เสียงบางอย่างถูกลากดังมาจากด้านหลัง สายตาคมรีบเหลียวมอง เห็นสาวน้อยคนแรกตอนมาถึงที่นี่ กึ่งลากกึ่งจูงรถเข็นขนาดใหญ่ระดับหนึ่ง มาทางทั้งคู่
“เอามาเลย..ร้อยหนึ่ง ค่าแรงที่ฉันลากมาให้” “นารี! แกนี่มันหน้าเงินซะจริง” “ยายขี้เหนียวจะตายไป ไม่ยอมให้เงินฉันใช้เลยนี่น่า” “พูดเพราะ ๆ กับพี่หน่อยสิ คะขา ๆ น่ะ พูดเป็นไหม? ถ้าพูดได้ เดี๋ยวพี่ให้พันหนึ่งเลยเอ้า!” “พี่นิขาา น้องนาขอเงินกินขนมหน่อยสิคะ?” “จ้า ๆ แต่เซ็นไว้ก่อนนะจ๊ะ พี่ไม่มีเงินสดเลยอ่ะ เดี๋ยวตอนเย็น ๆ จะไปกดมาให้” พอเห็นเธอพูดแบบนั้น บดินทร์ถึงกับหันขวับ คนข้าง ๆ ตั้งใจกลับเมื่อไหร่กันแน่ล่ะเนี่ย สุดท้ายมือหนาจึงเอื้อมไป คว้าเอากระเป๋าสตางค์หลังกางเกง แล้วหยิบใบเทาออกมาถึงสามใบ ส่งให้กับน้องสาวนิรณาด้วยความเอ็นดู “พี่ให้ เอาไว้ไปกินขนมนะครับ” “นารีขอกราบงาม ๆ เลยเจ้าค่ะ..คุณพี่เขย!” พอเด็กน้อยพูด บดินทร์ก็รู้เลยว่าหากโตมา นิสัยคงไม่พ้นใครบางคน “เรารีบไปกันเถอะค่ะ” นิรณาเร่งร้องเรียก เธออยากไปเจอพวกเด็ก ๆ ซะจนเต็มแก่ อาจเพราะส่วนหนึ่งเด็กพวกนั้นเหมือนเป็นพลังบวกให้..เวลาที่ได้เจอ จึงรู้สึกมีความสุข เสียงสตาร์ทรถเร่งเร้า คนตัวสูงจึงลากรถเข็นที่มีพวกกับข้าวมัดใส่ถุงวางไว้อยู่ตรงมุมหนึ่ง แล้วลงมือนำกระสอบวางลงบนเบาะรถ พร้อมขึ้นนั่งควบอย่างชิว ๆ “จับแน่น ๆ นะคะ ถนนแถวนี้ ไม่ค่อยดี” เป็นดั่งที่พูดเพราะที่นี่คือชนบท หนทางจึงมีแต่หลุมแต่บ่อ แถมยัยนิรณายังพาเขามาไกลถึงกลางทุ่งนา ขับรถเป็นสิบนาที ยังออกไม่ได้ แต่มีเริ่มต้องมีจบ สุดท้ายรถของทั้งคู่ ก็ได้มาหยุดตรงหน้าร้านขายของชำหน้าหมู่บ้าน ถึงจะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ขนมครบครัน แม้ว่าการจัดวางจะรกตาไปหน่อย แต่หญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มและอัธยาศัยดี ทั้งยังแนะนำเก่งกาจ จนรถเข็น จากตอนแรกที่โล่ง ๆ เต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยวน่าทาน “จะยืนโม้อีกนานไหมครับ..คุณนิรณา” คนตัวสูงอดจะเอ่ยถามไม่ได้ หญิงสาวเอาแต่ยืนพูดคุยกับเจ้เจ้าของร้าน ตั้งแต่เรื่อง..เพื่อนสมัยเด็กที่หนีสามีไปกับหมาสองตัว จนถึงเรื่องหลานชายป้าแกกำลังจะบวชเณร แถมตอนนี้ยังลามมาถามถึงเรื่องที่ว่าอะไรสักอย่าง ที่บดินทร์ก็ฟังไม่ถนัด ด้วยทั้งคู่ต่างยกมือป้องซุบซิบ ทำท่าล่อกแล่ก เหมือนกำลังนินทาใครบางคน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นตัวเขาเอง “รีบ ๆ ไปเถอะจ้ะ ดูซิ! หน้าแฟนหนูน่ะ..งอง้ำจนจะกลายเป็นปลาทูแม่กลองแล้วนั้น!” “งั้นฉันลาแล้วนะจ๊ะ” “จ้าา เดินทางปลอดภัยนะ” พอฟังคำอวยพรเสร็จ ขณะที่นิรณากำลังจะหันหลังกลับไป ป้าแกดันรีบเอื้อมมือมาคว้าแขนไว้ให้เร็ว แล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “จ่ายเงินก่อนสิจ๊ะ” สิ้นคำ นิรณายิ้มแห้ง ลืมไปจนได้ว่าแถวนี้ไม่มีตู้เอทีเอ็ม ครั้นจะออกไปกดเงินในตัวเมืองก็ห่างออกไปถึงสามสิบกว่ากิโลเมตร เลยหันไปกะพริบตาอ้อนวอน เดือดร้อนถึงบดินทร์ เงินสดในกระเป๋าก็ดันเอาให้น้องสาวเธอหมดแล้ว สุดท้ายคนตัวสูงจึงจำใจต้องถอดนาฬิกาเรือนหลักแสน จะเอาให้วางค้ำประกัน เห็นแบบนั้นนิรณาเร่งเบรกเอี๊ยด หันหน้ากลับไปหาเจ้าของร้านแทบทันที “ป้าจ๋าา เราก็รู้จักมักคุ้นกันดี ป้ารู้ใช่ไหม..