“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดูแล้วพี่ชายก็เป็นยอดบุรุษผู้กล้าที่พ่ายแพ้ต่อความงามของอิสตรีเช่นกัน แต่ในเมื่อเป็นหญิงทั้งสอง เหตุใดไม่เก็บเชลยศึกไว้เล่า เรามาแบ่งอย่างเท่าเทียม คนหนึ่งของท่าน อีกคนเก็บไว้ให้บรรดาพี่น้อง”ช่างเป็นคำพูดที่หยาบช้าสารเลว กินไม่เลือกหน้าแต่ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่พี่ใหญ่หลี่กลับยังยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ของหมู่บ้านภูเขา โดยไม่ได้คิดที่จะลงมา และไม่ได้เรียกใครไปเปิดประตูด้วยเห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยไว้ใจจินซือถูมากนักขณะที่จินซือถูกำลังเคลื่อนไหวลับ ๆ พี่ใหญ่หลี่ก็แอบส่งสัญญาณมือไปยังด้านใน โจรจำนวนมากในหมู่บ้านภูเขาได้แอบล้อมรอบจินซือถูจากอีกฝั่งไว้แล้ว“พวกเจ้าอยากเก็บอีกคนไว้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แค่กลัวว่าเมื่อถึงเวลาแล้วพวกเจ้าจะไม่กล้า”ความเสียดสีเผยออกมาบนใบหน้าที่มีพลังชั่วร้ายของจินซือถู“โอ๊ะ? ฟังจากคำพูดนี้ของน้องชาย ดูเหมือนว่าจะมีตัวละครที่ไม่ธรรมดาอยู่ภายใน เหตุใดเมื่อครู่ถึงเอาแต่พูดถึงแต่ข้อดี และไม่บอกลู่ทางในนี้ให้เราทราบ?”พี่ใหญ่หลี่หรี่ตาลงทันใด พลางถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก“แน่นอนก็เพราะว่า...ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนตายฟัง”“อะไรนะ?! เจ้า...!”จิ
ผูกเสื้อคลุมไว้รอบตัว ตอนนี้อาหารก็เสร็จแล้วพอดี เกาเย่าถือชามใหญ่สองใบมาให้เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนก่อน“ท่านอ๋อง ธิดาศักดิ์สิทธิ์ กินอาหารได้แล้ว!”เวินซื่อรีบรับส่วนของตัวเองมา เห็นข้างในเต็มไปด้วยกับข้าวชามใหญ่ แค่ดมกลิ่นก็หอมฟุ้ง ทหารพ่อครัวที่ติดตามมาต้องเป็นพ่อครัวชั้นยอดแน่ ๆดูเหมือนจะรู้ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาคุ้มกันไม่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ดังนั้นนอกจากอาหารมังสวิรัติที่มีอยู่แล้ว ยังทำน้ำแกงมังสวิรัติเพิ่มให้นางเป็นพิเศษด้วย น้ำแกงราดข้าว รสชาติดีมากเวินซื่อถือชามกินอย่างจริงจัง ในขณะที่ขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ ภายในใจเมื่อไม่กี่วันก่อนมีการลอบสังหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในวันนี้ตอนกลางวันกลับสงบลงอย่างฉับพลัน เหมือนกับความเงียบสงบก่อนเกิดมรสุมใหญ่“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เมื่อสังเกตเห็นว่านางดูใจลอย เป่ยเฉินหยวนที่กำลังกินอาหารอยู่ข้าง ๆ จึงถามขึ้น“ข้ากำลังสงสัยว่าคืนนี้คนเหล่านั้นจะมาอีกหรือไม่?”“คืนนี้พวกเขาจะมาแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนเอ่ยอย่างมั่นใจเวินซื่อหันหน้าไปมองเขา ก่อนถามด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดถึงมั่นใจนัก?”“เพราะต่อไปมีเพียงคืนนี้เท่านั้นที
