย คุณกลับไปเถอะ”หลี่ฮุ่ยหรานพูดจบก็เดินกลับเข้าไปด้านในคฤหาสน์“เหม่ออะไรของแก? ไม่ได้ยินหรือไงว่าลูกสาวฉันไล่แล้ว? มั่นหน้าจริง ๆ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”จางกุ้ยหลานเดินเข้ามาผลักไหล่หลินเฟิงแต
ตระกูลผู้ดีมากมายและพวกข้าราชการต่างพากันมาร่วมงานรถหรูนับร้อยคันตั้งเป็นขบวนแห่ ที่จอดรถด้านนอกของตระกูลกู้ต่างก็จอดกันจนล้นออกไปด้านนอกกู้เฉินที่เซ็ตผมและแต่งตัวหล่อเหลายืนรับแขกที่ห้องโถงด้วยตัวเองแต่ก็จะมีเพียงคนดังในเมืองเจียงโจวเท่านั้นที่กู้เฉินจะเดินเข้าไปทักทายด้วยตัวเองถ้าหากว่าเป็นแค่เจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ หรือตระกูลที่ไม่ดังก็จะเป็นคนรับใช้ของตระกูลกู้เป็นฝ่ายรับหน้ากู้เฉินยกแก้วเหล้าในมือทักทายกับผู้คนในงานอย่างสบายใจ“คุณชายกู้ จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทางตระกูลเซี่ยงเหมือนจะมีเรื่อง ทางนั้นไม่ได้ส่งคนมา”คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานให้กู้เฉินฟัง“หึ ฉันก็ไม่ได้หวังว่าเซี่ยงตงเซิงจะช่วยอะไรได้หรอก”“ไม่ใช่หรอกครับ”คนรับใช้คนนั้นขยับเข้ามากระซิบข้างหูกู้เฉิน “โรงงานของทางตระกูลเซี่ยงถูกเซียวคุนกว้านซื้อไปจนหมด พวกนั้นหมดโอกาสที่จะร่วมมือกับเราแล้วครับ”“แต่ทางเซียวคุนกลับมีคนอยากจะร่วมมือกับเรา”“หืม?”กู้เฉินตะลึงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “งั้นก็ตอบตกลงเซียวคุน เพราะถ้าทำให้ตระกูลถังและหลินเฟิงล่มจมได้ จะร่วมลงทุนกับใครฉันก็ไม่ติดทั้งนั้น”“ครับ”คนร
เห็นหลี่ฮุ่ยหรานขมวดคิ้วเพราะคำพูดของตัวเองจางกุ้ยหลานก็รีบเข้ามาปลอบ “วางใจเถอะลูกวันนั้นที่ไอ่หมอนั่นมาก่อกวนก็เพื่อจะหลอกให้ลูกหนีไปกับมันก็เท่านั้น”“มันไม่มีทางกล้าบุกเข้ามาในถ้ำเสือนี่แน่ ๆ ไม่แน่นะว่าตอนนี้อาจจะหนีออกไปจากเจียงโจวแล้วก็ได้ได้ยินแม่ปลอบใจตัวเองแบบนี้ถึงจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังพอมองเห็นความหวังอันริบหรี่อยู่บ้างตอนนี้เธอแค่หวังว่าหลินเฟิงจะปลอดภัยดีก็เท่านั้นและยังหวังว่าหลินเฟิงจะไม่ทำอะไรให้ตัวเขาเองตกอยู่ในที่นั่งลำบาก“ว้าว พี่คะ ของพวกนี้คุณชายกู้ให้มาเหรอคะ”จางซินเองก็เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว เธอจับดูกล่องเครื่องประดับก่อนจะมองไปทางหลี่ฮุ่ยหรานแล้วถามออกมา “นี่พี่ยกสร้อยให้ฉันสักเส้นสองเส้นได้ไหมคะ? ฉันยังไม่เคยใส่เครื่องประดับแพง ๆ มาก่อน…”“อืม เอาไปสิ”หลี่ฮุ่ยหรานไม่ได้สนใจเครื่องประดับ ก่อนจะฝืนยิ้มออกแล้วดันกล่องเครื่องประดับไปทางจางซิน“ขอบคุณค่ะ!”จางซินพูดออกมาอย่างดีใจก่อนจะหยิบเครื่องประดับในกล่องมาสวมใส่พร้อมกับบิดตัวไปมาอยู่หน้ากระจกเพื่อส่องดูความสวยของมันจางกุ้ยหลานที่ยืนอยู่อีกด้านได้แต่ถอนหายใจออกมาที่ลูกสาวของ