ว่าถ้าฉันลืมมาจ่าย ควรส่งบิลไปให้ใคร?” เธอบอกเพื่อย้ำเครดิต “เอ่อ ๆ เห็นว่านิเป็นลูกสาวคุณนายอ้อนะเนี่ย! ป้าจะยอมให้เซ็นไว้ก่อนก็ได้ แต่แค่วันเดียวนะ” “กลับจากบ้านสุขสำราญเมื่อไหร่นิจะมาจ่ายให้น้าา” “ห้ามนานล่ะ รู้ไหม..ป้าเนี่ย! เงินหมุน” “ไม่นาน ๆ อีกสักสิบปี” ว่าแล้ว คนสวยเร่งรี่กลับไปคร่อมรถตัวเอง สตาร์ทหนีไปดื้อ ๆ แต่ป้านั้นก็ไม่ได้ถือสาอะไร มองตามทั้งรอยยิ้ม รู้ดีว่านิรณาชอบพูดเล่นเป็นประจำ แต่คนช้อนกับหน้าซีดเผือด ผู้หญิงตรงหน้าไม่จ่ายเงินแล้วยังพาเขาหนี จึงเกิดตกใจ กระตุกเสื้อเธอเบา ๆ “เราออกมาแบบนี้..คุณป้าจะไม่แจ้งตำรวจจับเหรอ?” “เรียกว่าการเซ็นสินค้าค่ะ ตอนอยู่ที่นี่ นิทำบ่อย เวลาที่ยายไม่ให้ค่าขนม ก็ได้ป้าแก้วเนี่ยแหละ ให้เครดิต” “โอนจ่ายก็ได้นี่ครับ” “คนแถวนี้ นิก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร..ถามร้านไหนก็ไม่รับโอนสักที่” นิรณาบ่นอุบ ใช่ว่าเธอจะไม่เคยขอโอน แต่สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธทุกราย อ้างว่ากลัวภาษีบ้างแหละ บ้างก็บอกทำไม่เป็น สุดท้ายเธอเลยต้องเตรียมเงินสดมาไว้ใช้สอยอยู่ดี ทว่าครั้งนี้มาฉุกละหุก เงินจึงหมดกับงานวัดไปเสียแล้ว “ยังไง..พี่ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี” “เอาเป็นว่า..เดี๋ยวเราเอาขนมไปแจกเด็ก ๆ แล้วรีบเข้าตัวอำเภอ..ไปกดเงินมาจ่ายละกันค่ะ” เมื่อเป็นแบบนั้น สองหนุ่มสาวจึงมาหยุดยืนหน้าบ้านสีเหลืองสไตล์โมเดินร์ขนาดไม่ใหญ่มาก ตรงด้านหน้ามีป้ายเขียนไว้ว่า…บ้านพักพิงสุขสำราญ “Wow, police sister is here.” เด็กชายหัวทองวัยสิบกว่าขวบ อุทานน้ำเสียงตื่นเต้น (ว้าว! พี่สาวตำรวจมาแล้ว) “Hey, look!” เด็กอีกคนที่ตัวเล็กกว่า ชี้นิ้วมายังรถที่ขนขนมมากมาย สีหน้าหน้าเต็มไปด้วยความยินดี (เฮ้ ดูซิ!) “She came as promised.” เด็กหญิงใบหน้าจิ้มลิ้มวิ่งมาเกาะรั้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น (เธอมาตามสัญญา) “พี่นางฟ้า” เด็กผู้ชายตาสีฟ้า เขาดูโตกว่าเด็กทุกคนเดินออกมาจากในบ้าน เมื่อเห็นหน้าคนที่รอคอย ริมฝีปากที่ปกติจะไม่ยิ้มแย้ม ฉีกยิ้มออกมา จนเห็นฟันสีขาวเรียงซี่ “Do you want to eat dessert?” นิรณาถามเด็กน้อยเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงงู ๆ ปลา ๆ ตามแบบคนไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตจริงสักเท่าไหร่ (อยากกินขนมไหมจ๊ะ?) “Yes” ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกัน (ใช่) “เดี๋ยวผมเปิดให้นะครับ..พี่นางฟ้า” น้ำเสียงอ่อนโยนและชัดเจนตามหลักภาษาไทย ทำบดินทร์ยืนงง “ฟังกระดากหูจัง เรียกพี่ว่าพี่นิรณาก็ได้” “พี่เป็นนางฟ้าของผมแล้วก็พวกเด็ก ๆ ที่นี่ เรียกแบบนั้นดีแล้วครับ ยังไงซะ! พี่นิรณาก็คือความสุขของพวกเรา” “พี่ไม่ได้เจอเติร์ดนานเกือบสามเดือน ปากเราเนี่ย! ยังหวานเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลยนะ” “พี่นิก็สวย สวยวันสวยคืน” คำพูดคำจาเกินวัยของเด็กชายหน้าคมคาย ทำเอาคนสวยยิ้มร่า ชอบอกชอบใจ “พูดจาดี เอาไปสองร้อย!” ก่อนหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตังค์หมด..