โจรภูเขาแห่งหมู่บ้านเสือดำได้ก่อกวนการจัดทัพของกองทัพธงดำจริงดังคาด หลังจากส่งมือสังหารหลายคนไปต่อสู้พัวพันกับเป่ยเฉินหยวน จินซือถูก็พุ่งขึ้นไปบนรถม้าทันทีเขายื่นมือออกไปเพื่อช่วยเวินเยวี่ยทว่าในวินาทีถัดไป...“แกล๊ง!”กระบี่คมเล่มหนึ่งเกือบจะตัดศีรษะของจินซือถูขาดโชคดีที่เขาสังเกตเห็นได้ทันเวลา หลังจากใช้มีดโค้งป้องกัน ก็ใช้มีดโค้งอีกเล่มตวัดออกไปทันทีเพื่อเกี่ยวศีรษะของคู่ต่อสู้น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวของจู๋เยวี่ยนั้นเร็วกว่าเขาเสียอีก ถีบเขาลงจากรถม้าด้วยขาข้างหนึ่ง จากนั้นก็เหยียบลงบนหลังคารถม้าอย่างเบาหวิว จับจ้องจินซือถูจากที่สูงจินซือถูเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้นที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในทัศนียภาพยามราตรี ดำมืดไปทั้งตัวเขาไม่คาดคิดว่าที่นี่จะมีคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่หลายวันก่อนคนผู้นี้ยังไม่เคยปรากฏตัวสักครั้งดูจากกระบวนท่าที่ใช้ เกรงว่าอาจเป็นองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนมาจากสำนักไหนสักแห่งดูเหมือนว่ามีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงที่อยู่ในรถม้าเท่านั้นที่จะมีองครักษ์ลับแบบนี้เวลานี้เวินเยวี่ยรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งนางรู้มานานแล้วว่าเวินซื่อมีองคร
หลังจากที่พวกเกาเย่าไปจับกุมเขาแล้ว เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังกลับไปที่ข้างรถม้าอย่างรวดเร็ว “อู๋โยว เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”ผู้ที่ได้ยินเสียงวุ่นวายภายในรถม้าแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่จู๋เยวี่ยเท่านั้นเขารีบยกม่านรถขึ้นดู ก็เห็นขาเล็ก ๆ ข้างหนึ่งที่ขาวดุจหิมะภายในตัวรถ จู๋เยวี่ยที่กำลังตรวจดูว่าขาของเวินซื่อถูกตะขาบพิษกัดหรือไม่ แย่งม่านรถคืนจากมือของเป่ยเฉินหยวนอย่างรวดเร็วแล้วดึงปิดใหม่พึ่บเวินซื่อรีบบอก “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เมื่อครู่มีตะขาบเข้ามาในรถ จู๋เยวี่ยกำลังช่วยตรวจดูบาดแผลให้ข้าแล้ว”ตอนแรกเป่ยเฉินหยวนยังตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ตะขาบ” ก็ขมวดคิ้วทันทีพลางถามว่า “แต่ว่ามันมีพิษหรือ? นอกจากบาดแผลแล้ว ได้สัมผัสผิวหนังโดยตรงหรือเปล่า?”เวินซื่อในรถกำลังจะส่ายหน้า แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างได้ พลางยื่นมือขวาออกไปดู เป็นจริงดังคาดปลายนิ้วชี้ที่เพิ่งสัมผัสตะขาบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเล็กน้อยแล้วสีหน้าของจู๋เยวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไร ก็เห็นเวินซื่อรีบควานหาห่อสัมภาระจากรถม้าออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบเข็มเงินชุดหน
หลังจากเข้ามาในจินโจวแล้ว ทุกคนก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่เข้ามาปะทะใบหน้าทั้ง ๆ ที่สถานที่อื่น ๆ จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและเย็นลงแล้ว แต่จินโจวกลับยังคงเหมือนกับช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน ทั่วทั้งพื้นที่มีอากาศร้อนจนแทบทนไม่ไหวและจินโจวในเวลานี้นั้นแห้งแล้งมาสามเดือนแล้ว ไม่มีฝนตกเลยสักเม็ดด้วยเหตุนี้ทุ่งนาที่ควรปลูกธัญพืชจึงแห้งแล้งแตกเป็นแขนง ไม่มีผลให้เก็บเกี่ยว ท้องน้ำเห็นไปถึงก้น ป่าไม้โดยรอบรกร้าง ทั่วทุกแห่งหนไร้ระเบียบอย่างแสนสาหัสตามขอบทางจะเห็นได้เป็นครั้งคราว ว่ามีประชาชนจำนวนมากอิดโรย ร่างกายผอมซูบ บางคนคุกเข่าขอทานอยู่ริมถนน ในขณะที่บางคนขุดรากไม้เพื่อหาอาหารเมื่อเห็นขบวนรถเสบียงและข้าวของที่เวินซื่อและพวกกำลังลำเลียง ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อน เดินโซซัดโซเซเข้ามาใกล้แต่สุดท้ายภายใต้การข่มขู่ของกองทัพธงดำ ก็ไม่มีการกระทำที่บุ่มบ่ามเกิดขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ในพื้นที่เช่นนี้ ทุกคนก็เร่งฝีเท้าขึ้นอย่างรู้กันไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ประสบภัยเหล่านี้ แต่ในขณะนี้ทุกคนตระหนักแล้วว่า ทำไมผู้ว่าการจินโจวถึงรีบร้อนที่จะจัดพิธีขอฝนครั้งนี้ขึ้นหากยังไม่ทำการปลอบประโลม
เวินซื่อไม่คาดคิดว่าหวังโฉ่วอันจะคุกเข่าทำความเคารพนางทันทีที่เข้ามานางรีบยื่นมือออกไปทำท่าประคองหลังจากที่หวังโฉ่วอันลุกขึ้นมาแล้ว นางก็ถามถึงเรื่องที่เป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้“แท่นบูชาในพิธีขอฝนตั้งเสร็จแล้วหรือยัง?”หวังโฉ่วอันพยักหน้าซ้ำ ๆ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ หลังจากได้ข่าวว่าท่านและท่านอ๋องออกเดินทางมาที่จินโจว พวกข้าก็พาคนมาในคืนนั้นเลย ตั้งแท่นบูชาทั้งหมดเสร็จตั้งแต่ก่อนคืนวานแล้ว วันนี้ได้ส่งคนไปตรวจสอบทุกแห่ง พรุ่งนี้ท่านสามารถเริ่มจัดพิธีขอฝนได้เลยขอรับ”เป่ยเฉินหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวว่า “อู๋โยว ตอนนี้ท่านไปพักผ่อนเถอะ พิธีขอฝนในวันพรุ่งนี้จะเหน็ดเหนื่อยมาก ท่านต้องรีบหาเวลาพักผ่อนเอาแรง ที่เหลือมอบหมายให้ข้าจัดการเอง”“ตกลง”เวินซื่อก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยงและเกรงใจเช่นกันการเร่งเดินทางต่อเนื่องหลายวันที่ผ่านมานั้นเหนื่อยมาก โชคดีที่หวังโฉ่วอันได้จัดเตรียมสถานที่พักผ่อนไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วหลังจากมาถึงห้องพักแล้ว ยังผ่านการตรวจสอบจากเกาเย่าและคณะอีกด้วยเป่ยเฉินหยวนได้มอบหมายให้เกาเย่าอยู่ข้างกายเวินซื่อ ในฐานะองครักษ์ในที่แจ้งงานที่ติดต่อกับภายนอกก็มีเกาเ
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดพิธีการแล้ว เวินซื่อก็สวมผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีขาว คลุมศีรษะด้วยผ้าโปร่งบางสีขาว แล้วเดินออกไปข้างนอกภายใต้การนำทางของบรรดาสาวใช้หวังโฉ่วอันที่มองจนตะลึงถูกเกาเย่ากระแทกใส่“ข้าว่านะผู้ว่าการหวัง ธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ออกไปแล้ว ท่านยังมัวยืนอึ้งอยู่ที่นี่ทำไม? ยังไม่รีบตามไปอีก”หวังโฉ่วอันที่เพิ่งได้สติกลับมาก็รีบวิ่งตามไป “อา! ธิดาศักดิ์สิทธิ์รอข้าน้อยด้วย ข้าน้อยจะนำทางให้ท่านเอง!”……“เร็วหน่อยสิ เร็ว ๆ ๆ ถ้ายังไม่รีบอีกจะไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว!”“มาเลย ๆ มาเดี๋ยวนี้เลย!”“อะไรกัน? นี่กำลังทำอะไรกัน?”“พวกเจ้าจะไปไหนกัน?”ทั้งในและนอกเมืองจินโจว ประชาชนนับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันหลังจากประสบภัยแล้งในเดือนสาม พวกเขาเกือบจะหมดหวังแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ ว่ากันว่าผู้ว่าการของพวกเขาได้เรียนเชิญธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานยศให้เป็นการส่วนพระองค์ มาเพื่ออธิษฐานขอฝนให้กับประชาชนชาวจินโจวเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายออกไปนอกเมืองจินโจวแล้วยังมีประชาชนจำนวนมากพากันรีบรุดเข้ามาเพื่อดูพิธีขอฝน หรือไม่ก็เพื่อเข้
