นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง กลีบปากอิ่มสีชมพูสดอ้าค้างอย่างไม่กลัวแมลงบินเข้าไปวางไข่ เมื่อปากหนาอุ่นแนบลงมาบนหน้าผากนวลเนียนเต็มๆ
“คุณ!” ใบหน้านวลผ่องร้อนผ่าวจรดลำคอ หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำอย่างกับจะกระโดดออกมาจากทรวง เมื่อได้ใกล้ชิดบุรุษเพศชนิดได้กลิ่นกายเนื้อแท้ที่ติดจมูกพร้อมจูบ! แรกที่มิได้มาจากคนในครอบครัว
“ถอยไปนะคนบ้า รัดมาได้...อึดอัดจะตาย” หญิงสาวพูดเสียงแข็งกลบเกลื่อนความอายและบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจอย่างปัจจุบันทันด่วน อย่างที่หักห้ามไว้ไม่ได้ สองมือเล็กผลักดันร่างยักษ์ให้ถอยห่างไปอย่างเร็วไว
“เอ่อ...ฉันขอโทษ” อันเดซาอีเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด พร้อมหัวใจที่กระตุกไหวยามได้ยลความงามของแม่สาวร่างบอบบางเบื้องหน้า ดวงหน้าเรียวรูปไข่นวลลออผ่องพรรณ ยามลุกขึ้นพากายไปยืนห่างๆ มองมือบางปัดไล่ความสกปรกออกจากกาย ใบหน้าคมคร้ามก็เปื้อนรอยยิ้มอย่างเอ็นดูอย่างไม่รู้ตัว
แม่แมวขโมยหน้าตาใสซื่อ กลีบปากรูปกระจับสีชมพูเข้ม ทำให้ต้องรีบเมินหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวใจ ทว่าหัวใจกลับเรียกร้องให้ต้องมองซ้ำ แก้มใสซับสีเลือดป่องออกจนเขาอยากกดจมูกไปดมดอมความหอม
“คิดยังไงถึงได้มาทำตัวเป็นขโมยหือ...รู้ไหมถ้าถูกจับได้ จะเจอกับอะไรบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเอ็นดู ด้วยเท่าที่คาดคะเนได้ อายุอานามเธอน่าจะน้อยกว่าเขาสักห้าหกปี อีกทั้งท่าทางตื่นตระหนกเหมือนเพิ่งทำงานครั้งแรกด้วย
“เปล่านะ...ฉันไม่ได้เป็นขโมยจริงๆ ฉันแค่หนีพ่อกับแม่มาเที่ยว แล้วก็เจอคุณนั่นแหละ...ไม่แค่กล่าวหากันอย่างไม่ฟังเหตุผล ยังทำให้เจ็บตัวลงไปนอนคลุกฝุ่นอีก” หญิงสาวโต้กลับเสียงใส ก่อนรีบก้มหน้าร้อนผ่าวงุดด้วยเขินอาย จนไม่กล้าสบสายตาวามวาวที่มีผลกับหัวใจอย่างรุนแรง!
“ฮึ” รอยยิ้มแต้มบนมุมปากหนา “เชื่อได้หรือไง ปกติแล้วคนทำผิดที่ถูกจับได้ มักแก้ตัวด้วยกันอย่างนี้ทั้งนั้นนะ”
“จริงๆ นะคะ” ไอซาย่ายืนยันเสียงหวานใส “ถึงครอบครัวฉันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็มีอันจะกิน ฉันไม่จำเป็นต้องมาขโมยเงินคุณหรอก ดูการแต่งตัวฉันสิ เสื้อผ้า เครื่อง แต่งกายอื่นๆ ราคาไม่น้อยเลยสักชิ้น” หญิงสาวยื่นมือส่งไปให้ดูเลยถูกเขาจับ...ทันทีที่สายลมโบกโบยพัด หัวใจละลิ่วเล่นกับท่วงทำนองแห่งเพลงรักที่ดังกระหึ่มก้องทรวง จนสองแก้มร้อนผ่าวในทันที
“นั่นสิ...ฉันคงเข้าใจผิดไปจริงๆ นั่นแหละ คนน่ารักอย่างเธอ คงไม่ทำเรื่องไม่ดีหรอก...ใช่ไหม” ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่มทุ้ม ปลายนิ้วลูบไล้หลังมือนุ่มนิ่ม
“เอ่อ...คุณเชื่อแล้วสิ ว่าฉันไม่ได้เป็นขโมย ตอนนี้ปล่อยมือฉันได้แล้วใช่ไหมคะ”
“เชื่อ แต่...ไม่อยากปล่อย” ชายหนุ่มยอมปล่อยมือนุ่ม เพื่อจะได้มองการแต่งกายของอีกฝ่ายให้ชัดเจน
นิ้วยาวลูบไล้ปลายคางสากระคายหลังจากพินิจมองอีกฝ่ายอย่างละเอียดถ้วนถี่ ผิวพรรณเธอเปล่งปลั่งนวลเนียนลออ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของดีจริงๆ จึงทำให้ค่อนข้างจะเชื่อคำพูดเธอ
“นึกยังไงถึงหนีพ่อกับแม่มาเที่ยวอย่างนี้ รู้ไหมมันอันตรายแค่ไหนที่เดินอยู่คนเดียวแบบนี้น่ะ”
ใบหน้านวลผุดผาดบูดบึ้งตึง จมูกโด่งยู่ย่นเล็กน้อย บิดากับพี่ชายก็พูดเช่นนี้ ถึงได้มีมาตรการเอาไว้ หากเธออยากไปข้างนอกก็ต้องมีคนไปอยู่เป็นเพื่อน เมื่อคนเราขาดอิสระในการติดสินใจ ก็เป็นเหตุให้เธอมีความพยายามที่จะหนีออกมา...เพียงลำพัง!
“ถึงรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงเราก็คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเศร้า ในใจโหยหาอย่างหาสาเหตุไม่เจอ
“ทำไมล่ะ” อันเดซาอีเอ่ยถามด้วยใจหาย ด้วยเพียงแค่แรกพบสบตา หัวใจก็บอกว่าใช่! เธอคือคนที่เขาตามหามาแสนนาน ที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้หลุดมือไป ยังไงต้องตามสานความสัมพันธ์ทางใจให้ถึงที่สุด
“ครอบครัวฉันเป็นพ่อค้าวานิช เดินทางรอนแรมทำการค้าขายไปเรื่อย ความจริงเราต้องกลับบ้านแล้ว แต่เมื่อเดินทางผ่านเส้นทางนี้ พ่อบอกว่าที่นี่พ่อมีเพื่อนเก่าไม่เจอกันนานแล้ว อยากแวะเยี่ยมเยียนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางกลับ” หญิงสาวบอกออกไปเสียงหวานแต่แผ่วเบา
“หือ...” ชายหนุ่มขานรับในลำคอ นัยน์ตากระจ่างสดใสพานทำให้ใบหน้าเข้มอ่อนละมุนและเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ จนไอซาย่าเผลอมองตาปรอย ที่เมื่อรู้สึกตัวก็อายจนสองแก้มก็ร้อนผ่าว
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนใบหน้าคร้ามแกร่งจะมีรอยยิ้ม สองสามวันนี้บิดาเปิดบ้านรับแขกซึ่งเป็นเพื่อนเก่าจากต่างเมือง ที่เขาพอจะมองถึงวัตถุประสงค์ของชายและหญิงวัยกลางคนที่เค้าหน้ามิเพี้ยนไปจากสาวน้อยตรงหน้า
เมื่อพอจะเดาความสัมพันธ์ของสาวน้อยที่ทำให้หัวใจสะดุดได้ ว่าเธอเป็นใคร...ใบหน้าคมเข้มคลี่ยิ้มหวาน นัยน์ตาพราวระยับ แรกเริ่มที่รู้วัตถุประสงค์ของบิดาและผู้เป็นเพื่อนที่อยากให้สองครอบครัวสนิทแน่นแฟ้น ด้วยการให้เขาได้สมรัก...สมรสกับใครก็ไม่รู้ได้ เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างสูง ทว่าเมื่อได้พบเจอกับคนที่ถูกหมายตัวไว้เข้าจริงๆ หัวใจก็สั่งการเลย ห้ามปล่อยให้เธอหลุดมือไป!
“ตอนนี้ยังอยากเที่ยวอยู่อีกไหม สนใจจะรับผมไปเป็นบอดี้การ์ดชั่วคราวพ่วงด้วยตำแหน่งไกด์กิตติมศักดิ์สักคนไหม” ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปจนปลายจมูกโด่งแทบแนบชิดใบหน้านวลซับสีเลือด
“ได้ยังไงล่ะคะ เรายังไม่รู้จักกันเลยนะ” หญิงสาวตอบพลับพร้อมกับก้มหน้างุดด้วยไม่หาญกล้าสบสายตาเข้มที่ทำให้รับมือไม่ถูก ไม่รู้ควรจะทำตัวเช่นไรดี
“เราพูดคุยกัน…แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน ฉันอันเดซาอี ซีกัลป์ โอซาอิดนี่”
“อ๋อ เป็นคุณน่ะเอง” หญิงสาวร้องอ๋อในลำคอ เพราะอย่างนี้เองสินะ ชายหนุ่มถึงได้ยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับ กล้าเสนอหน้าพาเธอเที่ยวโดยไม่คิดถึงเหตุร้ายที่จะตามมา หากพี่ชายหรือบิดาพาคนมาตามพบเจอ แต่...ถึงเป็นบุตรชายของเพื่อน แล้วจะมั่นใจได้ยังไงกันล่ะ ว่าบิดาและพี่ชายจะให้การยอมรับน่ะ
“ไม่กลัวหรือคะ พ่อฉันขึ้นชื่อเรื่องความหวงลูกสาวนะ”
“ไม่เข้าถ้ำเสือ จะได้ลูกเสือแสนสวยนาม...”
