ตอนนี้คุณชายรองรู้เรื่องราวในอดีตแล้วคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ได้กล่าวเสริมเติมแต่งแม้แต่ประโยคเดียวและแผนการในวันนี้มีเพียง “การพบกันโดยบังเอิญ” เท่านั้นที่จงใจสร้างขึ้นจากนั้นก็เพิ่มการแสดงเข้าไปเล็กน้อยการหลบเลี่ยง ความหวาดกลัว จนกระทั่งการเปิดเผยอย่างจำใจทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งของคุณหนู ไม่มีการปิดบังคุณหนูบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณชายรองควรรู้ความจริงบางอย่างแล้วดังนั้น วันนี้คุณชายรองจึงได้รู้ทุกอย่างคิดว่าตอนนี้คนน่าจะกลับไปถึงจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วกระมังเพียงแต่เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้คุณชายรองมักจะหุนหันพลันแล่นและโมโหง่าย ทั้งยังทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่ หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะทำลายแผนการของคุณหนู ถูกเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นจับได้เสียก่อนด้วยเหตุนี้ พ่อบ้านหลานจึงรู้สึกกังวลแต่เขาไม่รู้ว่า หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ มาก่อนหน้านี้ เวินจื่อเฉินในตอนนี้ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วเขาได้รับบทเรียนจากน้องสาวมามากพอแล้วดังนั้น คราวนี้เขาจึงไม่ได้พุ่งไปที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ แล้วถามท่านพ่อโดยตรงแต่
หลังจากนั้นไม่นาน เวินจื่อเฉินก็ถูกพาตัวมาถึงตรงหน้าเป่ยเฉินหยวนเป่ยเฉินหยวนมองไปยังคนที่ถูกตีจนหมดสติอยู่บนพื้น เขาเหลือบมองเกาเย่าอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง “ที่ข้าบอกก็คือให้เจ้าไปพาคนมา ไม่ใช่ให้เจ้าไปตีเขาจนสลบแล้วค่อยพามา”เกาเย่าเอ่ยด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ใจ “ไม่ใช่นะ ท่านอ๋อง กระหม่อมต้องการพาเขามาเลยจริง ๆ แต่พอคุณชายรองสกุลเวินเห็นพวกข้าก็นึกว่าพวกข้าเหมือนกับคนที่ไล่ล่าเขา ตอนนั้นเลยขัดขืนไม่หยุด กระหม่อมไม่มีทางเลือก จึงต้องตีเขาให้สลบ”เป่ยเฉินหยวน “...”เดิมทียังคิดจะทำถามอะไรอีกสักหน่อย แต่เมื่อมองคนที่อยู่บนพื้น เป่ยเฉินหยวนก็เลยปล่อยเลยตามเลย“พาเขาไปพักผ่อน แล้วค่อยส่งข่าวไปถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์”“พ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้ไม่ยุ่งยากเกาเย่าจัดการเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมา แล้วยังนำจดหมายจากเวินซื่อกลับมาให้เป่ยเฉินหยวนด้วย“ท่านอ๋อง นี่คือคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝากถึงท่านพ่ะย่ะค่ะ”เป่ยเฉินหยวนที่กลับมาถึงจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว ทันทีที่ได้ยินว่ามีคำพูดของเวินซื่อ ก็รีบเงยหน้าขึ้นวางงานในมือลง แล้วรับจดหมายฉบับนั้นจากมือของเกาเย่าหลังจากอ่านทุกคำทุกประโยค
