“ถ้าแม่สามารถหาคนคนนั้นได้ล่ะ ลูกจะยอมทำตามความต้องการของแม่ไหม” นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่คราวนั้นผ่านไปโดยบังเอิญ ถึงได้ล่วงรู้บางอย่างที่สามารถนำมาใช้ในคราวนี้ได้
อันเดซาอีขบคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ คงถึงเวลาที่เขาต้องยอมทำตามคำขอร้องของมารดาเสียที “ถ้ามีคนยอม...ผมยังไงก็ได้ แต่...” ข้อแม้มีมากมาย จะมีใครยอมทนอยู่กับคนมากเรื่อง เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเขาได้ล่ะ ถึงแม้เวลาร่วมหอหลับนอนจะไม่นานก็ตาม
“แม่คงไม่ลืม ผมเคยบอกอะไรไว้”
“แค่ลูกยอมทำตามคำขอ แค่นั้นก็ดีแล้ว” เพราะความเป็นมารดาของอันเดซาอี จึงทำให้นางสามารถล่วงรู้ในสิ่งที่บุตรชายต้องการและทำมันได้ด้วย
อยากถาม แม่รู้ได้ยังไง ผู้หญิงที่เลือกมาเป็น...แม่พันธุ์ ไม่เป็นหมันและการมีอะไรด้วยเพียงไม่นาน จะตั้งครรภ์ได้ สามปี...สองคน!
อันเดซาอียิ้มเย้ยหยัน ผู้หญิงที่มารดาหามาคงไม่แคล้วหลงในทรัพย์สินเงินทองและความสบายของเขา จึงได้ยอมพลีกายขายเรือนร่างและยอมจากไปเมื่อครบกำหนดเวลาสัญญา โดยใจดำทิ้งลูกในอุทรได้อย่างไร้เมตตาและสำนึกของความเป็น...มารดา!
“ผมไปตามฮารินะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ แล้วจะไปเลย” ไม่รอให้มารดาห้าม อันเดซาอีรีบเดินออกจากห้องนอนมารดา ทั้งที่ใจเป็นกังวลและห่วงท่านที่ช่วงนี้เริ่มฝันร้ายบ่อยๆ
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมครับ ลูกคนนี้จะรักษาตัวและกลับมาอย่างปลอดภัย” ชีวิตเขาอยู่ได้ด้วยความแค้นที่หล่อหลอมและจะไม่ยอมเป็นอะไรไปจนกว่าจะได้จัดการกับคนที่สร้างมันขึ้นมา!
เวลาเดียวกันอีกฝั่งหนึ่งของเมืองไทย
“อะไรนะคะแม่!!!”
คนที่เพิ่งกลับเข้ามาในบ้านอย่างมีความสุขเอ่ยถามเสียงหลง ใบหน้าแย้มยิ้มเผือดซีดลงทันควัน นัยน์ตาพร่างพราวระยิบระยับเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ มองบุพการีอย่างไม่เชื่อ...คำพูดดั่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเฉือนหัวใจให้ขาดรอน ข่าวดีที่เตรียมไว้บอกทั้งคู่กลับถูกกลืนลงไปในลำคอ
กลีบปากอิ่มขบเม้มมองหน้ามารดาซึ่งมีสีหน้าเครียดขรึม ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มอยู่เป็นเนืองนิตย์กลับหม่นหมองไม่แพ้นัยน์ตาเศร้าปนโศก บ่อยครั้งเธอเห็นสองผัวเมียคุยกระซิบกระซาบพลางเหลียวมองมายังเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดี สายตาค่อนไปทางเศร้าสร้อยและขอโทษ จนเธอจากที่ไม่เคยคิดอะไรกลับต้องย้อนคิด
พ่อกับแม่มีเรื่องอะไรถึงดูอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเดินเข้าไปหาเพื่อถามไถ่เรื่องราว ทั้งคู่จะปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังมีความตึงเครียดลอยอยู่ในห้วงอากาศจนสัมผัสได้
นี่ซินะ...เหตุผลที่ท่านทั้งสองเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยามเห็นหน้าเธอ เพราะต้องการขอร้องให้เธอทำ...
“แม่ช่วยพูดซ้ำอีกครั้งได้ไหมคะ ขอให้หนูทำอะไร...” หญิงสาวเอ่ยย้ำเสียงเบาหวิว ด้วยอยากได้ยินอย่างชัดเจนเต็มสองหูอีกครั้ง พร้อมพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง ต้องมีการเข้าใจอะไรผิดไปแน่นอน และเธอก็หูฝาดไปที่ได้ยินมารดาขอร้องให้...
“ลูกได้ยินไม่ผิดหรอกเอแคลร์” กชกรตอบกลับลูกสาวเสียงเบาหวิวและสั่นพร่าแหบเครือ
“พ่อกับแม่ขอให้ลูก...แต่งงานกับ...” คนเป็นแม่พูดไม่ออกไปเสียเฉยๆ เมื่อเจอกับสายตาอีกฝ่ายที่มีแววตัดพ้อต่อว่า ปวดร้าวระคนคาดคั้นเอาคำตอบ จนนางต้องรีบเมินหลบด้วยกลัวเปลี่ยนใจ
มือเล็กเย็นจัดและสั่นเทาคล้ายเจอลมเย็นๆ พัดมากระทบร่าง ไม่ใช่นางไม่เจ็บปวดในสิ่งที่ได้เอ่ยขอร้อง แต่เพราะไม่มีทางเลือกต่างหากล่ะ
ดวงตาแดงก่ำฉ่ำไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น มองสบกับผู้เป็นชายอีกคนที่นั่งทำหน้าเรียบเฉยอย่างกับไม่รู้สึกรู้สา แต่กชกรรู้ดีในใจผู้เป็นสามีเองก็เจ็บปวดรวดร้าวกับเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย ใครบ้างจะมีความสุขกับการต้องส่งลูกสาวคนเดียว คนที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟัก ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แม้กระทั่งงานหนักๆ ก็ยังไม่เคยให้จับ ไปพบกับความทุกข์ระทมยังต่างบ้านต่างเมือง
สำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้ว ต้องการเห็นลูกมีความสุข ตัวเองถึงจะมีความสุขด้วย ยิ่งตอนนี้เส้นทางรักของลูกสาวกับหนุ่มคนรักที่คบหาดูใจ ปลูกต้นรักกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จนใกล้ร่วมหอลงโรงกันในไม่นานนี้ราบรื่น ทว่าตอนนี้นางกลับเอ่ยปากของร้องให้...