“ไอย่า...ไอซาย่า เซราเดยาค่ะ” ไอซาย่าแนะนำตัวด้วยหัวใจโป่งพอง เธอหลุบสายตามองร่างแกร่งกำยำอย่างชายชาตรี ที่ไม่ต้องบอกกล่าวสิ่งใดมาก เธอก็รับรู้ถึงความห้าวหาญและกล้าแกร่ง เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์และความมั่นใจ
“ไอย่าคงให้เกียรติเดินเที่ยวกับฉันได้ไหม และคงไม่รังเกียจถ้าฉันจะตามไปสานสัมพันธ์...ใจด้วยถึงบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มทุ้ม พลางส่งสายตาวาววับจ้องสาวน้อยตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ
เจอกันครั้งแรกเธอก็ถูกเขาเกี้ยวพาราสีด้วยวาจาไพเราะเสนาะหวานหู สำทับด้วยนัยน์ตาเข้มล้อมกรอบด้วยขนตายาวไม่แพ้อิสตรี ทอดมองอย่างกับจะกลืนกิน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหนาหยักส่งยิ้มละลายหัวใจสาวน้อยไอซาย่าจนแทบไม่กล้าหายใจ เผลอพยักหน้าสีกุหลาบโดยไม่ทันรู้ตัว ก่อนก้มลงมองสองมือบางที่เกี่ยวปลายนิ้วไขว้กันด้วยความเขินอายจากสายตาคมเข้ม
“ไม่รู้บิดาไอย่าจะว่ายังไงบ้าง ถ้าหากฉันจะเชิญไอย่าไปเป็นแขกที่บ้าน”มีคำถามมากมายในดวงตากลมโตใสแจ๋ว ที่อันเดซาอีอยากยื่นมือไปทาบบนสองแก้มซับสีเลือด แล้วกดปากลงบนหน้าผากนวลไล่ลงมาถึงดวงตา สิ้นสุดบนกลีบปากสีชมพูสด“ไม่อยากปล่อยให้ไอย่าเดินคนเดียว กลัวใครดักพาดวงใจหนีหายไป” “ขี้ตู่ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ” หญิงสาวตวัดค้อนใส่อันเดซาอีวงโต แต่ก็ปล่อยให้มือเล็กตกอยู่ในอุ้งมืออุ่น ฟังเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเล่าเรื่องราวสานสายใยบางๆ ให้กับหัวใจที่เต้นกระหน่ำรัวเร็ว ใบหน้าสองคนเปี่ยมล้นด้วยความสุขกับรักแรกเจอ!“แต่งงาน! ความสุขหรือเศร้า...สูญเสียและร้องไห้!”ความหวานจางหายจากคู่บ่าวสาว เสียงหัวเราะแห่งความสุข ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสหยุดชะงักลง เมื่อมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ!สายตาทุกคู่ของแขกในงานไปโฟกัสอยู่ที่จุดเดียว...ชายร่างผอมกะหร่องกะแหร่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่หาสีเก่าไม่เจอ ด้วยตอนนี้เหลือเพียงสีกระด่างกระดำและขาดกะรุ่งกะริ่ง ใบหน้ามอมแมมรกครึ้มไปด้วยหนวดเครา จนเห็นเพียงแค่ลูกตาที่เลื่อนลอยและสติไม่อยู่กับตัว“ดูแลกันยังไง ถึงได้ปล่อยให้ตาแก่สกปรกนี่เข้ามาในงานเราได้” อันเดซาอีหันไปต่อว่าเพื่อนด
กายอรชรทรุดลงยื่นมือสั่นไปหาชายสกปรกมอมแมมอย่างไม่นึกรังเกียจรังงอน ด้วยถือว่าคนเราไม่ต้องการให้เรื่องมันเลวร้าย แต่โชคชะตาต่างหากเป็นผู้กำหนดเส้นทางเดินให้ ดังเช่นคนตรงหน้าที่คงต้องรับผลจากการกระทำ พานให้ตัวเองต้องมาพบกับเรื่องราวเลวร้ายแค่ก้าวเข้ามาในงานเค้าลางร้ายก็อบอวลจนทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็ถดถอยหนีแล้ว อย่างนี้จะให้เจ้าสาวแสนบริสุทธิ์ต้องยื่นมือไปสัมผัสกับเนื้อกายสกปรกแปดเปื้อน รับเอาความโชคร้ายมาถูกตัวได้อย่างไรกันไอซาย่าเงยหน้ามองใบหน้าเข้ม ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยด้วยวาจา แค่ยื่นมือสอดไปให้เขากระชับก็รับรู้ถึงหัวใจและความห่วงใย พร้อมความมั่นคงและมั่นใจ...ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น อันเดซาอีจะไม่มีวันทอดทิ้งให้เธอต้องเดียวอาย อกกว้างให้พักอิง แขนแกร่งจะโอบอุ้มมิให้โพยภัยมากล้ำกราย นับจากนี้จนตลอดไปตราบเท่าที่ลมหายใจยังคงอยู่“ไม่...อย่ามายุ่งนะคนใจร้าย” เพราะกลัวถูกจับโยนออกไปจากงานอย่างที่เจ้าบ่าวหน้าหล่อแต่ใจร้ายพูด โอซามุจึงยกมือปัดป้อง“ไม่ไป! จะอยู่ที่ ที่นี่สนุกดี มีคนเยอะแยะไปหมด มีของกินอร่อยๆ ด้วย” ชายสติขาดหายหยุดร้องไห้ฟูมฟาย ดันตัวเองลุกขึ้นยืน สองมือเปื้อนดำยกขึ้นปาดน้ำต