เริ่มรู้สึกได้เลยว่า การใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินมันโคตรของโคตรที่จะลำบากลำบน ขนาดนี้ยังแค่ครึ่งวัน “ติดไว้ก่อนนะ เดี๋ยวคราวหน้าพี่เอามาให้” “ช่างมันเถอะครับ พวกพี่รีบเข้ามาข้างในก่อนดีกว่า เดี๋ยวรถเข็นผมจะลากไปให้” เด็กหนุ่มชื่อเติร์ดกล่าวชักชวน แล้วเดินไปดึงรถขนของกินตามทั้งสองเข้าไปด้านในบ้าน“พี่อร..สวัสดีค่ะ” นิรณายกมือไหว้หญิงสาวผู้ดูแล ทำให้เธอเหลียวมองมาทางทั้งคู่ พร้อมส่งยิ้มให้ ยกมือขึ้นรับไหว้“ลมอะไรหอบน้องนิมาถึงที่นี่เหรอคะ?”“ไม่ใช่ลมพายุหรอกค่ะ”“นิก็ยังเป็นคนที่อารมณ์ดีเหมือนเดิมเลยนะคะ?”“พี่อรก็ยังเป็นพี่สาวแสนสวย..ที่ยังคงพูดจาไพเราะเพราะพริ้งเหมือนเดิมเลยค่ะ”“พี่ว่าเราสองคน เลิกเยินยอกันเองเถอะค่ะ”“มันคือความจริงนะคะ”“ค่ะ” เจ้าของบ้านจำต้องตอบรับ ด้วยความอ่อนใจ มองไปยังด้านหลังของรุ่นน้องสาว เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอย่างกับเป็นบอดี้การ์ด จึงตัดสินใจทักทาย“ฉันอรวีค่ะ คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”“เราน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน คุณอรเรียกผมว่าดินได้เลยครับ” เมื่อได้ยิน นิรณาหันขวับแล้วยิ้มน้อย ๆบดินทร์คงยังไม่รู้จักคำว่า..สวยไม่สร่างสินะ“จริงเหรอคะ..คุณอายุถึงตัวเลขห้าแล้วเหรอ?” อรวีถามอย่างไม่แน่ใจ ชายตรงหน้าไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น“ข้ามเรื่องอายุไปเถอะค่ะ นิว่าจะขอตัวไปเล่นกับพวกเด็ก ๆ ก่อนนะคะ พวกเขาคงคิดถึงจะแย่ล่ะ” ยัยคนสวยชิงตัดบท แล้ววิ่งเร็ว ๆ ไปเล่นกับเด็กน้อยที่อยู่ในสวน“เอ่อ..ทำไมที่นี่ถึงได้
พระอุ้มหมา ชีอุ้มแมว หรือจะสู้ สาวน้อยจูงรถเครื่องกับคุณชายลากรถเข็น ลากตะวันยังไม่ตกดิน จนพระจันทร์เด่นกลางหัวทั้งคู่ยังเดินไม่ถึงบ้านตัวเองสักกะที"พะ..พี่ดิน ดะ..ดูนั้นสิ!" นิ้วเรียวสวย ชี้ไปยังแสงไฟสีเขียวสลับเหลืองลอย อยู่กลางทุ่งนาด้วยความตื่นเต้น"กระสือพี่! กระสือตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้าเราแล้วค่ะ!" ยัยคนข้าง ๆ บอกให้เหลียวมองดู ไม่มีท่าทีจะหวาดกลัว ซ้ำยังเอาแต่จดจ้องมองสิ่งนั้นด้านบดินทร์เลยได้แต่เบือนหน้า ไปมองทางอื่น ไม่อยากโดนจับควักไส้กิน หากเผลอไปสบตา"โอ๊ยยยย!" คนตัวเล็กโอดครวญ จนเขาต้องรีบหันมอง"เป็นอะไรครับ?" เสียงอ่อนโยนถามด้วยความเป็นห่วง"เห้ออ นิก็นึกว่าผี ที่แท้เป็นคนส่องกบหาเขียด""ห๊ะ!" บดินทร์หลุดอุทาน ก่อนจะหันหน้ามองไปทางคนที่อยู่กลางทุ่งนา รู้สึกมีความหวัง คืนนี้คงไม่ต้องเดินกลับบ้านแล้ว แต่แล้วยัยตัวเล็กกลับเหลียวมองมา เหมือนอ่านใจออกพร้อมเอานิ้วมาชิดปาก เชิงว่าอย่าทำอะไรให้เกิดเสียงดัง"ชู่ว..ดึกดื่นแบบนี้เราไม่รู้ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือเปล่า บางทีอาจจะเป็นผีโพงก็ได้ อย่าไปเรียกเด็ดขาดนะคะ"คนตัวสูงได้แต่พยักหน้ารับคำ
