หลินเฟิงพยักหน้าในเวลานี้เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ถังหว่านบอกเมื่อสักครู่เป็นความจริง“เมื่อสักครู่นี้ตอนที่แม่ของคุณโทรมาหาผม ผมได้นำโสมมังกรหัวกลั่นเป็นยาเม็ดแล้ว”ถึงแม้ว่าหลี่ฮุ่ยหรานจะผิดหวังเล็กน้อยที่ได้ยิน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร โสมมังกรหัวไม่มีแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอายาเม็ดเปลี่ยนเป็นโสมมังกรหัวบางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้ในเมื่อโสมมังกรหัวอันนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับเธอ และหลี่ฮุ่ยหรานก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก“งั้น...งั้นก็ช่างมันเถอะ”หลินเฟิงมองไปที่หลี่ฮุ่ยหราน และครุ่นคิดอยู่นานแล้วพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าญาติของครอบครัวคุณป่วยเป็นโรคอะไร ผมสามารถช่วยไปดูให้ได้”“นี่....ช่างมันเถอะ หมอเทวดาพวกนั้นในเจียงเป่ยต่างก็รักษาไม่หาย...”เมื่อหลี่ฮุ่ยหรานพูดแบบนี้ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองนั้นพูดผิดและรีบเปลี่ยนคำพูด “ ความหมายของฉันก็คือ อาการป่วยของเธอร้ายแรง และหมอเทวดามากมายต่างก็พูดว่าจำเป็นต้องใช้โสมมังกรหัว”หลินเฟิงยิ้ม “ในตอนนั้นที่คุณปู่ป่วยหนักแทบจะไม่รอดก็เป็นผมที่รักษาหาย ็็็็นนนอย่างน้อยก็ต้องลองกันสักหน่อยไหม”หลี่ฮุ่ยหรานรีบเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลินเฟิงทันที ในใจรู
“จบแล้ว มันจบแล้ว หรือว่าตระกูลหลี่ของพวกเราจะไม่สามารถกลับไปต้นตระกูลได้แล้วเหรอ??”โจวอวี้เฟิ่งเห็นแม่ลูกสองคนพึมพำจึงเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “พวกเธอสองคนพูดอะไรกัน? โสมมังกรหัวอยู่ที่ไหน? รีบเอาออกมาเร็ว ๆสิ”หลี่ฮุ่ยหรานกล่าวอย่างฝืนใจ “คุณอาสะใภ้ โสมมังกรหัวถูกหลินเฟิงเอาไปใช้เรียบร้อยแล้ว”“อะไรนะ?” โจวอวี้เฟิ่งโมโหขึ้นมาด้วยความโกรธหลี่ฮุ่ยหรานรีบพูดว่า “แต่ว่าพวกคุณวางใจ ฉันได้เชิญหลินเฟิงมาด้วย”“หลินเฟิงมีความเชี่ยวญชาญในด้านการแพทย์ และสามารถรักษาอาการป่วยของหลานสาวได้แน่นอน””เธอล้อเล่นอะไร?”โจวอวี้เฟิ่งทำสีหน้ารังเกียจ แววตาก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม“หมอเทวดาที่เจียงหนานมีมากมายขนาดนั้นต่างก็ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของลูกสาวฉันได้ ในเจียงเป่ยของพวกเธอมีใครที่จะสามารถรักษาลูกสาวได้อีก?”“ตอนนี้สิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือโสมมังกรหัว”หลี่ฮุ่ยหรานพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ปัญหาก็คือ ตอนนี้โสมมังกรหัวไม่มีแล้ว และหลินเฟิงคนนี้ก็มีทักษะการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาด้วย”“ไม่แน่เขาอาจจะรักษาเยว่หรูให้หายจริง ๆ ก็ได้ ลองดูดีกว่าปล่อยให้เยว่หรูรอโสมมังกรหัวในครั้งต่อไป”