แต่คำพูดพวกนี้สำหรับหลี่ฮุ่ยหรานแล้วกลับขัดเคืองหูมากกว่าสิ่งใดเธอคิดว่ามันมีแต่เรื่องประชดประชัน รักแท้อะไร คลั่งรักอะไร ไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องอะไร คำพูดพวกนี้มันคือคำโกหกทั้งนั้นทั้ง ๆ ที่ความจริงคือกู้เฉินเข้ามาบังคับ เพราะเขาต้องการจะเข้ามาควบคุมตระกูลหลี่ผ่านทางเธอในตอนนั้นเองที่หลี่ฮุ่ยหรานรู้สึกว่ามันช่างเหนื่อยจนเธออยากจะทิ้งทุกสิ่ง“หลินเฟิง นายมาช่วยฉันทีได้ไหม?”เธอพูดประโยคนี้เบา ๆ ในใจเธออดที่จะจินตนาการไม่ได้ถ้าเกิดว่าหลินเฟิงสามารถบุกเข้ามาที่เจียงโจวและช่วยเธอได้ ครั้งนี้เธอควรจะทำตามใจตัวเองแล้วหนีไปจากงานแต่งงานที่มีแต่คำหลอกลวงนี้ใช่หรือไม่?“ขอบคุณคุณชายกู้มากครับ ผมคิดว่าทุกคนคงจะซาบซึ้งกับความคลั่งรักของคุณชายกู้แน่ ๆ ต่อจากนี้ก็ขอเชิญคุณหลี่ฮุ่ยหรานขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ!”เสียงของพิธีกรดังมากจากด้านหน้าเธอหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจางกุ้ยหลานจะเดินเข้ามาสะกิดลูกสาวของตัวเอง หลี่ฮุ่ยหรานจึงดึงสติกลับมาและรู้ว่าถึงเวลาที่เธอต้องขึ้นเวทีแล้วเพราะอย่างนั้นเธอก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือที่ออกจะมาช้าไปสักหน่อย เธอสวมชุดเจ้าสาวสีขาวก่อนจะเ
"สามีภรรยาคำนับกัน!”พิธีกรประกาศออกมาเสียงดังอีกครั้งกู้เฉินและหลี่ฮุ่ยหรานหมุนตัวมามองหน้ากันกู้เฉินยิ้มจนเต็มใบหน้า เห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่ก็พูดออกมาเสียงเบา “ฮุ่ยหราน เธอวางใจเถอะเรื่องที่เธอขอร้องฉันไว้ก่อนหน้านี้ฉันบอกกับคุณชายหลงแล้ว ทางคุณชายหลงเองก็ตอบรับแล้วด้วย”“จริงเหรอคะ?”หลี่ฮุ่ยหรานชะงักไปเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความสับสนเห็นว่าหลี่ฮุ่ยหรานทำสีหน้าแบบนี้ออกมา สายตาของกู้เฉินก็มีวี่แววของความเย็นชาก่อนจะยิ้มออกมา “แต่ทางคุณชายหลงมีเงื่อนไขมานิดหน่อย”“เงื่อนไขอะไร?”หลี่ฮุ่ยหรานใจสั่น เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล“ก็คือคืนนี้คนที่จะมาเข้าหอกับคุณคือน้องชายของคุณหลง”“อะไรนะคะ?!”หลี่ฮุ่ยหรานตกตะลึง เธอเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ“กู้เฉิน...