ระหว่างที่เดินเข้ามาในห้องพัก ถิงถิงก็ใช้สายตาสำรวจภายในไปด้วย ห้องพักขนาดใหญ่กว่าห้องสวิทที่เธอเคยพัก ดีไซน์ภายในห้องทันสมัยและลงตัว เน้นความสะดวกสบายและปลอดโปร่ง ด้วยกระจกบานใหญ่ถึง 3 บาน มองเห็นบรรยากาศด้านนอกเด่นชัด ที่สำคัญได้รับแสงธรรมชาติตลอดวัน หากเป็นกลางคืนคงได้เห็นบรรยากาศของแสงระยิบระยับทั่วกรุงเทพ คิดแล้วใจของถิงถิงก็ลืมอาการขุ่นเคือง กับของคนด้านหลังไปชั่วขณะ โดยเธอยังสำรวจเหมือนแมวน้อยแปลกถิ่น จากนั้นเบนสายตาเข้ามาด้านในและเห็นว่าภายในห้องมีห้องแยกเป็นสองห้องนอน มีลานกว้างตรงกลางไว้สำหรับนั่งเล่นเป็นสัดส่วน ส่วนมุมหนึ่งแยกเป็นห้องครัวขนาดขนาดพอเหมาะ พร้อมโต๊ะไว้สำหรับนั่งกินข้าว ซึ่งมันดูเหมือนบ้านหนึ่งหลังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาก็ว่าได้
“ชมพอหรือยัง...” เสียงนุ่มเรียบเอ่ยทำลายความเงียบ
ถิงถิงหน้าเห่อร้อน เมื่อเผลอแสดงอาการเหมือนแมวตื่น จึงเลิกสนใจบรรยากาศภายในห้องแล้วหันกลับมามองอีกสองคนที่ตอนนี้มองเธออยู่แล้ว
“ก็เห็นมันสวยดี...” เธอบอกแก้เก้อ
“ขอบคุณ...” เหม่ยหลินถือว่านี่คือคำชมครั้งแรกของถิงถิง เลยพูดต่อ “เลือกได้เลยนะว่าจะพักห้องไหน”
มุมปากสวยกระตุกขึ้นเพียงนิด “วิวของกรุงเทพสวยดี...นี่หากกลางคืนเห็นแสงไฟชัด คงสวยน่ามองไปอีกแบบเนอะ”
เหม่ยหลินถอนหายใจ กับคำตอบในประโยคที่เธอถาม และถือว่าเป็นการหักหน้า ที่คิดว่าเป็นความตั้งใจของถิงถิง
“กินข้าวเถอะ” ใบหน้าฉาบเรียบเอ่ยตัดจบ และเดินไปยังโต๊ะอาหาร ที่มีเก้าอี้วางอยู่ทุกมุม ส่วนนลินรีบเดินตามเหม่ยหลินและรออำนวยความสะดวกอยู่เงียบ ๆ
ถิงถิงแบะปาก… สุดท้ายเธอก็ยังทำอะไรคนหน้าเดียวไม่ได้!
“คุณถิงถิงมากินด้วยกันค่ะ”
นลินเป็นคนชวน ส่วนเหม่ยหลินเริ่มตักข้าวของวันคำแรกเข้าปาก และดูเธอจะเลิกสนใจแขกในห้องที่ยืนหน้าเชิดมือกอดอกมองมาด้วยสายตาขุ่น
อยากเล่นเขา แต่กลับโดนเล่นกลับสะเอง...
“มาสิคะ อาหารไทยแท้ ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวทอดชะอม น้ำพริกผักสดใหม่ ๆ จากส่วนหลังบ้านของพ่อนลินเองเลยนะคะ”
แม้ไม่เห็นหน้าตาแต่เมนูที่ถูกกล่าวถึง เป็นของโปรดที่แม่อิงฟ้าซึ่งเป็นภรรยาชาวไทยของคุณพ่อหยางไห่หลงทำให้กินบ่อย ๆ จนต้องกลืนน้ำลายลงคอ และเริ่มได้กลิ่นหอมของกับข้าวลอยมาปะทะจมูก
กลิ่นกะปิ กลิ่นชะอม กลิ่นความเปรี้ยวของมะนาว ผสมกับความเผ็ดร้อนของพริกสด...
