แต่ถึงเห็นอย่างนั้น สาวน้อยหน้าใสแก้มป่อง นัยน์ตากลมโตบ้องแบ๊วก็ไม่สนใจ รีบสาวเท้าวิ่งไปด้านหน้า แล้วอ้าแขนดักไว้ด้วยหัวใจแกว่งๆ เกรงใจระคนสั่นเล็กน้อยจากมาดนิ่งๆ จนเป็นเย็นชาของอีกฝ่าย พานให้นึกไปถึงเจ้าหญิงหิมะ ที่เห็นแล้ว...หนาวต้นคอชะมัด!
“เธอนี่นะ...จะทำเย็นชาไปถึงไหนฮึ! ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจก็บอกกันสิ ไม่พูดอย่างนี้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าเธอคิดอะไรอยู่” หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้างอง้ำ น้ำเสียงหวานใสและรอยยิ้มประจบประแจงราวกับว่าสนิทสนมกันมาแสนนาน
คนที่จมอยู่ในโลกส่วนตัว เดินทางออกจากบ้านมาด้วยอาการของคนที่หัวใจถูกบีบคั้นเคืองแค้น จนอึดอัดไม่อยากจะหายใจ มาเพียงแค่กาย ทิ้งวิญญาณเอาไว้ที่บ้านหยุดชะงัก ตวัดสายตาเข้มดุด้วยเกรี้ยวกราด กลีบปากอิ่มนุ่มซีดเผือดขบกัดเม้มอย่างพยายามระงับสติอารมณ์โทสะที่กรุ่นขึ้นใส่แม่สาวไม่รู้จักมารยาท ลามปามคนไม่รู้จัก ก่อนสาวเท้าเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่แม่คนเสียมารยาก็ยังเดินตามมาและสอดมือเข้าคล้องแขน ตีซี้ทำสนิทสนมด้วยอีก
คนร่างเพรียวบางหยุดเดิน ใบหน้าที่เชิดขึ้นสูงจนคอแข็งสะบัดขวับมอง...เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากสนทนาด้วย ทว่าแม่สาวร่างเล็กที่อยู่เบื้องหน้ากลับทำตาใส และยิ้มแฉ่งประจบประแจงอย่างไม่รับรู้เพลิงโทสะที่สาดใส่ไป
“กรุณาทำตัวมีมารยาทหน่อย ปล่อย!” หญิงสาวผู้ถูกก่อกวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างดุ สำทับด้วยการส่งสายตาแข็งกร้าวและดุร้ายไปให้
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้อยากมาตีซี้ทำสนิทสนมกับคุณหรอก ฉันแค่อยากช่วยคุณเท่านั้นเอง” หญิงสาวก้มหน้าลงไปทำเสียงกระซิบกระซาบ ด้วยหางตาคล้ายยังเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ไม่ไกล
“ช่วย...ไม่ทราบว่าฉันต้องให้เธอช่วยเรื่องอะไร!” คนถูกก่อกวนยังคงเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นจัด
คนตัวเล็กกว่าถึงกับถอนหายใจเฮือกโต คิดสรุปเอาเอง จากลักษณะของการแต่งกายและรูปร่างภายนอกที่ได้เห็น ท่าทางเบื่อโลกขนาดนี้ต้องมีปัญหาหนักอก แต่มีปัญหาแค่ไหนก็ช่วยมองรอบๆ หน่อยได้ไหมเล่า ไม่ใช่บ้านตัวเองสักหน่อย เกิดมีเหตุร้ายแรงอะไร ใครจะไปช่วยได้ล่ะ
“ฉันไม่ได้อยากบอกให้คุณกลัวนะ แต่ช่วยดูรอบๆ หน่อยได้ไหม” คนตัวเล็กกว่ากระซิบบอก ด้วยรู้สึกว่าขนบนคอยังลุกเกรียว เสียวที่แผ่นหลังวูบๆ อยู่ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยังเห็นเหล่าคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าพื้นเมืองแบบมิดชิด เหมาะกับการเดินทางในทะเลทรายเดินตามมาอย่างช้าๆ
ความจริงก็ไม่มีอะไรให้น่าสงสัยหรอกนะ แต่...สัญชาตญาณส่วนลึกในใจบอกว่ามีปัญหา ด้วยใบหน้าของทุกคนมีผ้าปิดอยู่จนเหลือเพียงแค่ลูกกะตาที่สอดส่ายเมียงมองมายังคนตรงหน้าเธอ ที่สำคัญคือตัวเธอเองเป็นพวกแปลกประหลาด ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องทั่วไป แบบว่าพอจะเกิดเรื่องร้ายมักมีลางบอกเหตุ ครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดียวหนาวคล้ายคนเป็นไข้! นะสิ
คนถูกเตือนรีบกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ก่อนเบ้ปากเมื่อเห็นเพียงแค่ว่ามีคนเหลียวมองมาด้วยความสนใจ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกสำหรับสาวซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์เช่นเธอ
“ไม่ต้องสร้างเรื่องให้ดูน่ากลัว” คนตัวโตพูดเสียงเข้มดุ คนกำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อจำต้องดั้นด้นเดินทางมาจากครอบครัวที่รักมาถึงดินแดนทะเลทราย ใครอยากให้ชีวิตที่มีความสุข โอบล้อมไปด้วยครอบครัวที่อบอุ่นและความรักของพ่อแม่และญาติพี่น้องต้องมาสะดุด เพราะฝันร้ายกันเล่า! นี่ยังมาเจอแม่สาวช่างจินตนาการเรื่องร้ายๆ เอาเรื่องชวนปวดหัวมาให้อีก