โจวอวี้เฟิ่งได้ยินก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ใช่แล้ว พวกเราตระกูลหลี่เจียงหนานอยู่เหนือกว่าคนอื่น ๆ”เธอชี้ไปหน้าของหลินเฟิงก่อนจะตะโกน “ตอนนี้ฉันให้โอกาสนายไถ่โทษ ขอโทษฉันกับลูกสาวของฉันซะ”โจวอวี้เฟิ่งมั่นใจในอำนาจของตระกูลตัวเองเป็นอย่างมาก ไอ้หมอนี่รู้แล้วว่าตัวเองคือคนของตระกูลหลี่เมืองเจียงหนานแล้วยังไม่มาขอโทษเธออย่างว่าง่ายอีกแต่เธอก็ประเมินหลินเฟิงต่ำไปจริง ๆหลินเฟิงหัวเราะเยาะก่อนจะพูดว่า “ขอโทษพวกคุณฝันกลางวันหรือเปล่า? วันนี้อย่าพูดว่าให้ผมขอโทษคุณเลย แม้แต่การรักษาโรคของลูกสาวคุณก็อย่าได้คิดเลย”“ดีจริงไอ้หลินเฟิง คิดไม่ถึงว่าแกจะกล้าไม่เห็นตระกูลหลี่เมืองเจียงหนานของฉันอยู่ในสายตา”โจวอวี้เฟิ่งโกรธอย่างมากหลี่เยว่หรูที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ แม่ พวกเราไม่ต้องให้เขารักษา หนูไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะไม่มีหมอเทวดาที่รักษาหนูจนหายได้”“นี่....”หวังไห่รีบห้ามปราม “คุณนายโจว โปรดสงบสติอารมณ์หน่อย ในตอนนี้มีหมอเทวดามาอยู่ตรงหน้าแล้ว อาการป่วยของคุณหลี่ก็จะหายดีเป็นปกติในทันที”“อีกทั้งพวกคุณยังเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมต้องมาก่อเรื่องราวใหญ่โตกับเรื
ตอนนี้เธอไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับหลินเฟิงแล้วเวลานี้โจวอวี้เฟิ่งกอดอกแล้วพูดด้วยใบหน้าเยาะเย้ย: “ไอ้สกุลหลิน ตอนนี้ฉันให้โอกาสนาย คุกเข่าแล้วมาขอร้องฉันดี ๆ บางทีฉันอาจจะพิจารณาให้ใช้เส้นสายของตระกูลหลี่เพื่อช่วยนายก็ได้นะ”“ถ้าไม่อย่างนั้น นายก็อาจจะตายอย่างน่าเวทนาก็ได้นะ”หลินเฟิงมีสีหน้าดูถูดเหยียดหยาม “ผมจำเป็นต้องให้คุณช่วยด้วยเหรอ? ไม่ดูสารรูปตัวเองซะบ้าง”“แก...”โจวอวี้เฟิ่งโกรธมาก เดิมก็คิดว่าตอนนี้หลินเฟิงจะต้องคุกเข่าร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนตัวเองให้ช่วยเขาแน่ ๆคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ชายคนนี้จะยังกล้าเยาะเย้ยตัวเองอีก“พูดมากขนาดนั้นทำไม? มากับพวกเราเร็ว ๆ” คนที่เป็นผู้นำพูดจบก็ควบคุมหลินเฟิงออกจากห้องผู้ป่วยหลินเฟิงก็ไม่ได้ต่อต้าน สถานที่นี้คือโรงพยาบาลและเขาก็ไม่ได้อยากต่อสู้ในสถานที่แบบนี้เช่นกันอีกทั้งเขาก็ต้องการที่จะดูว่าใครที่พุ่งเป้ามายังตัวเองมองดูหลินเฟิงถูกพาตัวไป หลี่ฮุ่ยหรานกระวนกระวายอย่างมากจากนั้นก็หันไปมองโจวอวี้เฟิ่งก่อนจะพูดว่า “อาสะใภ้ ขอร้องนะคะช่วยหลินเฟิงด้วยเถอะ ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะมีนิสัยดื้อรั้นนิดหน่อย แต่ก็ยังเป็นคนดีมาก เขาต้องถูกใส่ความแ