“น้องรอง?!”“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไรไป?”เวินฉางอวิ้นรีบพาเขาเข้ามาในห้องแต่หลังจากเขาวางน้องชายลงบนเตียง แล้วตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ก็ไม่เห็นตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเป็นห่วงมากในทันทีเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?เขารู้ว่าน้องรองกลับมาแล้ว แต่ต่อมาก็ได้ยินว่าเขาไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วดังนั้นก่อนหน้านี้เวินฉางอวิ้นจึงไม่ได้เห็นเวินจื่อเฉิน ตอนแรกเขานึกว่าน้องชายกลับไปที่กระท่อมที่เขาอาศัยอยู่ที่เชิงภูเขาหนานแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าน้องชายจะยังอยู่ในจวนอีกทั้งในเวลาแบบนี้ยังมาหมดสติอยู่หน้าประตูห้องของเขาอีกหรือว่าท่านพ่อจะทำอะไรกับน้องรอง?เวินฉางอวิ้นที่บัดนี้ไม่อาจไว้ใจเวินเฉวียนเซิ่งอีกแล้ว อดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้อยู่ภายในใจช่างมันเถอะเขาไม่ควรคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้วเมื่อพิจารณาจากสภาพของน้องรองก็น่าจะแค่หมดสติไป รอให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วค่อยถามให้รู้เรื่องดีกว่าต่อมาเวินฉางอวิ้นก็พักผ่อนอยู่บนตั่งเล็กกลางห้องทั้งคืนจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น เมื่อเวินฉางอวิ้นเก็บข้าวของเสร็จเตรียมจะออกไปทำงาน เวินจื่อเฉินก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้พอดี“ซี้ด เจ็บชะมัด หัวของข้า...”“องครักษ์ลับ” ท
“เพล้ง!”ทันทีที่เวินฉางอวิ้นก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ก็ได้ยินเสียงถ้วยชาถูกขว้างแตกอย่างแรงเขารีบเดินเข้าไป ก็เห็นน้องชายที่เมื่อเช้ายังรับปากกับเขาว่าจะรออยู่ในเรือนดี ๆ ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาน้ำชาสาดกระเซ็นอยู่ตรงหัวเข่า ดูจากเศษแก้ว ก่อนที่เขาจะมาถึง ถ้วยชาน่าจะแตกไปหลายใบแล้วเวินเฉวียนเซิ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่มองดูเขา น้ำเสียงแฝงความโกรธเอาไว้“เวินจื่อเฉิน พ่อจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าพูดมา เจ้าต้องการค้นหาอะไรในห้องหนังสือของพ่อกันแน่?”เวินจื่อเฉินคอตก นิ่งเงียบไม่พูดจาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ ไม่ใช่สิ ควรจะบอกว่าตั้งแต่เขาถูกจับได้จนถึงตอนนี้ เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียวแม้ว่าเวินเฉวียนเซิ่งจะคาดคั้นเขาอย่างไร เขาก็ยังมีสีหน้านิ่งเฉย และไม่พูดไม่จาเหมือนกันเวินเฉวียนเซิ่งเห็นแล้วความโกรธก็ยิ่งทวีขึ้นทันที “ดี ในเมื่อเจ้าทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย ก็อย่าหาว่าพ่อไม่เกรงใจเจ้า”“เด็ก ๆ ไปเชิญกฎประจำตระกูลมา!”เวินฉางอวิ้นที่ยืนอยู่ที่ประตูพอได้ยินคำนี้ก็ยืนเฉยไม่ไหวแล้วเขาเดินเข้าไปพูดห้ามปรามทันที “ช้าก่อน ท่านพ่อ ตรงนี้อาจ