“ไม่ต้องกลัวนะไอซาย่า ฉันจะไม่ให้ใครหน้าไหน ทำอะไรเธอได้แน่นอน” อันเดซาอีบอกกล่าวคนรัก มือหนาทาบทับบีบกระชับมือนุ่มนิ่มเย็นเฉียบอย่างต้องการปลอบประโลม ทั้งที่ตัวเขาเองไม่แน่ใจเลยสักนิด จะทำอย่างคำพูดได้หรือเปล่า ในเมื่อรอบกายตอนนี้มีแต่ขุนโจรร้ายอยู่รายรอบพร้อมอาวุธครบมือ ขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย“ฮ่าฮ่า แกนี่มันไม่ดูน้ำหน้าตัวเองเลยนะไอ้หนูน้อย ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ยังไปห่วงคนอื่นอีก” ขุนโจรร้ายหัวเราะเสียงดังลั่น หันไปมองลูกน้องที่ทำหน้าที่ของตัวเองไม่ขาดตกบกพร่อง เหลือเพียงแค่เขา...“ฉันว่าแกไปซุกอกกินนมแม่ดีกว่าไอ้หนูน้อย ส่วนแม่สาวน้อยแสนสวยนี่...เธอเป็นของฉันว่ะ”“กรี๊ด!!” ไอซาย่าหวีดร้องเสียงหลง เพียงแค่พริบตานิดเดียวเท่านั้น กำแพงหนาที่ใช้เป็นเกราะกำบังกายอันตรธานลอยไปล้มคลุกฝุ่น มุมปากด้านหนึ่งปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา ในขณะที่ตัวเธอก็ลอยละลิ่วไปนั่งอยู่บนอาชาตัวใหญ่ มีแขนกำยำราวกับเหล็กกล้ารัดรอบลำตัว สองมือถูกจับมัดเอาไว้ด้วยมือหยาบเพียงข้างเดียว ด้วยอีกข้างนั้นถือปืนเล็งใส่อันเดซาอี!“ไม่! ปล่อยฉันนะ! ซีกัลป์ช่วยด้วย!” ไอซาย่าหวีดร้องเสียงดังลั่น พร้อมพยายามไขว่คว้าหาคนรักให้
ดึกสงัดราตรีมืดมิดไร้แสงจากดวงจันทรา มีเพียงดวงดาราส่องกะพริบให้แก่เหล่านักเดินทางยามค่ำคืนเฉกเช่นทุกค่ำคืน ถึงเวลาที่เขาต้องเดินทางตามล่าควานหาจอมโจรผู้พรากดวงใจไปอย่างไม่มีวันกลับคืนมาอีกครั้ง แม้ยากจะพบเจอได้โดยง่าย แต่อันเดซาอีก็ไม่เคยทำให้ย่อท้อ วันเวลาไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างลบเลือนไปจากใจ แต่กลับตอกย้ำให้มุ่งมั่นมากกว่าเดิมหลายเท่านัก ถ้าไม่ได้เห็นเจ้าหัวหน้าโจรใจบาปนั่นตายต่อหน้าต่อตาด้วยสองมือนี้...เขาไม่มีวันหายแค้น!อันเดซาอีหมุนตัวเดินกลับไปยังตู้ผ้า แสงจากไฟห้องน้ำที่เปิดอยู่สะท้อนกระจก ทำให้เห็นเงาร่างหนาแกร่งกำยำ ไหล่กว้างอกผึ่งผาย ซึ่งมีรอยตำหนิเป็นจุดเล็กๆ ที่ตอกย้ำมิให้เขาลืมเหตุการณ์ร้าย กรามหนาขบกัดจนแก้มตอบนูนขึ้นสัน นัยน์ตาเข้มจัดเป็นประกายแข็งกร้าวและดุ ราวกับเหยี่ยวร้ายแห่งท้องทะเลทรายเวลาผ่านพ้นนานเกือบยี่สิบปีที่จะครบรอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ใจเขากลับรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง วันที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งอย่าง...จากที่เคยคิดเอาไว้ เมื่อหายจากอาการบาดเจ็บ จะเร่งรุดไปตามหาและช่วยเหลือเธอจากเงื้อมมือโจรร้าย แต่ใครจะคิดเล่า เขาบาดเจ็บเจียนตาย ต้อ
“ช่วยด้วยซีกัลป์ ช่วยแม่ด้วย!”อันเดซาอีกดสวิตช์ไฟข้างประตูเปิดให้ห้องสว่างขึ้น แล้วรีบเดินไปทรุดนั่งใกล้ตัวมารดา เพียงแค่แตะที่ร่างเล็กแกร็นซึ่งนอนกระสับกระส่ายบิดกายไปมา สองมือไขว่คว้าสลับป่ายปัดผลักไสและหวีดร้องเสียงหลงด้วยความกลัวอย่างรุนแรงโดยไม่รู้ตัว“แม่...แม่ครับ ผมเอง...ซีกัลป์”“ซีกัลป์!” คนถูกน้ำเสียงคุ้นเคยเรียกลืมตาตื่นทันควัน พร้อมร่างเล็กผอมแกร็นสั่นเทาราวกับนกน้อยพลัดตกลงไปในคุ้งน้ำเย็นจัด ผวาขึ้นจากเตียงกอดผู้เป็นลูกชาย“เจ้าพวกนั้น...คนพวกนั้นมากันอีกแล้ว มันจะมาทำร้ายเรา...ทำร้ายแม่ ช่วยด้วยซีกัลป์ แม่กลัว!”นางโซไรยาซุกกายสั่นงันงกแทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของบุตรชาย ใบหน้าขาวซีด น้ำตาไหลอาบแก้ม แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่สำหรับนาง ความสูญเสียและเจ็บปวดฝังสนิทแนบอยู่ในใจไม่เคยจางหายไป มันเกาะกินหัวใจให้ค่อยๆ ตายซากลงไปทุกวันอย่างเชื่องช้าที่สุดเคยคิดหลายครั้งว่านางควรจะตายตามผู้เป็นสามีไป จะได้ไม่เป็นภาระให้อันเดซาอีต้องคอยดูแล จนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว ทว่า...ความหวังที่ยังคงเหลืออยู่ ที่จะได้เห็นหน้าหลานชายที่หายสาบสูญไปและการได้เห็นลูกชายคนเดียวที่แปรเปลี