หลินเฟิงสายตามองไปที่เหยาปินที่สีหน้าเย็นชา เขาเคยได้ยินถึงชายคนนี้มาบ้าง เป็นตำรวจที่เก่งกาจอันดับหนึ่งของเมืองเจียงโจวเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแรง และฝีมือโหดเหี้ยมใครก็ตามที่ถูกเขาเพ่งเล็งจะไม่สามารถหนีไปได้ แต่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนจากสำนักเสินฉือหลินเฟิงเอ่ยปากเตือนว่า: “คุณอยู่ที่เจียงโจวก็ถือได้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ทําไมต้องเป็นสุนัขของสำนักเสินฉือต่อไปล่ะ?”เหยาปินพอได้ยินเข้าก็หัวเราะ นึกว่าหลินเฟิงนั้นกลัวซะแล้ว ถึงได้พูดเสียดสีเขาจากนั้นเขาก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า: “ไอ้หนุ่ม นายไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมฉัน ทำให้สำนักเสินฉือไม่พอใจ พูดได้เพียงว่าเป็นความโชคร้ายของนาย”“คนธรรมดาอย่างพวกนาย ไม่มีวันเข้าใจความน่ากลัวที่ซ่อนเร้นของโลกสำนักหรอก”“แต่นายวางใจได้ ผมจะพยายามทำไม่ให้คุณนั้นไม่รู้สึกเจ็บปวด และจะทำให้คุณโอวหยางนั้นพอใจ”หลินเฟิงหัวเราะออกมาว่า: “งั้นดูเหมือนว่า ผมจะต้องขอบคุณสิน่ะ?”“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”ในตอนนี้หลินเฟิงก็ได้พูดอีกว่า: “เรื่องความน่ากลัวที่ซ่อนเร้นของโลกสำนักนั้นผมเข้าใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินสำนักเสวียนเทียนมาบ้างไหม? ”เห
ต่อมาแม้แต่หลิวกั๋วฮุยผู้ว่าการเจียงโจวก็โทรมาสอบถามเรื่องนี้ด้วยตนเองเหยาปินก็ประหลาดใจมาก ไม่คิดว่าเส้นสายของหลินเฟิงจะกว้างขวางขนาดนี้คนใหญ่คนโตมากมายในเจียงโจวขอความเมตตาให้เขาหากเป็นกรณีปกติ เหยาปินอาจจะปล่อยหลินเฟิงไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีทางตัวเองเป็นคนของสำนักสำนักเสินฉือ สำนักเสินฉือมีความลำบาก เขาก็จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือไม่งั้นตัวเองอาจจะผิดใจกับสำนัก และตายอย่างน่าสังเวชยิ่งกว่าหลินเฟิงยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า: “ถ้าคุณปล่อยผมตอนนี้ เรื่องวันนี้ ผมก็จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”“รอให้สำนักเสวียนเทียนรุ่งโรจน์ ผมจะเหลือตำแหน่งให้คุณ”“ล้อเล่นอะไรกัน ฉันไม่ใช่คนเนรคุณคน วันนี้ต่อให้พญายมมาขอความเมตตาจากฉันมันก็ไม่ช่วยอะไร”พูดจบ เหยาปินก็เริ่มที่จะลงมือ“ปัง” จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตูต่อให้เป็นภายในห้องลับพที่ปิดสนิท ทั้งคู่ก็ได้ยินอย่างชัดเจนเหยาปินขมวดคิ้ว อยากจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเพิ่งจะออกประตูไป ก็ได้เห็นลูกน้องวิ่งพรวดเข้ามา“พี่ใหญ่ ท่าไม่ดีแล้ว ข้างนอกมีคนกลุ่มใหญ่มา”เหยาปินไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย: “ใครกันที่มีความกล้าขนาดนี้ กล้าบุกเข้ามาเข