เขาถามขึ้นมาตรง ๆแต่ใครจะรู้ว่า เวินจื่อเฉินที่ยังอ้าปากพูดอยู่เมื่อครู่ได้หุบปากแข็ง ๆ ของเขาลงอีกครั้งแล้วซ้ำยังหันหน้าไป ทำสีหน้าว่า “ท่านไม่ต้องถาม ข้าไม่บอก”เวินฉางอวิ้นทนไม่ไหวในทันที จ้องเขม็งใส่น้องชายของเขาคนนี้อย่างดุดัน “ได้ๆๆ ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”“แต่นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกให้เจ้าพูดอย่างไรเจ้าก็พูดอย่างนั้น ห้ามต่อปากต่อคำกับท่านพ่ออีกต่อไป”เวินจื่อเฉินอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เวินฉางอวิ้นดึงใบหูของเขาทันที ดึงจนเวินจื่อเฉินรู้สึกเจ็บ “จะฟังไม่ฟัง? เจ้าจะฟังหรือไม่ฟัง?”“ฟัง ๆ ๆ!”หลังจากเวินจื่อเฉินลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วก็รีบตอบตกลง “ข้าจะเชื่อฟังคำพูดของท่านพอใจแล้วใช่ไหม ดังนั้นพี่ใหญ่ท่านปล่อยหูข้าได้หรือยัง?!”“ถ้าไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้าง เจ้าก็ไม่เห็นพี่ใหญ่อย่างข้าอยู่ในสายตาเลย”แต่เวินฉางอวิ้นไม่ได้ปล่อยหูของเขาทันที ทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วกดเสียงต่ำพูดอะไรบางอย่างกับเขาเบา ๆไม่นานหลังจากนั้น เสียงฝ่ามือ “ผัวะ” ก็ดังขึ้นในมุมนั้นหลังจากนั้น สองพี่น้องทั้งสองก็เดินออกมาจากด้านในเวินเฉวียนเ
“ก็ไม่ใช่เพราะท่านพ่อหรอกหรือ ตอนที่ข้าออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง ในตัวไม่มีสักสตางค์เดียว เดิมทีคิดว่าท่านพ่อใจแคบเช่นนี้ จะยอมรับเงื่อนไขของน้องห้าได้จริง ๆ อย่างไร?”เวินจื่อเฉินก็กล่าวเหน็บแนมในทันใดคำพูดของเขายั่วโมโหเวินเฉวียนเซิ่งขึ้นมาทันที“บังอาจนัก!”เวินเฉวียนเซิ่งทุบโต๊ะ จ้องมองอย่างเวินจื่อเฉินอย่างโกรธเคือง...“เวินจื่อเฉิน นี่คือท่าทีที่เจ้าใช้พูดกับพ่อหรือ?”เวินจื่อเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ไม่เช่นนั้นท่านพ่ออยากให้ข้าใช้ท่าทีอย่างไรกับท่านหรือ?”“เจ้า...!”เวินเฉวียนเซิ่งถูกเวินจื่อเฉินยั่วโมโหจนมึนหัว ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อไปชั่วขณะหนึ่งแต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังเป็นความโกรธเคืองของเวินเฉวียนเซิ่ง“ดี เจ้าช่างกล้าพูด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจ้าทำอะไรผิด ก็สมควรถูกลงโทษ”เวินเฉวียนเซิ่งเบื่อจะพูดจาไร้สาระกับลูกเนรคุณคนนี้อีกต่อไป จึงหันกลับไปสั่งการว่า “ไปเอากฎประจำตระกูลมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”ใครจะรู้ว่าทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เวินจื่อเฉินจะโต้เถียงอย่างไม่กลัวเกรงอีกครั้งกฎประจำตระกูลอะไร? ท่านเจิ้นกั๋วกงคงไม่ได้ลืมไปแล้วใช่ไหมว่า ข้าเวินจื่อเฉินไม่ใช่คนของจวนเจิ้นกั๋