หลังจากนั้นเสียงเหล่านั้นก็หายไปเกือบทั้งหมดเวินซื่อยืนอยู่บนแท่นสูง เสียงด้านล่างเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงหูของนางได้ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบนางจึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ หลังจากผ่านการเซ่นไหว้ไปได้อย่างราบรื่น ก็ถึงเวลาที่ต้องขอฝนแล้วเวินซื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้านางแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นเสียงอันเพริศพริ้งเสนาะหูก็ออกมาจากปากของนาง เข้าไปถึงหูของประชาชนด้านล่างทั้งหมดพวกเขาฟังอย่างตั้งใจ ได้ยินนางเอ่ยกับสวรรค์“ดินแดนสามัญแห่งราชวงศ์ต้าหมิง ประวัติศาสตร์เพียงสิบเดือน อู๋โยวเด็กสาวชาวบ้าน นามฝูหมิง เป็นตัวแทนของพสกนิกรชาวจินโจว ขอฝนตามฤดูกาลต่อเทพปฐพีทั้งห้า เทพธัญพืชทั้งห้า สวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ ส่องแสงแก่แผ่นดิน จิตวิญญาณผู้รวบรวมดินแดน ขอทวยเทพจงหลั่งฝนตามฤดูกาล สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง สมดังใจปรารถนา เทพยดาเท่านั้นที่ฟังความปรารถนาของปวงชน พวกเรารอคอยเป็นอย่างยิ่ง ขอวิงวอนอย่างสุดซึ้ง!”คำต่อคำ เอ่ยออกมาทีละตัวอักษรอย่างชัดเจน บริสุทธิ์จริงใจจากนั้น เสียงกลองก็ดังสนั่นใต้แท่นบูชาชายหญิงแต่ละคนสวมชุดพิธีการร่ายรำสักการะขอฝน รายล้อมแท่นบูชาแล้วเริ่มร่ายรำ
สมุนไพรทั้งหมดนี้ในที่ดินกุยอวิ๋น เป็นสิ่งที่นางได้ตกลงไว้แล้วว่าจะมอบให้กับเป่ยเฉินหยวนเป็นสมุนไพรสำหรับทหารในกองทัพธงดำที่ออกรบเพื่อราชวงศ์ต้าหมิงมาหลายปี จนสุดท้ายร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พิการ และเจ็บปวดบัดนี้ สมุนไพรที่ปลูกไว้ได้หนึ่งเดือนแล้วกลับถูกพวกเขาทำลายไปกว่าครึ่ง แถมยังไม่เว้นแม้แต่แปลงสมุนไพรร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางจะกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้อย่างไรนางจะไม่ปล่อยคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไป และคนร้ายตรงหน้าเหล่านี้ นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน“ท่านลุงหลาน ต้องรับพวกเขาให้ดี”ผู้เฒ่าหลานไม่คิดว่าเวินซื่อจะมีด้านนี้ด้วยเดิมทีเขาคิดว่าปกติแล้วคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนและใจดีมาโดยตลอดนั้น จะเหมือนกับคุณหนูใหญ่มากแต่คาดไม่ถึงว่า ภายใต้ความอ่อนโยนของคุณหนูน้อย จะยังมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ซ่อนอยู่ช่าง...เหมือนกับนายท่านในตอนนั้นไม่มีผิด!ดวงตาที่แก่ชราของผู้เฒ่าหลานฉายแววเฉียบคม จ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับว่าเขามองเห็นภาพของเจ้าบ้านสกุลหลานในอดีตในตัวของนางมองจนหัวใจที่สงบนิ่งมานานหลายปีของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานายท่าน สกุลหลานของพวกเ
