อาคารเป็นสไตล์กอทิกคลาสสิก หอคอยสูงแหลม ลายเส้นชัดเจน รีบง่ายสว่าง ใหญ่โตอลังการ หน้าต่างหลังคาทรงกลม มีเสาต้นเล็กสูงเรียงราย และมีรูปแกะสลักคนตั้งอยู่สองฝั่งจูฝานรับถุงมาจากมือเธอแล้วชี้เวินเหลียง “ให้อาเหลียงถ่ายให้เธอแล้วกัน!”จูฝานคือตากล้องมืออาชีพ แต่เขามองออกว่าเวินเหลียงไม่ค่อยสนใจเท่าไร อยากให้เวินเหลียงมีความรู้สึกร่วม เบิกบานใจทีละน้อย“อาเหลียง เธอถ่ายให้ฉันหน่อยสิ!” ไม่รอให้เวินเหลียงปฏิเสธ ถังซือซือก็ยัดโทรศัพท์มือถือกับมือของเวินเหลียงด้วยความจนใจ เวินเหลียงจึงได้แต่หามุมหนึ่งถ่ายให้ถังซือซือสองสามรูปถังซือซือเอาโทรศัพท์มาดูแล้วพลันอุทาน “โห! ใช้ได้นี่ อาเหลียงถ่ายรูปให้ฉันซะสวยเลย!”จูฝานไปดูทีหนึ่งแล้วยิ้มพูด “อาเหลียงมีทักษะนะเนี่ย ฉันว่าต่อจากนี้เธอก็มาเป็นตากล้องของพวกเราเถอะ!”“หา?” เวินเหลียงขมวดคิ้วสวยถังซือซือสมทบ “นั่นสิ ๆ ๆ เธอมาเป็นตากล้องของเราเถอะ! ห้ามปฏิเสธนะ เธอมาเที่ยวทั้งที ถ่ายรูปก็ไม่ถ่าย งั้นก็มาเป็นตากล้องให้เราเถอะ!!”“ก็ได้” เวินเหลียงรับปากเธอคิดว่าตัวเองควรทำอะไรเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเหมือนกันมื้อค่ำเป็นร้านหม้อไฟ ร้านอาหารจีนท
ถังซือซือยิ้มพลางเอ่ยว่า “ดูก่อนก็แล้วกัน ไม่งั้นนายก็แอดไลน์ฉัน?”ชายหนุ่มมองเวินเหลียงทีหนึ่ง เห็นเธอไม่มีเจตนาอยากจะแอดไลน์ จึงทำได้เพียงแอดไลน์ของถังซือซือไปก่อน “เรียบร้อยครับ งั้นผมกลับก่อนนะครับ”เขามองเวินเหลียงอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “พี่ครับ ถ้าเสื้อผ้าพี่ซักไม่สะอาดละก็ รีบมาหาผมเลยนะครับ”“ได้เลย” ถังซือซือตอบกลับแทนเวินเหลียงรอเมื่อชายหนุ่มจากไป ถังซือซือก็มองเวินเหลียง “ให้ตายเถอะ เสี่ยวอาเหลียง อย่าทำตัวเย็นชาขนาดนั้นจะได้ไหม!”เวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมา “ฉันทำแบบนั้นเหรอ?”“เปล่างั้นเหรอ?” ถังซือซือถลึงตาโต “เขาอุตส่าห์แสดงความจริงใจ เธอก็เอาแต่ทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ได้ ยังเย็นชาไม่พอหรือไง?”เวินเหลียงสำลักไป “ฉันรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นก็แค่นั้นเอง”เวินเหลียงรู้ปัญหาของตัวเองข้อนี้นานแล้ว หรือว่าอาจเพราะไปไหนมาไหนคนเดียวจนชินแล้ว นอกจากลูกค้าที่ต้องรักษาเอาไว้ เมื่อเธออยู่กับเพื่อน เธอมักเป็นฝ่ายถูกเข้าหามากกว่าอธิบายในหนึ่งประโยคก็คือ ถ้าเธอมาฉันจะต้อนรับขับสู้ แต่ถ้าเธอไม่มาฉันก็สบาย ๆเธอไม่ได้หวังอยากจะมีเพื่อนเยอะ ๆ อย่างเมื่อครู่นี้หากไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่กัน เ
