ตั้งแต่ชาติที่แล้ว นางก็รู้แล้วว่าเบื้องหลังของเวินเยวี่ยไม่ได้มีแค่นางคนเดียวและยังมีผู้ช่วยบางคนที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้นางด้วยในบรรดาผู้ช่วยเหล่านี้ มีทั้งคนที่ใช้พิษและคนที่ฆ่าคนในตอนนั้น นางถูกคนพวกนี้ทำร้ายอย่างสาหัส มาถึงชาตินี้ เวินเยวี่ยส่งพวกเขาออกมาเร็วขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสุนัขจนตรอกแล้วแต่นี่ยังไม่พออาศัยโอกาสนี้ นางจะบีบให้คนพวกนั้นที่อยู่เบื้องหลังของเวินเยวี่ยออกมาทั้งหมดอย่างไรก็ตาม แผนการนี้เป็นการยืมดาบฆ่าคน นางยังคงต้องชี้แจงกับคนคนหนึ่งเวินซื่อหันไปมองเป่ยเฉินหยวนที่อยู่นอกประตู “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน...”เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ข้างในคือจู๋เยวี่ย เป่ยเฉินหยวนที่เดิมทีตั้งใจจะเข้าไปดูก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้ล้ำเส้นเขาพิงประตูอย่างเกียจคร้าน นิ้วเรียวยาวบีบขวดยาเล็กๆ นั่นของเวินซื่อ หรี่ดวงตาคมเล็กน้อยจ้องมองเวินซื่อที่อยู่ในห้อง ดูเหมือนว่าจะยังรอให้เวินซื่อทายาให้เขาต่อแต่หลังจากได้ยินบทสนทนาข้างใน และได้ยินนังหนูเรียกเขาอย่างกะทันหัน หัวใจของเป่ยเฉินหยวนก็เต้นแรง ยกยิ้มมุมปาก“หืม? เป็นอะไรไป?”น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ฟังแล้วไพเราะอยู
“ส่วนชื่อ...”เวินซื่อหันไปมองเวินเยวี่ยที่นอนอยู่บนพื้น ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง จ้องมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วค่อยๆ เอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าจำได้ว่าเหมือนจะชื่อ...จินซือถู”ตามด้วยชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาจากปากของเวินซื่อทีละคำ เข้าไปในหูของเวินเยวี่ย“อื้อๆๆ! อื้อ!”เวินซื่อส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความโกรธและตกใจน่าเสียดายที่ปากของนางถูกเวินซื่อปิดเอาไว้ จึงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงจะซักถามเวินซื่อว่า...เหตุใดเจ้าถึงรู้จักคนคนนั้น?!เหตุใดเจ้าถึงรู้จักรูปร่างหน้าตาของเขา แม้กระทั่งชื่อของเขา?!อันที่จริงนางจำได้ว่าจินซือถูไม่เคยปรากฏตัวในเมืองหลวงมาก่อน ยิ่งไม่เคยพบกับนังสารเลวเวินซื่อคนนี้!แต่เหตุใดนางถึงรู้จักจินซือถู?!ลักษณะที่นางบรรยายออกมานั้น เหมือนกับว่าเคยเห็นจินซือถูกับตาตัวเอง แต่นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!จินซือถูเป็นมือสังหารต่างเผ่าที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้กับนางเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง!เพื่อซ่อนไพ่ตายใบนี้ นับตั้งแต่ที่นางกลับมาถึงจวนเจิ้นกั๋วกง นางก็ไม่ได้ติดต่อกับจินซือถูอีกเลยเพียงแต่ตอนนี้คนพวกนั้นในจวนเจิ้นกั๋วกงหลุดจากการคว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดูแล้วพี่ชายก็เป็นยอดบุรุษผู้กล้าที่พ่ายแพ้ต่อความงามของอิสตรีเช่นกัน แต่ในเมื่อเป็นหญิงทั้งสอง เหตุใดไม่เก็บเชลยศึกไว้เล่า เรามาแบ่งอย่างเท่าเทียม คนหนึ่งของท่าน อีกคนเก็บไว้ให้บรรดาพี่น้อง”ช่างเป็นคำพูดที่หยาบช้าสารเลว กินไม่เลือกหน้าแต่ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่พี่ใหญ่หลี่กลับยังยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ของหมู่บ้านภูเขา โดยไม่ได้คิดที่จะลงมา และไม่ได้เรียกใครไปเปิดประตูด้วยเห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยไว้ใจจินซือถูมากนักขณะที่จินซือถูกำลังเคลื่อนไหวลับ ๆ พี่ใหญ่หลี่ก็แอบส่งสัญญาณมือไปยังด้านใน โจรจำนวนมากในหมู่บ้านภูเขาได้แอบล้อมรอบจินซือถูจากอีกฝั่งไว้แล้ว“พวกเจ้าอยากเก็บอีกคนไว้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แค่กลัวว่าเมื่อถึงเวลาแล้วพวกเจ้าจะไม่กล้า”ความเสียดสีเผยออกมาบนใบหน้าที่มีพลังชั่วร้ายของจินซือถู“โอ๊ะ? ฟังจากคำพูดนี้ของน้องชาย ดูเหมือนว่าจะมีตัวละครที่ไม่ธรรมดาอยู่ภายใน เหตุใดเมื่อครู่ถึงเอาแต่พูดถึงแต่ข้อดี และไม่บอกลู่ทางในนี้ให้เราทราบ?”พี่ใหญ่หลี่หรี่ตาลงทันใด พลางถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก“แน่นอนก็เพราะว่า...ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนตายฟัง”“อะไรนะ?! เจ้า...!”จิ