“ฉันไม่อยากคุยกับเธอ ไปให้พ้น” คนที่ถูกก่อกวนไล่เสียงเย็นยะเยือก พลางเหลียวมองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ หรือเพราะเธอไม่สนใจมองตั้งแต่แรก เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว...แต่ก็ใช่ ในวินาทีนี้ใครจะไปสนใจอะไรล่ะ ในเมื่อความทุกข์รายรอบโอบล้อมกาย ให้ถูกจับไปฆ่าหมกทะเลทรายเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องทำเรื่องบ้าๆ นั่น
แค่คิดเท่านั้น กลีบปากอิ่มก็สั่นระริกจนต้องรีบขบกัดเอาไว้ น้ำตาพานจะไหลออกมา จนต้องแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กระจ่างสดใส ช่างแตกต่างกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้...ที่มืดมนเช่นอุโมงค์มืดมิดที่หาทางออกไม่เจอ
“คุณนี่นะ ฉันแค่หวังดี ไม่ได้คิดอย่างที่ว่าเลยสักนิด มีตามองไม่เห็นหรือไง คนพวกนั้นจ้องมองคุณอย่างกับสุนัขจิ้งจอกจ้องขย้ำเหยื่ออันโอชะ ไปทำอะไรเข้าล่ะ ถึงได้ทำให้คนไม่พอใจขนาดนี้น่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามอย่างคนปากไว ลักษณะที่สัมผัสได้ ไม่ใช่มองด้วยความสนใจ แต่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะทำมิดีมิร้ายมากกว่า
“เฮ้ย!! ไม่ใช่นะ” คนตัวเล็กรีบยกมือส่ายปฏิเสธโดยเร็วไว “อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของคุณหรอกนะ แต่ปากฉันมันไวไปนิดหนึ่งเท่านั้นเอง น่า...อย่าโกรธสิ แค่นี้คุณก็ทำท่าอย่างกับจะกัดคอฉันจนจมเขี้ยว ท่าทางน่ากลัวจนฉันตัวสั่นแล้วเห็นไหม” หญิงสาวรีบเอ่ยดักคอเสียก่อน เมื่อรับรู้ถึงรัศมีแห่งความขุ่นเคืองเกรี้ยวกราดที่สาดมาจากร่างเพรียว
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ไปเสียที”
กลีบปากบางเฉียบเบ้ไปมาอย่างอึดอัดรำคาญใจตัวเอง เพราะไม่รู้ทำไมเธอถึงปล่อยให้คนตรงหน้าไปคนเดียวไม่ได้ เฮ้อ! เบื่อจังเลยกับไอ้ความรู้สึกแปลกๆ นี่นะ...เมื่อไหร่จะหมดไปเสียทีก็ไม่รู้
“อืม...ฉันไปกับคุณดีกว่า เกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกัน”
“ไม่จำเป็น!” คนถูกก่อกวนกระแทกเสียงเข้มใส่จอมจุ้นจ้าน ถ้าหากเป็นอะไรไป...ก็ช่างหัวมันสิ! ตายหรืออยู่ก็มีค่าไม่ต่างกัน แต่การตายอาจให้ประโยชน์มากกว่าอยู่
“เอาน่าคุณ...เสียใจอะไรมา ก็อย่าทำเหมือนชีวิตไม่มีค่าอย่างนี้สิ ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ทั้งนั้นแหละ แค่เราต้องให้เวลากับมันสักหน่อยเท่านั้นเอง” คนตัวเล็กคลี่ยิ้มหวาน พ่อกับแม่สอนเธอเสมอ ชีวิตคนเราทุกข์มากกว่าสุข จงทำตัวให้ชิน อย่าให้ความทุกข์มีอำนาจเหนือกว่า รู้จักคิดแก้ไขไตร่ตรองปัญหาอย่างรอบคอบและมีสติเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง
“เธอจะไปรู้อะไร ไม่เกิดเรื่องกับตัวเองทำเก่งพูดสอนคนอื่นเขาได้ ทีหลังไม่ใช่เรื่องของตัวอย่ามาสอด!” คนเราเป็นอย่างนี้แหละ ชอบจุ้นเรื่องของคนอื่น ทำเป็นเก่ง แนะนำหาทางออกให้ แต่พอเกิดเรื่องกับตัวเอง...ก็เป็นเหมือนเธอนี่ไง เจ็บปวดเจียนหัวใจขาดรอน
“แล้วอย่าคิดนะ ที่ช่วยบอก ฉันจะขอบใจ เธออยากยุ่งวุ่นวายเอง” เธอพยายามปลีกตัวเดินไปอย่างเร็วแล้ว ทว่าแม่เด็กตัวยุ่งก็ยังคงก้าวเดินตามมาจนทัน แล้วยังชวนพูดคุยอย่างสนิทสนมอีก“ฉันก็ไม่ได้หวังอยู่แล้วนี่นา” สาวน้อยหน้าใสตอบกลับอย่างไม่คิดสนใจ ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูอวบอิ่มฉีกยิ้ม “เอาน่า...ยังไงเราก็มาจากบ้านเดียวกัน มีเพื่อนไว้ก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือไง...ฉันชื่อขอขวัญ เรียกสั้นๆ ว่าขวัญก็ได้นะ แล้วคุณ...ชื่ออะไร”“อติกานต์...