“รบกวนลุงหลานเริ่มจัดหาคนในวันพรุ่งนี้ ช่วงสองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว”“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ลำบากหรอก เพียงแต่ว่าคนร้ายที่วางยาพิษยังจับตัวไม่ได้ หากพวกเราแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคนร้ายนั่นจะกลับมาอีก”เวินซื่อย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีนางยิ้มเล็กน้อย “ลุงหลานวางใจได้ พรุ่งนี้ท่านจัดหาคนได้เลย คืนนี้พวกเราจะจับคน”......คืนนั้นควรจะเป็นเวลาที่เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งถือถังไม้คนละใบ หลบเลี่ยงคนลาดตระเวนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาแอบเข้าไปในที่ดินกุยอวิ๋นอีกครั้งอย่างชำนาญ“หัวหน้า เมื่อวานพวกเราสาดยาพิษที่แปลงสมุนไพรทางตะวันออก ทางใต้ก็สาดไปหลายแห่งแล้ว คืนนี้จะเปลี่ยนไปสาดทางตะวันตกหรือทางเหนือดี?”“ได้ ไปดูทางตะวันตกก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรคุณชายสามก็บอกว่าต้องสาดให้หมด ต้องทำหมดทุกทาง”ดังนั้น คนร้ายที่ปิดบังใบหน้าทั้งเจ็ดแปดคนจึงอ้อมผ่านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกไม่นานนัก พวกเขาก็วิ่งมาถึงที่หมาย“เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนไปดูต้นทาง มีอะไรก็รีบเป่านกหวีด เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหก พวกเจ้าสามคนไปตักน้ำ เจ้าเจ็ด เจ้ามาทำลายสมุนไพรกับข้า”“ได้เลย
“คนร้ายกระจอกๆ พวกนั้นจับตัวได้หรือไม่?”“พวกที่มาครั้งแรกจับได้แล้วขอรับ แต่ไม่กี่วันต่อมา ก็มีมาอีกสองสามคน แถมยังระมัดระวังตัวยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์มาก พิษที่เทในแปลงสมุนไพรก็เป็นฝีมือของพวกที่มาครั้งที่สองนี้”เวินซื่อเอ่ยถาม “มีคนได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่?”ผู้เฒ่าหลานส่ายหน้า “ยาพิษที่เทนั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่แปลงสมุนไพรของเราเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนมากนัก”เวินซื่อแค่นหัวเราะ “หากวางยาพิษคน เรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”หลังจากที่นางทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็กำชับว่า “รบกวนลุงหลานเดินทางรอบนี้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะไปดูที่ดินกุยอวิ๋นก่อน”ม่อโฉวซือไท่ก็อยู่ด้วยพอดี นางได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะไปกับพวกเจ้าด้วย ไปดูสักหน่อย”“ข้าก็ไปด้วยๆ !”ฉางเสี่ยวหานรีบยกมือออกจากอารามสุ่ยเยว่ ก็มีรถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกนี่เป็นสิ่งที่เวินซื่อสั่งให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาระยะทางระหว่างที่ดินกุยอวิ๋นถึงอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่ถือว่าใกล้ จะให้พ่อบ้านหลานที่อายุมากแล้วเดินไปเดินมาก็คงไม่ได้ดังนั้น เวินซื่อจึงให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เ
เป่ยเฉินหยวนไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้ และยังจัดสรรที่ดินไว้ให้เขาแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งอู๋โยวที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?