หลังจากที่แยกออกมาจากสองสาวไทยขี้สงสัย ถิงถิงก็ยังเดินชมห้างสรรพสินค้าหยางหลง ซึ่งเป็นศูนย์การค้าช้อปปิ้งยอดฮิตอันดับแรกที่นักท่องเที่ยวทุกมุมโลกต่างนึกถึง ซึ่งของใช้อุปโภคบริโภคเต็มไปด้วยร้านค้าและของใช้แบรนด์เนมระดับ Hi-end แถมยังมีร้านค้าดิวตี้ฟรีรวมแบรนด์อีกมากมาย โดยภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ ผสมผสานระหว่างอาคารแบบวิคตอเรียและนีโอคลาสสิค ยกระดับให้ผู้มาเยือนเหมือนเดินเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งจริงดั่งที่พ่อของเธอได้กล่าวไว้
‘ลูกจะไปเมืองไทยเมื่อไหร่บอกพ่อนะ พ่อจะได้แจ้งไปที่เหม่ยหลินล่วงหน้าสักหนึ่งอาทิตย์’
‘ทำไมต้องแจ้งล่วงหน้า หากเขาไม่พร้อมต้อนรับ ถิงถิงก็ไม่ได้อยากไปสักหน่อย’
ใบหน้างามงอนพูดเสียงสะบัด หยางไห่หลงใจหล่นวูบ
‘ไม่ใช่อย่างนั้น พี่เหม่ยหลินเขาพร้อมเสมอสำหรับลูกพ่อ...” ผู้รักลูกสาวคนเล็กดั่งแก้วตาดวงใจ และประคบประหงมเหมือนไข่ในหิน รีบแก้ไขคำพูด ‘พ่อกลัวว่าหากไปเร่ง เดี๋ยวลูกเองแหละจะได้สิ่งไม่ถูกใจ’
‘หากเป็น... ไม่ว่าเตรียมรอเป็นปีก็ไม่ถูกใจถิงถิงหรอกค่ะ’
จบคำพูดของลูกสาว หยางไห่หลงได้แต่ส่ายหน้า เพราะแม้แต่ชื่อของผู้หญิงที่ทุกคนให้ความเกรงใจและชื่นชมในความสามารถ กลับกันลูกสาวของเขาไม่แม้แต่อยากเอ่ยชื่อ ซึ่งไม่นับกับท่าทางปั้นปึงยามที่คนอื่นเอ่ยถึง เธอก็ยังแสดงออกว่าไม่ชอบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าลูกสาวคนเล็กมีเรื่องบาดหมางกับ หยางเหม่ยหลินตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ทุกคนต่างก็เห็นว่าคุณหนูใหญ่แห่งหยางฟางหลงไม่เคยเข้ามาวุ่นวายในคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้
...หรือพวกตนพลาดในช่วงเวลาไหนไป นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนยังค้างคา หากแต่ไม่มีใครต้องการความกระจ่างในตอนนี้
‘แต่พ่อรับประกันนะ...’ เขาหยุดพูดแล้วหันไปมองภรรยาเพื่อส่งซิกให้เธอช่วยพูดอีกแรง หากแต่อิงฟ้าภรรยาชาวไทยวัยห้าสิบสี่เลิกคิ้วฉีกยิ้มหวานให้ นั้นแปลว่าใครเริ่มคนนั้นก็ปิดจบเอาเอง...
