“แต่ผมสงสัยว่าทำไมเนเน่ถึงได้ยอมมากับพี่ได้ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ว่าจะต้องเจอผม”
“แล้วมันจะสำคัญอะไร ไม่ว่าเธอจะได้เจอหรือไม่ได้เจอกับแกถึงยังไงตอนนี้เนเน่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับมาคบกับแกได้เหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว อย่าลืมสิคริส ตอนนี้แกมีครอบครัวแล้วนะ แกแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงที่คู่ควรกับแกแล้ว”
“แต่พี่ก็รู้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความต้องการของผม พี่ก็รู้ดีว่าที่ผมต้องแต่งงานกับลาริสามันด้วยเหตุผลอะไร”
“แต่แกก็แต่งงานกับเธอแล้วคริส ตอนนี้ก็ถือว่าแกเป็นผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว ไม่ได้อยู่ในสถานะของหนุ่มน้อยที่อยากจะควงใครไปไหนมาไหนหรืออยากจะไปจีบผู้หญิงที่แกพอใจเหมือนอย่างเมื่อก่อนได้อีก แกมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบและคำว่าครอบครัวมันก็ยิ่งใหญ่มาก มันคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่จะแสดงภาวะผู้นำออกมา และอย่าลืมว่าแกอยู่ในตระกูลซาเวียร์ ตระกูลของเราเป็นตระกูลที่ใครก็รู้จักในแวดวงของนักธุรกิจ แกต้องวางตัวเป็นบุคคลที่น่านับถือด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่แกจะต้องรับผิดชอบยังไงล่ะ”
“มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่ สำหรับผมแล้วสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของผมควรจะเป็นความรัก”
“รักให้ตายยังไงแกก็ต้องรู้จักรับผิดชอบ คนเราไม่ใช่สักแต่ว่าจะรักหรือว่าจะทำอะไรตามความพอใจของตัวเองสิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่เหนือกว่าอะไรทั้งสิ้นก็คือภาระหน้าที่ แกต้องเตือนตัวเองเอาไว้ให้ดีนะคริสต์ว่าชีวิตแกตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แกมีสิทธิ์ที่จะรักหรือชอบผู้หญิงคนไหนในโลกก็ได้ แต่แกต้องเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในจินตนาการเพราะผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของแกตอนนี้ก็คือ ลาริสา”
นิโคลัสกล่าวด้วยความเยือกเย็นแต่กลับยิ่งเหมือนสุมความร้อนเข้าไปในหัวใจของน้องชายที่แม้ยืนนิ่งแต่คริสก็ไม่อาจจำนนต่อความรู้สึกที่เขายังไม่อาจสลัด ผู้หญิงคนนั้น ออกจากสมองได้
โรงพยาบาลนิวยอร์คเวลา 9:00 น
“อาการน้องชายของคุณดีขึ้นแล้วนะคะคุณภิณไลย์ญาแต่ว่าตอนนี้หมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมค่ะเพราะจะต้องดูอาการของคนไข้อีกสักระยะจนกว่าจะแน่ใจว่าเขาปลอดภัยดีแล้วและไม่มีอาการข้างเคียงอย่างอื่นจริง ๆ”
นางพยาบาลสาวกล่าวกับภิณไลย์ญา วันนี้เธอรีบออกมาจะคฤหาสน์ของตระกูลซาเวียร์ตั้งแต่เช้าตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมดูอาการของน้องชายหลังจากที่เขาเข้ารับการผ่าตัดช่วยชีวิตจากอุบัติเหตุซึ่งหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีจากการที่เธอยินยอมทำตามข้อเสนอของนิโคลัสด้วยการรับเงินจากเขาในการช่วยเหลือชีวิตน้องชายให้พ้นขีดอันตรายหลังเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงก็นับเป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้วที่เธอไม่ได้แวะเวียนมาหาพี่น้องชายคนเดียวของเธอเลยและบ่อยครั้งที่แม่ของเธอโทรมาถามก็จะต้องบอกอาการของน้องชายตามที่ได้รับรู้จากการแจ้งของทางโรงพยาบาลอีกที