เอแคลร์” อติกานต์ตอบกลับอย่างเสียไม่ได้“ว้าว...พ่อแม่ช่างตั้งชื่อจริงๆ ไม่แค่หน้าตาที่สวยอย่างกับนางฟ้า ชื่อยังน่ากินอีก” ขอขวัญทำเสียงตื่นเต้นระคนยินดี ยิ้มกว้างจนนัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ จนคนที่ถูกเอ่ยชมถึงกับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยที่มาพร้อมกับความอิจฉา ไหนจะความสงสัย..จะมีอะไรที่ทำให้สาวน้อยหน้าใสทุกข์ได้บ้างหรือเปล่า?“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเอแคลร์” ขอขวัญฉีกยิ้มกว้างพลางยื่นมือไปหมายจับด้วย แต่อีกฝ่ายกลับปัดออกและสาวเท้าเดินหน้าไปด้วยมาดนางพญา ซึ่งไม่ไกลมีรถคันใหญ่จอดพร้อมเปิดประตูไว้คล้ายกำลังรอคอยรับใครบางคนอยู่ หวังว่าคนนั้นคงไม่ใช่คุณขนมหวานหรอกนะขอขวัญแ
ร่างหนาแกร่งด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผุดลุกจากฟูกหนานุ่ม เดินไปที่โต๊ะตัวยาว ซึ่งมีแผนที่หนังกางและมีเข็มหมุดปักอยู่หลายจุด ล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางจากโรงแรมไปถึงบ้านของเจ้านั่น!นิ้วยาวไล่ไปตามจุดที่ถูกมาร์คเอาไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพื่อความไม่ประมาท เขาจึงเดินทางไปสำรวจเส้นทางล่วงหน้า จนเชื่อได้ว่าเหมาะสำหรับการหลบซ่อนตัวและซุ่มโจมตี พร้อม...ฉกชิงสิ่งสำคัญ ทำให้ไอ้เจ้านั่นหน้าแตกและอับอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร ก่อนหน้านั้นเจ้าสาวถูกแย่งชิงไปในวันแต่งงาน หากคราวนี้เจ้าสาวไม่เพียงแค่ถูกแย่งชิง แต่มันเป็นอะไรที่มากเกินเลยไปกว่านั้นล่ะชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพร้อมรอยยิ้มมาดหมาย นัยน์ตาแวววาวซ่อนเล่ห์ร้ายเอาไว้อย่างชัดเจน เหลือบสายตามองอีกคนในห้องที่มองมาอย่างสงสัย“ไม่ชิงตัวแล้วนายจะทำอะไร” คนเป็นลูกน้องถามอย่างไม่เข้าใจ การกำจัดไอ้เจ้าบ้านั่น ควรทำตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาคิดทำเอาในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ...ใบหน้าดุดันเหี้ยมเกรียมหันมองหนุ่มหน้าละอ่อนที่ไม่เคยคิดทำอะไรเลย นอกจากหาเรื่องทำให้คนอื่นปวดหัวกับสนุกสนานไปวันๆ“ไม่เอาไง ก็แค่...ให้จบเรื่องแค่นี้ เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเลิก
ขอขวัญก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ให้จมูกสัมผัสกับกรุ่นกลิ่นไอหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้ผสมกับกลิ่นอโรมาอ่อนๆ ทำให้ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางแสนยาวไกลเกิดความสดชื่น เท้าบอบบางก้าวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านห้องนอนไปถึงห้องน้ำซึ่งกั้นด้วยกระจกสีชา อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งด้านบนมีตะกร้าเล็กๆ ใส่กลีบดอกไม้หลากสี รวมถึงสบู่เหลวหลายขวดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเมื่อกี้ยังมีอีกอย่างที่สะดุดสายตา ทำให้หญิงสาวรีบหมุนกายเดินไปดู ระเบียงห้องแบ่งเป็นชั้น ด้านหนึ่งยกสูง มีชุดเก้าอี้ไว้ให้ทานอาหารว่างพลางดูวิวทิวทัศน์ข้างนอก ชั้นล่างมีสระว่ายน้ำและสวนหย่อมขนาดเล็ก มีเตียงยาวให้นอนอาบแดดยามสาย หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นอาบแสงจันทร์ยามค่ำคืนกับใครสักคน...โรแมนติกสุดๆ เลย ใครนะช่างออกแบบ ขอขวัญมองเพลินอย่างตะลึงกับห้องพักที่สวยจนอยากจับจองเป็นเจ้าของ“คุณนี่โชคดีสุดๆ เลยนะคุณเอแคลร์ ที่ได้พักห้องสวยๆ แบบนี้”“ก็งั้นๆ ไม่เห็นจะสวยสักนิด” อติกานต์ตอบกลับน้ำเสียงไร้ความรู้สึก แม้กระทั่งก้าวล่วงเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็ยังไม่ดึงเอาแว่นกันแดดและเสื้อโค้ตออกจากร่าง คล้ายต้องการให้สิ่งเหล่านี้ปกป้องตั