"นิทำมันตื่นขึ้นมาเองนะ รับผิดชอบพี่ด้วยละกัน""พี่ดินอยากเหรอคะ?" เสียงหวานสอบถาม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องมองใบหน้าหล่อละมุน ท่าทางท้าทาย"แล้วใครล่ะ..ทำให้พี่เป็นแบบนี้?""อืมม แล้วพี่ดินอยากอะไรเหรอคะ..ถ้าไม่พูดออกมา นิก็ไม่รู้หรอกนะ" คนสวยเล่นลิ้น ยันกายลุกขึ้นเผชิญหน้ากับคนตัวสูง ช้อนสายตามองใบหน้าคมที่กำลังแดงปลั่ง ในใจนึกหัวเราะคิกคัก..บดินทร์ช่างเป็นผู้ชายน่ารักซะจริง"พี่อยากครับ..อยากทำกับนิ""ทำอะไรคะ? ""นิก็รู้""ไม่รู้ค่ะ นิไม่รู้อะไรทั้งนั้น ถ้าพี่ดินไม่พูด""พี่อยากมีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนนี้!" ว่าแล้ว จึงจิ้มนิ้วใส่เธอ"รับทราบแล้วเจ้าค่ะ! นายท่าน” สิ้นคำพูด เข่ามนคุกลงกับพื้นกระเบื้องสาก เอื้อมมือไปปลดกระดุมกางเกง แล้วเลื่อนมันลงช้า ๆ เผยให้เห็นสิ่งสงวนที่ชอบหนักชอบหนาเพียงแค่มือนุ่มนิ่มลูบสัมผัสบริเวณส่วนหัว แล้ววนนิ้วเรียวคลึงเคล้าเบา ๆ กลับเป็นการกระทำที่สุดแสนจะทรมาน ราวกับว่าคนใต้ร่างนั้นต้องการทำให้เขาคลั่งตายเสียให้ได้ทว่ายัยคนขี้แกล้งยังไม่พอใจ กำสิ่งนั้นแล้วรูดรึงช้า ๆ ขึ้นลง ขึ้นลง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่นเอาคนโดนกระท
คนจะกลับ รั้งให้ตายยังไง สุดท้ายก็ได้แค่..สามวัน ในที่สุดบดินทร์ก็สามารถลากตัวนิรณากลับมา ถึงกรุงเทพได้สักที หลังจากที่เธอเอาแต่อิดออดอยู่นาน "กลับบ้านดี ๆ นะคะ..พี่ดิน" คนสวยกล่าวลาด้วยเสียงเศร้า ทำท่าหยิบกระเป๋าจะลงรถ ทว่าเพียงเปิดประตูจะก้าวเท้าลงไป มือไม้กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำให้กระเป๋าหลุด แถมโลกยังหมุนคว้าง เป็นเหตุให้เซถลา ทรุดลงกับพื้น "นิ!" บดินทร์เรียกเธอด้วยความตกใจ แล้วถลาลงจากรถ มาดูอาการนิรณาที่ล้มอยู่กับพื้น หน้าตาซีดเซียว "ไม่เป็นไรค่ะ นิไม่เป็นไร..พี่รีบกลับบ้านเถอะ" นิรณาว่า พร้อมพยายามลุกขึ้นยืนคนเดียว แต่อาการปวดหัวตุ้บ ๆ ยังคงไม่หายไป พิษไข้จากน้ำฝน เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะคนขี้หนาวอย่างเธอ มือบางจึงต้องเลื่อนขึ้นมากุมขมับ นวดคลึงเพื่อคลายความปวดร้าว "หนูไม่สบายเหรอครับ?" "สงสัยว่าเพราะเมื่อคืน นิวิ่งตากฝน เลยรู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดมาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ" “ไปหาหมอไหม?” น้ำเสียงละมุนสอบถาม ใช้วงแขนแกร่งมาประคองให้คนตัวเล็กทรงตัวไหว "กินยาไว้แล้วค่ะ ได้นอนพักสักหน่อยคงหายดี
"พ่อบี มันหายหัวไปไหนห๊ะ!" สรรพนามจิกหัวเรียกดังมาจากริมฝีปากคนที่กำลังนอนไม่สบอารมณ์อยู่บนเตียงกว้าง ดวงตาจับจ้องโทรศัพท์มือถือตรงหน้าจอฉายชัดว่า..เกมฝั่งตัวเองกำลังเสียเปรียบ ทว่าคำเดียวคำนั้นกลับทำให้บีบี ผู้เทิดทูนบดินทร์ ยิ่งกว่าชีวิต มองเขาตาดุ แล้วกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"ต่อจากนี้ห้ามเรียกพ่อบีว่ามันเด็ดขาด ท่านอยู่สูงกว่าเราสองคนมาก""เหอะ..มันก็คนเหมือนกันนั่นแหละ""เต!""ครับผม รับทราบแล้ว..