“ได้ยินแล้วหรือยัง?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยปากอย่างเย็นชา “น้องรองของเจ้าเติบโตมาในวันนี้ ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ปรารถนาจะโบยบินออกไปข้างนอก เจ้ายังจะพูดอะไรแทนเขาอีก?”“แต่ว่า...”เวินฉางอวิ้นยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในขณะนี้เวินจื่อเฉินได้ดึงเขาไว้“พี่ใหญ่ พอแล้ว!”เวินจื่อเฉินกัดฟันพูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากให้ข้าจากไป แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ”ขณะที่เขาพูดประโยคสุดท้าย ความผิดหวังและความเจ็บปวดในสายตาของเขาได้ทิ่มแท่งหัวใจของเวินฉางอวิ้นอย่างลึกซึ้งในชั่วพริบตานั้น เวินฉางอวิ้นดูเหมือนจะสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปเขาคอตกอย่างหมดแรง พลางหลับตาลง“เอาล่ะ..ไปเถอะ ไปเถอะ...”ไปเถอะเวินฉางอวิ้นพูดช้า ๆ ในน้ำเสียงแฝงความสะอื้นไว้เขาขอร้องแกมบังคับใช่แล้ว ตัวเขาเองก็ผิดหวังกับครอบครัวนี้มาก อย่าว่าแต่น้องชายที่ตื่นรู้ก่อนใครตอนนี้สำหรับเขาแล้ว อยู่ข้างนอกยังดีกว่าอยู่ในบ้านเสียอีกดังนั้นก็ช่างมันดีกว่าควรไปก็ไปเถอะ“ท่านพ่อ ครั้งนี้ลูกจะขอร้องท่าน ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าลงโทษเขาเลย”เวินฉางอวิ้นก้มหัวให้เวินเฉวียนเซิ่งพลางเอ่ยขึ้นเวินเฉวียนเซิ่งมองไปที่ลูกชายคนโตของ
“อืม ส่งน้องรองของเจ้าไป ตัวเองอยู่รับโทษ ความผูกพันพี่น้องพวกเจ้าช่างลึกซึ้งนัก”เวินเฉวียนเซิ่งหยิบแส้ขึ้นมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ เดินไปหาเวินฉางอวิ้นทีละก้าว สุดท้ายก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขา มองลงมาจากตำแหน่งสูงกว่า“ที่ผ่านมาพ่อสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี”เวินฉางอวิ้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขารู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป แต่เขาก็ไม่ปริปากบ่นเลยอย่างน้อยก็ส่งน้องรองไปแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะโดนดุด่าหรือโดนทุบตี ก็มาลงที่ตัวเขาคนเดียวก็แล้วกันทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ความปวดแสบปวดร้อนก็ส่งลงมาที่ตัวเขาในทันใด“เพียะ!”เวินเฉวียนเซิ่งสะบัดแส้ใส่ตัวเขาอย่างไม่ปรานีเขามองดูลูกชายคนโตที่ทำให้เขาผิดหวังด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่พ่อก็เคยสอนเจ้าว่า ให้ดูแลน้องชายน้องสาวของเจ้าให้ดี การสั่งสอนพวกเขาให้ดีก็เป็นหน้าที่ของเจ้าในฐานะพี่ชายคนโต แต่ตอนนี้เจ้าลองมองดูสิ คนนั้นคนนี้ปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นครอบครัวนี้อยู่ในสายตาอีกแล้ว นึกจะไปก็ไป ซ้ำยังกล้าโต้แย้งพ่ออีก นี่น่ะหรือสิ่งที่เจ้าสั่งสอน?”เวินฉางอวิ้นคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน นิ่งเงียบไม่พูดจาเวินเฉวียนเซิ่งเห็นเขา