“ให้ฉันแยกไปนั่งคนเดียวก็ได้นะคุณเอแคลร์” ขอขวัญเอ่ยบอกเสียงใส ด้วยจำได้ตอนออกจากห้องอติกานต์บอกเธอมีนัดทานอาหารกับหุ้นส่วนทางธุรกิจคนสำคัญของบิดา เรื่องที่คุยต้องเป็นเรื่องสำคัญและเป็นความลับอยู่แล้ว คนนอกอย่างเธอไม่สมควรเข้าไปสอดแทรกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเขา แค่นี้ก็ถูกมองไปในทางไม่ดีแล้วสายตาหวานอมโศกตวัดมาคล้ายเหนื่อยหน่ายใจ สาวเท้าบอบบางเดินลิ่วๆ ไปยังโต๊ะอาหารด้านในสุดโดยไม่สนใจสิ่งใด ด้วยอยากพาตัวเองตัดขาดจากโลกอันสับสนวุ่นวาย แต่ยังไม่ทันถึงที่หมาย ก็มีเหตุให้ร่างเล็กแบบบางเซด้วยแรงที่เปรียบเสมือนรถจักรยานปั่นไปชนกับรถสิบล้อ กายอรชรถลาไปปะทะกับต้นไม้มีชีวิตด้วยเนื้อหนังอุ่น ค่อนไปทางแข็งกระด้างที่ไม่ได้ทำให้เจ็บกาย“โอ้ย!” อารามตกที่อยู่ดีๆ ก็กระเด็นกระดอนลอยไปอย่างไม่ได้ตั้งตัว ทำให้อติกานต์เผลอยกมือโอบรอบกายอุ่นระอุด้วยเลือดเนื้อ ที่ทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำไหววูบอย่างไม่ตั้งใจและไร้สาเหตุ ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อรับรู้ถึงความแกร่งกำยำที่โอบรัดรายรอบกายไม่ให้ล้มคะมำ ตกเป็นจุดเด่นจากสายตาคนรอบข้างราวกับโลกที่ยืนอยู่หยุดเคลื่อนไหว เมื่อแหงนหน้าขึ้นแล้วได้สบกับนัยน์ตาเข้มดุแต่อ
“ไปห้องน้ำ” หญิงสาวตอบกลับเสียงแผ่ว ไม่หาญกล้าสบกับสายตาเข้มราวใบมีดโกน มือเล็กยื่นไปจับแก้วกาแฟแต่ก็สั่นจนยกจากจานรองไม่ขึ้น จึงเสยกขึ้นลูบไล้ลำคอระหงแทน ใบหน้าค่อนไปทางซีดด้วยอึดอัดคล้ายรอบกายมีหมู่มวลอากาศร้อนอบอ้าวกดทับทำให้หายใจไม่ค่อยออก“คุณเป็นใคร มาถึงก็ถามเอาๆ น่ะ” ถึงจะกลัวแต่ขอขวัญก็ยังรวบรวมความกล้าเอ่ยถามไปโดยไม่สบตาด้วย และพยายามบังคับไม่ให้เสียงที่เอ่ยถามสั่นเกินไปนักใช่บ้านตัวเองเสียเมื่อไหร่ มาอ้างว่าเป็นคนรู้จัก ดีไม่ดีอาจกลายเป็นคนมาสวมรอย เอาภัยมาให้เธอกับอติกานต์ก็เป็นไปได้นี่นา คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ขนาดคนใกล้ชิดเห็นหน้ากันทุกวัน ยังทำร้ายกันได้เลย นับประสาอะไรกับคนเพียงแค่ได้เห็นเพียงแค่ดวงตาอย่างนี้ล่ะ“ไม่จำเป็นต้องรู้”“อ้าว! พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน เกิดคุณเป็นคนไม่ดี มาอ้างโน่นนี่เพื่อเอาตัวคุณเอแคลร์ไป ฉันจะกลับไปตอบกับพ่อแม่เขายังไงล่ะ” ขอขวัญขึ้นเสียงสูง พลางชักสีหน้าหงิกงอใส่นัยน์ตาเข้มฉายแววระอิดระอาใจระคนรำคาญ พูดอย่างกับว่าคนตัวเล็กอย่างหนูที่แค่โดนกระแสลมในท้องทะเลทรายเพียงนิดก็ปลิวไปเสียแล้วจะช่วยอติกานต์จากราชสีห์เจ้าถิ่นที่น่ากริ่งเกรงขามไ
มือเล็กสั่นเทากำหมัดจนแน่น ไม่แพ้ริมฝีปากที่ฟันขาวกดลงไปแรงๆ แม้ตัดสินใจทำลงไปแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ เธอก็ทำใจไม่ได้ที่ต้องเจอกับผู้ชายคนนั้นในตอนนี้อยู่ดี กายอรชรสั่นสะท้านร้าวรวดคล้ายลูกนกตกลงไปในท้องน้ำเย็นจัด บินขึ้นไม่ไหว อยากมีใครสักคนยื่นมือมาโอบประคองพาก้าวข้ามหุบเหวแห่งความทุกข์ระทม!เวลาเนิ่นนานผ่านไปแต่อติกานต์กลับไม่รับรู้ ใบหน้านวลผ่องแหงนมองเพดานห้อง ซึ่งแม้ตกแต่งด้วยลวดลายงดงามให้ความเย็นสบายตามากเพียงใด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมืดมิด ไม่ได้เข้ามาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ในภวังค์ความคิดล้วนมีแต่ใบหน้าเศร้าหมองและฝากความหวังของบิดาและมารดา เป็นเหมือนเกลียวเชือกผูกรัดปมที่ขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิง สางเท่าไหร่ก็ไม่ออก จนทำให้ภาพแห่งความฝันซึ่งเคยวาดไว้กับหนุ่มผู้ครอบครองดวงใจเหมือนมีม่านบางๆ ขวางกั้น แม้อยากฮึดเรียกพละกำลังแรงใจแต่ก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงเสียเหลือเกิน“ภูมิ...” อติกานต์ร้องเรียกหาคนรักเสียงเบาหวิว ช่างประจวบเหมาะจนน่าแปลกใจเหลือเกิน ยามเธอมีปัญหาแทนที่ชายหนุ่มจะอยู่ช่วยคอยประคองหาทางออกเพื่อก้าวเดินผ่านปัญหาไปด้วยกัน ทว่าเขากลับต้องเดินทางตามคำสั่งบิดาไปดูงานต่างประเทศเ