“คุณชายหลิน จะจัดการอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ครับ?” เสิ่นหานหันกลับไปมองที่เหยาปินพอได้ยินเช่นนี้ เหยาปินก็กลืนน้ำลาย เมื่อกี้ผู้ชายคนนี้แค่ต่อยเขาก็กองลงกับพื้นแล้วถ้าหากว่าได้ลงมือทำจริง ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะไปไม่ถึงหนึ่งยกด้วยซ้ำภายในใจมีความกลัวเล็กน้อย แต่ก็ได้แต่รอคําสั่งจากหลินเฟิงอย่างเงียบ ๆหลินเฟิงเหลือบมองไปที่เหยาปิน กล่าวด้วยความเย็นชาว่า: “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปหาเรื่องลำบากเขาแล้ว”“อืม หือ?” เสิ่นหานตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคําพูดนี้นี่มันไม่ตรงกับนิสัยของหลินเฟิงเลยคนที่มีหัวใจนักฆ่าอย่างหลินเฟิง โดยพื้นฐานแล้วหลินเฟิงจะไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปด้วยซ้ำเหยาปินคนนี้กําลังจะฆ่าเขา เขากล้าไม่ติดใจเอาความ?“คุณชายหลิน จะปล่อยเขาไปจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?” เสิ่นหานถามด้วยสีหน้างงงวยหลินเฟิงหันหน้ากลับไปทางเขา: “ทำไม? คุณไม่พอใจกับวิธีการของผมเหรอ?”“ไม่ ไม่ ไม่……คุณชายหลินใจกว้างเหมือนมหาสมุทร แน่นอนว่าไม่มีความคิดเห็นอะไร” เสิ่นหานโบกมือก้มหน้าลงและพูดเหยาปินที่อยู่ข้าง ๆ มองอย่างตกตะลึง ทำไมหมอนี่ถึงเคารพหลินเฟิงขนาดนี้?หลินเฟิงไม่สนใจเสิ่นหาน และเดินตรงออกจากห้
“อุ๊ย คุณท่าน คุณพูดเรื่องอะไรอยู่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีที่ไหนกันที่จะไม่สามารถช่วยได้ มีเรื่องอะไรก็สามารถบอกมาได้เลย”“โจวอวี้เฟิ่งคนนี้ถ้าเรื่องไหนช่วยได้ ต้องช่วยแน่นอนอยู่แล้ว”หลี่ไห่ซานพอได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มอย่างพอใจ พยักหน้าแล้วพูดว่า: “อดีตสามีของฮุ่ยหรานกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เขาถูกคนจับตัวไป ผมหวังว่าคุณจะสามารถใช้กองกำลังของเจียงหนาน ช่วยเหลือคนคนนี้ให้ผม” โจวอวี้เฟิ่งขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็มองดูหลี่ฮุ่ยหรานที่อยู่ข้าง ๆไม่ต้องคิดก็รู้ว่า มันต้องเป็นยัยเด็กคนนี้แน่ ๆ ที่ขอให้คุณท่านคนนี้ออกมาวิ่งเต้นเองหลังจากครุ่นคิดอยู่นานก็พูดว่า: “คุณท่าน ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ แต่หลินเฟิงนี้กระทำผิดต่อกฎหมาย คุณจะให้ฉันทำอย่างไรคะ”คุณท่านรีบขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว: “หลินเฟิงเป็นคนที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี เขาต้องถูกยัดเยียดข้อหาแน่ ๆ คุณช่วยเขาออกมาก่อน หลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี ๆ”หลี่ฮุ่ยหรานที่อยู่ข้าง ๆ ก็คุกเข่าลงดังโครมต่อหน้าโจวอวี้เฟิ่ง และอ้อนวอนขอร้องอย่างทุกข์ใจ: “คุณอาสะใภ้ ขอร้องนพคพ ได้โปรดช่วยหลินเฟิงด้ว
