ในขณะที่เดินตามเหม่ยหลินอยู่ห่าง ๆ ถิงถิงก็สังเกตเห็นว่าโรงแรมหยางหลงมีการรักษาความปลอดภัยแน่นกว่าที่พักก่อนหน้านี้มาก ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด และประตูทางผ่าน มีพนักงานซึ่งเป็นผู้ชายหุ่นล่ำความสูงไม่ต่ำกว่า180ซม.ยืนเฝ้าบริการอยู่ และมีเพียงคีย์การ์ดใบเดียวที่พนักงานถือเท่านั้น ถึงจะเปิดประตูเดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้
เธอไม่อยากบอกว่ามันยุ่งยาก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สุดระทึก ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อน
ลิฟต์ที่ถูกแยกไว้ใช้โดยเฉพาะ ถูกกดไปหมายเลขชั้น54 ครั้งนี้มีสมุนมือขวาและบอดี้การ์ดร่วมอยู่ด้วยห้าคนที่เหลือก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าลิฟต์
ถิงถิงเริ่มเป็นกังวล เมื่อคิดว่าสิ่งที่กำลังจะไปหา เธอกลัวว่ามันไม่ใช่แค่เจอ แล้วเอาตัวนลินกลับมาเพื่ออยู่ในที่ปลอดภัยเป็นแน่ มันต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้น... ถิงถิงคิดและออกอาการยืนไม่ติดที่ โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมแล้วบีบกันไปมา ซึ่งอาการของถิงถิงอยู่ในสายตาเหม่ยหลินตลอด แต่ครานี้เธอไม่พูดปลอบ เพราะเธอคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้ จะค่อย ๆ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ใจของ ถิงถิงแกร่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีใครเข้าไปยุ่ง...
ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น และเตียงนอนวางอยู่กลางห้อง
“ทำไมเอามาไว้ห้องนี้” เหม่ยหลินหันไปถามหนานซิง เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องเสริมที่ไม่เคยมีแขกมาใช้
“ผมเลือกห้องที่โล่งที่สุดและไม่รบกวนใครที่สุดครับ”
“ทำไม”
“คุณหนูใหญ่เข้าไปดูเองเถอะครับ”
ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริงเหม่ยหลินรู้สึกประหม่าและกลัวว่าตัวเองจะรับสภาพของนลินไม่ได้
เหม่ยหลินก้าวเข้าไปในห้องช้า ๆ หากในแต่ละก้าวมั่นคง สายตาของเธอมองไปข้างหน้าอย่างตั้งความหวัง ว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงกับคนสนิทของเธอ...
เช่นเดียวกับถิงถิง ยิ่งเดินลึกเข้าไปในห้องมากเท่าไหร่จังหวะการเต้นหัวใจของเธอก็แรงขึ้นเท่านั้น
อยากกลับฮ่องกงแล้ว... เธออยากตะโกนออกไปอย่างนั้น แต่นั่นเท่ากับว่า เธอกลายเป็นคนขี้แพ้ คนอื่นยังกล้าอยู่เคียงข้าง หยางเหม่ยหลิน... แล้วเธอที่เป็นทายาทโดยตรง ทำไมถึงไม่กล้า! คิดแค่นี้ ถิงถิงก็ฮึดสู้ ก้าวเท้าเดินเคียงไปกับอย่างเหม่ยหลิน
ทันทีที่เดินเข้าไป ก็พบว่าคนในห้องลงไปนอนซบหน้าอยู่บนพื้น แทนที่จะนอนพักอยู่บนเตียง
“นลิน...” เสียงหนุ่มแผ่วเบาเอ่ยเรียก เหมือนกลัวว่าหากลงน้ำเสียงหนักไปกว่านี้ อาจทำให้อีกคนหวาดผวามากขึ้น
แม้จะเป็นน้ำที่เสียงที่เบาแผ่ว หากเจ้าของชื่อก็สะดุ้ง และค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าข้าวซีดและอิดโรย ต่างกับหญิงสาวที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ของคนที่เหม่ยหลินเห็นจนชินตา บัดนี้เปลี่ยนไปจนน่าใจหาย
เหม่ยหลินตัวชาก้าวขาไม่ออก เช่นเดียวกับถิงถิง เธอถึงกับผันหน้าหนี ผู้หญิงกับความงามเป็นของคู่กัน หากใบหน้าของคนตรงหน้ามีแต่ผ้าแปะอยู่ แม้ไม่เห็นบาดแผลแต่แค่รอยเลือดที่ซึมผ่านผ้าสีขาว ก็รู้ว่ามันหนักแค่ไหน...