เพียงแต่ว่าคนสกุลอันนั่นพูดถูก เขามีความคิดต่ำทราม หากถูกคนอื่นรู้เข้า นั่นก็เท่ากับทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่เลวทรามอย่างยิ่งดังนั้น เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเมื่อไม่มีอันหลันซิน ขบวนก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่นานก็ออกเดินทางต่อสองวันต่อมา ขบวนที่เดินทางไกลไปยังลู่โจวในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฝ่าบาททรงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับที่ประตูเมืองหลวงด้วยพระองค์เองสถานการณ์ยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ทำเอาเวินซื่อตกใจไม่น้อยภายหลังเวินซื่อถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวคราวจากลู่โจวก็แพร่เข้ามาถึงในเมืองหลวงแล้วหลังจากขอฝนที่จินโจวแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว เวินซื่อก็มีชื่อเสียงเรื่องการสวดอธิษฐานขอพรให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ลู่โจวเพิ่มขึ้นมาอีกตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้เลื่องลือแค่ในเมืองหลวงและจินโจวสองแห่งเท่าน
ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ
คนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกรถม้าของเป่ยเฉินหยวนคืออันหลันซิน“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันจะทำอะไรท่านได้ ท่านจะระแวงหม่อมฉันขนาดนี้ไปทำไมเพคะ?”อันหลันซินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว สายตาไม่พอใจ “มีธุระก็พูด ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”ท่าทีที่ไม่เกรงใจเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆอันหลันซินแค่นเสียงหัวเราะในใจเสแสร้งอะไรกันตอนนี้รู้จักปฏิบัติต่อสตรีอื่นอย่างแตกต่างเพราะอาซื่อ แต่ต่อไปความพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะตกไปอยู่กับสตรีอื่นอย่างไรเสีย บุรุษในโลกนี้ก็เหมือนกันหมดอันหลันซินระงับความรังเกียจในใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เอาละ รู้ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ชอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน อยากจะคุยกับท่านสักหน่อยเพคะ”นางพูดเช่นนี้ เป่ยเฉินหยวนกลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูก “อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาทำข้อตกลงกับข้า?”“ที่ข้ายอมให้เจ้าอยู่ในขบวนนี้จนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าอู๋โยว”รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลันซินแข็งค้าง กัดฟันเล็กน้อย“เหอะๆ หม่อมฉั
เป่ยเฉินหยวนนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันก็นอนอยู่ข้างกายเวินซื่อ หลับตาพริ้มขยับศีรษะอย่างมีความสุข ตอบคำถามของนางทีละประโยค“ได้ ไม่แรง ไม่ได้ดึงเลย ปวดนิดหน่อย เพราะซื่อเอ๋อร์ลูบให้ หัวก็เลยไม่ปวดมากแล้ว”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่นางยังจำตำแหน่งกดจุดต่างๆ บนศีรษะที่อาจารย์ม่อโฉวสอนได้ ผสมผสานกับวิธีการนวด แล้วนวดให้เป่ยเฉินหยวน ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเลยทีเดียวเวินซื่อที่คิดว่าได้ผลจริงๆ ก็ยังคงตั้งใจจ้องมองศีรษะของเป่ยเฉินหยวน จดจ่ออยู่กับการผสมผสานวิธีการนวดและกดจุดต่างๆ ของนางหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าดูเหมือนจะเงียบสงบลงอย่างสิ้นเชิงเงียบจนแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงล้อรถดังอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอภายในรถม้าเวินซื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าหลับตาลงตั้งแต่เมื่อไรแล้วเวินซื่อเห็นดังนั้น มือที่วางอยู่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกระทั่งพอสมควรแล้ว นางถึงได้ชักมือกลับก้มหน้าลงมองสีหน้าที่อ่อนล้าระหว่างคิ้วของเป่ยเฉินหยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินซื่อก็หยิบขวดน้ำทิพย์ออกมาจ
“ปวดหัวหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปวดเป็นพักๆ หรือว่าปวดมากตลอดเวลา?”พอเวินซื่อได้ยินเป่ยเฉินหยวนบอกว่าตนเองปวดหัว ก็ไม่ทันได้ใส่ใจกับคำเรียกที่ดูเหมือนจะสนิทสนมเกินไปนั่น รีบถามอย่างกระวนกระวาย“ปวดเป็นพักๆ เหมือนกับมีคนมากมายพูดอยู่ในหัวของข้า หนวกหูมาก ปวดเหลือเกิน”เป่ยเฉินหยวนมองนางอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งปกติแล้วสูงใหญ่และพึ่งพาได้เสมอ เวลานี้กลับดูอ่อนแอเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครางกับคนตรงหน้าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตนเวินซื่อไม่เคยเห็นเป่ยเฉินหยวนในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งแรกที่เห็นเขาป่วยที่ริมลำธารเล็กๆ หลังภูเขานั่น เป่ยเฉินหยวนในตอนนั้นก็ยังคงสติไว้ได้บ้างแต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้ กลับเหมือนแสดงด้านที่อ่อนแอยามเจ็บป่วยออกมาให้นางเห็นอย่างไม่มีปิดบังเวินซื่อจึงลูบหน้าผากเขาด้วยความสงสารทันที แล้วจับชีพจร “ไม่ปวดแล้วๆ ตอนนี้ข้าจะสวดมนต์ให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ท่านนั่งฟังดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ปวดแล้ว”แต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้กลับเหมือนจะมีความคิดต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเวินซื่อที่กำลังจะชักกลับ เอ่ยด้วยน้
นางมองเวินซื่อด้วยความอาลัยอาวรณ์หางตากลับเหลือบไปมองเป่ยเฉินหยวนและเด็กสาวที่อยู่ข้างโต๊ะนั่นอย่างเย็นชาเพิ่มมาอีกคนแล้วแต่ไม่เป็นไร ยังไม่จบหรอกหลังจากที่นายท่านสกุลผังกลับไปแล้ว ไม่นานก็ส่งสัญญาขายตัวมาให้ตามคาด ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาหนึ่งฉบับจริงๆเมื่อได้สัญญาขายตัวและหนังสือหย่าอนุภรรยา อันหลันซินก็ไปจากที่นี่เวินซื่อให้จู๋เยวี่ยติดตามไประยะหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อจับตาดู“เป็นอย่างไรบ้าง?”หลังจากที่จู๋เยวี่ยกลับมา เวินซื่อก็เอ่ยถาม“ดูเหมือนว่าจะมีเศษเงินที่ซ่อนเอาไว้ ซื้อของกินเล็กน้อย ห่อไว้แล้วก็ออกจากเมืองไป ดูท่าทางน่าจะกลับเมืองหลวง”กลับเมืองหลวง...จินโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงขนาดนี้ นางคิดจะเดินเท้ากลับไปหรือ?แล้วยังมีบิดาของนางในเมืองหลวง ทั้งภรรยาเอกและพี่สาวต่างมารดาพวกนั้น คงจะไม่ปล่อยนางไปกระมัง?ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคิดจะกลับไป?เวินซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายปมคิ้วไม่สิ นางจะเป็นห่วงอันหลันซินทำไมกัน?ต่อจากนี้ไปอันหลันซินจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางที่นางช่วยครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่คว