ถ้าให้ฟ่านอู๋จี๋คนแก่คนนั้นเลี้ยงดูเธอด้วยการทำนาย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”จ้าวเฉียวอวิ๋นเห็นเด็กสาวกินเยอะขนาดนี้ เธอกลับเป็นคนที่ดีใจที่สุด รีบลุกขึ้นไปทำกับข้าวใหม่อาอวี๋ก็ไปช่วยทุกคนต่างก็ตักข้าวของตัวเองให้ฟ่านหลิงเยว่ฟ่านหลิงเยว่ก็กินอย่างไม่ลังเล กินอย่างรวดเร็ว กินอย่างมีความสุขไม่รู้ว่าร่างกายเล็กๆของเธอสามารถบรรจุอาหารได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร กระเพาะอาหารของเธอดูเหมือนหลุมดำ กินข้าวทั้งถังลงไป กลับไม่มีอาการอะไรเลย“เธอคือประมุขคนต่อไปของสำนักโม่ซวี...เวทมนตร์ที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา...”หลินเฟิงขมวดคิ้วคิดบางทีเขาอาจจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟ่านหลิงเยว่ถึงกินเก่งขนาดนี้.........สองวันผ่านไปโรงพยาบาลเมืองเจิ้งเต๋อในห้องผู้ป่วยหนัก ชายชราผมหงอกกำลังมองลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความกังวล“พ่อ อย่าเพิ่งกังวลเรื่องเงินเลยค่ะ”ลูกสาวคนนั้นก็คือหวังลี่ลี่เธอพยายามปลอบใจพ่อ จับมือพ่อ ยิ้มทั้งน้ำตาพูดว่า“หนูได้พบกับผู้มีพระคุณค่ะ”“เขาช่วยให้หนูได้เป็นผู้จัดการโชว์รูมรถยนต์ ตอนนี้หนูมีรายได้มากพอที่จะรักษาพ่อได้แล้วค่ะ ต่อไปนี้พ่ออย่ากังวลเรื่
“ได้ครับ”หลินเฟิงพยักหน้าประมาณห้านาทีต่อมา หวังลี่ลี่ก็วิ่งมาด้วยท่าทางนอบน้อมพร้อมกุญแจรถ“คุณหลินคะ ตอนนี้คุณสามารถขับรถคันนี้ไปได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆ เราจะไปจัดการที่บ้านคุณค่ะ”ท่าทางของหวังลี่ลี่นอบน้อมอย่างมากเธอเพียงแค่โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการของเผิงกวงกรุ๊ปในเมืองเจิ้งเต๋อ ผู้อำนวยการก็รีบร้อนไปขออนุญาตจากเผิงกวงฉี่ราวกับไฟไหม้ก้นคำตอบที่ผู้อำนวยการได้รับจากเผิงกวงฉี่มีเพียงประโยคเดียว“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้ตอบสนองอย่างเต็มที่”ผู้อำนวยการที่ได้รับคำสั่งจากเผิงกวงฉี่จึงไม่กล้าประมาท รีบเร่งทำให้ขั้นตอนต่างๆ ง่ายที่สุดโดยให้หวังลี่ลี่ส่งกุญแจรถให้หลินเฟิงโดยตรงความเร็วและท่าทีเช่นนี้ทำให้หวังลี่ลี่รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอบคุณครับ”หลินเฟิงเปิดประตูรถ ขึ้นรถ แล้วสตาร์ทรถบูกัตติ เวียร์รอนคันเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาคันนี้เมื่อเครื่องยนต์ 16 สูบถูกสตาร์ท บรรยากาศในล็อบบี้ทั้งหมดก็ถูกกดทับลงทันทีรถยนต์ต่างๆ ที่ถูกจัดแสดงและจำหน่ายในบริเวณที่รอเมื่อเทียบกับบูกัตติ เวียร์รอนสีดำแดงคันนี้แล้ว ก็ดูด้อยกว่าไปในทันทีราวกับมังกรสีดำแดงตัวใหญ่
ถึงขั้นที่สามารถตัดสินใจอนาคตของบุคคลผู้นี้ในเผิงกวงกรุ๊ปได้ อำนาจของเขายิ่งใหญ่อย่างมาก“ที่...ที่แท้...ที่แท้คือ...