“คุ คุณหยก... คุณหยกมาหานลินแล้วใช่ไหมคะ...” เสียงแหบสั่นเอ่ยเรียกคนคุ้นเคย หากแต่เท้าทั้งสองข้างไม่ได้ขยับหรือเดินมาหา ส่วนมือทั้งสองข้างยกขึ้นคว้าไปบนอากาศเหมือนอยากสัมผัสคนที่ตัวเองเรียกหา
“ตาของนลิน...” เหม่ยหลินเปรยขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง
“ครับ ตาของคุณนลินบอด ส่วนบนใบหน้าถูกกรีดไปหลายแผลครับ” คนเห็นกับตาบอกเสียงหดหู่ และเศร้าใจ
คำตอบของหนานซิงทำเอาเหม่ยหลินไร้เรียวแรง ในขณะที่ถิงถิงยกมือขึ้นปิดปากเพื่อปิดกั้นเสียงตกใจของตัวเองเอาไว้
เหม่ยหลินเดินไปทรุดตัวลงใกล้ ๆ และทันทีที่นลินสัมผัสได้ถึงกลิ่นของคนคุ้นเคยเธอก็รีบคว้าตัวไว้
“คุ คุณหยก คุณหยก นลินอยากตาย... นลินไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว...”
น้ำเสียงนั้นบาดลึกในหัวใจคนฟัง
“ไม่พูดแบบนั้นนะ...” เธอโอบร่างบางที่สั่นเทาไว้ในวงแขนแล้วใช้มือลูบไปบนเส้นผมนั้นเบา ๆ ด้วยความสงสารจับใจ
“อึก... คุณหยก...” เสียงอื้นไห้ปานจะขาดใจ อีกทั้งร่างนั้นสั่นสะท้านไหว ยิ่งทำให้คนกอดปลอบกอดรัดร่างบางนั้นแน่นขึ้นเพื่อให้รู้ว่าตอนนี้ยังมีคนคอยอยู่ข้าง ๆ
“ไม่ร้องนะ...ไว้รักษาตัวดี ๆ ไม่ช้าก็หายเป็นปกติ” เธอพูดปลอบ พร้อมกระชับอ้อมแขนซ้ำ ๆ
“คุณหยกจะไล่นลินออกใช่ไหมค่ะ นลินไม่สามารถทำอะไรให้คุณหยกได้อีกแล้วนะคะ... จะทิ้งนลินไหมคะ นลินกลัวเหลือเกิน...”
“ไม่ ไม่ไล่ อย่าคิดอะไรมากเลยนะ…” เหม่ยหลินรีบตอบ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขลาดกลัวไปมากกว่านี้ “ฉันจะรักษาเธอให้หาย และกลับมาเหมือนเดิม ฉันสัญญา...”