นัยน์ตากลมใสมองคนร่างใหญ่ก่อนหยุดมองที่ใบหน้าเข้ม ลักษณะท่าทางออกเค้าห้าวหาญและเก่งกล้า แต่…มีบางอย่างบอกว่าไม่ใช่! แม้ไม่อยากจะฟังคำที่บิดาพูด แต่เมื่อคำพูดมันแว่วเข้าหูก็ทำให้พอจะจดจำได้ ให้เธอเดาอายุอานามผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบห้า แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้...อายุประมาณสามสิบต้นๆ มากกว่า จึงไม่น่าใช่คนที่ถูกเอ่ยถึง “คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากฉัน” ควรอย่างยิ่งที่ต้องเอ่ยถามอย่างนี้ ด้วยสายตาคู่นั้นจ้องมาคล้ายสนุกสนานกับการตามไล่ล่าหนูของแมวยักษ์ แต่เธอไม่ใช่หนูตัวน้อยที่ต้องยอมถูกรังแกง่ายๆ ผึ้งแม้ตัวเล็กแต่มีพิษภัยพอตัว ซึ่งเธอก็ไม่ต่างกัน!“ถามแปลก ผู้ชายเห็นผู้หญิงหน้าตาสวยๆ ให้คิดอะไรได้ล่ะ นอกจาก...” ชายหนุ่มไล่สายตาวามวาวมองไปตามเรือนการอรชรอ้อนแอ้นกลีบปากบางเบะหยามหยัน นัยน์ตาเป็นประกายเหนื่อยหน่ายระคนดูแคลน “ผู้ชายบ้านนี้เมืองนี้ก็แปลกดี หน้าตาหรือก็เข้าท่า บุคลิกค่อนไปทางงามสง่าน่าเกรงขามอยู่ สมองหรือก็คงไม่ปัญญานิ่มเหมือนคนปัญญาอ่อน ดูดีไปเสียเกือบทุกอย่าง แต่ทุกอย่างก็ยังมีข้อยกเว้น...!!”คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ไม่แค่หน้าตาสวย วาจาคารมก็คมคายจัดจ้านไม่เบาเลย...ย
“ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันบี้มดก็ไม่ตาย คงไม่กล้าไปทำอะไรยักษ์ใหญ่อย่างคุณหรอกค่ะ แต่ว่าที่สามีของน่ะสิคะ ไม่แน่ ถ้าเขารู้ว่ามีเหลือบไรนิสัยเสียจากข้างถนนมาเกาะแกะสุดที่รัก...คงไม่ปล่อยคุณให้เดินออกจากที่นี่ในสภาพสมบูรณ์เป็นแน่”ชายหนุ่มหัวเราะดังก้องอย่างกับได้ฟังเรื่องตลกโปกฮา “ไอ้เจ้านั่นน่ะหรือ ป่านนี้คงถูกใครบางคนดักเล่นงาน วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่กลางทะเลทรายแล้วมั้ง ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต หรือไม่ถ้าหากหนีรอดมาได้ คิดหรือว่าจะมาช่วยเหลือเธอจากอุ้งมือฉันได้ทัน...” เขาโน้มใบหน้าลงไปแนบชิดใบหู “กลัวมาถึงตอนที่ฉันเล่นปูไต่กับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้วมากกว่า”อติกานต์หน้าเสียเล็กน้อย กรามเล็กขบกัดจนแก้มนวลนุ่มนูนขึ้นสัน ด้วยพอรู้ความหมายของคำสัปดนพวกนี้มาบ้าง พลางแอบผ่อนลมหายใจออกจากปอดเล็กน้อย ในเมื่ออ้างตัวช่วยแล้วใช้ไม่ได้ ก็ต้องหวังพึ่งตัวเอง“ฉันบอกแล้วไง ไม่สนใจจะยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายนิสัยเสียอย่างคุณ กรุณาปล่อยมือฉันด้วย”แต่...นอกจากจะไม่ถูกปล่อยแล้ว แขนแข็งแกร่งยังสอดรัดรอบเอวคอดกิ่ว ทาบฝ่ามือกับแผ่นหลังแบบบาง โน้มใบหน้าลงไปประทับปากอุ่นซ่านลงบนกลีบกุหลาบนุ่มสั่นระริกอย่างที่อติกานต
“ว้าย! ทำอะไรนะคะคุณซีกัลป์” แขนกลมกลึงรีบยกขึ้นโอบรัดรอบแผงคอแกร่ง เมื่ออยู่ดีๆ อันเดซาอีก็ช้อนร่างเธอมานอนราบบนเตียงนอนผ้าขนสัตว์เนื้อนุ่ม “ปล่อยฉันก่อน...นะคะ” ขอขวัญยกสองมือยันแผงอกกว้าง กลืนน้ำลายคงคออย่างฝืดเคืองเมื่อเจอกับสายตาร้อนแรงแฝงไว้ด้วยความปรารถนาที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิด “ไอย่าค่อนข้างจะขี้อาย แค่ถูกฉันจับมือนิดหน่อยก็อายจนหน้าแดงปลั่งแล้ว ผิดกับเธอที่...” ปลายนิ้วยาวตวัดลากไล้ไปบนผิวเนื้อนวลเนียนนุ่ม“เหมือนจะอ่อนหวาน อ่อนโยน แต่เอาเข้าจริงก็ร้อนแรงประหนึ่งน้ำมันราดลงไปบนกองไฟ”อยากจะบอกว่า...ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้ นี่มันยังกลางวันอยู่เลย อีกอย่างให้เวลานับจากนี้พิสูจน์คำพูดของเขา ทว่าเพียงใบหน้าคร้ามแกร่งโน้มลงมา สัมผัสแผ่วเบาที่แนบหน้าผากกว้าง ไต่ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงกลีบปากอิ่มนุ่ม ค่อย ๆ บดคลึงลงไปอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน“ฉันอยากให้ทั้งตัวเองและเธอมั่นใจ คนที่อยู่ด้วยคือแม่ของขวัญที่เดินทางมากับนกเหล็ก มาเพื่อให้ฉันแกะกล่องด้วยความเสน่หา ที่ฉันจะบอกทุก ๆ วัน ย้ำให้เธอแน่ใจในทุก ๆ สัมผัส”ปากหนาเม้มกัดสลับบดคลึง พลางสอดแทรกเรียวลิ้นอุ่นชื้นเข้าไปกระหวัดกวาดไล้ดื่มด่ำ