คุณหลิน”หลินเฟิงคือเจ้าของบัตรทองใบนี้เท่านั้นทั้งเผิงกวงกรุ๊ป บัตรทองนี้เพิ่งปรากฏเป็นครั้งแรก ตอนที่เผิงกวงฉี่ได้มอบให้แก่ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้เรื่องนี้ภายในเผิงกวงกรุ๊ปต่างก็รับรู้กันดีแต่ผู้จัดการเสิ่นยังไม่ทันได้สืบหาข้อมูลของหลินเฟิง จึงไม่รู้จักหลินเฟิงด้วยซ้ำแต่เมื่อได้เห็นบัตรใบนี้ในวันนี้ เขาก็ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วชายตรงหน้าที่เขาเคยมองว่าเป็น “เป็นคนที่ตามจีบหวังลี่ลี่แบบไร้ศักดิ์ศรี” นั้นกลับเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเผิงกวงฉี่ไว้หลินเฟิง ผู้ถือบัตรทองเพียงหนึ่งเดียวของเผิงกวงกรุ๊ป !ผู้จัดการเสิ่นตกใจจนขาอ่อน ล้มลงกับพื้นทันทีแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะนิ่งเฉยจึงพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ใช้ความพยายามอย่างมากมาย จึงดึงบัตรทองออกจากผนังได้ และส่งคืนให้หลินเฟิงด้วยมือที่สั่นเทา“คุณหลินครับ ผม...ผมหลงเชื่อคำนินทา จึงดูถูกคน ผมมัน...ผมสมควรตาย”ผู้จัดการเสิ่นคุกเข่าลงที่หน้าหลินเฟิง ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวส่วนหลิวหย่าที่อยู่ข้างๆ ก
“ที่แท้....ที่แท้ก็เป็นคุณนั่นเอง!”“ฉัน...ฉันจำได้แล้ว ฉัน...ฉันดูถูกคนอื่น โปรดยกโทษให้ฉัน โปรดยกโทษให้ฉันด้วย!”ในขณะนี้เอง ที่สุดท้าแล้วยคุณชายตู้ก็เข้าใจถึงตัวตนของหลินเฟิงเขาควรที่จะไปล่วงเกินคนที่สามารถประลองกับคุณชายเฝิงอวี้อู่ได้งั้นเหรอ?ทันใดนั้น เขาก็คุกเข่าลงเสียงดัง ตุบ ต่อหน้าคนทั้งหมด และก้มหน้าให้หลินเฟิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับขอร้องและร้องไห้เสียงดังลั่นเขากลัวจริงๆนะ!เมื่อเทียบกับผู้จัดการเสิ่น ชายลึกลับผู้นี้ที่ว่ากันว่าสามารถฆ่านักบู๊ของตระกูลเฝิงได้มากกว่าสามสิบคนคนในลมหายใจเดียว!และเมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี ครอบครัวเฝิงก็ไม่มีทางที่จะจัดการกับเขาได้เช่นกันน่ากลัวยิ่งกว่าตระกูลเฟิงอีกคุณชายตู้นึกถึงหลายๆ อย่างได้ในทันที ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเบื้องหลังของหลินเฟิงนั้นไม่ธรรมดาก่อนจะตกใจอย่างมาก แล้วรีบคุกเข่าลงขอความเมตตาเมื่อเห็นคุณชายตู้คุกเข่าลงและร้องขอความเมตตา ผู้จัดการเสิ่นที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย"แกมัน......"ผู้จัดการเสิ่นมองดูร่างของลูกน้องที่นอนอยู่บนพื
“ครับ!”ลูกน้องพวกนี้รีบวิ่งไปหาฟ่านหลิงเยว่ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ในที่สุดฟ่านหลิงเยว่ก็กลืนขนมในปาก ก่อนจะหัวเราะเยาะและพูดขึ้นว่า : “พวกแกรนหาที่ตายแล้ว!”หลังจากที่พูดจบ เธอก็ยกขาขึ้นสูงแล้วเตะศีรษะของอันธพาลที่กำลังวิ่งพุ่งเข้ามาข้างหน้าจนศีรษะบุบลงไปจากนั้น เธอก็เผชิญหน้ากับมือที่ยื่นเข้ามาจากด้านข้าง แล้วเธอก็ปล่อยหมัดกลับไป ทันใดนั้นก็ทำให้หัวหน้าแก๊งที่แสยะยิ้มคนนี้ เบิกตากว้างทันที แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นความหวาดกลัว“นัก....”ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยคำว่า "บู๊" ออกมา เขาก็โถมตัวไปด้านหลังพร้อมกับรอยหมัดที่กลางหน้าอก แล้วกระแทกกับกระจกร้าน 4S ที่สูงจากพื้นถึงเพดาน“เชี่ยเอ้ย!”