“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เหม่ยหลินฝืนใจถามสิ่งที่ค้างคาใจ
“ไม่ ไม่ไล่ อย่าคิดอะไรมากเลยนะ…” เหม่ยหลินรีบตอบ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขลาดกลัวไปมากกว่านี้ “ฉันจะรักษาเธอให้หาย และกลับมาเหมือนเดิม ฉันสัญญา...”“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เหม่ยหลินฝืนใจถามสิ่งที่ค้างคาใจคนที่อยู่ในอาการตื่นกลัวหยุดชะงัก แล้วตอบ “นลินไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็มีคนเรียกให้นลินตื่น แต่นลินมองอะไรไม่เห็นไปแล้ว”เธอเล่าด้วยความหวาดผวา เหม่ยหลินจึงเลิกถาม“คุณหยกไม่ทิ้งนลินนะคะ...” เสียงสะอื้นถามซ้ำขยับไปมา เหมือนคนกำลังหาที่พึ่งพิง“อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ทิ้งหนูหรอก” เธอย้ำหนักแน่นใบหน้าที่เคยบิดเบี้ยวและหวาดกลัว เมื่อได้รับคำสัญญา ก็ค่อย ๆ ลดเสียงสะอื้น แล้วฝืนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา“จะดูแลหนูให้มากกว่านี้ สัญญา” เหม่ยหลินให้คำมั่นอีก“ขะ ขอบคุณคุณหยกมากนะคะ” เสียงแหลมแหบรีบกล่าวและสวมกอดร่างบางที่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าใกล้ชนิดถึงเนื้อถึงตัว หากตอนนี้ได้สัมผัสเต็มอ้อมกอด... ซึ่งก่อนหน้านั้น เธอก็ไม่เคยได้อภิสิทธิ์ใกล้ชิดทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล หยางขนาดนี้...ถิงถิงได้แต่ยืนมอง ด้วยอาการลำคอตีบตัน ก่อนจะผันหน้าหนีภาพนั้น!หลังจากที่พูดกล่อม จนนลินสงบและปล่อยให้หลับไปแล้
เหม่ยหลินถอนหายใจ และพยายามเก็บอารมณ์เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้หนักใจเยอะเกินพอ เลยไม่อยากผิดใจกับ ถิงถิงอีกคน“ขอพักหน่อยเถอะ” เธอบอกแล้วทิ้งแผ่นหลังไปบนเก้าอี้หลับตาลง“หากอยู่แล้วทำให้หนักใจเพิ่มงั้นไปก็ได้” แล้วสาวเท้าเตรียมเดินออกไป แต่ถูกรั้งไว้ด้วยคำถามเสียก่อน“จะไปไหน”“ไปให้พ้น ๆ ไง” ประชด“อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาสิ”ถิงถิงจิกตามองคนอายุมากกว่าด้วยสายตาตัดพ้อ ใช่เธอเป็นเด็กมีปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่...สีหน้าและน้ำเสียงของถิงถิง หากเหม่ยหลินไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เธอคิดว่านั้นเป็นประโยคที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกน้อยใจซึ่งเธอไม่เคยเห็นมุมนี้ของถิงถิง หรือเพราะถิงถิงไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนกันแน่!เหม่ยหลินเริ่มสับสน กระนั้นเธอก็ไม่ปล่อยให้ความรับผิดชอบนี้ ต้องมาสร้างปัญหาให้เธอเพิ่ม...ด้วยความอยากเอาชนะถิงถิงไม่ฟัง เธอเดินตรงไปยังประตูทางออก แต่เมื่อเปิดประตู สายตาสิบคู่พร้อมใจกันมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน เธอจิกตามองกราด แต่กำแพงมนุษย์นั่น ไม่หวั่นไหวกับสีหน้าและอาการของเธอแม้แต่น้อย“หลีก!” เธอสั่งเสียงห้วน ขัดหูขัดตามองหน้าใครก็เป็นหน้าของเหม่ยหลิน คนที่ปากบอกกับใค