คร้าบบบบ""แล้วจะถามถึงพ่อบีไปทำไม?""อีกแค่สามวันจะถึงงานแต่งเราแล้ว คุณท่านเป็นพ่อประสาอะไร ถึงได้ปล่อยให้ลูกตัวเองวุ่นวายอยู่คนเดียว" คนหัวร้อนจากการแพ้เกมบ่นอุบ โยนมือถือทิ้งข้างตัว ยกมือยีหัวผมยุ่งเหยิง พร้อมยันกายลุกขึ้นนั่ง"แล้วเตล่ะ..นี่ก็ใกล้จะถึงงานแต่งของเราแล้วนะ วัน ๆ ไม่คิดจะไม่ทำอะไรเลยเหรอไง?" บีบีบ่นอุบ ดวงตามองชายเฮงซวยที่ตัวเองเลือกมาเป็นสามีด้วยความระอาใจหากไม่ติดว่าตั้งท้องลูกเขา เธอไม่มีวัน คว้าเอาเตชินมาร่วมหอลงโรงด้วยเด็ดขาด"แล้วบีจะให้เตทำอะไรล่ะ..ในเมื่อธีมงาน เตเลือกสีฟ้า บีจะเอาสีชมพู แล้วก็เรื่องชุดเจ้าบ่าวอี
งานแต่งงานของเตชินและบีบี มีอาณาเขตอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตของเจ้าสาวที่สามารถต้อนรับผู้คนได้มากกว่าหลายพันชีวิต คฤหาสน์ตระกูลวงศ์สูงส่งจึงเต็มไปด้วยแขกที่มาร่วมงานมากมายเพื่อแสดงความยินดีกับลูกสาวตระกูลผู้ดีเก่าแก่อันเลื่องลือชื่อ แต่ฝ่ายชายอย่างเตชิน กลับเป็นคนโนเนม ไร้ชื่อเสียง แต่พอบรรดาคุณนายทั้งหลายเห็นหน้าก็ต่างพากันอยากได้เขาซะจนตัวสั่น ด้วยมีใบหน้าคมอันหล่อเหลา อย่างกับพระเอกซีรีย์เกาหลีเป็นเอกลักษณ์ติดตัวทว่าเพียงแค่หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงรับเข้ากับสรีระร่างกายแสนอวบอิ่ม ก้าวเท้าเดินเข้ามาในงานแต่งทุกสายตาล้วนจดจ้องมองมาทางเธอคนนั้น ไม่ใช่ว่าเพราะความสวยแค่อย่างเดียวแต่เป็นการแต่งตัวที่สุดแสนจะแซ่บสะท้านทรวง โดดเด่นมากซะจนบรรดาแขกเหรื่อผู้ชายไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ต่างพากันมองตามนัยน์ตาหยาดเยิ้มแต่แล้วร่างบางกลับหยุดชะงัก ยืนมองดูรูป..บ่าวสาวอย่างใจเย็น ครุ่นคิดหาวิธีป่วนงานกระทั่งถูกมือเย็น ๆ มาแตะที่ไหล่เปลือยเบา ๆ ทำเอาสะดุ้ง เผลอพลิกกลับไปล็อกตัวเขา ตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึก"โอ๊ยย เจ็บนะครับ" คนโดนจับล็อก บ่นโอดครวญ ทำให้นิรณาต้องรีบปล่อยมือจากเขา
สองสาวงามเดินเทียบขนาบข้างกันมา คนหนึ่งหน้าคมคายดูสวยสง่าปนน่ารัก อีกคนบ๋องแบ๋วดูใสซื่อ เล่นเอาบรรดาแขกเหรื่อ งงกันตาแตก ใครกันแน่คือ..เจ้าสาวตัวจริง! ทว่าจังหวะที่นิรณาเดินไปทรุดนั่งข้างกายบดินทร์ ทั่วทั้งห้องพลันเกิดเสียงจ้อกแจ้กจอแจ รู้สึกฮือฮา คิดไม่ถึงว่าพ่อหม้ายลูกติดอย่างท่านชายผู้ทรงอิทธิพล จะเปิดตัวสาวสวยสะพรั่ง ในงานแต่งงานของลูกสาวตัวเอง ซ้ำยังตัวเล็ก ๆ หน้าตาสวยคม คล้ายคลึง..คุณบุษบาอดีตภรรยาเขาไม่ใช่น้อย เป็นเหตุให้บรรดาหญิงหม้ายสาวโสด ไม่เว้นแม้กระทั่งสาวรุ่นวัยขบเผาะ..ที่อุตส่าห์พากันแต่งตัวมาประชันซะเริศหรู ต้องอกหักดัง เป๊าะ! จำยอมรับประทานแห้วตามระเบียบ ด้านบดินทร์ที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจหนักเหมือนกัน เนื่องด้วยวันนี้เขาไม่ได้คิดจะเปิดตัวนิรณา แต่หากจะหักหน้าไล่ให้ไปนั่งที่แขก ดันกลัวเธอจะอาย สุดท้ายเลยจำใจต้องปล่อยเลยตามเลย ยังไงซะ! ผู้หญิงข้างกายก็คือภรรยาตามพฤตินัย เขาจึงไม่อยากขัดใจเธอมากนัก ฝั่งคนเป็น