“ถ้าแม่สามารถหาคนคนนั้นได้ล่ะ ลูกจะยอมทำตามความต้องการของแม่ไหม” นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่คราวนั้นผ่านไปโดยบังเอิญ ถึงได้ล่วงรู้บางอย่างที่สามารถนำมาใช้ในคราวนี้ได้อันเดซาอีขบคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ คงถึงเวลาที่เขาต้องยอมทำตามคำขอร้องของมารดาเสียที “ถ้ามีคนยอม...ผมยังไงก็ได้ แต่...” ข้อแม้มีมากมาย จะมีใครยอมทนอยู่กับคนมากเรื่อง เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเขาได้ล่ะ ถึงแม้เวลาร่วมหอหลับนอนจะไม่นานก็ตาม “แม่คงไม่ลืม ผมเคยบอกอะไรไว้”“แค่ลูกยอมทำตามคำขอ แค่นั้นก็ดีแล้ว” เพราะความเป็นมารดาของอันเดซาอี จึงทำให้นางสามารถล่วงรู้ในสิ่งที่บุตรชายต้องการและทำมันได้ด้วยอยากถาม แม่รู้ได้ยังไง ผู้หญิงที่เลือกมาเป็น...แม่พันธุ์ ไม่เป็นหมันและการมีอะไรด้วยเพียงไม่นาน จะตั้งครรภ์ได้ สามปี...สองคน!อันเดซาอียิ้มเย้ยหยัน ผู้หญิงที่มารดาหามาคงไม่แคล้วหลงในทรัพย์สินเงินทองและความสบายของเขา จึงได้ยอมพลีกายขายเรือนร่างและยอมจากไปเมื่อครบกำหนดเวลาสัญญา โดยใจดำทิ้งลูกในอุทรได้อย่างไร้เมตตาและสำนึกของความเป็น...มารดา!“ผมไปตามฮารินะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ แล้วจะไปเลย” ไม่รอให้มารดาห้าม อันเดซาอีรีบเดิน
“ช่วยบอกหนูทีเถอะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องให้หนูไปแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย” คนเป็นบุตรสาวมองบุพการีทั้งคู่ด้วยหวังได้ยินคำชี้แจง ทว่ากลับได้รับเพียงความเงียบงันที่ทำให้ใจเริ่มเสียหนักขึ้น“อย่าเงียบกันอย่างนี้สิคะ บอกหนูมาหน่อย มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรา...คะ”การเป็นลูกที่ดี แม้ไม่ได้เรื่องในหลายๆ ด้าน ทว่าเธอไม่เคยขึ้นเสียงกับบุพการีและญาติผู้ใหญ่เลยสักครั้ง แต่คราวนี้...เธอกลับอดรนทนไม่ได้ เผลอขึ้นเสียงด้วยความโกรธระคนอัดอั้นตันใจออกไป“ไม่มี ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น ฉันแค่ต้องการให้แกได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ มีเงินมีทองและความรับผิดชอบ เป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลแกได้ไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ไอ้ผู้ชายที่โตจนเป็นควายแล้ว แต่ยังต้องแบมือขอเงินแม่อยู่อย่างไอ้เจ้านั่นละกัน!” คนเป็นพ่อกัดฟันพูดเสียงแข็ง รีบลุกขึ้นยืนโดยพ่วงเอาเมียสุดที่รักไปด้วย ก่อนน้ำตาของอติกานต์จะทำให้เปลี่ยนใจ ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตกลงไว้ล้มครืนลงมา“เดี๋ยวสิคะพ่อ ถ้าไม่บอกความจริงมา หนูจะไม่ยอมทำตาม...คำสั่งอย่างไม่มีเหตุผลของพ่อกับแม่นะ” อติกานต์ตะโกนตามหลังไปด้วยหวังว่าท่านทั้งสองจะยอมบอกความจริง ด้วยเชื่อว่าทุก
แต่ถึงเห็นอย่างนั้น สาวน้อยหน้าใสแก้มป่อง นัยน์ตากลมโตบ้องแบ๊วก็ไม่สนใจ รีบสาวเท้าวิ่งไปด้านหน้า แล้วอ้าแขนดักไว้ด้วยหัวใจแกว่งๆ เกรงใจระคนสั่นเล็กน้อยจากมาดนิ่งๆ จนเป็นเย็นชาของอีกฝ่าย พานให้นึกไปถึงเจ้าหญิงหิมะ ที่เห็นแล้ว...หนาวต้นคอชะมัด!“เธอนี่นะ...จะทำเย็นชาไปถึงไหนฮึ! ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจก็บอกกันสิ ไม่พูดอย่างนี้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าเธอคิดอะไรอยู่” หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้างอง้ำ น้ำเสียงหวานใสและรอยยิ้มประจบประแจงราวกับว่าสนิทสนมกันมาแสนนานคนที่จมอยู่ในโลกส่วนตัว เดินทางออกจากบ้านมาด้วยอาการของคนที่หัวใจถูกบีบคั้นเคืองแค้น จนอึดอัดไม่อยากจะหายใจ มาเพียงแค่กาย ทิ้งวิญญาณเอาไว้ที่บ้านหยุดชะงัก ตวัดสายตาเข้มดุด้วยเกรี้ยวกราด กลีบปากอิ่มนุ่มซีดเผือดขบกัดเม้มอย่างพยายามระงับสติอารมณ์โทสะที่กรุ่นขึ้นใส่แม่สาวไม่รู้จักมารยาท ลามปามคนไม่รู้จัก ก่อนสาวเท้าเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่แม่คนเสียมารยาก็ยังเดินตามมาและสอดมือเข้าคล้องแขน ตีซี้ทำสนิทสนมด้วยอีกคนร่างเพรียวบางหยุดเดิน ใบหน้าที่เชิดขึ้นสูงจนคอแข็งสะบัดขวับมอง...เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากสนทนาด้วย ทว่าแม่สาวร่า