...แม้จะไม่ได้เจอกันหลายปี เช่นเดียวกับถิงถิง ที่ต่างคนต่างไม่ลืม แต่ก็ไม่อยากพูดถึง“นั่นแหละ เหม่ยจูจะไปรอเธออยู่ที่นั่น และจะกลับมาพร้อมกันในวันที่เธอหายเป็นปกติ หรือหากเป็นไปได้ ฉันจะขึ้นไปรับเธอกลับมาด้วยตัวเอง”“จะ จริงหรือคะ...”“ไม่สัญญา แต่ให้ถึงตอนนั้น จะพยายามทำตัวให้ว่าง”แม้ไม่ใช่คำสัญญาชัดเจน แต่นลินรู้ว่าคนอย่างหยางเหม่ยหลินรักษาคำพูดแค่ไหน“ก็ได้ค่ะ นลินจะไป และจะไม่ดื้อไม่ซน เพื่อจะกลับมารับใช้คุณหยกนะคะ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังกล่าวอย่างดีใจส่วนคนข้าง ๆ ประหนึ่งรับบทนางร้าย ที่ต้องทนยืนดูพระนางเขาจีบกัน!หลังจากจัดการส่งตัวนลินขึ้นเครื่องบินเจ็ตไปแล้ว เหม่ยหลินก็สั่งให้ลูกน้องนำตัวของถิงถิงกลับไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านั้น ส่วนเธอมีธุระต้องสั่งการกับลูกน้อง เมื่อเห็นว่ามีสายไม่ได้รับแจ้งเตือนอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะโทร.กลับไปหาเบอร์นั้นทันที ในระหว่างที่รอสายก็หันไปสั่งกับบอดี้การ์ด“พาคุณหนูถิงถิงกลับไปห้อง อีกครึ่งชั่วโมงออกมาเจอกัน...”เหม่ยหลินหันไปสั่งคนของหนานซิง หากแต่คนที่กำลังถูกแยกชักสีหน้า และไม่มีจังหวะพูดแทรก เมื่อเหม่ยหลินหันไปคุยกับลูกน้องคนส
หลังจากดูตัวเองในกระจกเงาจนมั่นใจว่าเรียบร้อยดีแล้ว เหม่ยหลินจึงเดินออกจากห้องบอดี้การ์ดเมื่อเห็นเหม่ยหลินก็ก้มศีรษะให้เธออย่างนอบน้อม แม้เหม่ยหลินจะเป็นผู้หญิงแต่ทุกคนให้ความเคารพเธอทั้งต่อหน้าและลับหลัง ระหว่างนั้นต่างก็ยืนรอคนในห้องอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไป เหม่ยหลินยกนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือขึ้นดู แล้วทิ้งแขนลง ต่อเวลาให้คนในห้องอีกนิด...สิบนาทีผ่านไป คนด้านในยังไม่ออกมา เหม่ยหลินจึงตัดสินใจเคาะประตู แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับ เหม่ยหลินจึงยื่นมือไปจับลูกบิดแล้วหมุน พบว่าประตูล็อคอยู่ เธอหันไปมองหน้าบอดี้การ์ด ไม่กี่อึดใจคีย์การ์ดสำรองก็ถูกนำมาใช้เหม่ยหลินตัดสินใจเดินเข้าไปดูในห้องด้วยตนเอง และพบว่าถิงถิงยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว กึ่งนั่งกึ่งนอน โดยนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียงสีหน้าไม่หือไม่อือ ทั้งที่เห็นว่าเหม่ยหลินเข้ามารอถึงในห้องแล้วก็ตามเหม่ยหลินรู้ตัวว่ากำลังโดนคุณหนูถิงถิงกวนประสาท และตอนนี้ก็เริ่มหมดความอดทน อยากจับเด็กดื้อมาตีก้น... จึงคิดแผนบางอย่างขึ้น“ทำไมยังไม่แต่งตัว หรือลืมเรื่องที่พี่สั่ง ว่าจะพาไปกินข้าว”ถิงถิงชายตามองเพียงนิด แล้วนั่งเลื่อนมือถือต่อ“ห