“อ๊า!”ในยามวิกาล ไม่ว่าใครก็ตามที่จู่ๆ ได้มาเห็นภาพเช่นนี้ ย่อมตกใจจนขวัญหนีดีฝ่ออันหลันซินก็เป็นเช่นนั้น ตกใจเสียจนกรีดร้องออกมา ทั้งคนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น ศีรษะยังกระแทกเข้ากับโต๊ะอีกด้วยเสียงดังโครมครามทำให้คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามาทันที“ปัง!”“เกิดอะไรขึ้น?!”สาวใช้และองครักษ์หลายคนพังประตูเข้ามา เมื่อเห็นอันหลันซินล้มลงไปกองอยู่กับพื้น พวกเขาก็รีบกวาดตามองไปรอบๆ ทันที แต่น่าเสียดายที่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ“ผะ...ผี! มีผีอยู่บนหลังคา!”อันหลันซินในเวลานี้ยังคงคิดว่านั่นเป็นผีจริงๆ ตกใจเสียจนไม่กล้ามองอีก ได้แต่ยกมือขึ้นชี้ไปยังหลังคาอย่างสั่นเทาแต่เมื่อเหล่าสาวใช้และองครักษ์เงยหน้ามองขึ้นไป กลับไม่เห็นสิ่งใดเลยเหล่าองครักษ์ถึงกับออกไปข้างนอก แล้วปีนขึ้นไปตรวจดูบนหลังคาโดยตรงแต่กลับไม่พบอะไรเลยเหล่าสาวใช้และองครักษ์ที่คอยจับตาดูอันหลันซินต่างพากันคิดไปว่า นี่คงเป็นกลอุบายอะไรสักอย่างที่อันหลันซินคิดขึ้นมาเพื่อหลอกตาการเฝ้าระวังของพวกเขา ดังนั้น แต่ละคนจึงแสดงสีหน้าเย็นชา“คุณหนูอัน ทางที่ดีท่านควรจะสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเล่นลูกไม้อะไรอีก มิฉะนั้นพวกเราจะทำต
“รอข้า อาซื่อ ข้าจะกลับไปหาเจ้าอย่างแน่นอน”“พวกสารเลวสมควรตายพวกนั้น อย่าหวังว่าจะมาขวางข้าได้!”ก่อนหน้านี้ อันหลันซินพอนึกถึงหลินเนี่ยนฉือทีไร ก็แทบอยากจะถลกหนังนาง ดื่มเลือดนางเสียให้รู้แล้วรู้รอดตอนนี้ นางก็มีคนที่เกลียดชังในระดับเดียวกันเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วนั่นก็คือเป่ยเฉินหยวน!บุรุษสารเลวสมควรตายผู้นั้น!กล้ามาหลอกลวงนาง แถมยังกล้าโยนนางมาทิ้งที่ลู่โจวอีกกระทั่งสั่งให้หนิงหย่วนโหวผู้นั้นส่งคนมาคอยจับตาดูนางตลอดเวลาอีก!หากไม่ใช่เพราะการจัดการเหล่านี้ของเขา ป่านนี้นางกลับไปหาอาซื่อได้ตั้งนานแล้วแต่เป็นเพราะเขา อันหลันซินหนีไปได้ครั้งหนึ่งก็ถูกจับกลับมาครั้งหนึ่ง หนีไปสิบครั้งก็ถูกจับกลับมาสิบครั้ง!ทุกครั้งยังไม่ทันหนีพ้นเขตลู่โจว ก็ถูกหนิงหย่วนโหวผู้นั้นส่งคนมาตามจับตัวกลับไปอีก!ไม่ว่าจะเป็นไอ้สารเลวที่ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องคนนี้ หรือไอ้บุรุษชั่วช้าที่กล้าหลอกลวงนางก็ตาม ล้วนสมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!แต่แน่นอนว่าคนที่นางเกลียดที่สุดก็ยังคงเป็นหลินเนี่ยนฉือกล้าฉวยโอกาสตอนที่นางไม่อยู่ข้างกายอาซื่อ กลับเมืองหลวงไปอย่างกะทันหัน!ตอนนี้ อันหลันซินพอนึกขึ้นได้ว่า
นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเข้าวัง แต่สกุลหลินต้องการโอกาสเช่นนี้อีกทั้ง…หลินเนี่ยนฉือมองเวินซื่อที่นั่งอยู่ข้างเตียง นางเม้มปากเบาๆผู้หญิงแปดในสิบทั่วหล้าล้วนอยากเป็นฮองเฮาอย่างไรก็ตามนั่นเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดินแต่อยากเป็นฮองเฮาก็ต้องเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งอย่างแรกก็คืออิสระและเดิมทีนางก็เป็นที่ใฝ่หาความอิสระแต่ถ้าหากสามารถใช้อิสระของตัวเองแลกกับโอกาสที่ตระกูลจะได้กลับคืนสู่เมืองหลวง และสิทธิ์ในการปกป้องคนที่อยากปกป้อง