นี่คุณ…”“ทำไม? คุณจะไม่ยอมเหรอ?”กู้เฉินส่ายหน้าพลางยิ้ม “วางใจเถอะ ผมจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป แต่แค่จะถ่ายคลิปเอาไว้เผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต”“คุณมันโรคจิต!”หลี่ฮุ่ยหรานกัดฟันด่าออกมา“ขอบคุณที่ชมครับ”กู้เฉินฉีกยิ้มอย่างไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิด “ยกผู้หญิงของตัวเองให้น้องชายของคุณชายหลงเนี่ย จริง ๆ ผมก
"ฮุ่ยหราน!”“คำนับสิ! รีบคำนับเร็ว!”“ถ้าแกไม่คำนับ วันนี้ตระกูลหลี่ของเราแย่แน่!”“พี่คะ รีบคำนับสิ!”“เจ้าสาวรีบคำนับเร็ว!”รอบด้านต่างพากันเร่งให้หลี่ฮุ่ยหรานโค้งคำนับ เธอมองไปรอบทิศทางอย่างหวาดระแวง คนที่เธอมองหากลับไม่โผล่เข้ามาเสียทีถ้าเธอโค้งคำนับไปก็จะเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว“หลี่ฮุ่ยหราน เธออยากให้ฉันอับอายหรือไง?”“ทางที่ดีรับน้ำใจนี่ไว้ซะ ไม่อย่างนั้นหลินเฟิงไม่รอดแน่!”กู้เฉินใบหน้าเคร่งขรึมลงทันตา “ไม่ใช่แค่หลินเฟิง แต่ตระกูลหลี่ แม่ของเธอ น้องของเธอก็จะตายไม่มีที่ฝัง!”“เธอคิดให้ดีก็แล้วกัน!”“ต่อให้วันนี้เธอไม่ยอมคำนับก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้!”ได้ยินคำขู่ของกู้เฉิน หลี่ฮุ่ยหรานก็สั่นไปทั้งตัว สุดท้ายเธอจึงหลับตาลงก่อนจะคลายมือที่กำเอาไว้แน่นออกเธอยอมแล้ว“ได้...ฉันจะคำนับ”ในสายตาของหลี่ฮุ่ยหรานเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในตอนที่เธอกำลังจะโค้งคำนับกู้เฉินนั้นที่ประตูห้องโถงของตระกูลกู้ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น“อะไรกัน?!”“อะไร?”ประตูห้องโถงของตระกูลกู้ถูกกระแทกจนมันเปิดออกแขกทุกคนต่างพากันมองไปทางนั้นก่อนจะเห็นบอดี้การ์ดของตระกูลกู้ที่ล้มลงเมื่อกี้สิ่งที่กระแท
"หลินเฟิงเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อนี้ที่เจียงหนานมาก่อนเลยล่ะ?”“นั่นสิ เขาเป็นใครกันน่ะ? ทำไมถึงกล้ามาหยามคุณชายกู้กัน?”“นี่เขาโง่หรือเปล่า? อยากตายหรือไง?”“น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ มีพาดหัวข่าววันพรุ่งนี้แล้ว”“มีเรื่องน่าสนใจแล้วสิ!”ตอนแรกภายในงานเต็มไปด้วยความเงียบก่อนจะตามมาด้วยเสียงซุบซิบก่อนที่เสียงจะค่อย ๆ ดังขึ้นในตอนนี้ทุกคนต่างพากันพูดถึงสถานะของหลินเฟิง ก่อนจะพูดถึงเรื่องการแต่งงานระหว่างตระกูลหลี่และตระกูลกู้ว่ามันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ถึงได้มีการฉุดเจ้าสาวกันเกิดขึ้น“ว้าว เรื่องแบบนี้แค่ในฝันฉันก็ยังอยากจะเจอเลย”“เจ้าหญิงจะแต่งงานกับเจ้าชาย