กชกรเอนร่างบอบบางอิงอกสามี การขอร้องให้แต่งงานกับคนซึ่งไม่เคยเจอหน้าก็หนักหนาสาหัสเอาการอยู่แล้ว แต่การต้องเดินทางไปแต่งงานยังดินแดนห่างไกล รายรอบไปด้วยความแห้งแล้งและทะเลทรายอีก ต้องพบเจอกับผู้คนซึ่งไม่สนิทสนมคุ้นเคย ไม่รู้เลยว่าต้องพบเจอกับคนแบบไหน คนเหล่านั้นจะดีด้วยความจริงใจหรือเพียงหวังความต้องการของตัวเองทำให้บุตรสาวสุดรักบอบช้ำทั้งกายและใจ ความกังวลและขลาดกลัวโอบรัดรายล้อมจนอึดอัดเจ็บแปลบในทรวง หายใจแทบไม่ออก
แต่งงาน!!
คำพูดของมารดาคล้ายค้อนตอกย้ำลงไปบนตะปูหักงอ อติกานต์มึนงงอย่างกับถูกใครทุบท้ายทอย พื้นดินที่ยืนอยู่เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง จนยืนทรงตัวไม่อยู่ ต้องรีบทรุดกายลงนั่งบนโซฟาอย่างคนที่หมดไร้เรี่ยวแรง
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “ทำไมแม่กับพ่อถึงได้ขอร้องให้หนูทำเรื่องบ้าๆ นั่นด้วย”
ใช่...คำที่ยินมันบ้าเอามากๆ เลย หรือพ่อกับแม่ไม่รักเธอแล้ว ถึงได้เสือกไสไล่ส่งให้ไปอยู่ที่อื่นกับใครก็ไม่รู้ แต่สภาพใบหน้าซีดเผือดและอิดโรย สายตาเศร้าหมองแดงช้ำ คล้ายดวงใจจะขาดรอนของท่านทั้งสอง ทำให้รู้ ท่านไม่ได้อยากขอร้องให้เธอทำอย่างนี้ แล้วมีเหตุผลอะไร?
“พ่อกับแม่ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้ แต่...” น้ำเสียงกชกรบ่งบอกถึงความปวดร้าว คนเป็นแม่ก็เจ็บปวดไปทั้งทรวงเหมือนกัน ปลายเล็บมนจิกลงไปบนท่อนแขนสามี เงยหน้าขาวซีด ดวงตาแดงก่ำฉ่ำน้ำมองคู่ชีวิต
“เปลี่ยนใจได้ไหมคุณ ไม่ส่งลูกของเราไปได้ไหม หาใครก็ได้ไปแทนก็ได้นะคุณ ฉันไม่อยากส่งลูกของเราไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ ได้ไหม...คะ”
“พ่อคะ” อติกานต์ร้องเรียกบิดาที่ยื่นแขนโอบรัดรอบร่างเล็กของมารดาซึ่งเอนตัวซบอกอุ่นๆ ร้องไห้สะอื้นฮักแต่ไม่มีเสียง
“ช่วยบอกหนูทีเถอะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องให้หนูไปแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย” คนเป็นบุตรสาวมองบุพการีทั้งคู่ด้วยหวังได้ยินคำชี้แจง ทว่ากลับได้รับเพียงความเงียบงันที่ทำให้ใจเริ่มเสียหนักขึ้น“อย่าเงียบกันอย่างนี้สิคะ บอกหนูมาหน่อย มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรา...คะ”การเป็นลูกที่ดี แม้ไม่ได้เรื่องในหลายๆ ด้าน ทว่าเธอไม่เคยขึ้นเสียงกับบุพการีและญาติผู้ใหญ่เลยสักครั้ง แต่คราวนี้...เธอกลับอดรนทนไม่ได้ เผลอขึ้นเสียงด้วยความโกรธระคนอัดอั้นตันใจออกไป“ไม่มี ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น ฉันแค่ต้องการให้แกได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ มีเงินมีทองและความรับผิดชอบ เป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลแกได้ไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ไอ้ผู้ชายที่โตจนเป็นควายแล้ว แต่ยังต้องแบมือขอเงินแม่อยู่อย่างไอ้เจ้านั่นละกัน!” คนเป็นพ่อกัดฟันพูดเสียงแข็ง รีบลุกขึ้นยืนโดยพ่วงเอาเมียสุดที่รักไปด้วย ก่อนน้ำตาของอติกานต์จะทำให้เปลี่ยนใจ ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตกลงไว้ล้มครืนลงมา“เดี๋ยวสิคะพ่อ ถ้าไม่บอกความจริงมา หนูจะไม่ยอมทำตาม...คำสั่งอย่างไม่มีเหตุผลของพ่อกับแม่นะ” อติกานต์ตะโกนตามหลังไปด้วยหวังว่าท่านทั้งสองจะยอมบอกความจริง ด้วยเชื่อว่าทุก