แม้รู้สึกอึดอัดและคับใจต่อสถานการณ์ที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็คือการตั้งความหวังว่าพิชญ์ น้องชายคนเดียวจะกลับคืนมาใช้ชีวิตได้ตามปกติจากความช่วยเหลือทางด้านการเงินของมหาเศรษฐีหัวใจด้านชาอย่างนิโคลัส เธอจำเป็นต้องรับข้อเสนอของเขาโดยไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องอยู่ยังเจ็บช้ำถึงอย่างนั้นภิณไลย์ญาก็ต้องยอมรับสภาพโดยไม่มีเงื่อนไข เธอพยักหน้าและพูดกับนางพยาบาลว่า
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลน้องชายของดิฉันอย่างดี ไม่ทราบว่าคุณหมอจะอนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้เมื่อไหร่คะ”
“ถ้ายังไงเราจะแจ้งให้คุณทราบอีกทีนะคะเพราะคนไข้เคสนี้อยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอเป็นพิเศษและเราก็จะต้องรายงานอาการของคนไข้ให้คนของคุณซาเวียร์ได้รับทราบด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะถึงยังไงตอนนี้น้องชายของคุณก็พ้นขีดอันตราย เราเพียงรอดูอาการของเขาแล้วเฝ้าระวังอาการข้างเคียง ดิฉันคิดว่าอีกไม่นานเขาจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะ...ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”
กล่าวได้แค่นั้นภิณไลย์ญาก็ต้องปลีกตัวกลับออกมาเพราะเธอรู้ดีว่าถึงอยู่ไปก็ยังไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมน้องชายได้เธอเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นมากกว่าเก่าและยังนึกถึงตอนแรกที่รับรู้ว่าน้องชายเกิดอุบัติเหตุต้องเข้ารับการผ่าตัด ในเวลานั้นหัวใจของเธอเรากับหลุดหายไปนั่นเป็นเพราะว่าพิชญ์น้องชายคนเดียวของเธอก็เป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงสำคัญที่ช่วยพยุงครอบครัวและมารดา พิชญ์เป็นเด็กหนุ่มที่ขยันทำงานซึ่งก็เหมือนเธอ ต่างคนต่างช่วยกัน ก็ในเมื่อเธอกับน้องชายเหลือแค่แม่คนเดียวเท่านั้น ขณะที่เดินออกมาจากโรงพยาบาลและมัวแต่คิดถึงเรื่องที่นางพยาบาลพูดเมื่อครู่ภิณไลย์ญาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง
“เนเน่”เสียงคุ้นหูนั้นทำให้เธอต้องหันกลับไปและต้องผงะงันเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามา เธออุทานออกมาเบา ๆ ว่า“คริส”“เนเน่...คุณกำลังจะไปไหนนะ”“ฉันกำลังจะกลับไปที่บ้าน...เอ้อ...บ้านของคุณไงคะ ฉันต้องรีบกลับไปอยู่กับโซอี้ค่ะ”“ตอนนี้โซอี้อยู่กับป้าเจนนี่ แล้วนี่คุณคงมาเยี่ยมน้องชายของคุณสินะ ผมรู้มาว่าเขาเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง”“คิดอาการดีขึ้นแล้วค่ะหมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมแต่ฉันคิดว่าหลังจากนี้อีกสักประมาณ 2-3 สัปดาห์ฉันค่อยกลับมาใหม่คุณหมอคงจะอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้แล้วว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่หรอคะ”คริสรอยยิ้มก่อนตอบว่า“ผมไม่ได้มาทำอะไรหรอก ไม่ได้มาหาใครด้วย ผมเห็นคุณออกมาจากบ้านตั้งแต่ตอนเช้าก็เลยตามคุณมา”“ตามฉันมาเหรอคะ?...คุณตามฉันมาทำไม”“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะไปไหน”“ฉันไปไหนไกลไม่ได้หรอกค่ะเพราะว่ามีภาระหน้าที่ที่ฉันจะต้องทำนั่นคือการดูแลโซอี้”“จริง ๆ แล้วผมไม่ได้แค่อยากรู้ว่าคุณไปไหนแต่ผมอยากคุยกับคุณน่ะ”“เราเจอกันทุกวันอยู่แล้วค่ะ และเราก็คุยกันได้ที่บ้านของคุณ”“ที่นั่นไม่ใช่บ้านของผมหรอกนะ เป็นบ้านพี่ชายของผมต่างหาก”“มันก็ไม่ได้แตกต่างกันหรอก
คริสพาเธอมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ชายทะเลมันไม่ใช่ร้านที่หรูหราอะไรแต่บรรยากาศทำให้ภิณไลย์ญารู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่เธอเริ่มมีความกดดันที่ได้พบกับเขาเป็นครั้งแรกตามลำพังอีกครั้งหลังจากที่คริสแต่งงานกับลาริสา เมื่อไปถึงเขาก็เลือกนั่งโต๊ะในพื้นที่ซึ่งมีความเป็นส่วนตัว คริสสั่งเครื่องดื่ม สำหรับเขาเป็นเอสเพรสโซ่และสั่งน้ำส้มคั้นมาให้ภิณไลย์ญา มันทำให้เธอฉุกใจคิดได้ว่าคริสยังคงจดจำได้ว่าเธอชอบดื่มอะไร มันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาหากก็เพียงชั่ววาบใต้สำนึก เธอต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่าตอนนี้แม้ว่าเธอจะรู้สึกดีกับเขาเหมือนอย่างเมื่อก่อนหรือไม่ก็ตามหากแต่ภิณไลย์ญาก็ต้องกลืนเก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ในส่วนลึก เธอจะแสดงออกให้เขาเห็นไม่ได้ว่าความรู้สึกเก่า ๆ ที่ยังมีต่อคริสก็ยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำอันล้ำลึก เธอไม่ได้ลืมเขาเสียทีเดียวซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งในเมื่อครั้งหนึ่งเธอกับเขาเคยรักกันแม้ว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วจนเกือบหมดก็ตาม“ว่ายังไงล่ะคะคริส คุณมีอะไรที่เกี่ยวกับโซอี้อยากจะบอกกับฉัน”ภิณไลย์ญาตั้งคำถามขณะคริสต์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย ท่าทีของเขาผ่อนคลายล
“สามล้านดอลลาร์ค่ะ มันเป็นเงินที่มากพอสำหรับการช่วยชีวิตน้องชายของฉันและฉันก็คิดถูกที่กู้เงินจำนวนนั้นมาจากพี่ชายของคุณเพราะว่าตอนนี้พิชญ์ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว และมันเป็นสิ่งที่ฉันคาดหวังจะให้มันเป็นแบบนั้น”“สามล้านดอลลาร์?” คริสเสียงสูง “นี่มันไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะ คุณต้องรับงานมากเท่าไหร่กัน ไม่สิ...ต้องรับงานทั้งปีหรืออีก 2-3 ปีคุณก็คงจะเก็บเงินใช้หนี้ไม่หมด”“ฉันก็เลยต้องมาเป็นพี่เลี้ยงของโซอี้นี่ไงล่ะคะ ถือว่าเป็นการทำงานชดใช้หนี้ซึ่งมันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”“เงินเดือนพี่เลี้ยงมันจะสักเท่าไหร่กัน”“ฉันไม่ได้คิดออกมาเป็นตัวเงินที่ชัดเจนหรอกค่ะ คิดเพียงแต่ว่าทุกวันนี้ฉันต้องทำงานใช้หนี้หนี้ที่ฉันเอาไปแลกกับชีวิตของน้องชายซึ่งมันก็เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว”“และนี่คือความจริงที่คุณบอกผมอย่างนั้นสินะ”“ฉันไม่ได้โกหกคุณหรอกค่ะ นี่ไงคะความจริง ในเมื่อคุณอยากรู้ฉันก็จะบอกให้คุณได้รับรู้ว่าพี่ชายของคุณเป็นคนที่ไม่ไว้วางใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่คุณคิดนั่นล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะต้องปิดบังว่าการที่ฉันต้องเข้ามาดูแลลูกของนิคมันก็เกิดจากการที่ฉันมาชดใช้หนี้ให้เขา
“หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของผมกับทาเทียน่าก็ดำเนินไปในระยะเวลาที่เรียกว่ามันรวดเร็วมาก ๆ ผมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอและดูเหมือนว่านิคก็จะรู้เรื่องนี้ด้วยจนกระทั่งวันหนึ่งทาเทียน่าเข้ามาบอกผมว่าเธอท้องและมันเป็นเรื่องที่ทำให้พี่ชายของผมตกใจ ผมเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเอง ตอนนั้นผมยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ตอนแรกนึกคิดว่าถ้าผมเรียนจบแล้วก็จะได้ออกมาใช้ชีวิตครอบครัวถึงแม้ว่าเขาอยากจะให้ผมเรียนต่อก็ตาม ผมรู้สึกดีใจนะ ตั้งความหวังว่าเรียนจบก็จะเป็นเวลาที่ทาเทียน่าคลอดลูกพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะโอเคแล้วสำหรับครอบครัวซาเวียร์เพราะพวกเราก็เหลือกันแค่สองคนพี่น้อง ผมรู้ว่านิคเป็นห่วงและรักผมมากแค่ไหนแต่ตอนนั้นผมเองที่ไม่เข้าใจ ผมรู้ว่าผมยังอ่อนต่อโลกมากแต่ก็ไม่นึกว่าการที่ผมเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีเงินมหาศาลมันกลับไม่ได้ช่วยอะไรผมในเรื่องของประสบการณ์ชีวิตเลย”“มันก็เป็นเรื่องที่คาดเดาต่อไปได้ใช่ไหมคะว่าทาเทียน่าคลอดลูก แล้วตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนซะล่ะคะ”“ใช่...ทาเทียน่าคลอดลูก แต่หลังจากนั้นเธอไม่ยอมพาลูกมาอยู่กับผมที่คฤหาสน์ซาเวียร์ ตอนแรกผมไม่เข้าใจหรอกจนกระทั่งเธอยื่นข้อเสนอให้ผม เธอบอก
“แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากทำหน้าที่ของผม คุณอาจจะไม่เข้าใจหรอกเนเน่ว่าความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแต่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจังน่ะมันก็เป็นความทุกข์ทรมานมากเหมือนกัน”“ฉันสัญญานะคะคริสว่าฉันจะดูแลโซอี้อย่างดีที่สุดถึงแม้ว่าฉันจะมีเวลาได้อยู่กับลูกสาวของคุณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก่อนที่โซอี้จะเข้าโรงเรียน”“ขอบคุณมากนะเนเน่ ผมรู้สึกโล่งยังไงก็ไม่รู้ที่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณ อย่างน้อยคุณก็จะได้ไม่ต้องสงสัยยังไงล่ะเวลาที่เห็นผมกอดและแสดงความรักกับลูกสาวของผม รู้ไหมว่าผมกลัวจะมีใครเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”“เอาเป็นว่าฉันเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นและเข้าใจความรู้สึกของคุณก็แล้วกัน แต่ว่าตอนนี้ฉันว่ามันควรจะถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปดูแลโซอี้ได้แล้วล่ะค่ะ”“ผมจะไปส่งคุณนะ”“ไม่เหมาะกระมังคะ ฉันนั่งแท็กซี่ไปเองได้ค่ะ”“ที่ผมอยากจะไปส่งคุณน่ะก็เพราะว่าผมอยากจะขอคำปรึกษาจากคุณอีกนิดนึง”“เรื่องอะไรเหรอคะ”“ผมอยากซื้อของไปฝากโซอี้แต่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้เธอดีผมไม่รู้ว่าโซอี้อยากจะกินอะไรหรือเปล่า พวกขนมอย่างเช่นโดนัท ขนมเค้กคัพเค้กสีสวย ๆ หรืออาจจะเป็นของเล่น”ภิณไลย์ญาเงียบไปชั่วอึดใจก่อนตอ
“ว๊าว...มันอร่อยมาก...ฝีมือของหนูสุดยอดมาก ๆ”“จริงหราคะ...น้าเนเน่...มานี่สิคะ มาชิมแซนด์วิชของหนู”โซอี้โบกไม้โบกมือเรียกภิณไลย์ญาให้เข้าไปหาพร้อมทั้งยื่นแซนด์วิชที่เมื่อหญิงสาวก้มลงดูก็เห็นว่าขนมปังวางซ้อนกันแบบไม่เป็นระเบียบ ไข่ ผักและเนื้อฉ่ำซอสทะลักออกมา ถึงอย่างนั้นเธอก็ยิ้มแต่ยังไม่ทันหยิบเข้าปากก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นว่า“มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้นี่เอง...มีประชุมอะไรกันเหรอคะ?” ลาริสาเดินเข้ามาทำให้ทุกคนหยุดชะงัก โดยเฉพาะคริส ท่าทีของเขาเหมือนตกใจและมันรบกวนความรู้สึกของคนเป็นภรรยาที่สังเกตเห็นอาการแปลก ๆ ของสามีนับตั้งแต่มี คนอื่น เข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ลาริสาก็ยังยิ้มให้กับทุกคนแม้เป็นรอยยิ้มที่ภิณไลย์ญาก็รู้สึกได้ว่ามันค้านกับสายตาที่ฉายอะไรบางอย่างออกมา สักครู่คริสก็เอ่ยว่า“ผมมาลองชิมแซนด์วิชของโซอี้ เธอทำอร่อยมาก”“จริงเหรอคะ...เอ...ถ้าคุณน้าลาริสาอยากลองชิมด้วยจะได้มั้ยคะ?”“ได้ซีคะ” โซอี้พยักหน้าและยื่นแซนด์วิชอีกอันให้ลาริสา ประกายตาของเด็กน้อยราวกับเปี่ยมล้นด้วยความภาคภูมิในผลงานของตัวเอง ลาริสาจ้องมองของในมือแล้วพูดว่า“อืม...คุณน้าลาริสาว่า...ซอสมันเยิ้มเกินไ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ดิฉันจะนำมันไปปรับปรุงและใช้กับวิธีการเลี้ยงโซอี้ค่ะ”พูดจบภิณไลย์ญาก็เดินออกไป ขณะที่คริสกำลังจะหันหลังให้ลาริสาก็เข้าไปดึงแขนของเขา“เดี๋ยวก่อนค่ะ จะรีบไปไหนล่ะคะคริส”“ผมจะไปห้องทำงาน มีงานที่บริษัทผมต้องจัดการให้นิคให้เรียบร้อยในวันนี้”“งานคุณนี่มันสำคัญมากเหลือเกินนะคะมันจะสำคัญมากกว่าเรื่องของเราเกินไปแล้วนะ”“ลาริสา...