เช่นนั้นนางก็ยินดีทิ้งอิสระของตัวเองดังนั้นแม้หลินเนี่ยนฉือจะบ่นต่อหน้าเวินซื่อมากมาย แต่กลับไม่เคยพูดว่าไม่อยากเป็นฮองเฮานางรู้ดี อาซื่อต้องยืนข้างนางแน่นอนแต่นางไม่อยากให้อาซื่อเป็นห่วงนางทำได้ก็แค่อิสรภาพเล็กน้อย ไม่มีอะไรที่เสียสละไม่ได้หลินเนี่ยนฉือคิดเช่นนี้ และยิ่งหนักแน่นในความคิดของตัวเองเวินซื่อหันกลับไปมองตาของนาง แม้หลินเนี่ยนฉือไม่อยากให้นางเป็นห่วง แต่นางจะไม่ห่วงเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองได้อย่างไร?ก็เพราะรู้จักนางดี ดังนั้นจึงยิ่งเป็นห่วงแต่สิ่งที่เวินซื่อไม่รู้คือ ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลเรื่องพวกนี้ เพ
เวินซื่อมองสีหน้าพ่อบ้านหลานแวบหนึ่ง หลังจากนั้นถอนหายใจเบาๆหลังจากเยี่ยมชมหอหนังสือ สถานที่สุดท้ายที่พ่อบ้านหลานพานางมาคือโถงบรรพชนของสกุลหลานทันทีที่เข้าไปข้างใน พ่อบ้านหลานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทิ้งตัวคุกเข่าลงพื้น ก็โขกศีรษะ ‘ปังๆๆ’ แรงๆ“นายท่าน ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า…บ่าวกลับมาแล้ว!”“บ่าวพาคุณหนูกลับมาแล้ว!”คุณหนูน้อย ลูกสาวของคุณหนู สายเลือดของสกุลหลานนางจะสืบทอดสกุลหลาน กลายเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปของสกุลหลาน! พ่อบ้านหลานบอกคนสกุลหลานอย่างสะอึกสะอื้นในใจ บอกทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเวินซื่อสุดท้ายพ่อบ้านหลานกล่าวในใจ ‘นายท่าน ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า มีคุณหนูน้อยอยู่ พวกท่านสามารถตายตาหลับแล้ว’เดิมทีเวินซื่อเดินเข้าไปอยากจุดธูป แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะ ทุกอย่างชื้นจนขึ้นราหมดแล้วจุดธูปไม่ได้แล้วเวินซื่อหมุนกายไปคุกเข่าลงบนฟุกที่อยู่หน้าโต๊ะป้ายวิญญาณ หลังจากโขกศีรษะเหมือนพ่อบ้านหลาน นางค่อยๆ ลุกขึ้น มองดูป้ายวิญญาณเหล่านั้น พูดเพียงประโยคเดียว…“หวังว่าท่านบรรพชนทั้งหลายจะคุ้มครองหลานสาว สามารถเปลี่ยนแซ่อย่างราบรื่น รอหลังจากเปลี่ยนแซ่เวินเป็นแซ่หลาน สกุลหลานก็มีลูกส
ทั้งสองคนหนึ่งหมุนกายก็วิ่ง ส่วนอีกคนชักดาบไล่ตามขณะที่กำลังจะตามทันอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีสุนัขดุหลายตัวกระโจนใส่เป่ยเฉินหยวนวินาทีต่อมา เสียง “ฉึก” ดังขึ้นหลายครั้ง…หัวสุนัขหลายตัวหล่นลงพื้นหลังจากจัดการสุนัขดุพวกนั้นแล้ว ตอนที่เป่ยเฉินหยวนเงยหน้าอีกครั้ง กู่อี้ซานก็ได้หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วส่วนลูกน้องที่เหลือสามคนของเขา สองคนโดนฆ่า อีกคนโดนธนูยิงท้อง ล้มอยู่บนพื้น อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลก็หลังจากกองทัพธงดำจัดการสุนัขดุพวกนั้นหมดแล้ว เกาเย่าเข้าไปจับตัวคนต่างแคว้นที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วยื่นมือไปถอดหน้ากากของอีกฝ่าย“ท่านอ๋อง เป็นผู้หญิงต่างแคว้น”แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกทำลายนานแล้ว แต่เมื่อลองสังเกตรายละเอียดต่างๆ ก็สามารถระบุเพศของอีกฝ่ายได้สีหน้าเป่ยเฉินหยวนเย็นชากว่าเขาเสียอีก เสียงก็เย็นราวกับน้ำค้างแข็ง ออกคำสั่งอย่างความไร้ปรานี “พากลับไป ทรมานจนกว่าจะพูด”“ขอรับ!”