“องค์หญิงไม่สู้เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ เจ้าพกถุงหอมไว้นานเช่นนั้น กลิ่นหอมติดตัวนานแล้ว อย่าว่าแต่สุนัขตัวผู้เลย แม้แต่นกตัวผู้ที่บินบนฟ้ายังอดไม่ได้ที่จะอุจจาระรดใส่เจ้า”เซี่ยเชียนฮวันหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ เพียงพูดสองสามคำก็ทำให้องค์หญิงโกรธจนหน้าเขียว!ดูเหมือนว่าช่วงนี้นางคงตกใจจนไม่กล้าออกจากบ้านแล้วงานเลี้ยงดำเนินต่อไปหลังจากช่วยชีวิตเซวียนชินอ๋องไว้ เซี่ยเชียนฮวันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีคนใช้สายตามองนางมาเป็นครั้งคราว บ้างรู้สึกสนใจ มองสำรวจ บ้างกลับเป็นความสงสัยและหวัดหวั่นอาหารมื้อนี้ เมฆดำลอยคละคลุ้งหลังจากที่นางได้ตัดสินใจแล้ว ตำแหน่งนางในราชวงศ์นาง ดูเหมือนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป......หลังจบงานเลี้ยงหลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับไปก่อน ทุกคนทยอยแยกย้ายกลับบ้านตนกระทั่งคนส่วนมากจากไปแล้ว ในที่สุดเซี่ยเชียนฮวันก็ไม่มีรู้สึกถูกจับจ้องอีกต้องไป นางผ่อนคลายลงได้แล้วและค่อยๆ ดื่มน้ำแกงรังนกที่เหลือจนหมดอย่างเงียบๆไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เซียวเย่หลันที่ทำสิ่งใดไม่สนใจผู้อื่นมาตลอดกลับไม่ได้จากไป ทว่ากลับนั่งอยู่ข้างเซี่ยเชียนฮวันเงียบๆราวกับรอนางกินเสร็จโดยเฉพา
“เสด็จลุงเกิดจากเฉินไท่กุ้ยเฟย ตอนเด็กฉลาดมาก เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ก่อน”เซียวเย่หลันค่อยๆ เล่าในท้องพระโรงว่างเปล่า เหลือเพียงเขาและเซี่ยเชียนฮวันสองคนเท่านั้น แต่เขายังเจตนากระซิบ เดิมเส้นเสียงค่อนข้างทุ่มต่ำนั้นฟังชัดยิ่งน่าหลงใหล“กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ตำหนักที่เสด็จอาประทับอยู่ก็มีงูพิษโผล่มาตัวหนึ่ง มันกัดคนในตำหนักมากมาย รวมถึงเสด็จอาด้วย แม้จะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ทว่าพิษงูแล่นเข้าสมองแล้ว ตั้งแต่นั้นมาอาการชักก็กำเริบมาอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่ฉลาดหลักแหลมอีกต่อไป”น้ำเสียงเซียวเย่หลันราบเรียบ ราวกับกำลังกระซิบเรื่องปกติทั่วไปกับพระชายาอ๋องนั่นก็เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของนางกำนัลและขันทีเหล่านั้นเซี่ยเชียนฮวันได้ฟังเรื่องราวกลับรู้สึกหนาวสันหลัง นางพูดกระซิบเช่นเดียวกันอย่างไม่รู้ตัว “งูพิษตัวนั้น มีคนตั้งใจปล่อยเข้าไป?”เซียวเย่หลันมองตานาง “เจ้าทายถูกแล้ว งูชนิดนั้นไม่มีอยู่ในเมืองหลวง มีคนพกงูนั่นมากจากแคว้นทางใต้เข้าสู่เมืองหลวง ค่อยไปปล่อยไว้ในตำหนักของเสด็จอา ฮ่องเต้ององค์ก่อนรู้ว่ามีคนจงใจลอบวางแผนทำร้าย ทว่ากลับไปมีการสืบสวน เจ้าทายสิว่าเพราะเหตุใด”