คุณต้องเข้าใจสิว่าตอนนี้ผมอยู่ในฐานะลูกจ้างของพี่ชาย ถึงแม้ว่าผมจะมีตำแหน่งเป็นรองประธานบริหารแต่ผมก็ยังต้องกินเงินเดือนที่นิคเป็นคนจัดการให้ผมทุกเดือน”“ก็ไม่ได้ว่าคุณเรื่องนั้นหรอกค่ะเพียงแต่ฉันแค่อยากรู้ว่าเมื่อเช้าคุณไปไหนมา”“ผมออกไปธุระข้างนอก”“แล้วคุณก็กลับมาพร้อมกับเนเน่” “บังเอิญผมไปเจอเธอที่โรงพยาบาล”“คุณไปทำธุระที่โรงพยาบาลอย่างนั้นเหรอคะ”“ใช่...เพื่อนผมไม่สบายผมก็เลยไปเยี่ยมเพื่อนของผมที่โรงพยาบาลแล้วพอดีได้พบกับเธอ ตอนนี้น้องชายของเนเน่พักรักษาตัวเพราะเขาเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงต้องเข้ารับการผ่าตัด ผมเจอกับเธอก็เลยกลับมาพร้อมกันนี่ไง”“แล้วนี่คุณซื้ออะไรมาเยอะแยะคะ”ลาริสาพูดขณะก้มลงมองถุงหิ้วกระดาษในมือของคริสซึ่งเขาเองก้มล
ภิณไลย์ญาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของโซอี้ก็เห็นว่าเด็กหญิงยังนั่งอยู่บนเตียงขณะที่ป้าเจนนี่เดินสวนกลับออกไปและก่อนออกไปจากห้องนั้นป้าเจนนี่ก็พูดกับเธอว่า“คุณเนเน่มาพอดีเลย โซอี้ยังไม่หลับเลยล่ะค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าเจนนี่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะนะคะเดี๋ยวหนูจะอยู่เป็นเพื่อนโซอี้เอง”ป้าเจนนี่พยักน่ารักก่อนเดินออกไปจากห้องนั้น ภิณไลย์ญาจึงเดินเข้าไปหาเด็กหญิงซึ่งอยู่ในชุดนอน ดูเหมือนโซอี้เตรียมตัวจะนอนแล้วแต่ก็ยังนั่งหลังพิงหมอน เมื่อเห็นภิณไลย์ญาเดินเข้ามาหนูน้อยก็เอ่ยขึ้นว่า“อย่าถามหนูนะว่าทำไมยังไม่นอน”“น้าเนเน่ยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะคะ”ภิณไลย์ญากล่าวยิ้ม ๆ แล้วนั่งลงข้าง ๆ เด็กหญิง โซอี้หันมายังเธอและปุ้ยปาก“หนูรู้ว่าน้าเนเน่กำลังจะถามหนู”“โอเคค่ะน้าเนเน่ก็กำลังจะถามนั่นแหละว่าทำไมหนูยังไม่นอน”“หนูรอแดดี๊ค่ะ ทำไมแดดี๊ยังไม่กลับมา วันนี้ทั้งวันหนูก็ยังไม่เห็นหน้า daddy เลย”“แดดดี้ติดธุระกระมังคะ นอนเถอะนะคะ เด็ก ๆ นอนดึกมันจะไม่ดีนะรู้ไหม”“แต่ตอนหนูอยู่ฮาวายหนูนอนดึกทุกคืนค่ะ”“หนูทำอะไรถึงได้นอนดึกล่ะคะ”“หนูก็นั่งวาดรูปนั่งเล่นตุ๊กตา”“แต่หนูมาอยู่ที่นี่หนูต้องปรับเวลาการนอ
นิโคลัสหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง มันเป็นกล่องกำมะหยี่สีชมพูเล็ก ๆ และเมื่อเขาเปิดมันออกก็ทำให้เป็นภิณไลย์ญาดวงตาเบิกกว้างเพราะภายในนั้นเป็นแหวนแพลตตินัมประดับเพชรแม้เม็ดไม่ใหญ่แต่ประกายของมันก็ล้อเล่นกับแสงแดดอุ่นที่สาดส่องลงมาอาบไล้ เขาบรรจงหยิบมันและสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของภิณไลย์ญาก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากของเขาบนเรือนแหวนที่อยู่บนนิ้วของเธอหญิงสาวมองดูราวกับไม่อยากเชื่อสายตา นิโคลัสเงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า“คริสเคยบอกผมเหมือนกันว่าคนอย่างผมคิดถึงแต่ตัวเองและเห็นค่าของเงินเป็นใหญ่ ผมไม่เคยคิดถึงใคร แต่ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์ให้น้องชายของผมได้เห็นว่าผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาเคยว่าเอาไว้ ผมอาจจะเลวร้ายกับคุณมาก่อนแต่คนเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นี่ไม่ใช่เหรอ คุณอาจไม่ต้องอภัยให้ผมวันนี้ มันอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี ว่าแต่คุณจะยินยอมให้โอกาสนั้นกับผมไหม”“บอกแล้วไงคะว่าฉันต่ำต้อยมากเกินไป คนที่ต้องขอร้องโอกาสคุณเป็นฉันมากกว่าที่จะร้องขอจากคุณ”“ผมจะไม่ให้คุณร้องขออะไร แต่เป็นผมที่จะต้องขอร้องคุณ”นิโคลัสทรุดตัวลงนั่