“ออกไปเลย”เหม่ยหลินหันกลับมา ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายในความรั้น ...ยังมีความเอาแต่ใจ ทั้งที่ทำตัวเองทั้งนั้น“คิดว่า พี่ควรฟังเธอหรือ” ครานี้น้ำเสียงของเหม่ยหลินฟังดูกดดันคู่สนทนา ซึ่งถิงถิงรับรู้ได้ “สั่งมากินบนห้องก็ได้...” ทั้งโกรธทั้งอาย แต่ก็ยอมอ่อนลง“ไม่ รีบแต่งตัวให้เสร็จ ภายในสิบนาที” ครานี้เหม่ยหลินไม่ยอมลงให้ถิงถิงตาลุกวาว อ้าปากจะเถียง แต่เห็นสายตาจริงจังที่ยังไม่ละไปจากใบหน้าของเธอ ก็ได้แต่ย้อนอยู่ในใจมีที่ไหนแต่งตัวสิบนาที... “หันหลังไปสิ”“ห้านาที...”“หา? บ้าไปแล้ว”ถิงถิง ผรุสวาทออกมาอย่างเหลืออด โดยรีบหันไปเลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าไม่เป็นทางการที่สุดในกระเป๋าในขณะที่คนกำหนดเวลาให้กระชั้นชิดอมยิ้ม เฝ้าตามมองการกระทำของคนเอาแต่ใจตาเป็นประกายพอใจ... สุดท้ายเวลา10 นาที ก็ไม่พอกับการแต่งตัวของถิงถิง แต่เหม่ยหลินก็นั่งคอยอย่างใจเย็น นั้นเพราะแค่หล่อนไม่แผงฤทธิ์ใส่ ทั้งวันเธอก็นั่งรอได้... เจ้าของรูปร่างผอมบางหากมีส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นสะดุดตา ยิ่งสวมใส่เสื้อยืดคอวีสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเข้มเอวสูงขับให้รูปร่างของถิงถิงดูสูงเพรียวบางทะมัดทะแมงน่า
เวลาผ่านไป ทั้งคู่กินข้าวอิ่ม มือถือของเหม่ยหลินก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดูและเห็นว่าเป็นชื่อของใครจึงกดรับ แล้วลุกขึ้นเพื่อแยกออกไป“อืม... ชอบไหม...ไม่เป็นไร ว่างก็มาหาที่โรงแรมได้นะ...ก็เอามาด้วยเลยสิ...”ในขณะที่เหม่ยหลินพูดสาย ก็คุยไปยิ้มไป ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่ไร้การปรุงแต่ง โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่าหรอก ว่าเป็นการทำร้ายหัวใจของใครหลายคนที่เผอิญผันไปเห็นแบบไม่รู้ตัว... กระนั้นรอยยิ้มเช่นนี้ไม่เคยมีใครได้เห็นจากผู้หญิงอย่างหยางเหม่ยหลินมานานแล้วแล้วใครล่ะที่ทำให้เธอยิ้มได้... คนถูกทิ้งให้นั่งเฝ้าโต๊ะนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ “จะไปไหนครับคุณถิงถิง”“ไปห้องน้ำ! จะไปด้วยไหมล่ะ”“ครับ”“หะ? ไม่ต้อง!”“ไม่ได้ครับ”“โอ้ย! เฝ้าคนของพวกนายเถอะ”แล้วเดินหน้าบึ้งออกไป บอดี้การ์ดที่รู้หน้าที่ดี รีบเดินตามหลัง แต่เธอหันกลับมา แล้วชี้หน้าคาดโทษ ชายทั้งสองก้มหน้ามองพื้น แต่พอเห็นว่าถิงถิงเดินไม่มองหลัง ก็รีบสาวเท้าเดินตามเหม่ยหลินที่คุยสายแต่สายตาของเธอก็มองดูถิงถิงเป็นระยะ เพียงเธอละสายตาไปไม่กี่นาทีอีกคนก็หาย หลังจากคุยสายเสร็จก็รีบเดินกลับมายังโต๊ะบอดี้การ์ดที่เหลืออยู่ก้มหน้ารายงาน “คุณถิงถิงไปห้องน