“แต่ขอโทษนะ เผอิญฉันเป็นผู้หญิงหิวเงิน...เอาเงินสักร้อยสองร้อยล้านมาวางเป็นค่าตัว แล้วจะพาฉันไปตกนรกขุมไหนก็ตามสบาย...คุณมีปัญญาหามาจ่ายไหมล่ะ”“อู้...ค่าตัวเธอแพงไปหน่อยไหมเอแคลร์ ฉันยังไม่แน่ใจเลย ว่าจะได้เป็นคนแรกของเธอหรือเปล่า ถ้าใช่มันก็น่าสนใจดีอยู่น่ะ”สายตาเป็นประกายแปลบปลาบเหมือนสายฟ้าฟาด ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม “ในเมื่อเธอกล้าเสนอมา ฉันก็คงต้องเอากลับไปคิดแล้วละ ว่าพอจะไปขุดคุ้ยหาไอ้เจ้าเงินในหีบ ในไห ในลังใส่เสื้อผ้า มาเป็นค่าตัวแลกเปลี่ยนพาตัวเธอไปเสพสวาทได้หรือเปล่า”รอยยิ้มแต้มบนมุมปากหนา อติกานต์ทำเป็นปากกล้า แต่พอเขาคิดจะเอาจริงใบหน้ากลับซีดเผือด ดวงตาตื่นตระหนกขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเสนอมาแล้ว...อย่างเขาหรือจะไม่รีบตะครุบเอามาอยู่ในอุ้งมือน่ะ“ว่าแต่ตอนนี้บอกได้หรือยัง คิดอะไรอยู่ถึงได้เดินไม่มองดูทาง ไม่รู้หรือไงนี่มันต่างถิ่นนะ อันตรายแค่ไหนรู้บ้างไหมหากเจอคนไม่ดีเข้าน่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง พานโกรธไปถึงไอ้ตัวซวยที่ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่บอกไม่เตือนให้ระวังตัวกันบ้าง หรือคิดว่าตัวเองใหญ่พอดูแลได้ทั่วถึง จนลืมไปหรือเปล่า แม้เป็นโรงแรมใหญ่ การป้
“อื้อ” ใบหน้านวลผุดผาดแหงนหงายไปด้านหลัง เบือนหน้าหนีก็ไม่ได้ เมื่อถูกมือใหญ่ลูบไล้มาจับตรึงท้ายทอยเอาไว้มั่น มือเล็กกำหมัดทุบไปบนอกกว้างเท่าที่เรี่ยวแรงจะมี ก็ต้องหยุดพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่นจากเบ้า เมื่อถูกบดคลึงและขบฟันขย้ำลงไปบนกลีบปากอิ่มนุ่มแรงๆอยู่ใกล้อติกานต์ทีไร เขาอดใจล่วงเกินเธอไม่ได้สักที เห็นทีต้องเร่งหาทางทำให้ไอ้เจ้าบ้านั่นพาแม่หนูขนมหวานไปส่งถึงถิ่นเร็วๆ เสียแล้วละ หวานเร่าร้อนยั่วความกระหายอยากในกายจนแทบคลั่งจะลงแดงตายอยู่แล้วชายหนุ่มบดคลึงซอกซอนหาความหวานจากโพรงกุหลาบนุ่มจนพอใจ ถึงได้ยอมถอนจุมพิต แต่ไม่ยอมปล่อยร่างอรชรให้เป็นอิสระ ฝ่ามือหนาทาบบนแผ่นหลังบอบบาง บังคับด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่าพาหญิงสาวเดินไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายสบายใจ“เล่าให้ฟังหน่อยสิ ครอบครัวเธอคิดยังไง ‘ถึงได้ส่งลูกสาวหน้าตาสะสวยน่ารักมาทำหน้าที่ผลิตทายาทให้กับไอ้คนเย็นชา ที่ชาตินี้คงไม่มีหัวใจให้ใคร นอกจากคนที่ตายไปแล้ว’ ถึงได้ส่งผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางเดินทางมาที่ห่างไกลแถมยังเต็มไปด้วยภัยอันตรายนานัปการคนเดียวได้...ไม่ห่วงบ้างเลยหรือไง ว่าลูกสาวจะได้รับอันตรายน่ะ”“ไม่จำเป็นที่คุณต้องรู้ ปล่อยได้
ไม่คิดว่าคนที่ถูกเลือกมารับหน้าที่แม่พันธุ์! ให้อันเดซาอีจะหวานฉ่ำนุ่มไปถึงใจขนาดนี้ ทำเอาเขาถึงกับร้อนรุ่มไปหมดทั้งกาย...คึกคะนองอยากออกมาดูโลกภายนอกก่อนห้ำหั่นฟาดฟันให้ถึงจุดหมายปลายทางสวาทรสหวานล้ำ“อือ!” เมื่อสติเริ่มกลับคืนมาอติกานต์ก็เริ่มต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากสัมผัสที่พัดพาหัวใจอ่อนไหวและร่างกายหมดเรี่ยวแรงด้วยหายใจไม่คล่องคอ มือเล็กกำหมัดทุบอกกว้าง เท้าเล็กยกขึ้นกระทืบลงไปบนเท้าใหญ่สลับกับเข่ามนกระทุ้งขาแกร่งให้ชายหนุ่มเสียสมดุลนัยน์ตากลมโตเปล่งประกายสดใสกลอกไปมาอย่างอิดหนาระอาใจระคนรำคาญเล็กน้อย ขาแกร่งสอดแทรกตรึงสองขาเรียวยาว ขณะมือไล่จับสองมือบางไพล่ไปด้านหลัง มัดไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนสอดท่อนแขนกำยำไปกระชับร่างนุ่มนิ่ม ส่งฝ่ามือหนาไปทาบตรึงท้ายทอยของคนที่พยายามเบี่ยงหนีเอาไว้มั่น ขณะบดเบียดขบย้ำจุมพิตร้อนระอุบนกลีบปากอิ่มนุ่มจากเนิบนาบเป็นหนักหน่วงทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อย ละเลียดลิ้มชิมรสน้ำผึ้งหวานเจือฝาดนิดๆ พร้อมท่อนแขนกอดกระชับกายอรชรอ้อนแอ้น ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปบนผิวเนื้อนวลผ่องเป็นยองใยเกลียวเชือกรัดรอบพากายหนาวเหน็บไปตกยังท้องทุ่งดอกไม้หลากสีสัน ชูช่อท้าทายเ