โอ๊ย... ถิงถิงครวญ แล้วกลืนน้ำลายดังเฮือก!
ในขณะที่ถิงถิงไม่อยากเสียฟอร์ม แต่เหม่ยหลินรู้สึกผิดปกติกับรสชาติอาหาร เขาวางช้อนลงจนเกิดเสียง
“มีอะไรหรือคะ” นลินถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่มีอะไร...”
“กับข้าวของนลินรสชาติแปลกไปละสิ...” เจ้าตัวเอ่ยอย่างรู้ดี
หากเหม่ยหลินช้อนตามองคนที่ตัวเองไว้ใจมาหลายปีด้วยสายตาใคร่รู้
“คือแบบนี้นะคะ พอรู้ว่าคุณหนูถิงถิงมาหาคุณหยก นลินไม่รู้ว่าต้องทำอาหารรสชาติแบบไหนถึงจะถูกปากคุณหนูถิงถิง เลยได้รสชาติแปลก ๆ ที่คุณหยกอาจไม่ถูกปาก...” เธออธิบาย
เหม่ยหลินอยู่วงการธุรกิจที่ต้องแข่งขัน จึงใช้เล่ห์เหลี่ยมและประสบการณ์ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในวงการค้า ซึ่งเธอพบมาหลายรูปแบบ จนไม่กล้าไว้ใจใคร แม้คนใกล้ชิดและกระทั่งคนในครอบครัวเอง
“ถิงถิงหลบออกไป” เธอบอกเสียงเด็ดขาดโดยไม่ได้หันไปมองเจ้าของชื่อ
แต่เหม่ยหลินเริ่มชาปลายมือปลายเท้า แต่ก่อนที่ร่างกายของเธอจะอ่อนแรง ก็กัดฟันสู้ปลดเอาอาวุธคู่กายออกมาแล้วเล็งไปยังเป้าหมาย แต่อีกฝ่ายก็ถูกฝึกมาอย่างดีกระโดดหลบโดนของกระเด็นกระจายเสียงดัง
เหม่ยหลินกัดฟันเล็งเป้าหมายใหม่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนร้ายหลบอยู่
“ใครส่งมึงมา” เหม่ยหลินถามเสียงกร้าว หากอีกฝ่ายหลบเงียบ
ถิงถิงที่หลบอยู่หลังโซฟาเริ่มเข้าใจสถานการณ์ และเห็นอาการของเหม่ยหลินที่เริ่มสั่นหน้าซีดก็ไม่อยากเอาตัวรอดเพียงลำพัง จึงคิดหาวิธีช่วยเหลือ ก่อนจะหันไปเห็นแจกันขนาดเหมาะมือจึงตัดสินหยิบมาแล้วขว้างออกไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
เพล้ง!
เสียงแตกของแจกันที่หล่นกระทบพื้น ทำให้คนที่นั่งหลบอยู่ตกใจจนเผลอขยับ เพียงนิดเดียวและเสี่ยวนาทีก็ทำให้เหม่ยหลินมีจังหวะปล่อยกระสุนไปยังเป้าหมาย
ในวินาทีถัดมาเสียงเสียดสีของอนุภาพร้ายแรงดังออกไป โดนไหล่จนอีกฝ่ายเซเสียหลัก ซึ่งเป็นจังหวะเหมาะ ที่จะไม่ให้พลาดซ้ำกับเวลาที่มีจำกัด เหม่ยหลินตัดสินใจกระโดดข้ามโต๊ะเพื่อเล็งเป้าใหม่อีกครั้ง จากนั้นเสียงพิฆาตครั้งสุดท้ายถูกส่งออกไปตัดขั้วหัวใจของคนตรงหน้าในระยะเผาขน ส่งผลให้ร่างบางลงไปนอนดิ้นสิ้นชีพอยู่บนพื้น ในมือยังกำอาวุธไว้แน่น หากไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกต่อไป แน่นอนหากมีการโต้กลับ ทุกอย่างจะชุลมุนกว่านี้...