“ไทเฮาเชิญพระชายาอ๋องไปพบที่ตำหนักหย่งโซ่ว”ขันทีก้มโค้งคำนับให้กับเซี่ยเชียนฮวันเซี่ยเชียนฮวันถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่แท้ก็เป็นคนของเสด็จป้าเกือบนึกว่าฮ่องเต้เฒ่าย้อนกลับมา พบว่านางแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ คิดจะหาเรื่องนาง“ข้าไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยเชียนฮวันหันหน้ามา จงใจขยิบตาใส่เซียวเย่หลัย “ท่านพี่กลับบ้านไปก่อน รอข้านะ”“ไม่มีใครคิดจะรอเจ้า”เซี่ยเชียนฮวันทำให้เซียวเย่หลันรู้สึกรังเกียจได้สำเร็จแล้วเขาเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่หันหน้ากลับมา ยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น ราวกับสตรีที่อยู่ด้านหลังเป็นเชื้อโรคระบาดเซี่ยเชียนฮวันเดินตามขันทีไปยังตำหนักหย่งโซ่วเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู นางได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆไทเฮาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปรุงเครื่องหอมแตกต่างจากผู้สูงอายุคนอื่นที่ชอบจุดธูปไหว้พระ งานอดิเรกของไทเฮาส่วนมากเป็นการปรุงเครื่องหอม ดังนั้นในตำหนักหย่งโซ่วมักจะอบอวนไปด้วยกลิ่นหอม ดึงดูดผีเสื้อมากกว่าตำหนักของนางสนมอื่นๆท่ามกลางกระถางสำริดหยกแต่ละใบ มีหญิงชราผมสีเงินใบหน้ามีเมตตาคนหนึ่งยืนอยู่
“ฮวันฮวัน มีเพียงรอให้หลังจากที่เจ้าเดินเข้าไปอยู่ในใจของบุรุษแล้ว เจ้าถึงจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แท้จริงของเขา เหมือนเช่นกับถุงหอม ‘กลิ่นอาวุธสงคราม’ เจ้าต้องดมเป็นรอบที่สอง ถึงจะสัมผัสได้ถึงความหอมสดชื่นที่ซ่อนอยู่ในกลิ่นคาวเลือด”ไทเฮายกพระหัตถ์ขึ้น แตะเบาๆ ไปที่จอนผมของเซี่ยเชียนฮวันเซี่ยเชียนฮวันเข้าใจความหมายของไทเฮาแล้วครั้งนี้ที่เรียกนางไปที่วังหย่งโซ่ว ก็เพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกันนางผงกศีรษะ “เซียวเย่หลันเป็นกรณีพิเศษ บนตัวเขาไม่มีความอบอุ่นอย่างแน่นอน เขาเป็นคนบ้ากระหายเลือดคนหนึ่งชัดๆ”ใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายๆ มาพูด ก็คือลักษณะนิสัยบกพร่อง เกิดมาก็มีนิสัยต่อต้านสังคมใครได้อยู่กับเขาคนผู้นั้นก็เป็นคนซวยมากไทเฮาหัวเราะ ตรัสว่า “เจ้ายังเด็กอยู่นัก ไม่รู้ว่าบุรุษยิ่งดูดุร้ายเพียงใด ยามที่เขาอ่อนโยนขึ้นมาราวกับจะคร่าชีวิตคนไปได้”“ใช่เพคะ ไทเฮาตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก เขาแทบจะคร่าชีวิตไปจริงๆ คร่าชีวิตหม่อมฉันไป ความหมายแปลตรงตามตัวอักษรเลยเพคะ”เซี่ยเชียนฮวันโกรธแล้ววันเวลาในจวนจ้านอ๋องช่วงที่ผ่านมา หากไม่ใช่เพราะนางดวงแข็ง กลัวว่านางอาจตายไปหลายหนแล้วก็ได้“เจ