“เอาละ...ที่นี้คุณอยากรู้อะไรเพิ่มก็ถามมา ฉันพร้อมจะตอบทุกคำถามแล้ว” ที่เธอสามารถตอบได้นะ“รู้ใช่ไหมอติกานต์ต้องไปอยู่กับอันเดซาอี ซีกัลป์ โอซาอิดนี่” แทนที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องที่อยากรู้ ชายหนุ่มกลับเลือกถามไปอีกเรื่อง เพราะยังไม่อยากทำให้นกต่อรู้ว่าแผนการที่วางไว้นั้นแตกแล้วขอขวัญส่ายศีรษะแรงๆ ด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ อติกานต์ต้องไปอยู่กับผู้ชายชื่อแปลกๆ แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ ทว่านัยน์ตาเข้มดุที่ทอดมองมาสื่อความหมาย ทำให้เธอรู้สึกเสียววูบไปทั้งแผ่นหลัง ขนบนต้นคอลุกเกรียว “คุณหมายความว่ายังไง” หญิงสาวถามเสียงเบาหวิวแทบจะไม่หลุดออกจากปากด้วยซ้ำ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง อยากให้เป็นไปอย่างที่ในสมองแวบขึ้นมาเลยนะ ถ้าใช่...ขอขวัญร้องครางในลำคอแผ่วเบา เธอเจอกับศึกหนักหนาสาหัสสากันเป็นแน่แท้ แล้วเรื่องที่คิดจะทำย่อมต้องมีคนคอยขัดขวางโอ๊ย! คิดแล้วหนทางข้างหน้าตีบตันที่สุดเลย เธอจะหาทางออกยังไงกันล่ะนี่!“ฉันต้องการให้เธอเดินทางไปด้วย”“ฉันไม่ไป!” ขอขวัญแผดเสียงโต้กลับด้วยลืมตัว เมื่อเจอคำสั่งสายฟ้าแลบ แต่เมื่อเจอสายตาดุๆ เข้าก็แอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคืองเหมือนกัน“ฉันไม่ได้ขอ...แต่
“นะ...ไหนคุณบอกอยากรู้เรื่องของฉันไง ทำไมถึงไม่ถามมาเร็วๆ เล่า รอหาพระแสงอะไรอยู่” ขอขวัญเอ่ยเสียงเข้มกร้าวด้วยฮึดฮัดขัดใจตัวเองเสียเหลือเกิน ไอ้ความเก่งกล้าที่มีหายไปไหนหมด ทำไมถึงเรียกออกมาต่อกรกับผู้ชายบ้าๆ ตรงหน้าไม่ได้ชายหนุ่มสะบัดศีรษะอย่างระอิดระอา เมื่ออีกฝ่ายยังทำเสียงแข็งใส่ “ชื่อ...”“ขวัญ...ขอขวัญ ไพรีรักษ์” รีบบอกเสียงสั่นและรัวเร็วจนลิ้นพัวพันกัน เมื่อคนได้เปรียบเคลื่อนมือลูบไล้ลำแขนเสลา แผ่วเบาคล้ายสายลมพัดพลิ้วล่อกับปลายยอดหญ้า ที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแบบวูบไหวคล้ายถูกดึงออกไป“เป็นอะไรและทำไมถึงได้มาพร้อมกับอติกานต์ได้”“ถามอะไรแปลกๆ เป็นเพื่อนกันก็ต้องมาด้วยกันสิคุณ” ขอขวัญขบเม้มกลีบปากเมื่อสายตาสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกว่าไม่เชื่อและบ่งบอกว่าถ้าเธอพูดผิดหูอีกนิดเดียว เตรียมตัวรับคลื่นพายุอารมณ์ประหนึ่งทอร์นาโดที่ตั้งเค้าอยู่ได้เลย“ฉันรู้ว่าคุณ...เอแคลร์” ขอขวัญแทบผ่อนลมหายใจออกเมื่อหลุบกลืนคำว่าคุณหายลงไปในลำคอได้ ด้วยเป็นเพื่อนกันประสาอะไร ถึงได้เรียกอติกานต์ยกย่องราวกับอยู่กันคนละชั้น “มาธุระที่นี่ แล้วเผอิญฉันก็อยากมาเที่ยวด้วย หรือประเทศคุณห้ามคนมาท่องเที่ยว” ขอขวัญไม่ยอ
เห็นดวงตากลมใสแวววาวฉ่ำน้ำขอร้อง อย่าให้ทิ้งเธออยู่กับคนหน้าดุท่าทางร้ายกาจเพียงลำพัง ทำให้อึดอัดใจและไม่อยากทำตามคำสั่ง! ของอันเดซาอีเลย แต่น้ำเสียงเอาจริง สายตาแข็งดุกร้าวแฝงเร้นไว้ด้วยความเย็นชาอย่างที่สามารถประหัตประหารเธอให้ม้วยมรณาได้ในเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ต้องยอมล่าถอยอย่างไม่เต็มใจ“ขอโทษนะขวัญ ฉันรู้เธอเก่งสู้ไหว” อติกานต์เอ่ยออกไปเสียงเบา เธอมาที่นี่เพื่อครอบครัว แม้ไม่มั่นใจคำพูดของชายตรงหน้าสักเท่าไหร่...เขาใช่คนที่เธอจะต้องร่วมกระทำภารกิจหรือเปล่า และเขาจะไม่ทำอันตรายขอขวัญใช่ไหม ถึงอยากรู้แค่ไหน แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงทำให้คนอีกนับสิบชีวิตต้องเดือดร้อน เพราะตกงาน...ขาดเงิน!อติกานต์จำยอมปลดมือเย็นออกจากแขน ด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ ‘ไม่น่าเลย เธอไม่น่าปากเบาและเห็นแก่ตัว เอ่ยชวนขอขวัญอยู่พักด้วยเลย’“ไม่นะคุณเอแคลร์ อย่าไป...” ขอขวัญเอ่ยขอร้องพร้อมไขว่คว้าอติกานต์ช่วยกลับมาอยู่เป็นกำลังใจเสียงหลง“อย่าทิ้งฉันไว้กับผู้ชายคนนี้” ทว่าร่างเพรียวบางกลับเร่งรุดเดินหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ“คุณเอแคลร์...” ขอขวัญร้องเรียกเสียงเบาหวิวและรีบหันมาประจ