"กลับมาแล้วเหรอคะ?" นิรณาว่า พร้อมส่งยิ้มให้จาง ๆ "พี่ควรต้องถามต่างหาก ว่า..นิเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?" "พี่ดินลืมแล้วเหรอคะ..ว่านิเป็นใคร" นิรณาว่า แล้วฉีกยิ้มแหย ๆ พร้อมยกมือชูลวด ขึ้นมาหนึ่งเส้น "โจรสินะ" "ใช่ค่ะ นิเป็นโจรที่จะมาปล้นสวาท..พี่ดินไงคะ!" "เอาดี ๆ ครับ นิมาทำอะไรที่ห้องพี่" "ก็นิเบื่อนี่คะ! ช่างเป็นงานแต่ง..ที่โคตรของโคตรจะน่าเบื่อ" เสียงหวานบ่นอุบอิบ ใบหน้าสวยบึ้งตึงเล็กน้อย "เป็นยังไงบ้างครับ?" "หมายถึงอะไรเหรอคะ?" สาวเจ้าถามกลับ สีหน้าฉายแววงง ๆ ไม่รู้ว่าบดินทร์ต้องการจะสื่ออะไร "ตรงนี้เป็นยังไงบ้าง?" มือหนาจิ้มนิ้ว ลงกลางหัวใจเธอ นัยน์ตาแฝงด้วยความอบอุ่นและห่วงใย "ฮั่นแน่! คนลามก..อยากจะจิ้มนมเค้าก็ไม่บอก" ยัยคนปากแข็งพาเฉไฉไปเรื่อย คร้านจะวกเข้าเรื่องราวน่ารำคาญพวกนั้น "พี่จริงจังนะครับ" สิ้นน้ำเสียงดุ นิรณาจอมดื้อ เลยจำยอมตอบกลับออกมาเสียงแผ่ว "เรื่องก็ผ่านหลายเดือนแล้ว..พี่ดินอย่าไปสนใจเลยค่ะ!" เมื่อเห็นว่านิรณา น่าจะไม่อยากพูดถึงอดีตของตัวเอง บดินทร์เลยไม่เซ้าซี้ แล้วหยิบผ้าเปียกออกจากหน้าผากสาวตรงหน้า..ไม่อยากให้เธอต้องกลายเป็นไข้หวัดแทนปวดหัว "
นิรณามองสามีด้วยแววตาอ่อนล้า หัวใจหนักอึ้งด้วยความเวทนา บดินทร์กลายเป็นเจ้าชายนิทรามานานกว่าห้าเดือนแล้ว ร่างกายที่เคยแข็งแรงบัดนี้นอนนิ่งไร้การตอบสนอง ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นคืนสติ"ขอโทษนะคะ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้านิไม่ก้าวมาในชีวิตของพี่ เรื่องราวก็คงไม่เป็นแบบนี้" เสียงแผ่วเบาแฝงความเศร้าหมอง คำพูดเดิมที่เธอพร่ำบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลาที่เขาหลับใหล เธอเอาแต่โทษตัวเอง วันแล้ววันเล่าที่จมดิ่งอยู่กับความรู้สึกผิด ไม่อาจปลดเปลื้องความทุกข์ในใจได้แต่เพราะเด็กชายที่อยู่ในท้อง คนเป็นแม่จำต้องพยายามไม่ให้ตัวเองเครียดมากนัก หาสิ่งต่าง ๆ ทำวนเวียนไป เพื่อไม่ให้มีเวลาครุ่นคิดจนเกินไป แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่อาจลบเลือนความคิดถึงที่มีต่อสามีได้แม้แต่น้อยทุกลมหายใจเข้าออกยังคงเป็น...บดินทร์หากการอ้อนวอนต่อฟากฟ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ จะช่วยได้ นิรณาอยากจะร้องขอสักครั้ง..ขอให้คืนคนรักของเธอกลับมาขอเพียงให้ลูกน้อยที่ใกล้จะลืมตาขึ้นมาเผชิญโลกกว้าง ได้มีพ่อที่เป็นปกติเหมือนเช่นคนอื่นได้โปรดแต่คำอธิษฐานดูจะไม่มีวันได้รับคำตอบ เวลาผ่านล่วงเข้าสู่เดือนที่เจ็ดของการหล
จนเวลาล่วงเลยผ่านมาอีกสามวัน นิรณายังคงวนเวียนอยู่แถวบริเวณนี้ เพื่อติดตามการค้นหาบีบีและเตชินใช้เส้นสายที่มีให้ติดประกาศจับ แต่ยังไม่พบเจอว่าคนทั้งคู่ไปหลบเลี่ยงอยู่ในรูไหน ทุกอย่างเลยมืดแปดด้าน"พี่! พี่..เจอแล้วพี่" นราภพวิ่งเข้ามาในห้องพัก ก่อนจะหยุดยืนหอบต่อหน้านิรณา แล้วยื่นมือถือมาให้ดู"สายของผมถ่ายรูปคล้ายกับไอ้เตชินได้แถวท่าเรือร้างทางใต้ เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน ผมเลยให้มันไล่ตามไปแต่ก็คลาดกันจนได้" เสียงสั่นด้วยความเหนื่อยอธิบายเร็ว ๆฝั่งนิรณาเพียงแค่กวาดสายตามองรูปก็จำได้แทบทันที ว่าชายในภาพคือเตชิน แม้ว่าสภาพจะเละเทะ เนื้อตัวเสื้อผ้าสกปรกเปรอะเปื้อนไปดินโคลนทว่าสำหรับบุคคลที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายปีย่อมจำได้ แม้แต่ปลายเส้นผม เธอก็จำได้..