ทั้งที่อยากจะถามตรงๆ ทว่าเห็นดวงตาที่ฉายแววตัดพ้อก็ทำให้เกิดพูดไม่ออกขึ้นมาฉับพลัน อีกทั้งถึงจะใช่คนเดียวกัน แต่ตอนนี้ต่างภพต่างความทรงจำ ต่างคนต่างก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปแล้ว ย่อมที่จะไม่ใช่คนเดียวกัน!ขอขวัญพยักหน้ารับ “ค่ะ ฉันพอจะจำเรื่องราวที่คุณเจอกับคุณไอซาย่าในตลาดได้ สาวน้อยที่อยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร ช่วงเวลาที่คุณสองคนอยู่ด้วยกัน รอบกายอบอวนไปด้วยความรักและความสุข แม้กระทั่งวันที่คุณบอกรัก”เจ็บแปลบในทุกคำที่เอื้อนเอ่ยออกมา เหมือนกับหัวใจถูกกรีดเป็นชิ้นๆ “และ...ขอแต่งงาน” เสียงของเขายังดังสะท้อนก้องอยู่ในหูเธอ เสมือนจะตอกย้ำความรักของอันเดซาอีและไอซาย่าให้เธอถึงระลึกเอาไว้ อย่าริอ่านทำตัวเป็นมารสอดแทรกกึ่งกลาง“แต่ที่ฉันไม่รู้คือเรื่องราวของอดีต การข้ามภพข้ามชาติมาจุติใหม่ ฉันจะใช่คุณไอซาย่ากลับมาเกิด เพื่อจะชดเชยวันเวลาที่คนซึ่งรักกันถูกพรากให้ห่างกัน ได้รักและให้คุณรักหรือเปล่า” แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ ณ ห้วงเวลานี้ ทั้งตัวเธอเองและไอซายาต่างก็ปรารถนาในสิ่งเดียวกัน! ทำให้อันเดซาอีมีความสุขที่สุด ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ตราบนานเท่านาน แม้เธอจะต้องเจ็บปวดก็ยอมจะให้เขาคิดอ
“ว่าแต่...มันเรื่องอะไรกันล่ะ” ปลายนิ้วยาวลากไล้บนพวงแก้มนุ่มซับสีเลือดฝาดอย่างอ่อนโยน “เธอจะยอมบอกความจริงกับฉันได้หรือยัง มีเหตุผลกลใดที่ชักนำให้เธอตัดสินใจเดินทางมาที่นี่...ขอขวัญ”ชายหนุ่มจับคางมนให้แหงนขึ้น ปลายนิ้วยาวลูบไล้บนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา “มาเป็นของขวัญให้กับผู้ชายที่จมอยู่กับห้วงแห่งความทุกข์ใจ โหยหาใครสักคนมาเติมความรู้สึกที่ขาดหาย พร้อมอยู่เคียงข้างกันตลอดไป”แม้จะผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่พอจะให้เอ่ยปากบอกถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองต้องมาที่นี่ ที่บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่เรื่องเหลวไหล ฝันก็คือฝันมิอาจนำมาพิสูจน์ความจริงและอ้างเป็นหลักฐาน ทำให้คนอื่นเชื่อไม่ได้ด้วย“ทำไมล่ะ หรือเธอยังไม่ไว้ใจฉัน”ขอขวัญผ่อนลมหายใจออกจากปอด คิดว่าอันเดซาอีคงจะสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่ยังคงมียามถูกเขาแตะเนื้อต้องตัว หรือไม่ก็ออกมาทางความฝันที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อไหลอาบแก้ม“ไม่ใช่ค่ะ เพียงแค่ฉัน...ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคุณยังไงดี” ขอขวัญเอ่ยด้วยความงุนงงกับสิ่งที่พานพบมา ถึงตอนนี้เธอสับสนด้วยแยกไม่ค่อยออก สิ่
ขอขวัญทำเสียงขลุกขลักในลำคอ ก่อนจะตวัดค้อนใส่พ่อจอมวางแผนวงโต ถ้าไม่ติดว่าอยากให้เพื่อนมีความความสุขด้วยละก็นะ...เธอจะภาวนาให้อติกานต์ใจแข็ง ไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ“อ้าว...ไหนว่าสงสาร อยากให้เอแคลร์มีความสุขไง ทำไมถึงได้หน้าตายุ่งเหยิงแบบนี้ล่ะ”“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่เล่นมาหลอกลวงกันอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน คนเดียวกันแท้ๆ แต่กลับทำเป็นไม่รู้เรื่องตอนคุณเอแคลร์เอ่ยทัก แถมยังจะปฏิเสธหน้าตายอีก”“ฮัลด์ก็มีเหตุผลในส่วนของเขาที่ต้องทำอย่างนั้น ซึ่งเราสองคนที่คนนอกไม่ล่วงรู้ แต่เมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว เราก็ควรที่จะอวยพรให้ชีวิตคู่ของเขาสองคนมีความสุขตลอดไป...