แต่ถึงเห็นอย่างนั้น สาวน้อยหน้าใสแก้มป่อง นัยน์ตากลมโตบ้องแบ๊วก็ไม่สนใจ รีบสาวเท้าวิ่งไปด้านหน้า แล้วอ้าแขนดักไว้ด้วยหัวใจแกว่งๆ เกรงใจระคนสั่นเล็กน้อยจากมาดนิ่งๆ จนเป็นเย็นชาของอีกฝ่าย พานให้นึกไปถึงเจ้าหญิงหิมะ ที่เห็นแล้ว...หนาวต้นคอชะมัด!“เธอนี่นะ...จะทำเย็นชาไปถึงไหนฮึ! ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจก็บอกกันสิ ไม่พูดอย่างนี้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าเธอคิดอะไรอยู่” หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้างอง้ำ น้ำเสียงหวานใสและรอยยิ้มประจบประแจงราวกับว่าสนิทสนมกันมาแสนนานคนที่จมอยู่ในโลกส่วนตัว เดินทางออกจากบ้านมาด้วยอาการของคนที่หัวใจถูกบีบคั้นเคืองแค้น จนอึดอัดไม่อยากจะหายใจ มาเพียงแค่กาย ทิ้งวิญญาณเอาไว้ที่บ้านหยุดชะงัก ตวัดสายตาเข้มดุด้วยเกรี้ยวกราด กลีบปากอิ่มนุ่มซีดเผือดขบกัดเม้มอย่างพยายามระงับสติอารมณ์โทสะที่กรุ่นขึ้นใส่แม่สาวไม่รู้จักมารยาท ลามปามคนไม่รู้จัก ก่อนสาวเท้าเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่แม่คนเสียมารยาก็ยังเดินตามมาและสอดมือเข้าคล้องแขน ตีซี้ทำสนิทสนมด้วยอีกคนร่างเพรียวบางหยุดเดิน ใบหน้าที่เชิดขึ้นสูงจนคอแข็งสะบัดขวับมอง...เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากสนทนาด้วย ทว่าแม่สาวร่า
“แล้วอย่าคิดนะ ที่ช่วยบอก ฉันจะขอบใจ เธออยากยุ่งวุ่นวายเอง” เธอพยายามปลีกตัวเดินไปอย่างเร็วแล้ว ทว่าแม่เด็กตัวยุ่งก็ยังคงก้าวเดินตามมาจนทัน แล้วยังชวนพูดคุยอย่างสนิทสนมอีก“ฉันก็ไม่ได้หวังอยู่แล้วนี่นา” สาวน้อยหน้าใสตอบกลับอย่างไม่คิดสนใจ ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูอวบอิ่มฉีกยิ้ม “เอาน่า...ยังไงเราก็มาจากบ้านเดียวกัน มีเพื่อนไว้ก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือไง...ฉันชื่อขอขวัญ เรียกสั้นๆ ว่าขวัญก็ได้นะ แล้วคุณ...ชื่ออะไร”“อติกานต์...เอแคลร์” อติกานต์ตอบกลับอย่างเสียไม่ได้“ว้าว...พ่อแม่ช่างตั้งชื่อจริงๆ ไม่แค่หน้าตาที่สวยอย่างกับนางฟ้า ชื่อยังน่ากินอีก” ขอขวัญทำเสียงตื่นเต้นระคนยินดี ยิ้มกว้างจนนัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ จนคนที่ถูกเอ่ยชมถึงกับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยที่มาพร้อมกับความอิจฉา ไหนจะความสงสัย..จะมีอะไรที่ทำให้สาวน้อยหน้าใสทุกข์ได้บ้างหรือเปล่า?“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเอแคลร์” ขอขวัญฉีกยิ้มกว้างพลางยื่นมือไปหมายจับด้วย แต่อีกฝ่ายกลับปัดออกและสาวเท้าเดินหน้าไปด้วยมาดนางพญา ซึ่งไม่ไกลมีรถคันใหญ่จอดพร้อมเปิดประตูไว้คล้ายกำลังรอคอยรับใครบางคนอยู่ หวังว่าคนนั้นคงไม่ใช่คุณขนมหวานหรอกนะขอขวัญแ
ร่างหนาแกร่งด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผุดลุกจากฟูกหนานุ่ม เดินไปที่โต๊ะตัวยาว ซึ่งมีแผนที่หนังกางและมีเข็มหมุดปักอยู่หลายจุด ล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางจากโรงแรมไปถึงบ้านของเจ้านั่น!นิ้วยาวไล่ไปตามจุดที่ถูกมาร์คเอาไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพื่อความไม่ประมาท เขาจึงเดินทางไปสำรวจเส้นทางล่วงหน้า จนเชื่อได้ว่าเหมาะสำหรับการหลบซ่อนตัวและซุ่มโจมตี พร้อม...ฉกชิงสิ่งสำคัญ ทำให้ไอ้เจ้านั่นหน้าแตกและอับอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร ก่อนหน้านั้นเจ้าสาวถูกแย่งชิงไปในวันแต่งงาน หากคราวนี้เจ้าสาวไม่เพียงแค่ถูกแย่งชิง แต่มันเป็นอะไรที่มากเกินเลยไปกว่านั้นล่ะชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพร้อมรอยยิ้มมาดหมาย นัยน์ตาแวววาวซ่อนเล่ห์ร้ายเอาไว้อย่างชัดเจน เหลือบสายตามองอีกคนในห้องที่มองมาอย่างสงสัย“ไม่ชิงตัวแล้วนายจะทำอะไร” คนเป็นลูกน้องถามอย่างไม่เข้าใจ การกำจัดไอ้เจ้าบ้านั่น ควรทำตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาคิดทำเอาในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ...ใบหน้าดุดันเหี้ยมเกรียมหันมองหนุ่มหน้าละอ่อนที่ไม่เคยคิดทำอะไรเลย นอกจากหาเรื่องทำให้คนอื่นปวดหัวกับสนุกสนานไปวันๆ“ไม่เอาไง ก็แค่...ให้จบเรื่องแค่นี้ เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเลิก
ขอขวัญก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ให้จมูกสัมผัสกับกรุ่นกลิ่นไอหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้ผสมกับกลิ่นอโรมาอ่อนๆ ทำให้ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางแสนยาวไกลเกิดความสดชื่น เท้าบอบบางก้าวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านห้องนอนไปถึงห้องน้ำซึ่งกั้นด้วยกระจกสีชา อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งด้านบนมีตะกร้าเล็กๆ ใส่กลีบดอกไม้หลากสี รวมถึงสบู่เหลวหลายขวดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเมื่อกี้ยังมีอีกอย่างที่สะดุดสายตา ทำให้หญิงสาวรีบหมุนกายเดินไปดู ระเบียงห้องแบ่งเป็นชั้น ด้านหนึ่งยกสูง มีชุดเก้าอี้ไว้ให้ทานอาหารว่างพลางดูวิวทิวทัศน์ข้างนอก ชั้นล่างมีสระว่ายน้ำและสวนหย่อมขนาดเล็ก มีเตียงยาวให้นอนอาบแดดยามสาย หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นอาบแสงจันทร์ยามค่ำคืนกับใครสักคน...โรแมนติกสุดๆ เลย ใครนะช่างออกแบบ ขอขวัญมองเพลินอย่างตะลึงกับห้องพักที่สวยจนอยากจับจองเป็นเจ้าของ“คุณนี่โชคดีสุดๆ เลยนะคุณเอแคลร์ ที่ได้พักห้องสวยๆ แบบนี้”“ก็งั้นๆ ไม่เห็นจะสวยสักนิด” อติกานต์ตอบกลับน้ำเสียงไร้ความรู้สึก แม้กระทั่งก้าวล่วงเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็ยังไม่ดึงเอาแว่นกันแดดและเสื้อโค้ตออกจากร่าง คล้ายต้องการให้สิ่งเหล่านี้ปกป้องตั
“ให้ฉันแยกไปนั่งคนเดียวก็ได้นะคุณเอแคลร์” ขอขวัญเอ่ยบอกเสียงใส ด้วยจำได้ตอนออกจากห้องอติกานต์บอกเธอมีนัดทานอาหารกับหุ้นส่วนทางธุรกิจคนสำคัญของบิดา เรื่องที่คุยต้องเป็นเรื่องสำคัญและเป็นความลับอยู่แล้ว คนนอกอย่างเธอไม่สมควรเข้าไปสอดแทรกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเขา แค่นี้ก็ถูกมองไปในทางไม่ดีแล้วสายตาหวานอมโศกตวัดมาคล้ายเหนื่อยหน่ายใจ สาวเท้าบอบบางเดินลิ่วๆ ไปยังโต๊ะอาหารด้านในสุดโดยไม่สนใจสิ่งใด ด้วยอยากพาตัวเองตัดขาดจากโลกอันสับสนวุ่นวาย แต่ยังไม่ทันถึงที่หมาย ก็มีเหตุให้ร่างเล็กแบบบางเซด้วยแรงที่เปรียบเสมือนรถจักรยานปั่นไปชนกับรถสิบล้อ กายอรชรถลาไปปะทะกับต้นไม้มีชีวิตด้วยเนื้อหนังอุ่น ค่อนไปทางแข็งกระด้างที่ไม่ได้ทำให้เจ็บกาย“โอ้ย!” อารามตกที่อยู่ดีๆ ก็กระเด็นกระดอนลอยไปอย่างไม่ได้ตั้งตัว ทำให้อติกานต์เผลอยกมือโอบรอบกายอุ่นระอุด้วยเลือดเนื้อ ที่ทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำไหววูบอย่างไม่ตั้งใจและไร้สาเหตุ ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อรับรู้ถึงความแกร่งกำยำที่โอบรัดรายรอบกายไม่ให้ล้มคะมำ ตกเป็นจุดเด่นจากสายตาคนรอบข้างราวกับโลกที่ยืนอยู่หยุดเคลื่อนไหว เมื่อแหงนหน้าขึ้นแล้วได้สบกับนัยน์ตาเข้มดุแต่อ