แต่ว่าในตอนที่จะแต่งงานกลับมีคนรักของเจ้าหญิงเข้ามาป่วนงาน”หญิงสาวคนหนึ่งมองมาอย่างเพ้อ ๆ“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ นี่มันเป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่นิทาน ไอ่หมอนั่นตายแน่”“ใช่ รอดูเถอะว่าทางคุณชายกู้จะว่ายังไง”“จะจัดการยังไงได้? ไอ่หนุ่มนั่นคงตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่ ๆ”ไม่ว่าคนด้านล่างจะพูดกันว่ายังไงแต่ในสายตาของหลี่ฮุ่ยหรานมีแค่หลินเฟิงเท่านั้นถึงแม้ตอนนี้เสื้อผ้าของหลินเฟิงจะขาดไปสักหน่อยหรือว่าบนใบหน้าจะม
“ถูกต้องแล้ว”อวี๋จื่อเสวียนพยักหน้าเหมือนลูกไก่จิกข้าว เธอวางสองมือลงบนประตูรถสปอร์ตของผู้หญิงคนนั้นแล้วขมวดคิ้วถาม:“คุณซุน ฉันได้ยินมาว่าฟางเลี่ยงป่วย? เขาเป็นยังไงบ้าง? อาการหนักหรือเปล่าคะ?”"เขา......"หญิงสาวลากเสียงยาว สีหน้าลังเลหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า:“เขาสบายดี แค่เป็นหวัดเล็กน้อยในช่วงนี้ และลุกจากเตียงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพบใครได้ในตอนนี้”“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง…”อวี๋จื่อเสวียนดูผิดหวังเล็กน้อยแล้วจึงถามว่า:“แล้วเมื่อไหร่เขาจะดีขึ้น?”"เมื่อไร......"หญิงผู้นั้นพูดคลุมเครือเล็กน้อย แต่หลินเฟิงก็ยืนขึ้นในขณะนี้เขาเปิดโปงคำโกหกของหญิงคนดังกล่าวโดยตรง หยิบอาหารเสริมที่เธอวางไว้บนเบาะผู้โดยสารขึ้นมาแล้วพูดว่า:“ยาเหล่านี้เป็นยาจีนที่จดสิทธิบัตร ซึ่งใช้เพื่อเติมพลังชี่และสร้างเลือด และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการหวัดแต่อย่างใด”“อ๊ะ?!”เมื่อหญิงสาวได้ยินว่าหลินเฟิงเป็นผู้เชี่ยวชาญ เธอหน้าซีดและโบกมือเพื่ออธิบายว่า:“ไม่ ไม่ ไม่ ยาพวกนี้เขาสั่งให้ฉัน ช่วงนี้ฉันก็ป่วย ดังนั้น...”“ไม่จำเป็นต้องอธิบายครับคุณซัน”หลินเฟิงพิงประตูรถแล้ว
“อ่อ เอ่อ...ก็จริงแฮะ”อวี๋จื่อเสวียนเป็นเพราะโมโหจนหน้ามืด เธอเกาหัวอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วพูดด้วยความโกรธเคืองว่า:"แม่มดแก่ที่เพิ่งบอกให้ฉันไสออกไป ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!"ในขณะที่พูดอย่างนั้น อวี๋จื่อเสวียนก็เตะประตูเหล็กอย่างแรงอีกครั้ง"สามหาว!"ขณะที่อวี๋จื่อเสวียนกำลังตะโกนและด่าทอที่ประตูเหล็ก รถเก๋งลินคอล์นสีขาวเงินคันหนึ่งก็หยุดลงข้างๆ อวี๋จื่อเสวียนชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสี่เหลี่ยมเดินลงมาจากเบาะหลังรถและตะโกนใส่อวี๋จื่อเสวียน“นี่เป็นสมบัติของตระกูลซุนของฉัน พวกเธอเป็นใคร กล้าทำตามอำเภอใจแบบนี้ที่นี่ได้อย่างไร!”