เมื่อถูกภรรยาที่คิดว่าเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว ปฏิเสธอย่างเงียบ ๆ หยางไห่หลงจึงกลั้นใจพูดขึ้นต่อ ‘พ่อว่าห้างที่เหม่ยหลินไปควบคุมดูแลอย่างห้างหยางหลงทำให้ลูกหลงเสน่ห์จนคิดว่าตัวเองหลงอยู่อีกมิติหนึ่งเลยนะ... ไม่เชื่อลูกแค่พิมพ์ชื่อเข้าไปดูสิ แล้วลูกจะเห็นทุกอย่าง หรือว่าลูกดูแล้ว และไม่ได้พิสมัยมันจริง ๆ’
ดวงตาคมรั้นเสมองไปทางอื่นแล้วพูดขึ้น
‘ไม่ค่ะ ถิงถิงยืนยันคำเดิม หากอยากไปเมื่อไหร่ก็จะไปเมื่อนั้น โดยไม่มีการวางแพลนว่าจะไปวันไหนและเมื่อไหร่ค่ะ’
สาวสวยที่ทุกคนต่างรู้จักนิสัยดีบอกด้วยถ้อยคำหนักแน่น
คนออกคำสั่งกับทุกคนได้ ยกเว้นมุกเม็ดงามตรงหน้าและบุคคลที่นั่งยิ้มหวานอยู่อีกด้าน ได้แต่ถอนหายใจไม่กล้าเร่งเร้าอีก
…เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ดีกว่าไม่ไปเสียเลย! หยางไห่หลงคิดในใจ แล้วทิ้งแผ่นหลังไปบนโซฟาหนังยอมจำนน
และหลังจากนั้นเธอก็ทิ้งจดหมายไว้ให้คนข้างหลังวุ่นวายใจ โดยการมาเยือนเมืองไทย ไม่แจ้งให้ใครรู้ล่วงหน้า...
...ถิงถิงวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตะลึง เพราะทุกอย่างที่ถูกสรรค์สร้างด้วยสถาปนิกและนักออกแบบที่เปิดกว้าง ซึ่งคุ้มค่ากับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในที่แห่งนี้ เพราะมันไม่ใช่มีแค่ห้างสรรพสินค้าสำหรับช้อปปิ้งเท่านั้น เพราะในที่ดินเกือบร้อยไร่ ยังแบ่งโซนเป็นที่พักอาศัย มีทั้งโรงแรม และสำนักงานต่าง ๆ อยู่ภายใน และแบ่งโซนออกไปในแต่ละชั้น ทำให้กลายเป็นเหมือนคอมมูวนิตี้แบบครบวงจร สำหรับชาวเมืองที่รักความสะดวกสบายในการเติมเต็มหรือให้รางวัลกับตัวเองและครอบครัวในวันพิเศษ
ห้างหยางหลง ใครกันนะ หากไม่ใช่ ‘เขา’ ที่ออกแบบขึ้นมา...
ถิงถิงคิด แล้วใบหน้าของใครคนหนึ่ง ลอยพาดผ่านเข้ามาในห้วงความคิด
ช่วงขณะที่ใจกำลังว้าวุ่น พลันสายตาของเธอก็สะดุดกับโคมไฟคริสตัลอันมหึมาที่ห้อยระย้าอยู่กลางห้าง จากนั้นเธอก็ลืมทุกอย่าง รีบซอยเท้าเพื่อไปชมความงามนั้นใกล้ ๆ
โคมไฟขนาดใหญ่เมื่อกระทบแสงไฟ มองดูคล้ายอัญมณี ล้ำค่า ซึ่งอาจเรียกได้ว่า มันคือจุดเด่นและมนต์สะกดให้ทุกคนที่พบเห็นผ่านสายตา ให้มุ่งหน้ามายลโฉม และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก เช่นเดียวกับเธอที่อดใจไม่ไหว ต้องยกเมื่อถือขึ้นเพื่อเก็บภาพตรงหน้าไว้ โดยมองหาจุดที่คิดว่าสวยที่สุด
ในขณะที่เธอปรายตามองดูแล้วว่า จุดที่ยืนอยู่ปลอดคน จึงยกมือถือเตรียมเก็บภาพ แต่ยังไม่ได้มุมที่ถูกใจก็ขยับหาองศาเพียงนิดแล้วกดปุ่มชัตเตอร์ ซึ่งในจังหวะเดียวกันก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามายืนนาบด้านหลังในระยะประชิด
ถิงถิงชะงักแต่ไม่ทัน เมื่อนิ้วของเธอกดปุ่มถ่ายภาพนั้นไปแล้ว ก่อนจะหันกลับไปมองให้ชัดว่าเป็นใครที่เสียมารยาท