เวินเหลียงก็ยังรู้สึกว่าพวกเธอคิดมากไปแล้ว “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาแค่อยากชดใช้ค่าซักแห้งให้ฉันแค่นั้น”ถังซือซือเลิกคิ้ว แล้วตอบกลับเมิ่งเซ่อ “นายจะเอาไลน์ของเธอไปทำอะไร?”อีกฝ่ายที่อยู่บนหน้าแชตขึ้นว่ากำลังพิมพ์อยู่นานสองนาน จากนั้นเมิ่งเซ่อก็ส่งข้อความมาข้อความหนึ่ง “ผมทำเสื้อผ้าของพี่เขาสกปรก ควรชดใช้ค่าซักให้พี่เขา”เมื่อเวินเหลียงเห็นก็แบมือ “ดูสิ ฉันบอกแล้ว...” ยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งเซ่อก็ส่งมาอีกข้อความหนึ่ง “แล้วก็ พี่สาวคนนั้นสวยเป็นพิเศษด้วย”ถังซือซือแอบขำขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างหยอกล้อ “อาเหลียง เธอยังมีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”เวินเหลียงเบือนหน้าหนี ก่อนจะชำเลืองมองไปทางพวกเมิ่งเซ่ออย่างลวก ๆ ทีหนึ่ง ทว่าดันไปสบตากับเมิ่งเซ่ออย่างไม่ตั้งใจเข้าเธอรีบชักสายตากลับ รู้สึกเพียงอิหลักอิเหลื่อเป็นอย่างมากตอนนี้เธอยังไม่มีความคิดจะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ถึงมีเธอก็คงไม่เลือกคนที่เด็กกว่าตัวเองคงเป็นเพราะเธอเป็นคนที่ค่อนข้างขาดความรักคนหนึ่ง มีแนวโน้มว่าจะมองหาผู้ชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีจิตใจมั่งคงหนักแน่นมากกว่า คนที่รับในตัวเธอได้ ทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นของคำว่า
ฟู่เจิงหยิบแหวนขึ้นมามองอยู่นานสองนาน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความยากจะเข้าใจเขาใส่แหวนลงไปในกล่องอีกครั้ง จากนั้นก็ปิดลังแล้วเอามันขึ้นไปชั้นบน…ตอนสองทุ่ม ภายในห้องวีไอพีของคลับแสงไฟสลัวกระหึ่มไปด้วยเสียงดังเจี๊ยวจ้าว เจียงมู่เปิดประตูห้องวีไอพีเข้ามา ทักทายกับพวกหานเฟิง ก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วเดินไปที่มุมโซฟาเขานั่งลงข้างฟู่เจิง แล้วเปรยถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ทำไมถึงมานั่งตรงนี้ล่ะ?”“เงียบสงบดี” ฟู่เจิงตอบ น้ำเสียงฟังดูราบเรียบไร้คลื่นใด ๆ“หย่าแล้ว?” เจียงมู่ล้วงห่อบุหรี่ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ“อืม”เจียงมู่มองเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็โยนบุหรี่ไปหนึ่งตัวฟู่เจิงใช้ไฟแช็กของเจียงมู่จุดบุหรี่ จากนั้นก็สูบและพ่นควันออกมา“ตอนนี้เธออยู่ไหน?” เจียงมู่พ่นควันออกมาสายหนึ่ง“ไปเที่ยวนอร์เวย์กับเพื่อน”เห็นฟู่เจิงสงบถึงขนาดนั้น เจียงมู่ก็มองเขาด้วยความสงสัยทีหนึ่ง “ปล่อยไปทั้งอย่างนี้? ถ้าเป็นผู้หญิงที่ฉันชอบนะ ฉันไม่มีทางให้เขาจากไปง่าย ๆ อย่างนี้หรอก!”ฟู่เจิงเงียบไป นิ้วชี้พลางเขี่ยขี้บุหรี่ จากนั้นก็ใส่เข้าไประหว่างฟันใหม่อีกครั้งปล่อยไปทั้งอย่างนี้ เขาจะยอมได้ยังไง?ถ้าปล่อยไ