“ไปห้องน้ำ” หญิงสาวตอบกลับเสียงแผ่ว ไม่หาญกล้าสบกับสายตาเข้มราวใบมีดโกน มือเล็กยื่นไปจับแก้วกาแฟแต่ก็สั่นจนยกจากจานรองไม่ขึ้น จึงเสยกขึ้นลูบไล้ลำคอระหงแทน ใบหน้าค่อนไปทางซีดด้วยอึดอัดคล้ายรอบกายมีหมู่มวลอากาศร้อนอบอ้าวกดทับทำให้หายใจไม่ค่อยออก“คุณเป็นใคร มาถึงก็ถามเอาๆ น่ะ” ถึงจะกลัวแต่ขอขวัญก็ยังรวบรวมความกล้าเอ่ยถามไปโดยไม่สบตาด้วย และพยายามบังคับไม่ให้เสียงที่เอ่ยถามสั่นเกินไปนักใช่บ้านตัวเองเสียเมื่อไหร่ มาอ้างว่าเป็นคนรู้จัก ดีไม่ดีอาจกลายเป็นคนมาสวมรอย เอาภัยมาให้เธอกับอติกานต์ก็เป็นไปได้นี่นา คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ขนาดคนใกล้ชิดเห็นหน้ากันทุกวัน ยังทำร้ายกันได้เลย นับประสาอะไรกับคนเพียงแค่ได้เห็นเพียงแค่ดวงตาอย่างนี้ล่ะ“ไม่จำเป็นต้องรู้”“อ้าว! พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน เกิดคุณเป็นคนไม่ดี มาอ้างโน่นนี่เพื่อเอาตัวคุณเอแคลร์ไป ฉันจะกลับไปตอบกับพ่อแม่เขายังไงล่ะ” ขอขวัญขึ้นเสียงสูง พลางชักสีหน้าหงิกงอใส่นัยน์ตาเข้มฉายแววระอิดระอาใจระคนรำคาญ พูดอย่างกับว่าคนตัวเล็กอย่างหนูที่แค่โดนกระแสลมในท้องทะเลทรายเพียงนิดก็ปลิวไปเสียแล้วจะช่วยอติกานต์จากราชสีห์เจ้าถิ่นที่น่ากริ่งเกรงขามไ
มือเล็กสั่นเทากำหมัดจนแน่น ไม่แพ้ริมฝีปากที่ฟันขาวกดลงไปแรงๆ แม้ตัดสินใจทำลงไปแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ เธอก็ทำใจไม่ได้ที่ต้องเจอกับผู้ชายคนนั้นในตอนนี้อยู่ดี กายอรชรสั่นสะท้านร้าวรวดคล้ายลูกนกตกลงไปในท้องน้ำเย็นจัด บินขึ้นไม่ไหว อยากมีใครสักคนยื่นมือมาโอบประคองพาก้าวข้ามหุบเหวแห่งความทุกข์ระทม!เวลาเนิ่นนานผ่านไปแต่อติกานต์กลับไม่รับรู้ ใบหน้านวลผ่องแหงนมองเพดานห้อง ซึ่งแม้ตกแต่งด้วยลวดลายงดงามให้ความเย็นสบายตามากเพียงใด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมืดมิด ไม่ได้เข้ามาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ในภวังค์ความคิดล้วนมีแต่ใบหน้าเศร้าหมองและฝากความหวังของบิดาและมารดา เป็นเหมือนเกลียวเชือกผูกรัดปมที่ขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิง สางเท่าไหร่ก็ไม่ออก จนทำให้ภาพแห่งความฝันซึ่งเคยวาดไว้กับหนุ่มผู้ครอบครองดวงใจเหมือนมีม่านบางๆ ขวางกั้น แม้อยากฮึดเรียกพละกำลังแรงใจแต่ก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงเสียเหลือเกิน“ภูมิ...” อติกานต์ร้องเรียกหาคนรักเสียงเบาหวิว ช่างประจวบเหมาะจนน่าแปลกใจเหลือเกิน ยามเธอมีปัญหาแทนที่ชายหนุ่มจะอยู่ช่วยคอยประคองหาทางออกเพื่อก้าวเดินผ่านปัญหาไปด้วยกัน ทว่าเขากลับต้องเดินทางตามคำสั่งบิดาไปดูงานต่างประเทศเ
“แต่ขอโทษนะ เผอิญฉันเป็นผู้หญิงหิวเงิน...เอาเงินสักร้อยสองร้อยล้านมาวางเป็นค่าตัว แล้วจะพาฉันไปตกนรกขุมไหนก็ตามสบาย...คุณมีปัญญาหามาจ่ายไหมล่ะ”“อู้...ค่าตัวเธอแพงไปหน่อยไหมเอแคลร์ ฉันยังไม่แน่ใจเลย ว่าจะได้เป็นคนแรกของเธอหรือเปล่า ถ้าใช่มันก็น่าสนใจดีอยู่น่ะ”สายตาเป็นประกายแปลบปลาบเหมือนสายฟ้าฟาด ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม “ในเมื่อเธอกล้าเสนอมา ฉันก็คงต้องเอากลับไปคิดแล้วละ ว่าพอจะไปขุดคุ้ยหาไอ้เจ้าเงินในหีบ ในไห ในลังใส่เสื้อผ้า มาเป็นค่าตัวแลกเปลี่ยนพาตัวเธอไปเสพสวาทได้หรือเปล่า”รอยยิ้มแต้มบนมุมปากหนา อติกานต์ทำเป็นปากกล้า แต่พอเขาคิดจะเอาจริงใบหน้ากลับซีดเผือด ดวงตาตื่นตระหนกขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเสนอมาแล้ว...อย่างเขาหรือจะไม่รีบตะครุบเอามาอยู่ในอุ้งมือน่ะ“ว่าแต่ตอนนี้บอกได้หรือยัง คิดอะไรอยู่ถึงได้เดินไม่มองดูทาง ไม่รู้หรือไงนี่มันต่างถิ่นนะ อันตรายแค่ไหนรู้บ้างไหมหากเจอคนไม่ดีเข้าน่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง พานโกรธไปถึงไอ้ตัวซวยที่ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่บอกไม่เตือนให้ระวังตัวกันบ้าง หรือคิดว่าตัวเองใหญ่พอดูแลได้ทั่วถึง จนลืมไปหรือเปล่า แม้เป็นโรงแรมใหญ่ การป้