ไนต์คลับชั้นใต้ดินของโรงแรมหยางหลง หลังจากทำให้ตัวกลมกลืนกับกลุ่มนักท่องเที่ยว จนออกมาได้ ถิงถิงก็มาหยุดอยู่ที่ในผับชั้นใต้ดินของโรงแรมเธอเลือกนั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ แล้วสั่ง“ขอKamikazeแก้วนึงค่ะ”(กามิกาเซ่)เธอเลือกเป็นค็อกเทลที่มีสีสัน โดยเฉพาะสีฟ้าแบบเทอร์คอยซ์ รสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี โดยมีส่วนผสมหลักเป็นวอดก้า น้ำมะนาว เหล้าจะออกหวานจากผิวส้ม...แม้ไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ค่ำคืนนี้เธออยากข้ามความรู้สึกนั้นอีกสักครั้ง และรสชาติที่ดูถูกปากทำเธอกระดกทีเดียวหมดแก้ว แล้วดันแก้วกลับไปให้บาร์เทนเดอร์“อีกแก้ว”พนักงานหรี่ตามอง เหมือนไม่อยากเชื่อ แต่สาวสวยหน้าหวานละมุนยิ้มตาเป็นประกาย ฉันรออยู่นะ!กามิกาเซ่แก้วใหม่จึงถูกวางไว้ตรงหน้า ถิงถิงยิ้มกว้าง จับก้านแก้วขึ้นมาจิบต่อเบา ๆ จากนั้นเธอก็กระดกรอบเดียวหมดอีกแก้ว ครานี้พนักบาร์เทนเดอร์ที่มองอยู่ก่อนแล้วตะลึงค้าง ไม่คิดว่าสาวสวยหน้าตาสะสวยจะดื่มเหมือนประชดคนทำ“ไม่กลัวเมาหรือครับ”ถึงจะเป็นรสชาติที่ผู้หญิงส่วนมากเลือกกิน หากบางคนคออ่อนก็ทำให้เดินเซได้เหมือนกัน“เมาเหรอ... ไม่หรอก” ประกายตาหวานฉ่ำพอ ๆ กับคำพูดตอบกลับ“
“ว่าไง อยากให้ส่งกลับฮ่องกงไหม” น้ำเสียงเด็ดขาดจริงจังจนถิงถิงหวาดผวา“ไม่ ไม่กลับฮ่องกง แต่หากคุณไม่ให้อยู่ที่นี่ ถิงถิงก็จะไปอยู่ที่อื่น”“ฝันไปเถอะ” เสียงแหลมกระชาก สายตาคาดโทษยังไม่ทันได้ตั้งตัว ข้อมือเรียวของถิงถิงก็ถูกกระชากลากออกไปจากสถานที่ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉุนกึก หากแต่ผู้คนต่างชื่นชอบกลิ่นพวกนี้...“ปล่อย ไม่ต้องมาจับ...” เธอสะบัดข้อมือและบิดไปมา แต่เหม่ยหลินไม่ยอม ซ้ำยังกดไว้แน่น “เจ็บนะ” เสียงเริ่มสั่น และไม่พอใจอย่างหนัก “เจ็บก็อยู่นิ่ง ๆ” เสียงกดต่ำและบังคับไปในตัว “พ่อกับแม่ไม่เคยทำแบบนี้นะ” เธอยังฝืนตัว “นี่พี่... อยากสมัครใจมาอยู่ ก็อย่าทำตัวมีปัญหา”คำพูดเด็ดขาด ที่เหม่ยหลินเลือกใช้ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ในวันข้างหน้า ในขณะเดียวกันคนถูกย้อนอย่างคุณหนูถิงถิงถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ...ใช่เธอสมัครใจและมาแบบไม่อยากเจอหน้าพ่อหรือใคร ๆเธอยอมรับ ในขณะที่ยังทำตัวสโลว์ไลฟ์ไปวัน ๆ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อในเชิงวางแผน เธอตัดสินใจบินมาเมืองไทยทันที ซึ่งคำพูดนั้นยังก้องอยู่ในหัวเป็นระยะ‘คุณจะว่าไงหากผมจะให้ถิงถิงหมั้นกับลูกชา