“แต่ฉันยังเป็นหนี้คุณนะคะนิค ฉันเป็นหนี้คุณตั้ง 3 ล้านดอลลาร์ ฉันจะพยายามหามันมาใช้คุณ”“ลืมเรื่องนั้นไปเถอะนะ รู้หรือเปล่าว่าจริง ๆ ผมลืมมันไปตั้งนานแล้ว”“ฉันรู้ค่ะนิคว่าเงินสำคัญสำหรับคุณเสมอและไม่ใช่สิ่งที่คุณจะลืมมันได้ง่าย ๆ”“อยากรู้ไหมว่าผมลืมมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมลืมมันไปตั้งแต่ที่คุณเป็นของผมครั้งแรก”เธอเม้มปากแน่นน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณคงอยากให้ฉันดีใจ คุณคงแค่อยากจะปลอบใจฉัน”“เปล่าเลย...นี่เป็นคำสารภาพแบบโง่ ๆ ของคนที่ไม่เคยมีและไม่เคยเห็นค่าในความรักอย่างผม แม้แต่จะพูดคำนี้ก็ยังไม่เคย ผมได้แต่ภาวนาขอให้คุณเข้าใจ”“ฉันเข้าใจว่าคุณไม่เคยรักใครไม่เคยจริงจัง”“ผมอาจจะไม่เคยรักใครอย่างที่คุณว่าแต่ผมไม่เคยหลอกผู้หญิงเล่น ๆ และคุณก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมได้เห็นคุณค่าของความรักจากที่ผมรู้จักแต่งการใช้เงิน รู้ไหมว่าตอนที่คริสต์อยากจะใช้หนี้แทนคุณมันทำให้ผมโกรธมาก ผมรู้ว่าผมกำลังหึงคุณและคิดบ้าๆ ว่าคริสมันคงอยากได้คุณกลับคืนไป ผมลืมไปว่าสัมพันธภาพอันยิ่งใหญ่ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่ได้มีแค่เรื่องนั้น แต่มันหมายถึงความรักและความหวังดี คริสหวังดีกับคุณมากกว่าที่จะรู้สึกรั
“ผมยอมรับนะว่าตอนแรกตกใจมากที่รู้เรื่องระหว่างคุณกับนิคแต่มันก็ทำให้ผมมาคิดได้ในหลาย ๆ เรื่องว่าที่ผ่านมาหลาย ๆ เหตุการณ์และเรื่องแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมมันก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากตัวผมเองและคนที่เข้ามาคอยจัดการให้ผมทุกสิ่งทุกอย่างก็คือพี่ชายของผม บางทีถ้าเราสองคนยังรักกันมันก็อาจจะทำให้ผมไม่ได้คิดถึงสิ่งสวยงามที่สุดที่ผมทอดทิ้งไปนานนั่นก็คือโซอี้ ถึงแม้ว่าผมจะต้องเลิกกับลาลิสาแต่มันก็ทำให้ผมคิดได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรับผิดชอบและมันทำให้ได้มองเห็นตัวเอง มองเห็นความจริงว่าถ้าหากผมยังไม่กล้าคิดและตัดสินใจคงจะไม่มีวันค้นพบว่าต้องจัดการชีวิตตัวเองยังไงบ้างการไปอยู่ฝรั่งเศสมันเกิดจากการเลือกของผมเองและนิคก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้โซอี้ไปอยู่กับผมเพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังมีคุณกับชีวิตเล็ก ๆ”“ฉันกับเขาไม่คู่ควรกัน เหมือนที่เขามองฉันกับคุณว่าไม่คู่ควร ฉันต่ำต้อยเหลือเกินค่ะคริส ฉันคิดว่า...”“ว่าไงล่ะคริส...จะไปกันแล้วเหรอ?”เสียงทุ้มห้าวที่ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของคริสและภิณไลย์ญาแต่โซอี้กลับกระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งเข้าไปหาเจ้าของเสียงทรงอำนาจนั้น นิโคลัสช้อนร่างเด็กน้อยขึ้นอุ้มและจูบแ
“คุณอาคริสจะพาหนูไปฝรั่งเศสค่ะ”โซอี้เป็นฝ่ายตอบขณะที่นั่งอยู่บนตักของคริส เขาโอบกอดหนูน้อยเอาไว้และจูบแก้มยุ้ยเบาๆแสดงความรักความห่วงใยพร้อมกันนั้นก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา“ผมจะมารับโซอี้ไปฝรั่งเศสวันนี้ นี่ก็ให้คนของผมจัดกระเป๋ากับของใช้เรียบร้อยแล้ว พวกเขารอผมอยู่ที่สนามบิน”กล่าวจบเขาก็จับเด็กหญิงให้เลื่อนลงจากตักและนั่งบนโซฟา เขาลุกขึ้นและก้าวเข้าไปหาภิณไลย์ญาซึ่งตอนนี้เธออยู่ในชุดนอนสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมสีละมุนตา คริสหยุดยืนตรงหน้าเธอ รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนมุมปากได้รูป“เป็นยังไงบ้าง คุณสบายดีแล้วใช่ไหม?”“ฉันสบายดีค่ะ ว่าแต่คุณเถอะค่ะ คุณจะไปฝรั่งเศสแล้วจะพาโซอี้ไปด้วยเหรอคะ”“ใช่...ผมจะไปอยู่ที่ฝรั่งเศสและรับตำแหน่ง CEO ของบริษัทในเครือของซาเวียร์กรุ๊ปที่นั่น”“คุณลาริสาไปด้วยใช่ไหมคะ พวกคุณเข้าใจกันแล้วใช่ไหมคะ”เขาส่ายหน้าและตอบว่า “ผมหย่ากับลาลิสาแล้ว เราเพิ่งหย่ากันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง”“ว่ายังไงนะคะ! คุณหย่ากับลาริสา...คุณพระ...เธอคงโกรธเรื่องของฉันอย่างนั้นสินะคะ ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะคริส ฉันไม่ตั้งใจที่จะทำให้ครอบครัวของคุณต้องแตกหักกันอย่างนี้เลย”เขาส่ายหน้าอีก
“คุณน้าเนเน่นอนพักผ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูจะเช็ดตัวให้คุณน้านะคะ”โซอี้กระวีกระวาดทำเหมือนผู้ใหญ่ไม่มีผิด เด็กหญิงวิ่งออกไปจากห้องนั้นนิโคลัสจึงหันมาทางภิณไลย์ญาที่นอนบนเตียงโดยมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ“ผมรู้ว่าคุณไม่สบายและต้องการพักผ่อน”“ใช่...ฉันต้องการพักผ่อนแต่เป็นบ้านของฉันไม่ใช่ที่นี่ ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าคุณไม่ว่างไปส่งฉันก็เรียกคนขับรถของคุณให้พาฉันไปส่งก็ได้ค่ะนิค”“วันนี้คนของผมไม่มีใครว่างหรอกนะ”“ฉันไม่เชื่อ คุณโกหก คุณอยากจะกักตัวฉันไว้ที่นี่ หรือว่าถ้าคุณอยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่ก็ให้ฉันกลับไปที่บ้านก่อนแล้วฉันจะบอกแม่ฉันว่าฉันต้องออกมาทำงานท่านจะได้เข้าใจจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”“ท่านไม่เป็นห่วงคุณหรอกนะ ท่านรู้ว่าคุณอยู่กับโซอี้และผมก็อยากจะขอร้องให้คุณอยู่กับแกที่นี่คืนนี้”“ด้วยเหตุผลอะไรกันคะ ได้โปรดเถอะค่ะ คุณไม่ควรจะใช้คำว่าขอร้องกับฉันเพราะนี่เป็นการบังคับ”“OK… ถ้าคุณอยากจะกลับก็ได้แต่โซอี้จะรู้สึกยังไงในเมื่อแกคิดว่าคุณไม่สบายและแกก็ตั้งใจที่จะดูแลคุณ ถ้าคุณกลับไปมันก็เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจแก”“คุณกำลังสร้างเงื่อนไขและกำลังกดดันฉันอยู่นะคะ”“ผมพูดความจริงต่างหากและมันก
“ คุณคิดแบบนั้นเหรอเนเน่”“ ใช่ค่ะ...และฉันก็คิดถูกใช่ไหมคะ ฉันพูดถูกทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คุณจะไม่สูญเสียผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะฉันจะไม่ผิดสัญญาเรื่องที่จะหาเงินมาชดใช้ให้คุณ”“ผมรู้ว่าคุณจะไม่ผิดสัญญาแต่คุณก็ผิดคำพูดกับผม ““แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง จะให้ฉันทำยังไงคะนิค ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปแล้ว”ภิณไลย์ญาเผลอร้องไห้ออกมาและทรุดตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำ เธอกอดเข่าแล้วร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง ตอนนี้หัวใจของเธอแหลกสลายทั้งจากความผิดหวังและร่างกายที่ยิ่งนับวันยิ่งอ่อนแอ เธอดูเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกและถึงทางตันของชีวิต นิโคลัสทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเธอ จ้องมองร่างเล็กที่ก้มหน้าร้องไห้เหมือนแทบขาดใจแต่ภิณไลย์ญาก็ไม่ส่งเสียงออกมาดัง ๆ เธอกดเก็บตัวเองไว้เพราะกลัวโซอี้จะได้ยินแต่ในเวลานี้เธอช่างดูอ่อนแอและเป็นภาพที่ฉุดรั้งความรู้สึกของนิโคลัสให้ยิ่งดำดิ่ง เขารู้ตัวดีว่าทำให้เธอเจ็บช้ำอย่างสาหัสหากทว่าคนที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากลับเป็นเขาเสียเอง ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือเพื่อลูบเรือนผมของภิณไลย์ญาที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลั
“เข้าไปในบ้านกันเถอะเนเน่ โซอี้หิวขนมแล้ว”“ค่ะ” เธอรับปากสั้น ๆ และเดินตามเขากับเด็กหญิงตัวเล็กเข้าไปโดยที่นิโคลัสก็ยังจูงมือไม่ยอมปล่อยมือของเธอจากมือของเขา มันไม่ได้ทำให้ภิณไลย์ญาอบอุ่นแม้แต่น้อยยิ่งใกล้ชิดเขามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหนาวยะเยือกในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น นิโคลัสเหมือนซาตานเขาอาจกลายร่างเป็นเทพบุตรก่อนที่จะกลายเป็นปีศาจร้ายภายในเสี้ยววินาที เธอรู้ดีและไม่เคยลืมสิ่งที่เขากระทำกับเธอเมื่อประตูบ้านเปิดออกทั้งสามก็ก้าวเข้าไปในห้องรับแขกภายในได้รับการตกแต่งอย่างเรียบหรู มันดูกว้างขวาง หลังคาทรงสูงทำให้บ้านดูโอ่อ่าหากทว่าสำหรับภิณไลย์ญาแล้วเธอยิ่งรู้สึกอึดอัด ไม่ได้คิดว่าบรรยากาศโล่งหรือโปร่งสบายเลย เมื่อเข้าไปในห้องรับแขกนิโคลัสก็วางถุงใส่ขนมลงบนโต๊ะ โซอี้เปิดถุงขนมดูและล้วงหยิบเค้กกับคุกกี้ออกมาก่อนหันมาทางภิณไลย์ญาและพูดด้วยประกายตาใสแจ๋วว่า“คุณน้าเนเน่ขา คุณน้าเนเน่ชอบขนมนี้หรือเปล่าคะ”“ว่าแล้วเด็กหญิงก็หยิบคุกกี้ในห่อสีสวยอยู่ในภิณไลย์ญาที่รับไปเธอยิ้มตอบและบอกว่า”“ชอบค่ะ...เอ้อ...”“ชอบก็กินเลยสิคะ แดดี๊ขา มากินขนมด้วยกันเถอะค่ะหนูหิวแล้ว”“ได้สิจ๊ะทูนหัวของ daddy มาเราม
“แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ฉันไม่ได้อยู่กับคุณแล้ว “คุณจะมาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้นะคะนิค”“ลืมไปแล้วหรอเนเน่ว่าคุณยังติดค้างอะไรผมอยู่ คุณเป็นคนผิดกฎและทำผิดสัญญากับผมหรือว่าคุณไม่ยอมรับว่าการที่คุณหนีมานี่มันเป็นการไม่รักษาสัญญาที่คุณเคยให้ไว้”“แล้วคุณต้องการอะไรกันล่ะคะ ถ้าคุณต้องการเงินฉันจะพยายามหามาคืนคุณ คุณจะไม่สูญเสียผลประโยชน์ของคุณแม้แต่เซ็นเดียว”“เรื่องนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือคุณนะเนเน่ผมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้องชายของคุณและพอเขาหายดีคุณก็คิดจะหนีผมไปดื้อ ๆ แบบนี้น่ะหรือ มันไม่ยุติธรรมสำหรับผมรู้ไหม”เขาพูดจบก็บัยดตัวเข้าหาเธอโดยไม่สนใจใครในที่นั้น แต่แล้วนิโคลัสต้องชะงักเมื่อภิณไลย์ญาเงยหน้ามองเขาดวงตาของเธอแดงก่ำ ปากของเธอระริกสั่นและร่างนั้นสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนทรงพลัง“ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะค่ะนิค คุณจะให้ฉันทำยังไงก็ได้ ฉันขอร้องเถอะนะคะ”“ผมปล่อยคุณไปไม่ได้หรอกและจะไม่มีวันยอมปล่อยคุณไปไหนด้วย”เขากดน้ำเสียงต่ำแต่คำพูดนั้นหนักแน่นและมีพลังสั่นไหวความรู้สึกของภิณไลย์ญา เธอแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่แต่แล้วเสียงของโซอี้ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“แดดี๊ขา...หนูเลือกข
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ตอนนี้พิชญ์ดีขึ้นมากแล้ว แม่ก็แค่คอยดูแลให้เขากินอาหาร กินยาให้ตรงเวลาก็เท่านั้นเอง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าเป็นกังวลเลย ลูกไปกับหนูโซอี้เถอะนะ เขาอุตส่าห์มาหาถึงที่นี่แสดงว่าคิดถึงลูกจริง ๆ”“นั่นน่ะสิครับ...เหมือนอย่างที่คุณแม่ว่า เนเน่อย่าขัดใจโซอี้เลยนะ แกคิดถึง อยากอยู่กับคุณน่ะ”นิโคลัสกล่าวเสริมแต่ภิณไลย์ญารู้สึกราวกับว่าเขากำลังบีบบังคับเธอทางอ้อมอีกแล้ว มันทำให้เธออึดอัดและเครียดขึ้นมาแต่แล้วหัวใจดวงนั้นก็อ่อนยวบลงเมื่อโซอี้เข้ามาสวมกอดและพูดว่า“ไปกินขนมกับหนูเถอะนะคะ คุณน้าเนเน่ขา หนูอยากชวนคุณน้าเนเน่ไปซื้อพาเล็ทสวย ๆ ด้วยค่ะ คุณน้าเนเน่แต่งหน้าให้หนูสวยที่สุดเลย หนูอยากให้คุณน้าเนเน่แต่งหน้าให้หนูอีกค่ะ แดดี๊ก็ไม่ว่าอะไรแล้วนะคะ”“ค่ะ...ก็ได้ค่ะ”ภิญญารับปากทั้งที่ใจจริงเธออยากปฏิเสธและขณะที่พูดกับโซอี้เธอก็พยายามไม่สบนัยน์ตาเข้มของนิโคลัสที่จ้องมองหญิงสาวตลอดเวลา เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดหรือวางแผนอะไรอยู่การที่เขามาที่นี่คงไม่ได้อยากรู้จักครอบครัวของเธอซึ่งอยู่ในย่านของคนที่มีฐานะการเงินต่ำกว่าเขามากนัก เขาอาจรังเกียจด้วยซ้ำ คนอย่างนิโคลัสซาเวีย