เมื่อเห็นฉากนี้ พวกอันธพาลที่อยู่โดยรอบก็พากันตกตะลึงใครจะคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าต้องสนุกกันเหรอ?”ฟ่านหลิงเยว่หัวเราะเยาะแล้วพุ่งเข้าใส่พวกลูกน้องที่กำลังลังเลกลุ่มนี้"ในเมื่อพวกคุณไม่เข้ามา งั้นก็อย่าโทษฉันแล้วกัน!"“ปัง!”ฟ่านหลิงเยว่สอยหมัดขึ้นไป จนทำให้อันธพาลส่งเสียงกรีดร้องจนศีรษะไปกระแทกกับพื้นชั้นสองจากนั้นเธอก็คว้าหัวหน้า
“ฮือฮือฮือ…”หวังลี่ลี่กอดหัวของตัวเอง ถูกหลิวหย่าเหยียบอยู่ใต้เท้า เธออาศัยงานส่วนรวมแก้แค้นเรื่องส่วนตัว เตะไปที่คอของหวังลี่ลี่อย่างแรงหลายครั้งหวังลี่ลี่สะอื้นไห้ ในใจก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นเธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้หลินเฟิงเห็นภาพนี้ สายตาเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ“หยุดนะ”หลินเฟิงตวาดเสียงทุ้มต่ำ แต่หลิวหย่าไม่ได้คิดจะหยุดเลยด้วยซ้ำหลินเฟิงเดินเข้าไป จับข้อมือของเธอ และตวาดเสียงเย็นชาว่า:“ฉันบอกให้เธอหยุดเธอไม่ได้ยินเหรอ?!”“อุ๊ย ไอ้ยาจก! เรื่องที่แกหลอกเรา ฉันยังไม่คิดบัญชีกับแกเลยนะ นายยังกล้ามายุ่งเรื่องของฉันอีก!”หลิวหย่าหัวเราะเยาะหลินเฟิง และใช้มืออีกข้างตบไปที่หน้าของหลินเฟิงหลินเฟิงเห็นแบบนี้ ในใจก็รู้สึกเดือดดาลเขาไม่ได้หลบเลี่ยง แต่มือข้างที่จับหลิวหย่าเอาไว้ออกแรงเล็กน้อยหลังจากเสียงกระดูกร้าวดังขึ้น หลิวหย่าก็กุมข้อมือที่อ่อนปวกเปียกและทรุดนั่งลงบนพื้นจากนั้น เธอส่งเสียงกรีดร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด“เชี่ย ไอ้หนุ่ม แกกล้าพาลเกเรที่ถิ่นของฉันงั้นเหรอ?”ผู้จัดการเสิ่นเห็นกิ๊กของเขาถูกหลินเฟิงทำร้าย ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันทีบังเอิญกับที่ตอนนี้ ลู
ในตอนที่หวังลี่ลี่เหม่อลอยอยู่นั้น คุณชายตู้ก็เข้ามาโอบเอวเธอ และหรี่ตาจ้องมองหลินเฟิงและพูดว่า:“ไอ้หนุ่ม ฉันเคยเจอคนโง่เขลาแบบนายที่เข้ามาเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามมาเยอะแล้ว”“นายคิดว่าแสดงละครกับหวังลี่ลี่แบบนี้ แกล้งทำเป็นว่านายมาซื้อรถ หวังลี่ลี่ก็คุยโวโอ้อวดคุณ ก็คิดว่าจะหลอกฉันได้เหรอ?”“หลอกคนที่อยู่ที่นี่จนหัวหมุน?”“หึ”คุณชายตู้พ่นลมหายใจ“เก็บแรงไว้เถอะ”“เสแสร้งออกมา?”หลังจากผู้จัดการเสิ่นงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็จ้องมองเสื้อผ้ามอมแมมที่อยู่บนตัวของหลินเฟิง ใบหน้าก็เผยความโมโหขึ้นมาทันทีเขาก็เข้าใจเหตุการณ์ได้แล้ว“แม่ง กล้าหลอกฉัน แถมยังด่าฉันด้วย?!”ผู้จัดการเสิ่นเกิดความโมโหที่ถูกหลอกเขาฟังคำพูดของคุณชายตู้ถึงได้เข้าใจวุ่นวายอยู่นาน หลินเฟิงไม่ได้เป็นคนที่ซื้อรถมายบัคอะไร แต่เป็นคนตามจีบหวังลี่ลี่เป้าหมายที่เขามุ่งหน้ามาแบบนี้ ไม่ได้จะมาซื้อรถ แต่แค่อยากจะมาช่วยหวังลี่ลี่ไปจากมือของคุณชายตู้สำหรับเรื่องซื้อรถ?รถมายบัคอะไรกัน เขาคู่ควรด้วยเหรอ?ไม่เพียงผู้จัดการเสิ่น แม้แต่หลิวหย่าที่อยู่ข้างๆ ก็ตั้งสติกลับมาได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอับอายอย่างมากพวกเขาคิดว่