คนที่ไม่รู้สถานการณ์พูดสมทบว่าใช่โดยเฉพาะบางคนที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะสอบถามข่าวคราวของฟู่เจิง เพิ่งมาปรากฏตัวที่นี่เป็นครั้งแรกเพราะอยากจะหาโอกาสสร้างความสัมพันธ์ลู่ฉางคงคิดว่าฟู่เจิงจะโกรธ ใครจะไปรู้ฟู่เจิงกลับเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็เอ่ยปากถามว่า “งั้นนายคิดว่า ใครคู่ควรกับฉันล่ะ?”คนคนนั้นนึกไม่ถึงว่าฟู่เจิงจะสนใจเขา ความปลื้มล้นออกจากคำพูด โพล่งปากออกมาว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นคุณฉู่อยู่แล้ว!”สีหน้าของฟู่เจิงไร้อารมณ์ ก่อนจะกวาดตามองไปที่พวกคนที่อยู่ข้างเขา แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “พวกนายคิดกันแบบนี้เหรอ?”ทั้งสองสามคนมองหน้ากันทีหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่องฟู่เจิงนั่งอยู่ในเงามืด สีหน้าอึมครึมมองไม่ชัดเจน เขาเขย่าแก้วเหล้าเบา ๆ เงียบไปอยู่นานสองนานคนคนนั้นยังไม่สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “คิดว่าคุณฟู่กับคุณฉู่คงมีข่าวดีด้วยกันเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมครับ?”“ปัง...”เสียงดังสนั่นสะเทือนรุนแรงดังขึ้นเสียงหนึ่งจู่ ๆ ฟู่เจิงก็ถีบโต๊ะตรงหน้าล้มลงไปเหล้าที่วางอยู่ด้านบนตกลงบนพื้นกระจายดังเพล้ง ๆ ๆ ๆ เหล้าสาดกระจัดกระจายสีหน้าของเขาข
เมื่อฟู่เจิงนึกถึงเรื่องที่ทำให้เขาหัวหมุน ก็ยิ่งดื่มถี่ขึ้นแก้วแล้วแก้วเล่าเจียงมู่ “…”พูดไปพูดมาเขาก็พูดกับฟู่เจิงว่าจะดื่มเป็นเพื่อน!เจียงมู่โน้มน้าวไม่ได้ผล เห็นฟู่เจิงดื่มไปไม่น้อยแล้ว เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะต่อสายโทรออกไปยังเบอร์ของเวินเหลียงเวินเหลียงในตอนนี้ อยู่ในอาคารผู้โดยสารขาออกที่สนามบินออสโล กำลังรอขึ้นเครื่องบินไปยังทรอมโซเธอเห็นสายโทรเข้าของเจียงมู่ ก็มองถังซือซือและจูฝานทีหนึ่ง ก่อนจะลุกไปรับสายที่ข้างหน้าต่าง“ฮัลโหล เจียงมู่? มีเรื่องอะไรเหรอ?”“อาเจิงกำลังดื่มเหล้าอยู่”เมื่อได้ยินชื่อของคนคนนั้น หัวใจของเวินเหลียงก็เต้นผิดจังหวะ “หมายความว่าอะไรยังไง?”เขาดื่มเหล้าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ?“เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ยังต้องกินยาต่อ จะดื่มเหล้าไม่ได้ ฉันโน้มน้าวเขาไม่ได้ผล”“คุณจะให้ฉันไปโน้มน้าวเขางั้นเหรอ? แม้แต่คุณยังโน้มน้าวเขาไม่ได้ ฉันคิดว่าฉันยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เขาคงไม่ฟังฉันหรอก”“อย่าเพิ่งพูดเรื่องจะได้ผลหรือเปล่า อย่างน้อยก็ลองดูก่อน ที่เขาต้องได้รับบาดเจ็บร้ายแรงขนาดนั้นก็เพื่อช่วยเธอ เธอคงไม่อยากเห็นอาการเสียใจของเขากำเริบ