“เหม่ย...หลิน...” เธอเอ่ยชื่อของคนที่เสียมารยาทนั้นผ่านริมฝีปาก ดวงตาสองคู่สบกัน
ตายล่ะ... เธอได้ภาพคู่กับหยางเหม่ยหลินสะงั้น! ถิงถิงอุทานในใจเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว จนลืมลบภาพที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นทิ้ง
ร่างสูงเพรียวสมส่วนในชุดสูทสีเทาอ่อนแขนยาวไม่มีปก โดยกางเกงเป็นทรงขาเดฟยาวเข้ารูปเน้นสัดส่วนในส่วนสูง175ซม. บวกกับท่าทางการเดินหน้าเชิดหลังตรง ซึ่งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความจริงจังมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ดูสง่างามและน่าเกรงขามไปในคราเดียวกัน กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ได้พบเห็นอยากละสายตาไปจากเธอ ซ้ำยังทำให้คนบางกลุ่มที่เจอเธอในคราแรกต้องหันไปซุบซิบเพราะความอยากรู้ ว่าเหตุใดสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและมีการรักษาความปลอดภัยสูง ยังมีชายฉกรรจ์ร่างสูงล่ำในชุดสูทสีดำเดินตามประชิดไม่ห่าง “แม่เจ้า...ฉันละอยากรู้นักว่าเธอเป็นใคร ทำไมต้องมีคนคอยอารักขาอย่างกับเจ้าหญิง”น้ำเสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในร้านเครื่องประดับเปรยขึ้นด้วยความรู้สึกขัดเคืองนัยน์ตามากกว่าชื่นชม“เธอก็พูดไป...” เพื่อนสนิทที่เป็นคนคิดบวกและมองโลกในแง่ดี สาดสายไปยังผู้หญิงที่เพื่อนกล่าวถึง ด้วยตาเป็นประกายปลาบปลื้ม แล้วพูดต่อ “ออร่าจับสะขนาดนั้น เป็นใครใครก็กลัว ดูสิเป็นเป้าสายตาสะ อีกอย่างถึงไม่ใช่เจ้าหญิงหรือเชื้อเจ้า แต่บ่งบอกถึงอภิมหาเศรษฐีอยู่นา ว่า...”“เธอชื่อเหม่ยหลินหรือหยางเหม่ยหลิน อายุสามสิบสามป
ในขณะที่เธอปรายตามองดูแล้วว่า จุดที่ยืนอยู่ปลอดคน จึงยกมือถือเตรียมเก็บภาพ แต่ยังไม่ได้มุมที่ถูกใจก็ขยับหาองศาเพียงนิดแล้วกดปุ่มชัตเตอร์ ซึ่งในจังหวะเดียวกันก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามายืนนาบด้านหลังในระยะประชิดถิงถิงชะงักแต่ไม่ทัน เมื่อนิ้วของเธอกดปุ่มถ่ายภาพนั้นไปแล้ว ก่อนจะหันกลับไปมองให้ชัดว่าเป็นใครที่เสียมารยาท“เหม่ย...หลิน...” เธอเอ่ยชื่อของคนที่เสียมารยาทนั้นผ่านริมฝีปาก ดวงตาสองคู่สบกันตายล่ะ... เธอได้ภาพคู่กับหยางเหม่ยหลินสะงั้น! ถิงถิงอุทานในใจเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว จนลืมลบภาพที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นทิ้งเพราะสิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือเธอไม่คิดว่าจะได้เจอเหม่ยหลินเร็วแบบนี้...“คุณถิงถิงพักที่ไหนหรือคะ...” เสียงนุ่มเรียบเอ่ยถาม โดยใบหน้านั้นดูไม่ตื่นเต้นหรือยิ้มดีใจกับการเจอคนบ้านเดียวกันเลยสักนิดเหอะ! แล้วเธอจะไปหวัง ให้ผู้หญิงคนที่แข็งกระด้างและสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เหมือนหุ่นยนต์ ให้มารู้สึกดีกับตัวเองทำไม! ถิงถิงค่อนขอดตัวเองในใจเถอะ! เมื่อไม่มีการทักทายหรือแสดงอาการดีใจเธอก็เชิดหน้าใส่“น่าจะบอกกล่าวกันหน่อยก็ดีนะคะ” คนหน้าฉาบเรียบถามต่อเหมือนถูกตำหนิ ถิงถิงหน้