จำได้ว่าเขาคือ เตชิน!"รีบเตรียมรถ พี่จะรออยู่ด้านหน้า" เสียงจริงจังหันไปสั่งน้องชาย ก่อนจะเดินไปหยิบอาวุธ และเช็กดูกระสุนในที่สุดสองพี่น้อง..ก็เดินทางมาถึงท่าเรืออันเงียบสงบ จนน่าประหลาดใจ เวลานั้นสัญชาติ..บอกให้นิรณาระวังตัว เธอเร่งหันไปส่งสัญญาณให้น้องชายตามมา ก่อนจะลัดเลาะไปตามตู้คอนเทนเนอร์ที่เรียงราย ดั่งเขาวงกตจนมาถึงอีกฝั่ง
ฝั่งนิรณาในที่สุด..ก็สามารถตามตัวเจอ จากข้อความที่นราภพ สู้อุตส่าห์ไปตามสืบ จนพบว่าคนพวกนั้น ไปปรากฎตัว อยู่แถวท่าเรือ อันเป็นสถานที่..ที่พวกอาชญากรทั้งหลายมักจะใช้หลบหนีออกนอกประเทศยิ่งทำให้กลัวใจ..กลัวว่ามันจะทำการหลบหนีได้สำเร็จ สองเท้าก้าวฉับ ๆ คว้าเอากุญแจรถ เตรียมมุ่งหน้าไปตามหาพวกมัน หวังจะจับให้ได้ด้วยมือตัวเองจวบจนเวลาเข้าสู่ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ นิรณาที่ขับรถวนรอบเกาะและท่าเรือที่คาดว่าพวกมันจะไปกลับไม่เจอเลยสักนิด จนรู้สึกท้อใจ ตัดสินใจแวะปั๊มทางข้าง ลงไปล้างหน้า ล้างตา ให้รู้สึกสดใส จะได้มีแรงฮึดต่อดวงตากลับเหลือบเห็นใครบางคนในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีดำ สวมแมส สวมหมวก ปิดบังใบหน้า แต่ออร่าความหล่อยังพุ่งกระจาย ยืนเคียงข้างกับหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ในชุดเดรสสีชมพู สวมปีกกว้างกำลังยืนลังเล..อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆทว่าหากเป็นคนนอกมองมา คงคิดว่าเป็นคู่รักดารา แอบมาเที่ยวสวีทหวาน ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าแต่นั้นไม่ใช่กลับนิรณา เธอมองแค่ปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่า..สองคนนั้นแหละ! คือคู่ผัวเมียที่ตัวเองมาตามจับแต่ขณะที่ค่อย ๆ ย่องเข้าไป มือกำลัง เตรียมปืนจะยกขึ้นเล็งขู
สามอาทิตย์..ก่อนหน้านั้น"หมอขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ทางเราสามารถยื้อชีวิตคุณบดินทร์ได้แล้ว แต่เขาถูกสารเสพติดประเภทหลอนประสาท ทำลายสมองมากเกินไป ฝั่งการรับรู้เลยไม่ทำงาน" แพทย์วัยกลางคนอธิบายเสียงเศร้า อับจนปัญญาที่จะช่วยเหลือได้นอกจากรอเวลา ให้ร่างกายคนไข้ ฟื้นตัวเอง ซึ่งแทบจะไม่มีปาฏิหาริย์ เพราะสมอง ส่วนการรับรู้โดนฤทธิ์ของยานรกที่เกินขนาดเล่นงานให้"หมายความว่าพี่ดินจะต้องนอนเป็นผักอยู่แบบนี้เหรอคะ?" สิ้นคำถาม แพทย์เจ้าของไข้พยักหน้ารับ ก่อนจะขอตัวไปตรวจอาการคนอื่นต่อนิรณาเลยได้แต่มองตามหมอจนลับสายตา ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาใส่ตัว เธอไม่น่าใช้บดินทร์เพื่อเป็น..เครื่องมือแก้แค้น ไม่น่าทำแบบนั้นเลยสักนิดมันความคิด..ที่ผิดพลาด ตั้งแต่เริ่ม ถ้าวันนั้นตัดสินใจ ไม่เข้าหา ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เขาก็คงไม่ต้องมานอนหลับไม่รู้สติอยู่แบบนี้พอยิ่งคิดถึงความหลัง นิรณายิ่งโทษตัวเอง ได้แต่ถามว่าทำไม ๆ ทำไมบดินทร์ต้องเป็นคนรับกรรมที่ตัวที่เขาไม่ได้สร้าง ทำไม ไม่เป็นเธอที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้ทำไมทุกอย่างมันเลวร้าย แย่ลงไปหมด ทั้งที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไร ทั้งที่เขาทำดีทุกอย่างแต่สุดท้าย คนใจดีคนนั