“อื้อ” ใบหน้านวลผุดผาดแหงนหงายไปด้านหลัง เบือนหน้าหนีก็ไม่ได้ เมื่อถูกมือใหญ่ลูบไล้มาจับตรึงท้ายทอยเอาไว้มั่น มือเล็กกำหมัดทุบไปบนอกกว้างเท่าที่เรี่ยวแรงจะมี ก็ต้องหยุดพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่นจากเบ้า เมื่อถูกบดคลึงและขบฟันขย้ำลงไปบนกลีบปากอิ่มนุ่มแรงๆอยู่ใกล้อติกานต์ทีไร เขาอดใจล่วงเกินเธอไม่ได้สักที เห็นทีต้องเร่งหาทางทำให้ไอ้เจ้าบ้านั่นพาแม่หนูขนมหวานไปส่งถึงถิ่นเร็วๆ เสียแล้วละ หวานเร่าร้อนยั่วความกระหายอยากในกายจนแทบคลั่งจะลงแดงตายอยู่แล้วชายหนุ่มบดคลึงซอกซอนหาความหวานจากโพรงกุหลาบนุ่มจนพอใจ ถึงได้ยอมถอนจุมพิต แต่ไม่ยอมปล่อยร่างอรชรให้เป็นอิสระ ฝ่ามือหนาทาบบนแผ่นหลังบอบบาง บังคับด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่าพาหญิงสาวเดินไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายสบายใจ“เล่าให้ฟังหน่อยสิ ครอบครัวเธอคิดยังไง ‘ถึงได้ส่งลูกสาวหน้าตาสะสวยน่ารักมาทำหน้าที่ผลิตทายาทให้กับไอ้คนเย็นชา ที่ชาตินี้คงไม่มีหัวใจให้ใคร นอกจากคนที่ตายไปแล้ว’ ถึงได้ส่งผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางเดินทางมาที่ห่างไกลแถมยังเต็มไปด้วยภัยอันตรายนานัปการคนเดียวได้...ไม่ห่วงบ้างเลยหรือไง ว่าลูกสาวจะได้รับอันตรายน่ะ”“ไม่จำเป็นที่คุณต้องรู้ ปล่อยได้
ไม่คิดว่าคนที่ถูกเลือกมารับหน้าที่แม่พันธุ์! ให้อันเดซาอีจะหวานฉ่ำนุ่มไปถึงใจขนาดนี้ ทำเอาเขาถึงกับร้อนรุ่มไปหมดทั้งกาย...คึกคะนองอยากออกมาดูโลกภายนอกก่อนห้ำหั่นฟาดฟันให้ถึงจุดหมายปลายทางสวาทรสหวานล้ำ“อือ!” เมื่อสติเริ่มกลับคืนมาอติกานต์ก็เริ่มต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากสัมผัสที่พัดพาหัวใจอ่อนไหวและร่างกายหมดเรี่ยวแรงด้วยหายใจไม่คล่องคอ มือเล็กกำหมัดทุบอกกว้าง เท้าเล็กยกขึ้นกระทืบลงไปบนเท้าใหญ่สลับกับเข่ามนกระทุ้งขาแกร่งให้ชายหนุ่มเสียสมดุลนัยน์ตากลมโตเปล่งประกายสดใสกลอกไปมาอย่างอิดหนาระอาใจระคนรำคาญเล็กน้อย ขาแกร่งสอดแทรกตรึงสองขาเรียวยาว ขณะมือไล่จับสองมือบางไพล่ไปด้านหลัง มัดไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนสอดท่อนแขนกำยำไปกระชับร่างนุ่มนิ่ม ส่งฝ่ามือหนาไปทาบตรึงท้ายทอยของคนที่พยายามเบี่ยงหนีเอาไว้มั่น ขณะบดเบียดขบย้ำจุมพิตร้อนระอุบนกลีบปากอิ่มนุ่มจากเนิบนาบเป็นหนักหน่วงทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อย ละเลียดลิ้มชิมรสน้ำผึ้งหวานเจือฝาดนิดๆ พร้อมท่อนแขนกอดกระชับกายอรชรอ้อนแอ้น ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปบนผิวเนื้อนวลผ่องเป็นยองใยเกลียวเชือกรัดรอบพากายหนาวเหน็บไปตกยังท้องทุ่งดอกไม้หลากสีสัน ชูช่อท้าทายเ
“เอาละ...ที่นี้คุณอยากรู้อะไรเพิ่มก็ถามมา ฉันพร้อมจะตอบทุกคำถามแล้ว” ที่เธอสามารถตอบได้นะ“รู้ใช่ไหมอติกานต์ต้องไปอยู่กับอันเดซาอี ซีกัลป์ โอซาอิดนี่” แทนที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องที่อยากรู้ ชายหนุ่มกลับเลือกถามไปอีกเรื่อง เพราะยังไม่อยากทำให้นกต่อรู้ว่าแผนการที่วางไว้นั้นแตกแล้วขอขวัญส่ายศีรษะแรงๆ ด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ อติกานต์ต้องไปอยู่กับผู้ชายชื่อแปลกๆ แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ ทว่านัยน์ตาเข้มดุที่ทอดมองมาสื่อความหมาย ทำให้เธอรู้สึกเสียววูบไปทั้งแผ่นหลัง ขนบนต้นคอลุกเกรียว “คุณหมายความว่ายังไง” หญิงสาวถามเสียงเบาหวิวแทบจะไม่หลุดออกจากปากด้วยซ้ำ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง อยากให้เป็นไปอย่างที่ในสมองแวบขึ้นมาเลยนะ ถ้าใช่...ขอขวัญร้องครางในลำคอแผ่วเบา เธอเจอกับศึกหนักหนาสาหัสสากันเป็นแน่แท้ แล้วเรื่องที่คิดจะทำย่อมต้องมีคนคอยขัดขวางโอ๊ย! คิดแล้วหนทางข้างหน้าตีบตันที่สุดเลย เธอจะหาทางออกยังไงกันล่ะนี่!“ฉันต้องการให้เธอเดินทางไปด้วย”“ฉันไม่ไป!” ขอขวัญแผดเสียงโต้กลับด้วยลืมตัว เมื่อเจอคำสั่งสายฟ้าแลบ แต่เมื่อเจอสายตาดุๆ เข้าก็แอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคืองเหมือนกัน“ฉันไม่ได้ขอ...แต่