ถิงถิงหลังจากที่ขว้างแจกันออกไป เธอก็ห่อตัวหลบมุมด้วยใจเต้นระส่ำ โดยไม่มีโอกาสเห็นผลงานของตัวเอง จนกระทั่งทุกอย่างเงียบไป เธอจึงค่อย ๆ โผล่หน้าออกมา ใบหน้ายังตื่นตระหนกไม่คลายหลังจากที่เก็บคนร้ายไปได้ เหม่ยหลินก็หันไปมองถิงถิงด้วยความเป็นห่วงแต่เห็นเพียงเท้าที่โผล่ออกมา จึงวิ่งตรงไปหาและเห็นภาพที่ดูน่าเวทนา ทั้งที่เดาสถานการณ์ได้ แต่ด้วยความที่ทุกอย่างมันรวดเร็วเกินจะทำใจได้ สาวสวยผู้เหย่อหยิ่ง นั่งตัวแข็งทื่อใบหน้าตื่นตระหนก สองมือยกขึ้นปิดปาก ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อคลั่งหน่วย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาพตรงหน้ามันสะเทือนใจ จนเธอระงับความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่“มันจบแล้วนะ” เหม่ยหลินเปรยขึ้นด้วยความเป็นห่วง และให้อีกฝ่ายมั่นใจ หากแต่ตัวเองเริ่มประคองตัวไม่อยู่หากแต่ถิงถิงยังนิ่งค้าง ค่อย ๆ ยืนเต็มความสูงแม้จะถูกพูดกรอกหูตั้งแต่เล็กจนโตเนื่องจากเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ และไม่สามารถมองเห็นคู่อริที่อยู่ในที่มืดทั่วทุกกลุ่ม หากแต่ทุกวันนี้คำพูดเตือนที่ว่า ‘ภัยอยู่รอบตัวเรา อย่าประมาท’ ไม่เกินจริง!แต่เธอก็ไม่เคยพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ...อาจเพราะเธอไม่ใช่เหยื่อตัวใหญ่! แต่คนที่กำลังทรุดตัว
หลังจากที่เอาศพออกไปแล้วทุกคนก็พากันออกไป เหลือแค่เหม่ยหลินกับถิงถิง ทั้งสองเพียงสบตากันในความเงียบที่มีเพียงเสียงแอร์กำลังทำงานอยู่ จนกระทั่งเหม่ยหลินเป็นคนพูดขึ้น“คงต้องเปลี่ยนที่พักแล้วล่ะ”“ปกติคุณพักที่นี่หรือเปล่า”“พักสิ มันสะดวกเวลามีงานเร่งด่วน”“งั้นก็พักที่นี่ก็ได้นะ”“เราต้องเปลี่ยนที่พัก เพราะตอนนี้ยังไว้ใจอะไรไม่ได้”“แล้วคุณลุงหยางรู้หรือเปล่าว่า เออ คุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”“พ่อเป็นคนฝึกพี่มาเองกับมือ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ”ถิงถิงกรอกตามองบน “ก็จริง”“ไปกันเถอะ”“ตอนนี้เลยหรือคะ” ถิงถิงถามเสียงตื่น“นายจินถังไม่ชอบตีงูให้หลังหัก” แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสีดำและของใช้บางอย่างติดมือ แล้วเดินออกไป ถิงถิงรีบสาวเท้าตาม“จะทิ้งห้องไปแบบนี้เลยหรือคะ” ความสงสัยของเธอยังไม่หมด“ไว้เป็นหน้าที่ของหนานซิง” คำพูดตัดจบของเหม่ยหลิน ทำให้ถิงถิงย่นจมูกใส่ตามหลัง“เราจะไปพักที่ไหน” ในขณะที่ถามถิงถิงก็ก้มหน้าก้มตาก้าวยาว ๆ เพื่อให้ทันคนด้านหน้า แต่ระหว่างนั้น อีกคนก็หยุดกึกเพราะถึงประตู“โอ้ะ!” ถิงถิงอุทานเมื่อหัวโขกกับแผ่นหลังของเหม่ยหลินโดยไม่ทันตั้งตัวเหม่ยหลินเจ็บจี้ด แต่เพียงนิดเดียว เธอก