เวินเหลียงวางสายแล้วกลับไปยังที่นั่งถังซือซือเห็นเวินเหลียงดูหดหู่เล็กน้อย จึงถามเปรยขึ้นว่า “เมื่อกี้สายของใครเหรอ?”“เพื่อนคนหนึ่งน่ะ” เวินเหลียงกัดริมฝีปากล่าง“หึ เธอมีเพื่อนกี่คนฉันไม่รู้หรือไง เพื่อนที่เธอพูดถึงคงไม่ใช่อีตามืดบอดฟู่หรอกนะ?”เวินเหลียง “...”ถังซือซือเห็นว่าตัวเองทายถูก ก็พูดแซะขึ้นมาทันที “เขายังจะโทรมาทำไมอีก? ตอแยเธอ? อาเหลียง เธออย่าใจอ่อนยกโทษให้เขาเชียวนะ!”“ไม่มีทาง” เวินเหลียงเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ “เมื่อกี้เพื่อนของเขาโทรมา บอกว่าเขากำลังดื่มเหล้าอยู่ ให้ฉันไปโน้มน้าวหน่อย เขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยฉัน ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้”จูฝานพูดขึ้น “ฉันเชื่อว่าอาเหลียงคงไม่เลอะเลือนขนาดนั้นหรอก แต่แค่ตอนนี้ต้องให้เวลาเธอเดินออกมาหน่อย”ผ่านไปสองชั่วโมง พวกเวินเหลียงทั้งสามคนก็มาถึงทรอมโซออกมาจากสนามบิน พวกเธอก็นั่งรถเมล์ไปโรงแรมมองไปนอกรถเมล์ สองข้างถนนยังถูกปกคลุมไปด้วยรอยหิมะชั้นหนึ่งโรงแรมที่ถังซือซือจองเอาไว้คือออโรร่าครีโอล“ฉันเห็นในคำแนะนำบอกว่าโรงแรมนี้อยู่ติดกับท่าเรือ วิวดีมาก ๆ แถมชั้นดาดฟ้ายังมีออนเซ็นกลางแจ้งด้วย ถึงเวลานั้นจะได้ไป
พูดจบ เขาก็ออกไปอย่างดีอกดีใจมองเงาเบื้องหลังของเขา ถังซือซือก็ฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา แล้วพูดกับเวินเหลียงว่า “ดูท่าพวกเราจะมีวาสนาต่อกันจริง ๆ แบบนี้พบเจอกันได้ทั้งนั้น”เวินเหลียงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเธอรู้ว่าถังซือซือหมายความว่าอะไร แต่เธอไม่ได้คิดอะไรกับเมิ่งเซ่อจริง ๆกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็กลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ห้อง จากนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกเมิ่งเซ่อเขาที่โถงด้านล่างของโรงแรม และไปลานสกีด้วยกันคฤหาสน์ย่านซิงเหอวานฟู่เจิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา หลังเกิดอาการเมาค้างหัวเหมือนจะระเบิดออกมาอย่างนั้นเขาหลับตาลงอย่างสุดจะทนพลางยื่นมือออกไปลูบขมับข้างหูมีเสียงกรนครอก ๆ แว่วดังขึ้นมากระทั่งอาการปวดที่หัวเริ่มทุเลาลงมาบ้างแล้ว ฟู่เจิงถึงได้ลืมตาขึ้นมา ในมือลูบปุ๊กลุกที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ พร้อมทั้งมองเพดานอย่างเหม่อลอยเขาฝันว่าเวินเหลียงโทรมาหาเขา เป็นห่วงเขานัยน์ตาของฟู่เจิงประกายความขมขื่นออกมาสายหนึ่งก็มีแต่ในความฝันเท่านั้น ที่เธอจะทำกับเขาแบบนี้มีแต่ในความฝันเท่านั้น เขาถึงคลายความตรอมใจได้เขาคิดถึงเธอมากเหลือเกินคิดถึงจนจะเป็นบ้า คิดถึงจนกระทั่งหลับตาในหัว