ใช่ไหม”ขอขวัญพยักหน้ารับ เอนกายอรชรแนบชิดอกกว้าง “ใช่ค่ะ...ทุกคนมีความสุขกันแล้วสินะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาหวิวยามคิดถึงเหล่าผู้คนที่อยู่รอบกายกับหนทางที่เขาเหล่านั้นได้เลือกแล้ว ฮารินะเพื่อแก้แค้นให้กับพ่อแม่ แม้รู้ว่าอันตรายก็ไม่หวาดหวั่น เข้าต่อกรกับโจรร้ายจนตัวเองแพ้พ่าย แต่ก็มีความสุข เมื่อได้กลับไปซบอกอุ่นท่องเที่ยวไปทั่วพื้นทรายที่รัก แม่โซไรยากับโอซามุที่ก็ผ่านเรื่องร้ายๆ มามากมาย กลายเป็นเพื่อนสนิทที่เข้าใจกันอติกา
“บ้า! ใครรักคุณกันล่ะยะ เปล่าสักหน่อย”“อืม...นั่นสิ ฉันยังไม่ได้ยินคำบอกรักเลยนี่นา อย่างนี้คงต้องขอเบิ้นอีกสักรอบ เอ๊ะ...หลายรอบๆ ดีกว่า จะได้มั่นใจไอ้ที่ได้ยินเมียจ๋าบอกเมื่อกี้มันแว่วๆ สงสัยจะหูฝาดไปจริงๆ นั่นแหละ”“ไม่! ฉันบอกแล้ว...บอกแล้ว” อติกานต์รีบพูดจนลิ้นพัวพันกัน มือหนึ่งยกขึ้นดันใบหน้าคร้ามแกร่งที่ก้มลงมาหา อีกมือก็รีบตะครุบมือหนาที่โอบอุ้มทรวงอกกลมกลึง ค่อยๆ นวดคลึงทำให้เธอวาบหวามเสียวซ่าน ลมหายใจเริ่มจะขาดเป็นห้วงๆ“ถ้าไม่รัก ฉันคงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเมื่อกี้เกิดขึ้นหรอก” ดวงตากลมโตหลุบมองลอนกล้ามเนื้อบึกบึน พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองเพราะกายแกร่งที่แนบชิด“ฉันเป็นเพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มาจากต่างบ้านต่างเมือง หัวเดียวกระเทียมลีบ คุณกรุณาปรานีผู้หญิงคนนี้ที่เผลอรักคุณไป ทั้งก่อนหน้านั้นคุณเป็นจอมโจรร้ายอยู่เลย อุ๊ย!” อติกานต์หลุดเสียงอุทานออกมา เมื่อกายสาวอันตรธานลอยไปพำนักบนลำตัวแข็งแกร่ง ใบหน้านวลผ่องร้อนผ่าวและคิดว่าคงจะแดงปลั่งจรดลำคอระหง ยามนิ้วยาวลูบไล้นวดคลึงแผ่นหลังบอบบางอย่างช้าๆ“คุณ...ฮัลด์ หยุดก่อนสิคะ” อติกานต์เว้าวอนขอเสียงแหบพร่า เมื่อปทุมถันกลมก
“อือ...” อติกานต์ร้องประท้วงเล็กน้อย เมื่อฝ่ามือหนาครอบครองทรวงอกอิ่มและนวดเฟ้นอย่างหนักหน่วงจะว่าไปเขาเคยเพียงแค่สัมผัสไม่เคยยลบัวตูมเต่งตึงของอติกานต์ชัดๆ สักครั้ง ชายหนุ่มจึงไม่รอช้า รีบถอนจูบและลากริมฝีปากไต่ลงไปตามแนวคาง ขบเม้มลำคอขาวผ่องแผ่วเบา ก่อนจะเคลื่อนไปหาทรวงอกกลมกลึงที่ไหวกระเพื่อม ที่เพียงแค่ได้เห็น...มิคาอิลก็หลุดเสียงคำรามออกมาพร้อมกับความกระหายราวกับเลือดในกายเดือดพล่านสองมือหนาสอดช้อนปทุมถันกลมกลึงขึ้นมา ปลายนิ้วยาวลากไล้ไปบนผิวเนื้อนุ่มๆ ใบหน้าคร้ามแกร่งเปื้อนยิ้ม ดวงตาเข้มเปล่งประกายด้วยปรารถนาขณะเหลือบขึ้นมองสบกับดวงตากลมโต“ฉันคิดไว้ไม่ผิด ไม่แค่นุ่มแต่ยัง...”เนื้อตัวอติกานต์สั่นสะท้าน วาบหวามเสียวซ่านจนเผลอหลุดเสียงร้องครางออกมา เมื่อมือหนานวดเคล้นสลับปลายนิ้วยาวลากไล้บนปลายยอดถันหดเกร็ง ปากอุ่นยังจะเลาะเล็มไปทั่วก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นอย่างเย็นใจ เพียงปลายลิ้นร้อนตวัดไล้วนไปทั่วป้านบัวสีหวานและขบเม้มดึงเข้าสู่อุ้งปาก เธอก็เปล่งเสียงหวานพร่าด้วยวาบหวามจนท้องไส้ปั่นป่วน สองขาเรียวยาวสั่นระริก ปลายเล็บมนจิกลงบนแผ่นหลังกว้าง พลางเคลื่อนไหวไต่ขึ้นไปพัวพันกับเส้นผมหนา