หนีไปได้หนึ่งคนไม่เป็นไร อย่างไรเสียสายลับจากต่างแดนในเมืองหลวงถูกเขาฆ่าจนเหลือแค่ไม่กี่คนแล้วต่อให้กู่อี้ซานหนีไปได้ ก็ไม่สามารถทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ใดๆเขาแค่กำลังคิดว
สีหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากของกู่อี้ซานไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สงบ “ไม่รู้ว่าที่อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพูดหมายความว่าอย่างไร สายลับเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอะไร พวกเราไม่เคยมี”ไม่ต้องให้เป่ยเฉินหยวนพูด วินาทีต่อมาก็มีลูกธนูแหวกอากาศพุ่งเข้ามาอีกครั้ง“ฟิ้ว!”ครั้งนี้กู่อวี้ซานที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว หลบลูกธนูพ้นโดยตรง วินาทีต่อมา ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาก็กรีดร้อง“อ๊า!”กู่อี้ซานหันกลับไปมอง ลูกน้องโดนยิงตายอีกหนึ่งคนสีหน้ากู่อี้ซานดูน่าเกลียดมาก“ขอแนะนำว่าคิดให้ดีก่อนค่อยตอบ ไม่เช่นนั้นตอบผิดหนึ่งครั้ง ลูกน้องของเจ้าก็จะน้อยลงหนึ่งคน”เกาเย่ากวาดมองคนที่เหลือแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “รอทุกคนตายหมดแล้ว เจ้าก็ต้องไปพบกับพวกเขาแล้ว”“ต่ำช้าไร้ยางอาย!”กู่อี้ซานกัดฟันกล่าวด่าทอแต่ปรากฏว่า…“ฉึก!”“อ๊า!”ตายอีกคนม่านตาของกู่อี้ซานที่ด่าหนึ่งคนก็ตายหนึ่งคนหดฉับพลัน เกาเย่าถอนหายใจ “บอกแล้วไม่ใช่หรือ คิดให้ดีก่อนค่อยตอบ”กู่อี้ซานกำหมัดแน่นทันทีตอนนี้ข้างหลังเขาเหลือแค่ลูกน้องสามคนแล้วทั้งสามก้าวถอยหลังด้วยความกลัว ขณะเดียวกันก็มองไปทางหัวหน้าข
ทันทีที่เวินซื่อไป เวินเฉวียนเซิ่งก็รีบเชิญหมอหลวงหลี่และหมอหลวงอีกหลายท่านมาขอพวกเขาช่วยยื้อชีวิตเวินฉางอวิ้นให้ผ่านสองชั่วยามนี้ด้วยทุกวิถีทางโชคดีที่หมอหลวงหลี่และคนอื่นก็ไม่ได้มีแค่ชื่อด้วยความร่วมมือของพวกเขา เวินฉางอวิ้นที่เดิมทีขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ประตูนรกแล้ว ก็โดนพวกเขายื้อชีวิตได้เกินสองชั่วยามจนได้และโชคดีที่ครั้งนี้เวินซื่อไม่ได้หลอกเวินเฉวียนเซิ่งหลังจากนั้นสองชั่วยาม ยาถูกส่งมาได้อย่างทันเวลาพอดีหมอหลวงหลี่เปิดกล่อง หลังจากเห็นบัวหิมะที่อยู่ในนั้นก็หันไปพยักหน้าให้เวินเฉวียนเซิ่งแต่เวินเฉวียนเซิ่งยังไม่วางใจ “ลองตรวจบัวหิมะนี่ก่อน”เห็นได้ชัดว่าเขากลัวเวินซื่อทำอะไรกับบัวหิมะนี่ผลลัพธ์ยังคงเป็นเช่นเดิม…“ไม่มีปัญหา สามารถใช้ได้”หมอหลวงคนอื่นพากันโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี รีบเอาบัวหิมะนี่ไปทำยาเถอะ เสียเวลาไม่ได้แล้ว!”เพื่อให้บัวหิมะที่หามาด้วยความยากลำบากนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด หมอหลวงทั้งหลายแทบจะต้มยาด้วยตัวเองหลังจากนั้นก็นำยาไปป้อนให้เวินฉางอวิ้นอย่างระมัดระวัง“ใต้เท้าเจิ้งกั๋วกง ตอนนี้มียาที่ใส่บัวหิมะนี้ เพียงพอที่จะยืดเวลาให้คุณชายใหญ่อีกสั