“นะ...ไหนคุณบอกอยากรู้เรื่องของฉันไง ทำไมถึงไม่ถามมาเร็วๆ เล่า รอหาพระแสงอะไรอยู่” ขอขวัญเอ่ยเสียงเข้มกร้าวด้วยฮึดฮัดขัดใจตัวเองเสียเหลือเกิน ไอ้ความเก่งกล้าที่มีหายไปไหนหมด ทำไมถึงเรียกออกมาต่อกรกับผู้ชายบ้าๆ ตรงหน้าไม่ได้ชายหนุ่มสะบัดศีรษะอย่างระอิดระอา เมื่ออีกฝ่ายยังทำเสียงแข็งใส่ “ชื่อ...”“ขวัญ...ขอขวัญ ไพรีรักษ์” รีบบอกเสียงสั่นและรัวเร็วจนลิ้นพัวพันกัน เมื่อคนได้เปรียบเคลื่อนมือลูบไล้ลำแขนเสลา แผ่วเบาคล้ายสายลมพัดพลิ้วล่อกับปลายยอดหญ้า ที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแบบวูบไหวคล้ายถูกดึงออกไป“เป็นอะไรและทำไมถึงได้มาพร้อมกับอติกานต์ได้”“ถามอะไรแปลกๆ เป็นเพื่อนกันก็ต้องมาด้วยกันสิคุณ” ขอขวัญขบเม้มกลีบปากเมื่อสายตาสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกว่าไม่เชื่อและบ่งบอกว่าถ้าเธอพูดผิดหูอีกนิดเดียว เตรียมตัวรับคลื่นพายุอารมณ์ประหนึ่งทอร์นาโดที่ตั้งเค้าอยู่ได้เลย“ฉันรู้ว่าคุณ...เอแคลร์” ขอขวัญแทบผ่อนลมหายใจออกเมื่อหลุบกลืนคำว่าคุณหายลงไปในลำคอได้ ด้วยเป็นเพื่อนกันประสาอะไร ถึงได้เรียกอติกานต์ยกย่องราวกับอยู่กันคนละชั้น “มาธุระที่นี่ แล้วเผอิญฉันก็อยากมาเที่ยวด้วย หรือประเทศคุณห้ามคนมาท่องเที่ยว” ขอขวัญไม่ยอ
เห็นดวงตากลมใสแวววาวฉ่ำน้ำขอร้อง อย่าให้ทิ้งเธออยู่กับคนหน้าดุท่าทางร้ายกาจเพียงลำพัง ทำให้อึดอัดใจและไม่อยากทำตามคำสั่ง! ของอันเดซาอีเลย แต่น้ำเสียงเอาจริง สายตาแข็งดุกร้าวแฝงเร้นไว้ด้วยความเย็นชาอย่างที่สามารถประหัตประหารเธอให้ม้วยมรณาได้ในเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ต้องยอมล่าถอยอย่างไม่เต็มใจ“ขอโทษนะขวัญ ฉันรู้เธอเก่งสู้ไหว” อติกานต์เอ่ยออกไปเสียงเบา เธอมาที่นี่เพื่อครอบครัว แม้ไม่มั่นใจคำพูดของชายตรงหน้าสักเท่าไหร่...เขาใช่คนที่เธอจะต้องร่วมกระทำภารกิจหรือเปล่า และเขาจะไม่ทำอันตรายขอขวัญใช่ไหม ถึงอยากรู้แค่ไหน แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงทำให้คนอีกนับสิบชีวิตต้องเดือดร้อน เพราะตกงาน...ขาดเงิน!อติกานต์จำยอมปลดมือเย็นออกจากแขน ด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ ‘ไม่น่าเลย เธอไม่น่าปากเบาและเห็นแก่ตัว เอ่ยชวนขอขวัญอยู่พักด้วยเลย’“ไม่นะคุณเอแคลร์ อย่าไป...” ขอขวัญเอ่ยขอร้องพร้อมไขว่คว้าอติกานต์ช่วยกลับมาอยู่เป็นกำลังใจเสียงหลง“อย่าทิ้งฉันไว้กับผู้ชายคนนี้” ทว่าร่างเพรียวบางกลับเร่งรุดเดินหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ“คุณเอแคลร์...” ขอขวัญร้องเรียกเสียงเบาหวิวและรีบหันมาประจ