หลังจากที่ออกจากวังหย่งโซ่วแล้วเซี่ยเชียนฮวันนั่งอยู่บนเกี้ยว ครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆเจ้าของร่างเดิมดื้อด้านด่ากราดไปทั่ว ใช้แรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อจะได้เข้าใกล้เซียวเย่หลัน ถึงขั้นไม่สนใจว่าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นี่เป็นเพียงเพราะนางหลงรักเซียวเย่หลันเท่านั้นหรือเมื่อคิดดูแล้ว คงไม่ใช่เพราะแค่เหตุนั้นอันติ้งโหวเคยถูกเรียกตัวให้เข้าวังอย่างลับๆ อยู่หลายครา ทุกครั้งที่กลับจวนก็หน้ามุ่นคิ้วขมวด ดึกดื่นแค่ไหนก็นอนไม่หลับ และทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในสายตาของเจ้าของร่างเดิมเซี่ยเชียนฮวันก้มหน้าหลับตา จับจ้องไปที่ฝ่ามือของตน พร่ำเบาๆ “เจ้าเป็นลูกสาวที่กตัญญูผู้หนึ่ง เสียดายก็แต่จวนของเจ้ามีภูมิหลังในเมืองหลวงไม่ลึกพอ เพิ่งแต่งเข้าจวนจ้านอ๋องก็ถูกปองร้ายเสียชีวิต ยังไม่ทันได้ปกป้องคนในบ้าน ก็ต้องเอาชีวิตตัวเองไปแลกก่อนเสียแล้ว” ปีนั้นที่ถูกรับเลี้ยง อาจารย์ก็เคยตั้งชื่อให้นางว่าเชียนฮวัน บางทีนี่อาจเป็นวาสนาในความมืดที่กำหนดไว้ให้นางมาทำตามเป้าหมายของเจ้าของร่างเดิมที่ต้องการปกป้องจวนอันติ้งโหวให้อยู่รอดปลอดภัยก็ได้ เพียงแต่ หากเป็นเช่นนี้นางก็ต้องผูกติดกับเซ
“ยินดีด้วย เจ้าตอบถูกแล้ว”ชายสวมหน้ากากหรี่ตา หางตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้เซี่ยเชียนฮวันรู้สึกคุ้นเคยนางเคยพบเขาไม่ผิดแน่ ในงานเลี้ยงจักรพรรดิวันนี้ มีบางคนมองนางด้วยสายตาเช่นนี้!ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงทุกคนล้วนเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายองค์หญิง หรือแม้แต่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋องสูงสุด นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีสมาชิกในครอบครัว และองค์รักษ์ติดตามอย่างใกล้ชิดมีคนจำนวนมากเกินไป แต่ละโต๊ะจะมีระยะห่างที่แน่นอน ภายในวังยังมีข้ารับใช้คอยบรรเลงเพลงและร่ายรำอีก เซี่ยเชียนฮวันจําไม่ได้จริงๆ สายตาที่คุ้นเคยนี้มาจากใครกันแน่?คงต้องลองเสี่ยงดวงดู นางตอบเสียงเย็นชา “สถานะของท่านไม่ได้ต่ำต้อยเลย บุกเข้ามาหาภรรยาของคนอื่นในจวนจ้านอ๋องตอนกลางดึกได้ โดยไม่เกรงจะโดนตัดหัวหลังถูกพบ!”“โอ้? แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสถานะของข้าไม่ได้ต่ำต้อย?” ชายสวมหน้ากากแสดงท่าทีสนใจ“ท่านเห็นข้าดูเหมือนคนที่จะบอกท่านหรือ”“ฮ่าฮ่า”ชายสวมหน้ากากพบว่า เขาเริ่มสนใจเซี่ยเชียนฮวันมากขึ้นเรื่อย ๆช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจ แต่เซียวเย่หลันกลับเพิกเฉยนาง แล้วหันไปประคองรองเท้าพังๆ อย่างซูอวี้