อติกานต์เงยหน้าบูดบึ้ง นัยน์ตาขุ่นเขียวตวัดมองคนตัวใหญ่ ที่จนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าชื่ออะไร ใช่คนที่เธอต้อง... เฝ้าภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เพราะเธอคงต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ เรียกได้ว่าหืดขึ้นคอเชียวละกับการทำอย่างที่มารดาแนะนำมา ต่อให้คิดเข้าข้างตัวเองแค่ไหน เธอก็มองไม่เห็นปลายทางความสำเร็จอยู่ดี“ขวัญ!!” อติกานต์หยุดคิดคาดคั้นเอาคำตอบจากคนตัวใหญ่ เมื่อเห็นคนใกล้ตัวเริ่มขยับกายได้สติ“อือ...” แว่วเสียงเรียกแม้แผ่วเบาคล้ายเสียงลมหวีดหวิว แต่ก็เป็นเสมือนเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงไปในศีรษะ ให้เจ็บร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งยังตอกย้ำให้เธอรู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นอกจาก...ไม่หายแล้ว นับจากนี้ไปจะหนักมากกว่าที่เคยเป็น ไม่เข้าใจ เหตุใดถึงได้รู้สึกอย่างนี้ หรือเป็นเพราะ...ผู้ชายคนนั้น!แม้สติยังกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ขอขวัญก็พอระลึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้!ต้นเหตุแห่งฝันที่เกิดบ่อยครั้งที่ทำให้เธอจิตใจหดหู่หม่นหมอง แทรกด้วยความเจ็บปวดราวถูกแยกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยย้อนกลับเข้ามาในมโนสำนึก ทว่าคราวนี้แตกต่างจากสิ่งที่สัมผัสได้โดยสิ้นเชิง!ทุกภาพที่เห็นชัดเจน ร
แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างทาบลงไป ทำให้ร่างเล็กมองเห็นภาพทับซ้อนของใครอีกคนที่ยืนดวงหน้าเศร้าหมอง ดวงตาคู่นั้นทอดมองมาอย่างตัดพ้อต่อว่าและเจ็บปวดที่กัดกิน ดวงตากลมโตแดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นไหลอาบแก้มขาวซีดไม่ขาดสาย กลีบปากสีซีดนั้นขยับคล้ายต่อว่าต่อขานสลับร้องเรียกให้ช่วยเหลือที่ช่างบาดลึกลงไปในทรวงเขาจนเลือดไหลโทรมหัวใจ ยื่นมือไปไขว่คว้าแต่กลับรู้สึกเหมือนเพียงแค่สายลมผ่านพัด ไม่ว่านานเท่าไหร่ หัวใจก็ยังเจ็บปวดและทำใจยอมรับกับการจากไปของเธอไม่ได้!“โอ๊ย!! จะหักแขนกันหรือไงฮ้า...” ขอขวัญตวาดแว้ด เมื่ออยู่ดีๆ ยักษ์ใหญ่ก็ยื่นมือมาคว้าแขนกลมกลึง ลงแรงกดจนในหูเธอได้ยินเสียงดังกร๊อบ หางตาเล็กนิ่วด้วยความเจ็บที่แล่นปราดไปทั่ว จนต้องรีบผลักไสแต่กลับกลายเป็นถูกดึงรั้งเข้าหากายกำยำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ผสมกับกลิ่นกายที่โชยมาทำให้รู้สึกสดชื่น“ฉันอยากหักคอเธอทิ้งเหมือนกัน แต่ถ้าทำอย่างนั้นน่าเสียดายแย่ สู้เอาไว้...”ชายหนุ่มดึงเอาผ้าคลุมหน้าออกเพื่อจะได้ทำบางสิ่ง...เมื่อครั้งมีรักกับเธอคนนั้น เขาไม่เคยได้แตะต้องเธอเลยแม้แต่ปลายก้อย ด้วยต้องการเก็บเอาบริสุทธิ์ไว้ในวันอันสำคัญและเป็นการให้เกีย
“จูบของเธอหวานดีนะเอแคลร์ แต่เหมือนเด็กอนุบาลไปนิดหนึ่ง ควรจะต้องปรับปรุงเพิ่มอีกสักหน่อย หวังว่าเจอกันครั้งต่อไป เธอคงพัฒนาฝีมือการ...จูบ ชวนให้ฉันอยู่ด้วยนานกว่านี้ อ้อ...อย่าลืมคิดด้วยล่ะ ทำยังไงถึงจะดึงรั้งให้ฉันป้อนรสเสน่หาให้ทั้งคืน”ชายหนุ่มฉวยโอกาสที่สาวน้อยแสนหวานยังหลงใหลกับรสชาติแปลกใหม่ กดจมูกบนแก้มใส ก่อนพากายจากไปราวกับเขาเป็นเพียงสายลมที่พัดโหมมาหยอกเย้ารอบกายสาว ปลุกปั่นหัวใจดวงน้อยให้หลงเพริดไปกับกฤษณาสวาทส่วนลึกที่มืดมิด...“เฮ้ย!! ปล่อยฉันนะ คุณจะพาฉันไปไหนนี่ ปล่อย!!” ขอขวัญแว้ดเสียงดังลั่นอย่างตื่นตระหนก เมื่อสติที่เลือนหายไปตอนชายหนุ่มจับข้อมือไว้กลับคืนมา คล้ายมีกระแสไฟหมื่นโวลต์ผ่านเข้ามาในร่าง ดูดเอาเรี่ยวแรงภายในกายไปเสียจนหมดสิ้นและยังเกิดอาการมึนงง เธอเลยเดินตามแรงลากจูงไปอย่างไม่มีแง่งอน “อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง ทำไมถึงได้ชอบทำสะบัดสะบิ้งมากนัก” เมื่อคนตัวเล็กใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะไม่ไปด้วย ยังความหงุดหงิดด้วยการประทุษร้ายท่อนแขนกำยำไม่ยอมหยุด หากทำอย่างอื่นได้แม่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวก็ไม่รีรอสายตาเข้มเหลือบมองมดตะนอยตัวน้อยไม่เจียมตัว หาญสู้เหยี่ยวร้ายกลางทะเล