ผูกเสื้อคลุมไว้รอบตัว ตอนนี้อาหารก็เสร็จแล้วพอดี เกาเย่าถือชามใหญ่สองใบมาให้เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนก่อน“ท่านอ๋อง ธิดาศักดิ์สิทธิ์ กินอาหารได้แล้ว!”เวินซื่อรีบรับส่วนของตัวเองมา เห็นข้างในเต็มไปด้วยกับข้าวชามใหญ่ แค่ดมกลิ่นก็หอมฟุ้ง ทหารพ่อครัวที่ติดตามมาต้องเป็นพ่อครัวชั้นยอดแน่ ๆดูเหมือนจะรู้ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาคุ้มกันไม่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ดังนั้นนอกจากอาหารมังสวิรัติที่มีอยู่แล้ว ยังทำน้ำแกงมังสวิรัติเพิ่มให้นางเป็นพิเศษด้วย น้ำแกงราดข้าว รสชาติดีมากเวินซื่อถือชามกินอย่างจริงจัง ในขณะที่ขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ ภายในใจเมื่อไม่กี่วันก่อนมีการลอบสังหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในวันนี้ตอนกลางวันกลับสงบลงอย่างฉับพลัน เหมือนกับความเงียบสงบก่อนเกิดมรสุมใหญ่“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เมื่อสังเกตเห็นว่านางดูใจลอย เป่ยเฉินหยวนที่กำลังกินอาหารอยู่ข้าง ๆ จึงถามขึ้น“ข้ากำลังสงสัยว่าคืนนี้คนเหล่านั้นจะมาอีกหรือไม่?”“คืนนี้พวกเขาจะมาแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนเอ่ยอย่างมั่นใจเวินซื่อหันหน้าไปมองเขา ก่อนถามด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดถึงมั่นใจนัก?”“เพราะต่อไปมีเพียงคืนนี้เท่านั้นที
โจรภูเขาแห่งหมู่บ้านเสือดำได้ก่อกวนการจัดทัพของกองทัพธงดำจริงดังคาด หลังจากส่งมือสังหารหลายคนไปต่อสู้พัวพันกับเป่ยเฉินหยวน จินซือถูก็พุ่งขึ้นไปบนรถม้าทันทีเขายื่นมือออกไปเพื่อช่วยเวินเยวี่ยทว่าในวินาทีถัดไป...“แกล๊ง!”กระบี่คมเล่มหนึ่งเกือบจะตัดศีรษะของจินซือถูขาดโชคดีที่เขาสังเกตเห็นได้ทันเวลา หลังจากใช้มีดโค้งป้องกัน ก็ใช้มีดโค้งอีกเล่มตวัดออกไปทันทีเพื่อเกี่ยวศีรษะของคู่ต่อสู้น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวของจู๋เยวี่ยนั้นเร็วกว่าเขาเสียอีก ถีบเขาลงจากรถม้าด้วยขาข้างหนึ่ง จากนั้นก็เหยียบลงบนหลังคารถม้าอย่างเบาหวิว จับจ้องจินซือถูจากที่สูงจินซือถูเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้นที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในทัศนียภาพยามราตรี ดำมืดไปทั้งตัวเขาไม่คาดคิดว่าที่นี่จะมีคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่หลายวันก่อนคนผู้นี้ยังไม่เคยปรากฏตัวสักครั้งดูจากกระบวนท่าที่ใช้ เกรงว่าอาจเป็นองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนมาจากสำนักไหนสักแห่งดูเหมือนว่ามีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงที่อยู่ในรถม้าเท่านั้นที่จะมีองครักษ์ลับแบบนี้เวลานี้เวินเยวี่ยรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งนางรู้มานานแล้วว่าเวินซื่อมีองคร