“หึ แล้วคุณเป็นใคร?”อวี๋จื่อเสวียนหยุดเตะประตูและหันไปมองชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเหลี่ยมด้วยความดูถูก“ท่านนี้คือคุณซุนหยวนเหว่ยจากตระกูลซุน ประธานบริษัทการค้าเทียนเหว่ย พวกเธอเป็นใครกัน กล้ามาก่เอเรื่องที่บ้านคุณซุนได้ยังไง!”คนขับรถรีบเข้าไปปกป้องซุนหยวนเหว่ยที่อยู่ด้านหลังเขา และตะโกนใส่อวี๋จื่อเสวียนและหลินเฟิง“ซุนหยวนเหว่ย คนกระจอกอะไรกัน ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”คำพูดของอวี๋จื่อเสวียนทำให้ความดันโลหิตของชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสี่เหลี่ยมพุ่งสูงขึ้นไม่
อวี๋จื่อเสวียนที่ยืนเท้าเอวอยู่ข้างรถสปอร์ต จ้องมองหลินเฟิงด้วยสีหน้าไม่พอใจเห็นได้ชัดว่าอยากจะเร่งให้หลินเฟิงออกจากสถานที่ที่เฮงซวยแห่งนี้โดยเร็วที่สุดแต่ทว่าหลังจากที่ลังเลเล็กน้อย หลินเฟิงก็ส่ายหน้าไปทางอวี๋จื่อเสวียนอย่างช้าๆ“ฉันเกรงว่าเพื่อนสมัยเด็กของเธอไม่ใช่ไม่อยากเจอเธอ”"อะไรนะ?"อวี๋จื่อเสวียนเบิกตากว้างและหัวเราะเยาะ:“ถ้าเขาไม่ได้ไม่อยากพบฉัน แล้วทำไมเขาถึงไม่กล้าตอบอินเตอร์คอมตอนนี้ล่ะ? อาจารย์หลิน ฉันรู้ว่าคุณต้องการปลอบใจฉัน แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้…”"ฉันพูดจริงนะ"หลินเฟิงยืนอยู่ที่นั่น มองดูรถหรูหายเข้าไปในโรงรถ จากนั้นลูบคางของเขาแล้วพูดว่า:“ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเจอเธอ แต่เขาไม่สามารถเจอเธอได้”“เธอลืมสิ่งที่แม่บ้านคนนั้นพูดไปแล้วหรือ?”"อะไร?"ความสงสัยปรากฏบนใบหน้าของอวี๋จื่อเสวียนเรื่องนี้เองเผยให้เห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาด แม้ว่าเธอจะสับสนมาก แต่ความโกรธของเธอก็ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของเธอและเธอไม่ต้องการเสียเวลาของหลินเฟิง“คนรับใช้คนนั้นบอกว่าเพื่อนสมัยเด็กของคุณไม่สะดวกที่จะพบปะผู้คน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเจอ แต่ไม่สะดวกต่างหาก เธอเข้าใจที่ฉ
หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างเย็นชา:“ฉันขอย้ำอีกครั้งว่า ฟางเลี่ยงไม่ต้องการพบใครในตอนนี้ รวมถึงเพื่อนสมัยเด็กของเขาด้วย ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย!”ใบหน้าของอวี๋จื่อเสวียนเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันทีเมื่อเขาถูกปฏิเสธ“ไอ้เวรเอ๊ย!”อวี๋จื่อเสวียนพับแขนเสื้อขึ้น ชี้ไปที่อินเตอร์คอมแล้วสาปแช่ง:“ฟางเลี่ยง นายออกมาเลยนะ เจ้าถั่วงอก แต่งงานเข้าตระกูลร่ำรวยแล้วจะกล้ารับฉันเป็นเพื่อนสมัยเด็กของนายอีกเหรอ!”“ยังมีคุณ มนุษย์ป้าที่พูดจาหยาบคาย คุณเป็นอะไรกับฟางเลี่ยง? ถึงกล้าให้ฉันไสหัวไป?”เห็นได้ชัดว่าการดุของอวี๋จื่อเสวียนทำให้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ปลายสายอินเตอร์คอมตั้งตัวไม่ทันเธอตอบกลับอย่างเย็นชาทันที:“ฉันคือคนรับใช้ของตระกูลซุน นังหนู ฉันเตือนเธอให้รีบไสหัวไปเร็วๆ เลย เธอกล้าพูดจาไม่เกรงใจที่นี่อีก รอนายท่านกับคุณนายกลับมา เธอต้องเจอดีแน่!”“ที่แท้ก็คนรับใช้นี่เอง”อวี๋จื่อเสวียนถูกทำให้โมโหจนหัวเราะ คนรับใช้คนหนึ่งกล้าตะโกนใส่เธอ ให้เธอไสหัวไป?เขาเห็นตัวเองเป็นคนสำคัญอะไร?“คุณไปเรียกฟางเลี่ยงมากให้ฉัน ฉันจะพูดคุยกับเขาเอง เพิ่งผ่านไปไม่
"ครับ"หลงหยวนตอบและหันหลังเพื่อจะออกไปมองดูแผ่นหลังของลูกชายคนโตที่เดินจากไป หลงเทียนเว่ยก็พึมพำกับตัวเองว่า:“ตอนนี้ตระกูลหลงของเราสะสมชีพจรมังกรได้สามชิ้นแล้ว”“ที่เหลือ ก็เหลือเพียงสามชิ้นที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยตระกูลอื่นๆ และหนึ่งชิ้นที่หายสาบสูญอยู่ที่เมืองเจิ้งเต๋อ ยังมีอีกชิ้นที่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน”ขณะที่หลงเทียนเว่ยกำลังพึมพำกับตัวเอง จู่ๆ ลูกน้องก็เข้ามารายงาน“ผู้นำตระกูล มีคนจากสำนักร้อยพิษต้องการพบท่าน”"สำนักร้อยพิษงั้นเหรอ?"หลงเทียนเว่ยส่งเสียงไม่พอใจในลำคอและหลับตาลง“สำนักร้อยพิษ มีธุระอะไรมาที่ตระกูลหลงของฉัน?”“ไม่ทราบครับ แต่มีชายชราหัวโล้นคนหนึ่งพูดว่าสำนักร้อยพิษของเขารู้ที่อยู่ของชีพจรมังกรชิ้นหนึ่ง”"โอ้?"หลงเทียนเว่ยก็ลืมตาขึ้นทันทีจู่ๆ ก็มีลำแสงพุ่งออกมาจากดวงตาสีขาวของเขา“ให้เขาเข้ามา”......“อาจารย์หลิน ก่อนออกจากเมืองจิง ฉันยังมีเรื่องเล็กน้อยต้องจัดการ”อวี๋จื่อเสวียนนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารของรถหรูและถลึงตาจ้องมองหลินเฟิง“เธอยังมีเรื่องอะไรอีก?”วันนี้หลินเฟิงจะพาอวี๋จื่อเสวียนกลับเมืองเจิ้งเต๋อแล้วถังหว่านกลับต้องอยู่ในตระกูลถั
เป็นเพราะเรื่องจัดการตระกูลถังก่อนหน้านี้หลงยวนถูกผู้นำตระกูลลงโทษและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากตระกูลหลงแม้แต่ก้าวเดียวเขาไม่ได้โอดครวญใดๆ ช่วงนี้ได้ฝึกฝนตนเองในตระกูลหลงอยู่ตลอด อ่านและเขียนหนังสือ ไม่สนใจเรื่องทางโลกวันนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกจากผู้นำตระกูลหลง เขาแสดงออกเหมือนคาดเดาได้แล้ว จึงทำแค่พยักหน้าไม่มีอารมณ์ผันผวนมากนักแต่ลูกน้องที่อยู่ข้างกายหลงหยวนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“ขอแสดงความยินดีด้วยคุณชายหลงหยวน วันนี้ท่านผู้นำตระกูลได้เรียกคุณมา ท่านคงมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องไหว้วานคุณ ดูเหมือนว่าคุณจะสามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดนี้ได้ในที่สุด”“จริงด้วยครับคุณชายหลงหยวน ผู้นำตระกูลฉลาดและทรงพลังมาก เขาจะไม่เพิกเฉยต่อท่านนานอย่างแน่นอน วันนี้คือวันที่คุณต้องเปลี่ยนโชคชะตา”เมื่อได้ยินคำเยินยอจากผู้คุ้มกันทั้งสองที่อยู่รอบๆ ตัวเขา หลงหยวนก็ยังคงสงบนิ่งเขาไม่ได้ยกคิ้วขึ้นเลยด้วยซ้ำ“ท่านผู้เฒ่าคงมีเหตุผลส่วนตัวที่เรียกฉันมา ฉันไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจเลย จะเอาความเสียใจหรือมีความสุขมาจากไหน”หลงหยวนมีสีหน้าเย็นชาและสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเหลือเพียงผู้คุ้มกันสองคนที่จ
“พ่อทำแบบนี้ไม่ได้นะ พ่อทำแบบนี้ไม่ได้นะ! แม้แต่เสือก็ยังไม่กินลูกตัวเอง พ่อ... หรือว่าพ่ออยากจะเห็นฉันกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปตลอดชีวิตจริงๆ เหรอ!”"พ่อ!"เมื่อถึงเวลานี้ถังเจี้ยนหยวนได้ตัดสินใจแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสังเกตเห็นแววตาเคียดแค้นในดวงตาของถังจื้อสิงที่มีต่อถังหว่าน เขาก็ตัดสินใจแล้วเราจะต้องไม่เปิดโอกาสให้ถังจื้อสิงสร้างความหายนะให้กับตระกูลถังทั้งหมดถังจื้อสิงต้องชำระสิ่งที่ควรต้องจ่ายต่อให้เป็นลูกชายของเขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น!“ท่านอาจารย์ถัง การลงโทษนี้...”หลังจากได้ยินคำตัดสินของถังเจี้ยนหยวนเกี่ยวกับถังจื้อสิง ผู้คนจากตระกูลสาขาโดยรอบก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย นี่อาจเจ็บปวดกว่าการฆ่าถังจื้อสิงเสียอีก“ใช่แล้วพ่อ พ่อ...พ่อทำแบบนี้กับผมไม่ได้!”“ฉันบอกว่า กฏตระกูล!”ถังเจี้ยนหยวนตะโกนขึ้น มองไปที่ผู้คุ้มกันของตระกูลถังที่อยู่ข้างๆ เขา และกล่าวว่า:“พวกนายไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดเหรอ? ลากเขาออกไปซะ!”"ครับ!"หลังจากเงียบไปชั่วขณะด้วยความตกตะลึง ผู้คุ้มกันทั้งสองของตระกูลถัง ก็รีบลากถังจื้อสิงที่กำลังร้องขอความเมตตาออกจากห้องจัดเลี้ยง"พ่อออออ!"เสียงกรี