ในขณะที่เดินตามเหม่ยหลินอยู่ห่าง ๆ ถิงถิงก็สังเกตเห็นว่าโรงแรมหยางหลงมีการรักษาความปลอดภัยแน่นกว่าที่พักก่อนหน้านี้มาก ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด และประตูทางผ่าน มีพนักงานซึ่งเป็นผู้ชายหุ่นล่ำความสูงไม่ต่ำกว่า180ซม.ยืนเฝ้าบริการอยู่ และมีเพียงคีย์การ์ดใบเดียวที่พนักงานถือเท่านั้น ถึงจะเปิดประตูเดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้เธอไม่อยากบอกว่ามันยุ่งยาก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สุดระทึก ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนลิฟต์ที่ถูกแยกไว้ใช้โดยเฉพาะ ถูกกดไปหมายเลขชั้น54 ครั้งนี้มีสมุนมือขวาและบอดี้การ์ดร่วมอยู่ด้วยห้าคนที่เหลือก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าลิฟต์ถิงถิงเริ่มเป็นกังวล เมื่อคิดว่าสิ่งที่กำลังจะไปหา เธอกลัวว่ามันไม่ใช่แค่เจอ แล้วเอาตัวนลินกลับมาเพื่ออยู่ในที่ปลอดภัยเป็นแน่ มันต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้น... ถิงถิงคิดและออกอาการยืนไม่ติดที่ โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมแล้วบีบกันไปมา ซึ่งอาการของถิงถิงอยู่ในสายตาเหม่ยหลินตลอด แต่ครานี้เธอไม่พูดปลอบ เพราะเธอคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้ จะค่อย ๆ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ใจของ ถิงถิงแกร่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีใครเข้าไปยุ่ง...ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่ก
“ไม่ ไม่ไล่ อย่าคิดอะไรมากเลยนะ…” เหม่ยหลินรีบตอบ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขลาดกลัวไปมากกว่านี้ “ฉันจะรักษาเธอให้หาย และกลับมาเหมือนเดิม ฉันสัญญา...”“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เหม่ยหลินฝืนใจถามสิ่งที่ค้างคาใจคนที่อยู่ในอาการตื่นกลัวหยุดชะงัก แล้วตอบ “นลินไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็มีคนเรียกให้นลินตื่น แต่นลินมองอะไรไม่เห็นไปแล้ว”เธอเล่าด้วยความหวาดผวา เหม่ยหลินจึงเลิกถาม“คุณหยกไม่ทิ้งนลินนะคะ...” เสียงสะอื้นถามซ้ำขยับไปมา เหมือนคนกำลังหาที่พึ่งพิง“อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ทิ้งหนูหรอก” เธอย้ำหนักแน่นใบหน้าที่เคยบิดเบี้ยวและหวาดกลัว เมื่อได้รับคำสัญญา ก็ค่อย ๆ ลดเสียงสะอื้น แล้วฝืนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา“จะดูแลหนูให้มากกว่านี้ สัญญา” เหม่ยหลินให้คำมั่นอีก“ขะ ขอบคุณคุณหยกมากนะคะ” เสียงแหลมแหบรีบกล่าวและสวมกอดร่างบางที่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าใกล้ชนิดถึงเนื้อถึงตัว หากตอนนี้ได้สัมผัสเต็มอ้อมกอด... ซึ่งก่อนหน้านั้น เธอก็ไม่เคยได้อภิสิทธิ์ใกล้ชิดทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล หยางขนาดนี้...ถิงถิงได้แต่ยืนมอง ด้วยอาการลำคอตีบตัน ก่อนจะผันหน้าหนีภาพนั้น!หลังจากที่พูดกล่อม จนนลินสงบและปล่อยให้หลับไปแล้