ทั้งสองถูกส่งแค่หน้าลิฟต์ โดยเหม่ยหลินเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นถิงถิงก็ถูกผ่ายมือเชิญจากลูกน้องให้ตามเข้าไป โดยไม่มีใครอื่นตามมายืนประกบอีก ทำให้ถิงถิงเก็บความสงสัยไว้ กระนั้นในใจลึก ๆ เธอก็อดประหม่าไม่ได้ เมื่อต้องอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงหน้าเดียว!และอาการที่เก็บไม่มิดจนเผลอพ่นลมหายใจออกมา เหมือนอยากระบายความอึดอัด ซึ่งเหม่ยหลินเห็นอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบผันหน้าไปทางอื่น เพื่อกันความรู้สึกให้อีกคน...เหม่ยหลินรอจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิด จึงยื่นมือไปกดหมายเลขชั้น แล้วทุกอย่างก็กลับไปอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงลมหายใจและขนตางอนที่ขยับปรือเป็นครั้งคราว ทำให้รู้ว่าต่างคนต่างยังมีชีวิตอยู่ลิฟต์ขึ้นไปหยุดนิ่งอยู่ที่ชั้นสี่สิบแปดแล้วเสียงดังเตือน ประตูก็เปิดกว้าง และเห็นเพียงประตูห้องตรงหน้าถิงถิงหายแปลกใจว่าเหตุใดเหม่ยหลินจึงไม่ให้บอดี้การ์ดตามขึ้นมา เพราะชั้นสี่สิบแปดเป็นเพียงห้องพักห้องเดียว ซึ่งคนนอกไม่สามารถรอดสายตาผ่านมาได้ นอกจากใช้ลิฟต์เพียงตัวเดียวที่พวกเธอใช้ขึ้นมาเท่านั้น...หลังจากที่หายสงสัยถิงถิงก็ได้เวลาถาม “พาขึ้นมาทำไมคะ” เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากห้องที่เหมือนเป็
ระหว่างที่เดินเข้ามาในห้องพัก ถิงถิงก็ใช้สายตาสำรวจภายในไปด้วย ห้องพักขนาดใหญ่กว่าห้องสวิทที่เธอเคยพัก ดีไซน์ภายในห้องทันสมัยและลงตัว เน้นความสะดวกสบายและปลอดโปร่ง ด้วยกระจกบานใหญ่ถึง 3 บาน มองเห็นบรรยากาศด้านนอกเด่นชัด ที่สำคัญได้รับแสงธรรมชาติตลอดวัน หากเป็นกลางคืนคงได้เห็นบรรยากาศของแสงระยิบระยับทั่วกรุงเทพ คิดแล้วใจของถิงถิงก็ลืมอาการขุ่นเคือง กับของคนด้านหลังไปชั่วขณะ โดยเธอยังสำรวจเหมือนแมวน้อยแปลกถิ่น จากนั้นเบนสายตาเข้ามาด้านในและเห็นว่าภายในห้องมีห้องแยกเป็นสองห้องนอน มีลานกว้างตรงกลางไว้สำหรับนั่งเล่นเป็นสัดส่วน ส่วนมุมหนึ่งแยกเป็นห้องครัวขนาดขนาดพอเหมาะ พร้อมโต๊ะไว้สำหรับนั่งกินข้าว ซึ่งมันดูเหมือนบ้านหนึ่งหลังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาก็ว่าได้“ชมพอหรือยัง...” เสียงนุ่มเรียบเอ่ยทำลายความเงียบถิงถิงหน้าเห่อร้อน เมื่อเผลอแสดงอาการเหมือนแมวตื่น จึงเลิกสนใจบรรยากาศภายในห้องแล้วหันกลับมามองอีกสองคนที่ตอนนี้มองเธออยู่แล้ว“ก็เห็นมันสวยดี...” เธอบอกแก้เก้อ“ขอบคุณ...” เหม่ยหลินถือว่านี่คือคำชมครั้งแรกของถิงถิง เลยพูดต่อ “เลือกได้เลยนะว่าจะพักห้องไหน”มุมปากสวยกระตุกขึ้นเพียงนิด “วิวข