“จะโกรธกันลงจริงๆ หรือเอแคลร์ ฉันรักเธอจริงๆ นะ ที่ทำทุกอย่างลงไปก็เพราะรัก เพราะอยากจะรู้ความจริงในใจของเธอนั่นแหละ คนอะไรไม่รู้ ทำเป็นเย็นชาเฉยเมยเสียจริงๆ จนฉันอดสงสัยไม่ได้ ว่าไอ้เสน่ห์ที่มีนี่ใช้กับเธอไม่ได้เลยหรือไง”“ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วไง ฉันรักโมฮาหมัด ไม่เคยรักคุณ หรือถึงฉันจะเคย...รัก! แต่เล่นมาหลอกลวงกัน เห็นเป็นตัวตลกอย่างนี้ ฉันก็เลิกรักได้เหมือนกัน”มิคาอิลยิ้มกว้าง “สายไปเสียแล้วล่ะจ้ะเมียจ๋า ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเมียทั้งรักและห่วงแค่ไหน เรื่องอะไรจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ล่ะ น่า...นะ รับรักฉันนะจ๊ะ...ที่รักจ๋า”“ไม่!” เรื่องอะไรจะยอมรับรักและให้อภัยกันง่ายๆ ล่ะ กลั่นแกล้งทำให้เธออารมณ์เสียตั้งมากมาย หากำไรทำให้เธอหวั่นไหวไปตั้งเยอะ มันต้องเอาคืนหนักๆ หน่อยสิ“อีกอย่าง...ฉันแต่งงานกับโมฮาหมัดนะ ไม่ได้แต่งกับมิคาอิล ฮัลด์ อามูร์ สักหน่อย ยังถือว่าไม่ได้เป็นภรรยาของคุณนะคะคุณมิคาอิล ฮัลด์ อามูร์” อติกานต์พูดกลั้วหัวเราะลงคอบ้าง ดวงตากลมโตกลอกไปมา ใบหน้านวลผ่องแย้มยิ้มรื่นเริง“ถอยออกไปได้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ นะ ทับลงมาได้ หนักจะตาย อ้อ...ถ้ารักกันจริง ก็ต้องรอกันได้ ใช่ไหมล่ะ” สองมือเล
คิดตามคำพูดที่ฟังดูแปลกๆ ของมิคาอิลแล้วอติกานต์อดขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้ “คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่คุณมิคาอิล ช่วยพูดตรงๆ ดีกว่า เพราะฉันตามไม่ทัน”“หลายปีมาแล้วที่บ้านหลังนี้เกิดโศกนาศกรรมขึ้น ผู้คนมากมายที่มาร่วมงาน ถ้าไม่ล้มตายก็ถูกทำร้าย ไม่เว้นแม้กระทั่งน้าซีกัลป์ที่เจ็บหนักมากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด คนรักก็ถูกโจรร้ายแย่งเอาตัวไป ระหว่างเดินทางกลับชุมโจรก็ได้เจอกับหนูน้อยมิคาอิล ฮัลด์ อามูร์ ซึ่งบาดเจ็บที่ศีรษะเดินโซซัดโซเซอยู่เลยช่วยเหลือเอาไว้ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกโจรนั้นโหดเหี้ยมขนาดไหน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำร้ายซ้ำอีก พี่ไอซาย่าเลยบอกว่าฉันเป็นญาติห่างๆ จำได้ลางๆ ว่าตอนถูกถามชื่อ เหมือนฉันจะหลุดปากเรียกชื่อพ่อออกไป ทุกคนเลยเรียกฉัน...โมฮาหมัด!”อติกานต์ถึงกับอ้าปากค้าง หมอกที่ปกคลุมใจอยู่ถูกไขจนกระจ่างแจ้งในบัดดล ความเชื่อของเธอไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะอย่างนี้เธอถึงได้สะดุด จากใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ละม้ายเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวกัน มาถึงท่วงท่าการเดินเหิน น้ำเสียงยามพูดคุยและหัวเราะ ดวงตาเข้มเปล่งประกายพร่างพราวระยับที่ซุกซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้ไม่มิด“คุณ...อย่ามาพูดพล่อยๆ แบบนี้นะ เ
“โดยเฉพาะกับการหาเรื่องเอารัดเอาเปรียบผู้หญิงใช่ไหมล่ะ” อติกานต์ย่นจมูกใส่คนหน้าเป็นอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ในเมื่อทำทุกทาง...หยิกข่วนและตีจนเจ็บมือแล้วแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจสักนิด ยังจะจับมือนุ่มนิ่มมาจับและบีบกระชับสลับนวดคลึงหลังมือนุ่มนิ่มทำให้เธอใจสั่นไหวระรัว“ตอนนี้ฉันไม่หนีแล้วไง ปล่อยได้แล้ว กอดรัดมาได้ กระดูกกระเดี้ยวจะหักแล้ว รู้บ้างไหม”เห็นท่าทางกระเง้ากระงอดตวัดค้อนขวับๆ ของหญิงสาวแล้วเขาอดใจไม่ไหว ก้มหน้าลงไปจรดจมูกโด่งลงไปบนแก้มนุ่มแรงๆ ไปสองสามครั้ง กำลังขยับไถลไปหวังจะจูบปากอิ่มนุ่มช่างจำนรรจาอติกานต์เผอิญรู้เท่าทันเสียก่อน จึงเบี่ยงหน้าหนีและหยิบเอาหนังหนาขึ้นมาบิดเต็มแรง จนเขาต้องยอมแพ้ แต่ก็ทำเสียงฮ่ำๆ ฮึ่มๆ อย่างต้องการจะบอกเธอว่า...‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ถึงเวลาเอาคืนเมื่อไหร่ จะคิดดอกทบต้นชนิดไม่ให้ขาดสักนิดเดียวเชียว’“ไม่ต้องมาทำตาวาวใส่ฉันเลยนะตาบ้า ถ้ามาเพื่อรังแกกันแบบนี้ก็ออกจากห้องฉันไปเลยนะ ฉันเหนื่อยใจกับคุณจริงๆ มือไม้นี่ให้มันอยู่นิ่งบ้างได้ไหมฮึ!”มิคาอิลยิ้มกว้าง “ถ้าไม่รังแกก็อยู่ได้ใช่ไหมล่ะ” เอ่ยถามน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ดวงตาพร่างพราวระยับ อติกานต์กลอกตาไปมาด้วย