สำหรับผู้จัดการผู้ประจบสอพลอคนนี้ หลินเฟิงไม่ได้ไว้หน้าเขาแม้แต่นิด เขาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ ชี้ไปทางหวังลี่ลี่และพูดว่า:“ผมต้องการให้คุณผู้หญิงคนนี้แนะนำให้ผม คนที่ไม่เกี่ยวข้องไสหัวไป”“เอ่อ…”คิดไม่ถึงว่าพูดจาดีๆ เป็นกอง กลับเสียเปล่าทั้งหมดผู้จัดการเสิ่นนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้โมโหอะไรในเมื่อทำงานสายนี้ บุคคลใหญ่โตที่ต้องปรนนิบัตินั้นมีถมเถไป คนเหล่านี้ในเวลาปกติมักจะมีความชอบและนิสัยที่แปลกประหลาดเพื่อที่จะขายรถ ยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถบาดหมางกับคนเหล่านี้ได้ดังนั้นถึงแม้จะถูกหลินเฟิงขับไล่ แต่เขาก็ยิ้มแย้มพูดว่า:“ครับครับครับ ในเมื่อลี่ลี่เป็นเพื่อนเก่ากับคุณผู้ชาย เช่นนั้นให้เธอพาคุณไปดูรถก็จะดีอย่างมาก”ขณะพูด ผู้จัดการเสิ่นรีบส่งสายตาไปให้หวังลี่ลี่ที่อยู่ด้านข้างหวังลี่ลี่ก็เข้าใจ ในเมื่อหลินเฟิงเป็นลูกค้าที่เธอเคยรับรอง เขาน่าเชื่อถือกว่าคุณชายตู้ไม่รู้กี่เท่าตอนที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปแนะนำให้หลินเฟิง คุณชายตู้ที่ยืนอยู่ที่เดิมตลอด และเพิ่งมองหลินเฟิง กลับเดินออกมาเขาขวางอยู่ระหว่างหวังลี่ลี่กับหลินเฟิง“ฉันถามหน่อย ไอ้หนุ่ม นายคงไม่ได้เป็นอะไรกับหวั
“หือ?”หลินเฟิงก็จำหวังลี่ลี่ได้“คุณคือ…”ใบหน้าของหวังลี่ลี่เผยความีใจออกมาทันที“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ไม่ได้อยู่ที่เมืองเจียงโจวเหรอ?”หลินเฟิงก็จำได้ว่า หวังลี่ลี่คนนี้ก็คือพนักงานขายที่ทำเอกสารให้เขา ตนที่เขาซื้อรถมายบัค”คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจริงๆ“หึหึ คุณหลิน ก่อนหน้านี้ฉันอยู่ที่เมืองเจียงโจว แต่เป็นเพราะรถคันนั้นที่ขายให้คุณก่อนหน้านี้ ก็เลยถูกบริษัทโยกย้ายมาที่เมืองเจิ้งเต๋อ”หวังลี่ลี่เช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า และฝืนยิ้มออกมา“อาจารย์หลิน ฉันกินขนมพวกนั้นได้ไหม?”ฟ่านหลิงเยว่กุมท้อง และถามด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด“อ๊ะ? ค่ะ! ได้อยู่แล้ว”หวังลี่ลี่รีบเดินเข้าไป แกะขนมห่อใหญ่สองห่อ ยื่นไปในอ้อมแขนของฟ่านหลิงเยว่ฟ่านหลิงเยว่ก็ยื่นมืออกมาทันที และจับยัดเข้าในปากกำใหญ่กินอย่างมูมมาม โดยไม่เคี้ยวเลยด้วยซ้ำ และไม่ทันได้พูดขอบคุณ“มามามา อย่าให้ติดคอ ตรงนี้มีน้ำค่ะ”เห็นฟ่านหลิงเยว่ทานได้อย่างน่ากลัว หวังลี่ลี่จึงรีบยกน้ำมาแก้วหนึ่งและยื่นให้“ขอบ…ขอบคุณค่ะ!”ฟ่านหลิงเยว่หาจังหวะพูดขอบคุณ และดื่มน้ำทั้งแก้วเข้าไปจนหมดเห็นท่าทางของหวังลี่ลี่ สีหน้าข