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ตัดสินใจไม่ได้สักทีดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกผิดต่อเวินเยวี่ย ก็เลยตามใจนางจนถึงทุกวันนี้เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เจ้ามองออกทุกอย่าง ดังนั้นเจ้าจึงเอายาในมือของเจ้ามาขู่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถหายาอย่างอื่นได้แล้วจริงๆ หรือ?”“ใต้เท้าเจิ้นกั๋วกงเป็นคนกว้างขวาง ย่อมสามารถหายาอย่างอื่นนอกจากที่ข้ามี แต่ท่านยังมีเวลาหรือไม่?”แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงของเวินซื่อ เสียงรายงานที่ตื่นตระหนกของพ่อบ้านดังมาจากข้างหลังเวินเฉวียนเซิ่ง…“แย่แล้ว แย่แล้ว! ท่านกั๋วกง คุณชายใหญ่อาเจียนเลือดอีกแล้ว!”“ท่านกั๋วกง ท่านรีบไปดูหน่อยเถอะ เกรงว่าคุณชายใหญ่น่าจะทนได้อีกไม่นานแล้ว!”ยันต์เร่งชีวิต กำลังเร่งชีวิตของเวินฉางอวิ้น ขณะเดียวกันก็เร่งชีวิตของเวินเฉวียนเซิ่งด้วย เขาเวลานี้ราวกับเข้าใจความรู้สึกของเจ้าสามที่ตัดสินใจก่อนหน้านี้ทันทีสำหรับเวินซื่อที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกถึงแรงกดดันอย่างรุนแรงนางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆและยังเคยเป็นลูกสาวของเขาแต่ตอนนี้กลับเทียบได้กับพวกจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักไม่สิ บางทีอาจต้องพูดว่านางเทียบได้กับเขา
สีหน้าเวินเฉวียนเซิ่งไร้อารมณ์แทบจะทันทีที่หลังจากเวินซื่อกล่าวคำพูดประโยคนั้น อากาศระหว่างทั้งสองหยุดนิ่งโดยตรงเวินซื่อไม่ได้พูดอะไรอีกเวินเฉวียนเซิ่งก็ไม่ได้พูดเขาเอาแต่จ้องเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชาผ่านไปครู่หนึ่งเวินเฉวียนเซิ่งจึงจะกล่าวอย่างใจเย็น “เจิ้นกั๋วกงให้กำเนิดเจ้า เลี้ยงเจ้า ต่อให้ข้ากับพวกพี่ชายของเจ้าทำผิดไปบ้าง แต่บุญคุณให้กำเนิดยิ่งใหญ่กว่าดิน บุญคุณเลี้ยงดูยิ่งใหญ่กว่าฟ้า เจ้าจะเปลี่ยนแซ่ เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อข้า ไม่รู้สึกผิดต่อพวกพี่ๆ ของเจ้า และบรรพชนของสกุลเวินหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งอ้าปากก็บุญคุณให้กำเนิดและเลี้ยงดู หวังใช้บุญคุณกดดันนางแต่เวินซื่อกลับตอบเขาอย่างสงบ “ผู้ที่มีบุญคุณให้กำเนิดของข้าคือท่านแม่ หลานจื่อจวินอดีตคุณหนูใหญ่ของสกุลหลาน ดังนั้นต่อให้ข้าออกมาจากสกุลเวิน เหตุใดถึงไม่สามารถเปลี่ยนเป็นแซ่หลาน?”“อย่าลืมเสียล่ะ ก่อนหน้านี้ท่านเจิ้นกั๋วกงยังตั้งใจว่าจะไม่ให้ข้าแซ่ ‘เวิน’ อีกเลย”เวินซื่อมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างจะยิ้มไม่ยิ้ม “ทำไม ลืมคำพูดที่ตัวเองเคยพูดเร็วเช่นนี้เลย?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเบาๆ และแสดงสีหน้าที่เสแสร้งจอมปลอมทันที “ตอนน