เมื่อถังจื้อสิงได้ยินว่าเขาสูญเสียคุณสมบัติในการเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลถัง ทั้งตัวของเขาก็สั่นสะท้านแต่เขารู้ว่าเขาไม่เหลือที่ว่างให้ต่อต้าน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ก้มหัวลงและยอมรับความจริงข้อนี้“ตระกูลถังควรจะมีผู้สืบทอดเป็นธรรมดา”หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ถังเจี้ยนหยวนก็พูดขึ้นช้าๆคราวนี้ เขาหันไปมองหลินเฟิงและเปลี่ยนหัวข้อ:"ในฐานะลูกเขยของตระกูลถังของเรา หลินเฟิงได้ช่วยตระกูลถังของเราจากอันตรายมาแล้วหลายครั้ง"“วันนี้เขาช่วยชีวิตพวกเราทุกคนอีกครั้ง ถ้าไม่มีเขา เราคงถูกสารเลวอย่างถังจื้อสิงฆ่าตายไปแล้ว”ในขณะที่เขากำลังพูด ถังเจี้ยนหยวนก็หยุดชะงัก มองไปที่คนจากสาขาตระกูลถังทั้งหมด และพูดเสียงดังว่า:“ดังนั้น ฉันขอเสนอให้หลินเฟิงเป็นผู้สืบทอดตระกูลถังของเรา พวกคุณคิดยังไง?!”“อ๊ะ?!”"อะไรนะ?!"เมื่อทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้ยินถังเจี้ยนหยวนประกาศข่าว พวกเขาก็ตกตะลึงให้คนนอกมากเป็นผู้สืบทอดผู้นำตระกูลถังของพวกเขา นี่มันน่าขำมากเลยไม่ใช่เหรอ? !แม้ว่าจะมีบุญคุญใหญ่หลวงต่อตระกูลถังของพวกเขาแต่การทำแบบนี้ก็ยังเกินขอบเขตไปมาก“ฮ่าๆ ฉันแค่ล้อเล่น”เมื่อทั้งสถานที่เงียบส
หลินเฟิงเปิดเครื่องดักฟังบนตัวของหลงอวี่และพูดเรียบๆ ว่า:“เครื่องดักฟังบนตัวหลงอวี่แตกต่างจากของนาย มันมีฟังก์ชันบันทึกและสนทนา ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าพี่ชายสุดที่รักของนายปิดบังนายทำเรื่องอะไร”เห็นเพียงแค่หลินเฟิงกดปุ่มบนเครื่องดักฟังภายใต้การสนับสนุนของไมโครโฟน เสียงของหลงอวี่ดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง“วางใจเถอะท่านผู้นำ ถังจื้อสิงเป็นเพียงคนโง่เขลา ผมหลอกใช้นิดหน่อย เขาก็ซาบซึ้งต่อผมอย่างมาก แทบจะฆ่าพ่อแท้ๆ ของเขาแทนผมแล้ว”“หึหึ วางใจได้ แผนการในครั้งนี้แยบยลไม่มีที่ติ”“เพียงแต่ผมยังต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นเขียนจดหมายท้าสู้ เพื่อที่ถังเจี้ยนหยวนจิ้งจอกแก่ตัวนั้นจะได้ไม่สังเกตเห็นความพิรุธ”“ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวล ครั้งนี้ผมจะเอาชนะตระกูลถังได้แน่นอน! เอามังกรชีพจรของพวกเขามามอบให้คุณ”ในขณะที่บันทึกเสียงของหลงอวี่ในเครื่องดักฟังก็จบลงถังจื้อสิงและแม้กระทั่งคนทั้งตระกูลถังต่างเบิกตากว้าง เผยให้เห็นแววโกรธและความเหลือเชื่อ“พี่ใหญ่...พี่ใหญ่หลงอวี่ เขา...เขาหลอกใช้ฉันงั้นเหรอ”ถังจื้อสิงนอนคว่ำอยู่บนพื้น ร่างกายของเขาสั่นไปทั้งตัวคนทั้งคนดูเหมือนจะสูญเสียศรัทธา และลูกตาก