ถิงถิงหลังจากที่ขว้างแจกันออกไป เธอก็ห่อตัวหลบมุมด้วยใจเต้นระส่ำ โดยไม่มีโอกาสเห็นผลงานของตัวเอง จนกระทั่งทุกอย่างเงียบไป เธอจึงค่อย ๆ โผล่หน้าออกมา ใบหน้ายังตื่นตระหนกไม่คลายหลังจากที่เก็บคนร้ายไปได้ เหม่ยหลินก็หันไปมองถิงถิงด้วยความเป็นห่วงแต่เห็นเพียงเท้าที่โผล่ออกมา จึงวิ่งตรงไปหาและเห็นภาพที่ดูน่าเวทนา ทั้งที่เดาสถานการณ์ได้ แต่ด้วยความที่ทุกอย่างมันรวดเร็วเกินจะทำใจได้ สาวสวยผู้เหย่อหยิ่ง นั่งตัวแข็งทื่อใบหน้าตื่นตระหนก สองมือยกขึ้นปิดปาก ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อคลั่งหน่วย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาพตรงหน้ามันสะเทือนใจ จนเธอระงับความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่“มันจบแล้วนะ” เหม่ยหลินเปรยขึ้นด้วยความเป็นห่วง และให้อีกฝ่ายมั่นใจ หากแต่ตัวเองเริ่มประคองตัวไม่อยู่หากแต่ถิงถิงยังนิ่งค้าง ค่อย ๆ ยืนเต็มความสูงแม้จะถูกพูดกรอกหูตั้งแต่เล็กจนโตเนื่องจากเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ และไม่สามารถมองเห็นคู่อริที่อยู่ในที่มืดทั่วทุกกลุ่ม หากแต่ทุกวันนี้คำพูดเตือนที่ว่า ‘ภัยอยู่รอบตัวเรา อย่าประมาท’ ไม่เกินจริง!แต่เธอก็ไม่เคยพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ...อาจเพราะเธอไม่ใช่เหยื่อตัวใหญ่! แต่คนที่กำลังทรุดตัว
หลังจากที่เอาศพออกไปแล้วทุกคนก็พากันออกไป เหลือแค่เหม่ยหลินกับถิงถิง ทั้งสองเพียงสบตากันในความเงียบที่มีเพียงเสียงแอร์กำลังทำงานอยู่ จนกระทั่งเหม่ยหลินเป็นคนพูดขึ้น“คงต้องเปลี่ยนที่พักแล้วล่ะ”“ปกติคุณพักที่นี่หรือเปล่า”“พักสิ มันสะดวกเวลามีงานเร่งด่วน”“งั้นก็พักที่นี่ก็ได้นะ”“เราต้องเปลี่ยนที่พัก เพราะตอนนี้ยังไว้ใจอะไรไม่ได้”“แล้วคุณลุงหยางรู้หรือเปล่าว่า เออ คุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”“พ่อเป็นคนฝึกพี่มาเองกับมือ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ”ถิงถิงกรอกตามองบน “ก็จริง”“ไปกันเถอะ”“ตอนนี้เลยหรือคะ” ถิงถิงถามเสียงตื่น“นายจินถังไม่ชอบตีงูให้หลังหัก” แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสีดำและของใช้บางอย่างติดมือ แล้วเดินออกไป ถิงถิงรีบสาวเท้าตาม“จะทิ้งห้องไปแบบนี้เลยหรือคะ” ความสงสัยของเธอยังไม่หมด“ไว้เป็นหน้าที่ของหนานซิง” คำพูดตัดจบของเหม่ยหลิน ทำให้ถิงถิงย่นจมูกใส่ตามหลัง“เราจะไปพักที่ไหน” ในขณะที่ถามถิงถิงก็ก้มหน้าก้มตาก้าวยาว ๆ เพื่อให้ทันคนด้านหน้า แต่ระหว่างนั้น อีกคนก็หยุดกึกเพราะถึงประตู“โอ้ะ!” ถิงถิงอุทานเมื่อหัวโขกกับแผ่นหลังของเหม่ยหลินโดยไม่ทันตั้งตัวเหม่ยหลินเจ็บจี้ด แต่เพียงนิดเดียว เธอก