อติกานต์เงยหน้าบูดบึ้ง นัยน์ตาขุ่นเขียวตวัดมองคนตัวใหญ่ ที่จนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าชื่ออะไร ใช่คนที่เธอต้อง... เฝ้าภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เพราะเธอคงต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ เรียกได้ว่าหืดขึ้นคอเชียวละกับการทำอย่างที่มารดาแนะนำมา ต่อให้คิดเข้าข้างตัวเองแค่ไหน เธอก็มองไม่เห็นปลายทางความสำเร็จอยู่ดี“ขวัญ!!” อติกานต์หยุดคิดคาดคั้นเอาคำตอบจากคนตัวใหญ่ เมื่อเห็นคนใกล้ตัวเริ่มขยับกายได้สติ“อือ...” แว่วเสียงเรียกแม้แผ่วเบาคล้ายเสียงลมหวีดหวิว แต่ก็เป็นเสมือนเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงไปในศีรษะ ให้เจ็บร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งยังตอกย้ำให้เธอรู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นอกจาก...ไม่หายแล้ว นับจากนี้ไปจะหนักมากกว่าที่เคยเป็น ไม่เข้าใจ เหตุใดถึงได้รู้สึกอย่างนี้ หรือเป็นเพราะ...ผู้ชายคนนั้น!แม้สติยังกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ขอขวัญก็พอระลึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้!ต้นเหตุแห่งฝันที่เกิดบ่อยครั้งที่ทำให้เธอจิตใจหดหู่หม่นหมอง แทรกด้วยความเจ็บปวดราวถูกแยกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยย้อนกลับเข้ามาในมโนสำนึก ทว่าคราวนี้แตกต่างจากสิ่งที่สัมผัสได้โดยสิ้นเชิง!ทุกภาพที่เห็นชัดเจน ร
แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างทาบลงไป ทำให้ร่างเล็กมองเห็นภาพทับซ้อนของใครอีกคนที่ยืนดวงหน้าเศร้าหมอง ดวงตาคู่นั้นทอดมองมาอย่างตัดพ้อต่อว่าและเจ็บปวดที่กัดกิน ดวงตากลมโตแดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นไหลอาบแก้มขาวซีดไม่ขาดสาย กลีบปากสีซีดนั้นขยับคล้ายต่อว่าต่อขานสลับร้องเรียกให้ช่วยเหลือที่ช่างบาดลึกลงไปในทรวงเขาจนเลือดไหลโทรมหัวใจ ยื่นมือไปไขว่คว้าแต่กลับรู้สึกเหมือนเพียงแค่สายลมผ่านพัด ไม่ว่านานเท่าไหร่ หัวใจก็ยังเจ็บปวดและทำใจยอมรับกับการจากไปของเธอไม่ได้!“โอ๊ย!! จะหักแขนกันหรือไงฮ้า...” ขอขวัญตวาดแว้ด เมื่ออยู่ดีๆ ยักษ์ใหญ่ก็ยื่นมือมาคว้าแขนกลมกลึง ลงแรงกดจนในหูเธอได้ยินเสียงดังกร๊อบ หางตาเล็กนิ่วด้วยความเจ็บที่แล่นปราดไปทั่ว จนต้องรีบผลักไสแต่กลับกลายเป็นถูกดึงรั้งเข้าหากายกำยำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ผสมกับกลิ่นกายที่โชยมาทำให้รู้สึกสดชื่น“ฉันอยากหักคอเธอทิ้งเหมือนกัน แต่ถ้าทำอย่างนั้นน่าเสียดายแย่ สู้เอาไว้...”ชายหนุ่มดึงเอาผ้าคลุมหน้าออกเพื่อจะได้ทำบางสิ่ง...เมื่อครั้งมีรักกับเธอคนนั้น เขาไม่เคยได้แตะต้องเธอเลยแม้แต่ปลายก้อย ด้วยต้องการเก็บเอาบริสุทธิ์ไว้ในวันอันสำคัญและเป็นการให้เกีย
“จูบของเธอหวานดีนะเอแคลร์ แต่เหมือนเด็กอนุบาลไปนิดหนึ่ง ควรจะต้องปรับปรุงเพิ่มอีกสักหน่อย หวังว่าเจอกันครั้งต่อไป เธอคงพัฒนาฝีมือการ...จูบ ชวนให้ฉันอยู่ด้วยนานกว่านี้ อ้อ...อย่าลืมคิดด้วยล่ะ ทำยังไงถึงจะดึงรั้งให้ฉันป้อนรสเสน่หาให้ทั้งคืน”ชายหนุ่มฉวยโอกาสที่สาวน้อยแสนหวานยังหลงใหลกับรสชาติแปลกใหม่ กดจมูกบนแก้มใส ก่อนพากายจากไปราวกับเขาเป็นเพียงสายลมที่พัดโหมมาหยอกเย้ารอบกายสาว ปลุกปั่นหัวใจดวงน้อยให้หลงเพริดไปกับกฤษณาสวาทส่วนลึกที่มืดมิด...“เฮ้ย!! ปล่อยฉันนะ คุณจะพาฉันไปไหนนี่ ปล่อย!!” ขอขวัญแว้ดเสียงดังลั่นอย่างตื่นตระหนก เมื่อสติที่เลือนหายไปตอนชายหนุ่มจับข้อมือไว้กลับคืนมา คล้ายมีกระแสไฟหมื่นโวลต์ผ่านเข้ามาในร่าง ดูดเอาเรี่ยวแรงภายในกายไปเสียจนหมดสิ้นและยังเกิดอาการมึนงง เธอเลยเดินตามแรงลากจูงไปอย่างไม่มีแง่งอน “อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง ทำไมถึงได้ชอบทำสะบัดสะบิ้งมากนัก” เมื่อคนตัวเล็กใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะไม่ไปด้วย ยังความหงุดหงิดด้วยการประทุษร้ายท่อนแขนกำยำไม่ยอมหยุด หากทำอย่างอื่นได้แม่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวก็ไม่รีรอสายตาเข้มเหลือบมองมดตะนอยตัวน้อยไม่เจียมตัว หาญสู้เหยี่ยวร้ายกลางทะเล