หลังจากที่พวกเกาเย่าไปจับกุมเขาแล้ว เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังกลับไปที่ข้างรถม้าอย่างรวดเร็ว “อู๋โยว เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”ผู้ที่ได้ยินเสียงวุ่นวายภายในรถม้าแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่จู๋เยวี่ยเท่านั้นเขารีบยกม่านรถขึ้นดู ก็เห็นขาเล็ก ๆ ข้างหนึ่งที่ขาวดุจหิมะภายในตัวรถ จู๋เยวี่ยที่กำลังตรวจดูว่าขาของเวินซื่อถูกตะขาบพิษกัดหรือไม่ แย่งม่านรถคืนจากมือของเป่ยเฉินหยวนอย่างรวดเร็วแล้วดึงปิดใหม่พึ่บเวินซื่อรีบบอก “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เมื่อครู่มีตะขาบเข้ามาในรถ จู๋เยวี่ยกำลังช่วยตรวจดูบาดแผลให้ข้าแล้ว”ตอนแรกเป่ยเฉินหยวนยังตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ตะขาบ” ก็ขมวดคิ้วทันทีพลางถามว่า “แต่ว่ามันมีพิษหรือ? นอกจากบาดแผลแล้ว ได้สัมผัสผิวหนังโดยตรงหรือเปล่า?”เวินซื่อในรถกำลังจะส่ายหน้า แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างได้ พลางยื่นมือขวาออกไปดู เป็นจริงดังคาดปลายนิ้วชี้ที่เพิ่งสัมผัสตะขาบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเล็กน้อยแล้วสีหน้าของจู๋เยวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไร ก็เห็นเวินซื่อรีบควานหาห่อสัมภาระจากรถม้าออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบเข็มเงินชุดหน
หลังจากเข้ามาในจินโจวแล้ว ทุกคนก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่เข้ามาปะทะใบหน้าทั้ง ๆ ที่สถานที่อื่น ๆ จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและเย็นลงแล้ว แต่จินโจวกลับยังคงเหมือนกับช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน ทั่วทั้งพื้นที่มีอากาศร้อนจนแทบทนไม่ไหวและจินโจวในเวลานี้นั้นแห้งแล้งมาสามเดือนแล้ว ไม่มีฝนตกเลยสักเม็ดด้วยเหตุนี้ทุ่งนาที่ควรปลูกธัญพืชจึงแห้งแล้งแตกเป็นแขนง ไม่มีผลให้เก็บเกี่ยว ท้องน้ำเห็นไปถึงก้น ป่าไม้โดยรอบรกร้าง ทั่วทุกแห่งหนไร้ระเบียบอย่างแสนสาหัสตามขอบทางจะเห็นได้เป็นครั้งคราว ว่ามีประชาชนจำนวนมากอิดโรย ร่างกายผอมซูบ บางคนคุกเข่าขอทานอยู่ริมถนน ในขณะที่บางคนขุดรากไม้เพื่อหาอาหารเมื่อเห็นขบวนรถเสบียงและข้าวของที่เวินซื่อและพวกกำลังลำเลียง ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อน เดินโซซัดโซเซเข้ามาใกล้แต่สุดท้ายภายใต้การข่มขู่ของกองทัพธงดำ ก็ไม่มีการกระทำที่บุ่มบ่ามเกิดขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ในพื้นที่เช่นนี้ ทุกคนก็เร่งฝีเท้าขึ้นอย่างรู้กันไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ประสบภัยเหล่านี้ แต่ในขณะนี้ทุกคนตระหนักแล้วว่า ทำไมผู้ว่าการจินโจวถึงรีบร้อนที่จะจัดพิธีขอฝนครั้งนี้ขึ้นหากยังไม่ทำการปลอบประโลม
เวินซื่อไม่คาดคิดว่าหวังโฉ่วอันจะคุกเข่าทำความเคารพนางทันทีที่เข้ามานางรีบยื่นมือออกไปทำท่าประคองหลังจากที่หวังโฉ่วอันลุกขึ้นมาแล้ว นางก็ถามถึงเรื่องที่เป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้“แท่นบูชาในพิธีขอฝนตั้งเสร็จแล้วหรือยัง?”หวังโฉ่วอันพยักหน้าซ้ำ ๆ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ หลังจากได้ข่าวว่าท่านและท่านอ๋องออกเดินทางมาที่จินโจว พวกข้าก็พาคนมาในคืนนั้นเลย ตั้งแท่นบูชาทั้งหมดเสร็จตั้งแต่ก่อนคืนวานแล้ว วันนี้ได้ส่งคนไปตรวจสอบทุกแห่ง พรุ่งนี้ท่านสามารถเริ่มจัดพิธีขอฝนได้เลยขอรับ”เป่ยเฉินหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวว่า “อู๋โยว ตอนนี้ท่านไปพักผ่อนเถอะ พิธีขอฝนในวันพรุ่งนี้จะเหน็ดเหนื่อยมาก ท่านต้องรีบหาเวลาพักผ่อนเอาแรง ที่เหลือมอบหมายให้ข้าจัดการเอง”“ตกลง”เวินซื่อก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยงและเกรงใจเช่นกันการเร่งเดินทางต่อเนื่องหลายวันที่ผ่านมานั้นเหนื่อยมาก โชคดีที่หวังโฉ่วอันได้จัดเตรียมสถานที่พักผ่อนไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วหลังจากมาถึงห้องพักแล้ว ยังผ่านการตรวจสอบจากเกาเย่าและคณะอีกด้วยเป่ยเฉินหยวนได้มอบหมายให้เกาเย่าอยู่ข้างกายเวินซื่อ ในฐานะองครักษ์ในที่แจ้งงานที่ติดต่อกับภายนอกก็มีเกาเ
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว