ร่างสูงเพรียวสมส่วนในชุดสูทสีเทาอ่อนแขนยาวไม่มีปก โดยกางเกงเป็นทรงขาเดฟยาวเข้ารูปเน้นสัดส่วนในส่วนสูง175ซม. บวกกับท่าทางการเดินหน้าเชิดหลังตรง ซึ่งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความจริงจังมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ดูสง่างามและน่าเกรงขามไปในคราเดียวกัน กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ได้พบเห็นอยากละสายตาไปจากเธอ ซ้ำยังทำให้คนบางกลุ่มที่เจอเธอในคราแรกต้องหันไปซุบซิบเพราะความอยากรู้ ว่าเหตุใดสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและมีการรักษาความปลอดภัยสูง ยังมีชายฉกรรจ์ร่างสูงล่ำในชุดสูทสีดำเดินตามประชิดไม่ห่าง
“แม่เจ้า...ฉันละอยากรู้นักว่าเธอเป็นใคร ทำไมต้องมีคนคอยอารักขาอย่างกับเจ้าหญิง”
น้ำเสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในร้านเครื่องประดับเปรยขึ้นด้วยความรู้สึกขัดเคืองนัยน์ตามากกว่าชื่นชม
“เธอก็พูดไป...” เพื่อนสนิทที่เป็นคนคิดบวกและมองโลกในแง่ดี สาดสายไปยังผู้หญิงที่เพื่อนกล่าวถึง ด้วยตาเป็นประกายปลาบปลื้ม แล้วพูดต่อ “ออร่าจับสะขนาดนั้น เป็นใครใครก็กลัว ดูสิเป็นเป้าสายตาสะ อีกอย่างถึงไม่ใช่เจ้าหญิงหรือเชื้อเจ้า แต่บ่งบอกถึงอภิมหาเศรษฐีอยู่นา ว่า...”
“เธอชื่อเหม่ยหลินหรือหยางเหม่ยหลิน อายุสามสิบสามปี เป็นเจ้าของที่ที่พวกเธอชอบมาเดินตากแอร์อยู่นี่ไง...”
ประโยคกล่าวถึงประหนึ่งรู้ดีจบลง
สองสาวเข้าใจว่านั้นเป็นคำพูดที่ตอบกลับมาให้พวกตนโดยไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหนอีก หากประโยคท้าย ‘พวกเธอชอบมาเดินตากแอร์’ ฟังแล้วไม่ระรื่นหู ทั้งคู่จึงซัดสายตาไปมอง
“อะ…”
สายตาทั้งสองคู่เปิดกว้างจนเกือบถลน จากที่อยากโต้ถามให้หายข้องใจ กลายเป็นว่าต้องกลืนน้ำลายตัวเองลงท้อง เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยออร่าไม่ต่างจากผู้หญิงที่พวกตนกำลังพูดถึง หากแต่คนตรงหน้า มีรูปร่างบอบบางกว่า ความสูงไม่เกิน 160ซม. ซึ่งหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งจีนหรือไม่ก็เกาหลี อยู่ในชุดมินิเดรสผ้าชีฟองแขนพองสั้น ทรงเข้ารูปสีโอรสลายดอก โดยกระโปรงสั้นขึ้นมาเหนือเข่า หากแต่มีเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่แหลมโด่งโดยมีดวงตาสีดำกลมโต รับกับขนตางอนหนาเป็นแพ อีกทั้งรูปปากทรงกระจับที่เคลือบด้วยลิปคลอสสีอ่อนขับให้ปากดูอวบอิ่ม จนผู้หญิงด้วยกันไม่อาจละสายตาไปได้ในสองนาทีแรก
“เอา ค้างไปเลยสิ...”
“อา...”
สองสาวรีบปรับสีหน้า โดยมีเพียงเสียงเล็ดรอดออกมาเพียงนิด
มีคนเคยบอก ว่าความสวยของเธอ ทำให้คนเป็นใบ้ไม่เกินจริง หากแต่เธออยากรู้ ‘เขา’ จะมีอาการเช่นสองคนนี้ไหม... ถิงถิงแบะปากยักไหล่ ไม่คาดหวัง ก่อนจะล้มเลิกความคิดนั้น แล้วฉีกยิ้มตาพราวให้สองสาว
“อยากรู้อะไรอีกไหมคะ เดี๋ยวจะได้บอก...” ใบหน้าสวยสะดุดตา หากท่าทางกวนอารมณ์ ที่ไม่สนว่าอีกฝ่ายมีถึงสองคน “ว่าไงคะ” เธอยังถามซ้ำต่อ
ในขณะที่สองสาวยังยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก เก็บอาการเลิ่กลั่กก็ไม่มิด...
“งั้นไปนะ” จบประโยคเธอก็เดินเชิดหน้าออกไป ปล่อยให้สองสาวมองหน้ากันตาปริบ ๆ
จะโกรธ...จะโมโห... จะเอาคืน... จากที่โดนลูบคม เจ้าแม่นัก ช้อป กว่าจะสรุปได้ อีกฝ่ายก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว
“เขาพูดแบบนั้นหมายความว่าไง” คล้ายยังไม่แน่ใจก็หันไปถามเพื่อน
“เขาชมเรามั่ง!” เสียงแหลมตอบประชด มองเพื่อนที่ชอบมองโลกในแง่ดีด้วยสายตาขุ่นข้น
“ทำไมมองฉันอย่างนั้นล่ะ” ครานี้รับรู้ถึงพลังของเพื่อน ว่ากำลังไม่พอใจอยู่
แล้วเธอผิดอะไร? อยากถามให้มั่นใจแต่ก็กลัวอารมณ์เพื่อนจนไม่กล้าเปิดปากอะไรอีก
เมื่อเพื่อนที่พากันมาไม่ได้ดั่งใจจึงได้แต่ทำหน้าเมื่อยใส่ จากนั้นก็หันมาสนใจสาวที่เพิ่งเดินออกไปอีกครั้งแล้วพูดขึ้น
“ตอนนี้ฉันล่ะอยากรู้ว่าคนเมื่อกี้เป็นใคร”
คนที่พูดอะไรไปก็ไม่เข้าหูเพื่อนเสมอยิ้มจาง ๆ “ไม่เอาน่า ป่ะเราไปเดินตากแอร์ต่อเถอะ”
เพราะการปล่อยวาง บางครั้งมันก็ดีต่อสุขภาพ... จึงไม่อยากให้เพื่อนต้องไปหมกมุ่นกับคำพูดของคนที่ไม่รู้จัก ที่สำคัญจะนำมาซึ่งอารมณ์ขุ่นพาลใส่เธออีก
มือเรียวกำเข้าหากัน มองหน้าเพื่อนที่ไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่คำพูดนั้นตอกย้ำ ทำให้คนคาใจยิ่งไม่สบอารมณ์ เลยสะบัดแขนออกเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาจับ โดยสายตายังไม่ลดความสงสัย มองผู้หญิงที่เดินทิ้งห่างออกไป
อ้าว ไม่ให้จับอีก เดินคนเดียวก็ได้... จากนั้นก็ก้าวนำหน้าเพื่อนไปด้วยหน้างอหงิก
ในขณะที่คนด้านหลังยังไม่ลดความสงสัย มองหญิงสาวที่เดินทิ้งห่างออกไปก่อนหน้านั้น ความสวยความเพอร์เฟคปานดารา แต่หากเป็นคนดังในเมืองไทยทำไมพวกเธอจะไม่รู้จัก แต่นี่ไม่น่าใช่คนไทยแท้ หากแต่พูดไทยชัดเจน...
ในขณะที่เธอปรายตามองดูแล้วว่า จุดที่ยืนอยู่ปลอดคน จึงยกมือถือเตรียมเก็บภาพ แต่ยังไม่ได้มุมที่ถูกใจก็ขยับหาองศาเพียงนิดแล้วกดปุ่มชัตเตอร์ ซึ่งในจังหวะเดียวกันก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามายืนนาบด้านหลังในระยะประชิดถิงถิงชะงักแต่ไม่ทัน เมื่อนิ้วของเธอกดปุ่มถ่ายภาพนั้นไปแล้ว ก่อนจะหันกลับไปมองให้ชัดว่าเป็นใครที่เสียมารยาท“เหม่ย...หลิน...” เธอเอ่ยชื่อของคนที่เสียมารยาทนั้นผ่านริมฝีปาก ดวงตาสองคู่สบกันตายล่ะ... เธอได้ภาพคู่กับหยางเหม่ยหลินสะงั้น! ถิงถิงอุทานในใจเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว จนลืมลบภาพที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นทิ้งเพราะสิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือเธอไม่คิดว่าจะได้เจอเหม่ยหลินเร็วแบบนี้...“คุณถิงถิงพักที่ไหนหรือคะ...” เสียงนุ่มเรียบเอ่ยถาม โดยใบหน้านั้นดูไม่ตื่นเต้นหรือยิ้มดีใจกับการเจอคนบ้านเดียวกันเลยสักนิดเหอะ! แล้วเธอจะไปหวัง ให้ผู้หญิงคนที่แข็งกระด้างและสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เหมือนหุ่นยนต์ ให้มารู้สึกดีกับตัวเองทำไม! ถิงถิงค่อนขอดตัวเองในใจเถอะ! เมื่อไม่มีการทักทายหรือแสดงอาการดีใจเธอก็เชิดหน้าใส่“น่าจะบอกกล่าวกันหน่อยก็ดีนะคะ” คนหน้าฉาบเรียบถามต่อเหมือนถูกตำหนิ ถิงถิงหน้
ทั้งสองถูกส่งแค่หน้าลิฟต์ โดยเหม่ยหลินเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นถิงถิงก็ถูกผ่ายมือเชิญจากลูกน้องให้ตามเข้าไป โดยไม่มีใครอื่นตามมายืนประกบอีก ทำให้ถิงถิงเก็บความสงสัยไว้ กระนั้นในใจลึก ๆ เธอก็อดประหม่าไม่ได้ เมื่อต้องอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงหน้าเดียว!และอาการที่เก็บไม่มิดจนเผลอพ่นลมหายใจออกมา เหมือนอยากระบายความอึดอัด ซึ่งเหม่ยหลินเห็นอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบผันหน้าไปทางอื่น เพื่อกันความรู้สึกให้อีกคน...เหม่ยหลินรอจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิด จึงยื่นมือไปกดหมายเลขชั้น แล้วทุกอย่างก็กลับไปอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงลมหายใจและขนตางอนที่ขยับปรือเป็นครั้งคราว ทำให้รู้ว่าต่างคนต่างยังมีชีวิตอยู่ลิฟต์ขึ้นไปหยุดนิ่งอยู่ที่ชั้นสี่สิบแปดแล้วเสียงดังเตือน ประตูก็เปิดกว้าง และเห็นเพียงประตูห้องตรงหน้าถิงถิงหายแปลกใจว่าเหตุใดเหม่ยหลินจึงไม่ให้บอดี้การ์ดตามขึ้นมา เพราะชั้นสี่สิบแปดเป็นเพียงห้องพักห้องเดียว ซึ่งคนนอกไม่สามารถรอดสายตาผ่านมาได้ นอกจากใช้ลิฟต์เพียงตัวเดียวที่พวกเธอใช้ขึ้นมาเท่านั้น...หลังจากที่หายสงสัยถิงถิงก็ได้เวลาถาม “พาขึ้นมาทำไมคะ” เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากห้องที่เหมือนเป็
ระหว่างที่เดินเข้ามาในห้องพัก ถิงถิงก็ใช้สายตาสำรวจภายในไปด้วย ห้องพักขนาดใหญ่กว่าห้องสวิทที่เธอเคยพัก ดีไซน์ภายในห้องทันสมัยและลงตัว เน้นความสะดวกสบายและปลอดโปร่ง ด้วยกระจกบานใหญ่ถึง 3 บาน มองเห็นบรรยากาศด้านนอกเด่นชัด ที่สำคัญได้รับแสงธรรมชาติตลอดวัน หากเป็นกลางคืนคงได้เห็นบรรยากาศของแสงระยิบระยับทั่วกรุงเทพ คิดแล้วใจของถิงถิงก็ลืมอาการขุ่นเคือง กับของคนด้านหลังไปชั่วขณะ โดยเธอยังสำรวจเหมือนแมวน้อยแปลกถิ่น จากนั้นเบนสายตาเข้ามาด้านในและเห็นว่าภายในห้องมีห้องแยกเป็นสองห้องนอน มีลานกว้างตรงกลางไว้สำหรับนั่งเล่นเป็นสัดส่วน ส่วนมุมหนึ่งแยกเป็นห้องครัวขนาดขนาดพอเหมาะ พร้อมโต๊ะไว้สำหรับนั่งกินข้าว ซึ่งมันดูเหมือนบ้านหนึ่งหลังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาก็ว่าได้“ชมพอหรือยัง...” เสียงนุ่มเรียบเอ่ยทำลายความเงียบถิงถิงหน้าเห่อร้อน เมื่อเผลอแสดงอาการเหมือนแมวตื่น จึงเลิกสนใจบรรยากาศภายในห้องแล้วหันกลับมามองอีกสองคนที่ตอนนี้มองเธออยู่แล้ว“ก็เห็นมันสวยดี...” เธอบอกแก้เก้อ“ขอบคุณ...” เหม่ยหลินถือว่านี่คือคำชมครั้งแรกของถิงถิง เลยพูดต่อ “เลือกได้เลยนะว่าจะพักห้องไหน”มุมปากสวยกระตุกขึ้นเพียงนิด “วิวข
ถิงถิงหลังจากที่ขว้างแจกันออกไป เธอก็ห่อตัวหลบมุมด้วยใจเต้นระส่ำ โดยไม่มีโอกาสเห็นผลงานของตัวเอง จนกระทั่งทุกอย่างเงียบไป เธอจึงค่อย ๆ โผล่หน้าออกมา ใบหน้ายังตื่นตระหนกไม่คลายหลังจากที่เก็บคนร้ายไปได้ เหม่ยหลินก็หันไปมองถิงถิงด้วยความเป็นห่วงแต่เห็นเพียงเท้าที่โผล่ออกมา จึงวิ่งตรงไปหาและเห็นภาพที่ดูน่าเวทนา ทั้งที่เดาสถานการณ์ได้ แต่ด้วยความที่ทุกอย่างมันรวดเร็วเกินจะทำใจได้ สาวสวยผู้เหย่อหยิ่ง นั่งตัวแข็งทื่อใบหน้าตื่นตระหนก สองมือยกขึ้นปิดปาก ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อคลั่งหน่วย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาพตรงหน้ามันสะเทือนใจ จนเธอระงับความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่“มันจบแล้วนะ” เหม่ยหลินเปรยขึ้นด้วยความเป็นห่วง และให้อีกฝ่ายมั่นใจ หากแต่ตัวเองเริ่มประคองตัวไม่อยู่หากแต่ถิงถิงยังนิ่งค้าง ค่อย ๆ ยืนเต็มความสูงแม้จะถูกพูดกรอกหูตั้งแต่เล็กจนโตเนื่องจากเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ และไม่สามารถมองเห็นคู่อริที่อยู่ในที่มืดทั่วทุกกลุ่ม หากแต่ทุกวันนี้คำพูดเตือนที่ว่า ‘ภัยอยู่รอบตัวเรา อย่าประมาท’ ไม่เกินจริง!แต่เธอก็ไม่เคยพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ...อาจเพราะเธอไม่ใช่เหยื่อตัวใหญ่! แต่คนที่กำลังทรุดตัว
หลังจากที่เอาศพออกไปแล้วทุกคนก็พากันออกไป เหลือแค่เหม่ยหลินกับถิงถิง ทั้งสองเพียงสบตากันในความเงียบที่มีเพียงเสียงแอร์กำลังทำงานอยู่ จนกระทั่งเหม่ยหลินเป็นคนพูดขึ้น“คงต้องเปลี่ยนที่พักแล้วล่ะ”“ปกติคุณพักที่นี่หรือเปล่า”“พักสิ มันสะดวกเวลามีงานเร่งด่วน”“งั้นก็พักที่นี่ก็ได้นะ”“เราต้องเปลี่ยนที่พัก เพราะตอนนี้ยังไว้ใจอะไรไม่ได้”“แล้วคุณลุงหยางรู้หรือเปล่าว่า เออ คุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”“พ่อเป็นคนฝึกพี่มาเองกับมือ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ”ถิงถิงกรอกตามองบน “ก็จริง”“ไปกันเถอะ”“ตอนนี้เลยหรือคะ” ถิงถิงถามเสียงตื่น“นายจินถังไม่ชอบตีงูให้หลังหัก” แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสีดำและของใช้บางอย่างติดมือ แล้วเดินออกไป ถิงถิงรีบสาวเท้าตาม“จะทิ้งห้องไปแบบนี้เลยหรือคะ” ความสงสัยของเธอยังไม่หมด“ไว้เป็นหน้าที่ของหนานซิง” คำพูดตัดจบของเหม่ยหลิน ทำให้ถิงถิงย่นจมูกใส่ตามหลัง“เราจะไปพักที่ไหน” ในขณะที่ถามถิงถิงก็ก้มหน้าก้มตาก้าวยาว ๆ เพื่อให้ทันคนด้านหน้า แต่ระหว่างนั้น อีกคนก็หยุดกึกเพราะถึงประตู“โอ้ะ!” ถิงถิงอุทานเมื่อหัวโขกกับแผ่นหลังของเหม่ยหลินโดยไม่ทันตั้งตัวเหม่ยหลินเจ็บจี้ด แต่เพียงนิดเดียว เธอก
ในขณะที่เดินตามเหม่ยหลินอยู่ห่าง ๆ ถิงถิงก็สังเกตเห็นว่าโรงแรมหยางหลงมีการรักษาความปลอดภัยแน่นกว่าที่พักก่อนหน้านี้มาก ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด และประตูทางผ่าน มีพนักงานซึ่งเป็นผู้ชายหุ่นล่ำความสูงไม่ต่ำกว่า180ซม.ยืนเฝ้าบริการอยู่ และมีเพียงคีย์การ์ดใบเดียวที่พนักงานถือเท่านั้น ถึงจะเปิดประตูเดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้เธอไม่อยากบอกว่ามันยุ่งยาก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สุดระทึก ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนลิฟต์ที่ถูกแยกไว้ใช้โดยเฉพาะ ถูกกดไปหมายเลขชั้น54 ครั้งนี้มีสมุนมือขวาและบอดี้การ์ดร่วมอยู่ด้วยห้าคนที่เหลือก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าลิฟต์ถิงถิงเริ่มเป็นกังวล เมื่อคิดว่าสิ่งที่กำลังจะไปหา เธอกลัวว่ามันไม่ใช่แค่เจอ แล้วเอาตัวนลินกลับมาเพื่ออยู่ในที่ปลอดภัยเป็นแน่ มันต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้น... ถิงถิงคิดและออกอาการยืนไม่ติดที่ โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมแล้วบีบกันไปมา ซึ่งอาการของถิงถิงอยู่ในสายตาเหม่ยหลินตลอด แต่ครานี้เธอไม่พูดปลอบ เพราะเธอคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้ จะค่อย ๆ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ใจของ ถิงถิงแกร่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีใครเข้าไปยุ่ง...ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่ก
“ไม่ ไม่ไล่ อย่าคิดอะไรมากเลยนะ…” เหม่ยหลินรีบตอบ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขลาดกลัวไปมากกว่านี้ “ฉันจะรักษาเธอให้หาย และกลับมาเหมือนเดิม ฉันสัญญา...”“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เหม่ยหลินฝืนใจถามสิ่งที่ค้างคาใจคนที่อยู่ในอาการตื่นกลัวหยุดชะงัก แล้วตอบ “นลินไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็มีคนเรียกให้นลินตื่น แต่นลินมองอะไรไม่เห็นไปแล้ว”เธอเล่าด้วยความหวาดผวา เหม่ยหลินจึงเลิกถาม“คุณหยกไม่ทิ้งนลินนะคะ...” เสียงสะอื้นถามซ้ำขยับไปมา เหมือนคนกำลังหาที่พึ่งพิง“อย่ากังวลไปเลย ฉันไม่ทิ้งหนูหรอก” เธอย้ำหนักแน่นใบหน้าที่เคยบิดเบี้ยวและหวาดกลัว เมื่อได้รับคำสัญญา ก็ค่อย ๆ ลดเสียงสะอื้น แล้วฝืนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา“จะดูแลหนูให้มากกว่านี้ สัญญา” เหม่ยหลินให้คำมั่นอีก“ขะ ขอบคุณคุณหยกมากนะคะ” เสียงแหลมแหบรีบกล่าวและสวมกอดร่างบางที่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าใกล้ชนิดถึงเนื้อถึงตัว หากตอนนี้ได้สัมผัสเต็มอ้อมกอด... ซึ่งก่อนหน้านั้น เธอก็ไม่เคยได้อภิสิทธิ์ใกล้ชิดทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล หยางขนาดนี้...ถิงถิงได้แต่ยืนมอง ด้วยอาการลำคอตีบตัน ก่อนจะผันหน้าหนีภาพนั้น!หลังจากที่พูดกล่อม จนนลินสงบและปล่อยให้หลับไปแล้
เหม่ยหลินถอนหายใจ และพยายามเก็บอารมณ์เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้หนักใจเยอะเกินพอ เลยไม่อยากผิดใจกับ ถิงถิงอีกคน“ขอพักหน่อยเถอะ” เธอบอกแล้วทิ้งแผ่นหลังไปบนเก้าอี้หลับตาลง“หากอยู่แล้วทำให้หนักใจเพิ่มงั้นไปก็ได้” แล้วสาวเท้าเตรียมเดินออกไป แต่ถูกรั้งไว้ด้วยคำถามเสียก่อน“จะไปไหน”“ไปให้พ้น ๆ ไง” ประชด“อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาสิ”ถิงถิงจิกตามองคนอายุมากกว่าด้วยสายตาตัดพ้อ ใช่เธอเป็นเด็กมีปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่...สีหน้าและน้ำเสียงของถิงถิง หากเหม่ยหลินไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เธอคิดว่านั้นเป็นประโยคที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกน้อยใจซึ่งเธอไม่เคยเห็นมุมนี้ของถิงถิง หรือเพราะถิงถิงไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนกันแน่!เหม่ยหลินเริ่มสับสน กระนั้นเธอก็ไม่ปล่อยให้ความรับผิดชอบนี้ ต้องมาสร้างปัญหาให้เธอเพิ่ม...ด้วยความอยากเอาชนะถิงถิงไม่ฟัง เธอเดินตรงไปยังประตูทางออก แต่เมื่อเปิดประตู สายตาสิบคู่พร้อมใจกันมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน เธอจิกตามองกราด แต่กำแพงมนุษย์นั่น ไม่หวั่นไหวกับสีหน้าและอาการของเธอแม้แต่น้อย“หลีก!” เธอสั่งเสียงห้วน ขัดหูขัดตามองหน้าใครก็เป็นหน้าของเหม่ยหลิน คนที่ปากบอกกับใค