เหม่ยหลินถอนหายใจ และพยายามเก็บอารมณ์เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้หนักใจเยอะเกินพอ เลยไม่อยากผิดใจกับ ถิงถิงอีกคน“ขอพักหน่อยเถอะ” เธอบอกแล้วทิ้งแผ่นหลังไปบนเก้าอี้หลับตาลง“หากอยู่แล้วทำให้หนักใจเพิ่มงั้นไปก็ได้” แล้วสาวเท้าเตรียมเดินออกไป แต่ถูกรั้งไว้ด้วยคำถามเสียก่อน“จะไปไหน”“ไปให้พ้น ๆ ไง” ประชด“อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาสิ”ถิงถิงจิกตามองคนอายุมากกว่าด้วยสายตาตัดพ้อ ใช่เธอเป็นเด็กมีปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่...สีหน้าและน้ำเสียงของถิงถิง หากเหม่ยหลินไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เธอคิดว่านั้นเป็นประโยคที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกน้อยใจซึ่งเธอไม่เคยเห็นมุมนี้ของถิงถิง หรือเพราะถิงถิงไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนกันแน่!เหม่ยหลินเริ่มสับสน กระนั้นเธอก็ไม่ปล่อยให้ความรับผิดชอบนี้ ต้องมาสร้างปัญหาให้เธอเพิ่ม...ด้วยความอยากเอาชนะถิงถิงไม่ฟัง เธอเดินตรงไปยังประตูทางออก แต่เมื่อเปิดประตู สายตาสิบคู่พร้อมใจกันมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน เธอจิกตามองกราด แต่กำแพงมนุษย์นั่น ไม่หวั่นไหวกับสีหน้าและอาการของเธอแม้แต่น้อย“หลีก!” เธอสั่งเสียงห้วน ขัดหูขัดตามองหน้าใครก็เป็นหน้าของเหม่ยหลิน คนที่ปากบอกกับใค
...แม้จะไม่ได้เจอกันหลายปี เช่นเดียวกับถิงถิง ที่ต่างคนต่างไม่ลืม แต่ก็ไม่อยากพูดถึง“นั่นแหละ เหม่ยจูจะไปรอเธออยู่ที่นั่น และจะกลับมาพร้อมกันในวันที่เธอหายเป็นปกติ หรือหากเป็นไปได้ ฉันจะขึ้นไปรับเธอกลับมาด้วยตัวเอง”“จะ จริงหรือคะ...”“ไม่สัญญา แต่ให้ถึงตอนนั้น จะพยายามทำตัวให้ว่าง”แม้ไม่ใช่คำสัญญาชัดเจน แต่นลินรู้ว่าคนอย่างหยางเหม่ยหลินรักษาคำพูดแค่ไหน“ก็ได้ค่ะ นลินจะไป และจะไม่ดื้อไม่ซน เพื่อจะกลับมารับใช้คุณหยกนะคะ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังกล่าวอย่างดีใจส่วนคนข้าง ๆ ประหนึ่งรับบทนางร้าย ที่ต้องทนยืนดูพระนางเขาจีบกัน!หลังจากจัดการส่งตัวนลินขึ้นเครื่องบินเจ็ตไปแล้ว เหม่ยหลินก็สั่งให้ลูกน้องนำตัวของถิงถิงกลับไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านั้น ส่วนเธอมีธุระต้องสั่งการกับลูกน้อง เมื่อเห็นว่ามีสายไม่ได้รับแจ้งเตือนอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะโทร.กลับไปหาเบอร์นั้นทันที ในระหว่างที่รอสายก็หันไปสั่งกับบอดี้การ์ด“พาคุณหนูถิงถิงกลับไปห้อง อีกครึ่งชั่วโมงออกมาเจอกัน...”เหม่ยหลินหันไปสั่งคนของหนานซิง หากแต่คนที่กำลังถูกแยกชักสีหน้า และไม่มีจังหวะพูดแทรก เมื่อเหม่ยหลินหันไปคุยกับลูกน้องคนส