ในขณะที่เดินตามเหม่ยหลินอยู่ห่าง ๆ ถิงถิงก็สังเกตเห็นว่าโรงแรมหยางหลงมีการรักษาความปลอดภัยแน่นกว่าที่พักก่อนหน้านี้มาก ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด และประตูทางผ่าน มีพนักงานซึ่งเป็นผู้ชายหุ่นล่ำความสูงไม่ต่ำกว่า180ซม.ยืนเฝ้าบริการอยู่ และมีเพียงคีย์การ์ดใบเดียวที่พนักงานถือเท่านั้น ถึงจะเปิดประตูเดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้เธอไม่อยากบอกว่ามันยุ่งยาก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สุดระทึก ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนลิฟต์ที่ถูกแยกไว้ใช้โดยเฉพาะ ถูกกดไปหมายเลขชั้น54 ครั้งนี้มีสมุนมือขวาและบอดี้การ์ดร่วมอยู่ด้วยห้าคนที่เหลือก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าลิฟต์ถิงถิงเริ่มเป็นกังวล เมื่อคิดว่าสิ่งที่กำลังจะไปหา เธอกลัวว่ามันไม่ใช่แค่เจอ แล้วเอาตัวนลินกลับมาเพื่ออยู่ในที่ปลอดภัยเป็นแน่ มันต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้น... ถิงถิงคิดและออกอาการยืนไม่ติดที่ โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมแล้วบีบกันไปมา ซึ่งอาการของถิงถิงอยู่ในสายตาเหม่ยหลินตลอด แต่ครานี้เธอไม่พูดปลอบ เพราะเธอคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้ จะค่อย ๆ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ใจของ ถิงถิงแกร่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีใครเข้าไปยุ่ง...ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่ก
“ไม่ ไม่ไล่ อย่าคิดอะไรมากเลยนะ…” เหม่ยหลินรีบตอบ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขลาดกลัวไปมากกว่านี้ “ฉันจะรักษาเธอให้หาย และกลับมาเหมือนเดิม ฉันสัญญา...”“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เหม่ยหลินฝืนใจถามสิ่งที่ค้างคาใจคนที่อยู่ในอาการตื่นกลัวหยุดชะงัก แล้วตอบ “นลินไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็มีคนเรียกให้นลินตื่น แต่นลินมองอะไรไม่เห็นไปแล้ว”เธอเล่าด้วยความหวาดผวา เหม่ยหลินจึงเลิกถาม“คุณหยกไม่ทิ้งนลินนะคะ...” เสียงสะอื้นถามซ้ำขยับไปมา เหมือนคนกำลังหาที่พึ่งพิง“อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ทิ้งหนูหรอก” เธอย้ำหนักแน่นใบหน้าที่เคยบิดเบี้ยวและหวาดกลัว เมื่อได้รับคำสัญญา ก็ค่อย ๆ ลดเสียงสะอื้น แล้วฝืนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา“จะดูแลหนูให้มากกว่านี้ สัญญา” เหม่ยหลินให้คำมั่นอีก“ขะ ขอบคุณคุณหยกมากนะคะ” เสียงแหลมแหบรีบกล่าวและสวมกอดร่างบางที่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าใกล้ชนิดถึงเนื้อถึงตัว หากตอนนี้ได้สัมผัสเต็มอ้อมกอด... ซึ่งก่อนหน้านั้น เธอก็ไม่เคยได้อภิสิทธิ์ใกล้ชิดทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล หยางขนาดนี้...ถิงถิงได้แต่ยืนมอง ด้วยอาการลำคอตีบตัน ก่อนจะผันหน้าหนีภาพนั้น!หลังจากที่พูดกล่อม จนนลินสงบและปล่อยให้หลับไปแล้