ดวงตาสีเข้มฉายแววยิ้มแย้มอีกครั้ง“เจ้าเป็นคนฉลาด และคนฉลาดย่อมรู้วิธีที่จะทิ้งเส้นทางหลบหนีให้กับตัวเองมากขึ้น”“อีกอย่าง อย่าเสียเวลาคาดเดาตัวตนของข้า เพราะข้ามิใช่คนโง่”เซี่ยเชียนฮวันเม้มปากแน่น และไม่กล่าวสิ่งใดอีกนางกำลังลังเลนางควรใช้โอกาสนี้ ฝังเข็มตามจุดฝังเข็มบนร่างกายของเขาดีไหมพอผ่านไปสักสองสามวัน หากพบว่าใครมีท่าเดินแปลกๆ บางทีนางอาจจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของชายผู้นี้แต่การทำเช่นนี้มีความเสี่ยงแม้การโจมตีอาจไม่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บใดใด และนางสามารถแสร้งทำเป็นว่าตัวเองตกใจจึงพลั้งมือโจมตีออกไป แต่ถ้าหากเขาเดาจุดประสงค์ได้ล่ะ เกรงว่าเขาคงฆ่าคนปิดปากถึงแม้ชายคนนี้จะยิ้มแย้มตลอดเวลา แต่ส่วนลึกในดวงตาของเขากลับเย็นชาถ้าต้องฆ่าปิดปากนาง เขาทำแน่ในขณะที่เซี่ยเชียนฮวันลังเลอยู่นั้น จู่ๆ ชายสวมหน้ากากก็เข้ามาใกล้ เขาใช้มือซ้ายลูบผมของนางแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่หรือไม่?”“....ไม่”“อย่าโกหก ข้าได้กลิ่นคำโกหก”ชายผู้นี้เป็นพวกชอบความตื่นเต้นอย่างแน่นอนหลังสังเกตเห็นความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของเซี่ยเชียนฮวัน ดวงตาของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ราวกับจะกลื
“อย่าขยับ”ชายสวมหน้ากากจับตัวเซี่ยเชียนฮวัน และค่อยๆ เดินถอยหลังเมื่อเซียวเย่หลันเปิดประตูเข้ามา เทียนในห้องทั้งหมดก็ดับลง ทั่วทั้งห้องพลันมืดสนิท มีเพียงเสียงหายใจเบาเบาของเซี่ยเชียนฮวันเท่านั้น“ออกมา” เซียวเย่หลันกล่าวเสียงเย็นชาชายสวมหน้ากากไม่พูดอะไรเขาพาเซี่ยเชียนฮวันถอยไปทางหน้าต่างเซี่ยเชียนฮวันเดาว่า เขาคงกลัวว่าอีกฝ่ายจะจำเสียงของเขาได้ความสัมพันธ์ของเซียวเย่หลันและชายผู้นี้ แม้ไม่สนิทสนมกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักกันเลย“ไม่กล้าออกมางั้นหรือ? ข้าแค่อยากเห็นว่า คนไม่มีตาผู้นั้นเป็นใคร” เซียวเย่หลันแสยะยิ้มเย็นชาฮึ่ม เจ้าคนสารเลวเซี่ยเชียนฮวันรู้ว่า เซียวเย่หลันเข้าใจผิด คิดว่านักฆ่าผู้นี้คือคนรักของนางที่มาหานางอย่างลับๆ ตอนกลางดึกแต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือ คำพูดของเซียวเย่หลันกลับทำให้ชายสวมหน้ากากเปิดปากพูดขึ้นมา“จ้านอ๋อง ผู้ที่ตาไร้แววคือท่านมากกว่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ข้านึกว่าท่านกับพระชายาคนงามจะมีช่วงเวลาดีดีด้วยกันที่นี่ แต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะปล่อยให้นางอยู่คนเดียวในห้อง ช่างเสียเวลาข้าเสียจริง”มันกลายเป็นเสียงแหบแห้งของชายวัยกลางคนนี่ค