หลังจากดูตัวเองในกระจกเงาจนมั่นใจว่าเรียบร้อยดีแล้ว เหม่ยหลินจึงเดินออกจากห้องบอดี้การ์ดเมื่อเห็นเหม่ยหลินก็ก้มศีรษะให้เธออย่างนอบน้อม แม้เหม่ยหลินจะเป็นผู้หญิงแต่ทุกคนให้ความเคารพเธอทั้งต่อหน้าและลับหลัง ระหว่างนั้นต่างก็ยืนรอคนในห้องอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไป เหม่ยหลินยกนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือขึ้นดู แล้วทิ้งแขนลง ต่อเวลาให้คนในห้องอีกนิด...สิบนาทีผ่านไป คนด้านในยังไม่ออกมา เหม่ยหลินจึงตัดสินใจเคาะประตู แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับ เหม่ยหลินจึงยื่นมือไปจับลูกบิดแล้วหมุน พบว่าประตูล็อคอยู่ เธอหันไปมองหน้าบอดี้การ์ด ไม่กี่อึดใจคีย์การ์ดสำรองก็ถูกนำมาใช้เหม่ยหลินตัดสินใจเดินเข้าไปดูในห้องด้วยตนเอง และพบว่าถิงถิงยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว กึ่งนั่งกึ่งนอน โดยนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียงสีหน้าไม่หือไม่อือ ทั้งที่เห็นว่าเหม่ยหลินเข้ามารอถึงในห้องแล้วก็ตามเหม่ยหลินรู้ตัวว่ากำลังโดนคุณหนูถิงถิงกวนประสาท และตอนนี้ก็เริ่มหมดความอดทน อยากจับเด็กดื้อมาตีก้น... จึงคิดแผนบางอย่างขึ้น“ทำไมยังไม่แต่งตัว หรือลืมเรื่องที่พี่สั่ง ว่าจะพาไปกินข้าว”ถิงถิงชายตามองเพียงนิด แล้วนั่งเลื่อนมือถือต่อ“ห
“ออกไปเลย”เหม่ยหลินหันกลับมา ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายในความรั้น ...ยังมีความเอาแต่ใจ ทั้งที่ทำตัวเองทั้งนั้น“คิดว่า พี่ควรฟังเธอหรือ” ครานี้น้ำเสียงของเหม่ยหลินฟังดูกดดันคู่สนทนา ซึ่งถิงถิงรับรู้ได้ “สั่งมากินบนห้องก็ได้...” ทั้งโกรธทั้งอาย แต่ก็ยอมอ่อนลง“ไม่ รีบแต่งตัวให้เสร็จ ภายในสิบนาที” ครานี้เหม่ยหลินไม่ยอมลงให้ถิงถิงตาลุกวาว อ้าปากจะเถียง แต่เห็นสายตาจริงจังที่ยังไม่ละไปจากใบหน้าของเธอ ก็ได้แต่ย้อนอยู่ในใจมีที่ไหนแต่งตัวสิบนาที... “หันหลังไปสิ”“ห้านาที...”“หา? บ้าไปแล้ว”ถิงถิง ผรุสวาทออกมาอย่างเหลืออด โดยรีบหันไปเลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าไม่เป็นทางการที่สุดในกระเป๋าในขณะที่คนกำหนดเวลาให้กระชั้นชิดอมยิ้ม เฝ้าตามมองการกระทำของคนเอาแต่ใจตาเป็นประกายพอใจ... สุดท้ายเวลา10 นาที ก็ไม่พอกับการแต่งตัวของถิงถิง แต่เหม่ยหลินก็นั่งคอยอย่างใจเย็น นั้นเพราะแค่หล่อนไม่แผงฤทธิ์ใส่ ทั้งวันเธอก็นั่งรอได้... เจ้าของรูปร่างผอมบางหากมีส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นสะดุดตา ยิ่งสวมใส่เสื้อยืดคอวีสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเข้มเอวสูงขับให้รูปร่างของถิงถิงดูสูงเพรียวบางทะมัดทะแมงน่า