"อโหสิกรรมให้กันเถอะนะ แล้วชาติฉันท์ใด อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลย" สิ้นเสียงพูด นิรณายกมือไหว้ พร้อมปักธูปลงลงบนกระถาง ใบหน้าราบเรียบ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา"ป้าเสียใจด้วยนะคะ..คุณนิ" หญิงวัยกลางเดินมาหาคนเป็นเจ้าภาพงานขาวดำครั้งนี้ แล้วยื่นมือไปรับธูป นำไปเคารพคนจากไป สีหน้าที่เศร้าสร้อย"หนูเสียใจด้วยนะคะ" หญิงสาวอีกคนที่ตามเข้ามาเอ่ยด้วยเสียงซึมเล็กน้อย นิรณาก็ไม่ได้พูดอะไร และยังคงตีสีหน้าเฉยเมย พร้อมยื่นธูปให้คนคนนั้นไป ดั่งหุ่นยนต์นัยน์ตาสีหวานว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึก ตอนนี้ชีวิตเคว้งคว้าง มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยเถิด จนทำให้เธออยากจะเป็นบ้าอีกด้านหนึ่ง พวกคุณหญิงต่างพากัน หันหน้ามาซุบซิบ"เห้ออ..สงสารคุณนิเนอะ ท้องตั้งหลายเดือนขนาดนั้น ยังต้องมาคอยจัดการงานตัวคนเดียวอีก""ฉันได้ข่าวมาว่าเขาไม่มีญาติเหลือเลยสักคน""แบบนั้นก็น่าสงสารแย่เลย" หญิงอีกคนพูด รู้สึกเห็นใจ ทั้งนิรณาและคนเสียชีวิต"นั้นสินะ! ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ ๆ ทำไมถึงมาด่วนจากไปเร็วก็ไม่รู้""เมื่อเช้าฉัน..ก็ลองถามหาสาเหตุนะ แต่ว่าคุณนิไม่ยอมพูดอะไรเลย" อีกคนกล่าวสมทบ"เธอก็คงช็อกมากแ
นิรณากลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่ว่าจะทำยังไง..คนเห็นแก่ตัวก็ไม่หมดไปสักทีทำเอางานในมือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่างจากคนปฏิบัติงานที่มีเพียงเพียงน้อยนิด ไม่สัมพันธ์กันแต่แล้วเมื่อเปิดประตูห้องนอนออก บดินทร์กลับไม่อยู่พอลองโทรหา ก็ไม่ติด ทำให้คนเป็นภรรยาเริ่มกังวลใจตั้งแต่คบกันมาเวลาเขาจะไปไหน มักจะส่งข้อความบอกตลอด แต่วันนี้กลับไม่มีปฏิบัติการตามหาสามีจึงเริ่มต้นขึ้น เธอออกสำรวจไปทั่วบ้าน จนถึงโรงรถพบว่ายังมีรถบดินทร์จอดอยู่ ไม่ได้ไปไหน"สวัสดีค่ะ คุณนิ" แม่บ้านคนหนึ่งเดินปะหน้ากับนิรณาพอดี ยกมือขึ้นไหว้ทักทาย เธอจึงส่งมอบรอยยิ้มกลับไป"ฉันมาตามหาพี่ดินค่ะ พี่พอจะรู้ว่าเขา อยู่ที่ไหนหรือเปล่าคะ?" เสียงหวานถามออกไปอย่างเป็นมิตร"คิดว่าน่าจะบ้านคุณบีบีนะคะ เห็นพวกแม่บ้านฝั่งนั้น วุ่นวายออกไปซื้ออาหารตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว""พวกเขามีนัดทานข้าวกันตอนเย็นเหรอคะ?" นิรณาถามอย่างงุนงง บดินทร์ก็นะ ไม่ยอมบอกอะไรเธอสักอย่าง"ค่ะ ฉันเห็นว่าคุณดิน ไปบ้านหลังนั้น ตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วนะคะ" แม่บ้านรายงานทุกอย่างตามความจริง"ขอบคุณที่บอกค่ะ""แล้วคุณนิจะไปบ้านคุณบีบีไหมคะ?""เกรงว่าถ้าไปแล้วระเบิ
บีบีและเตชินร่วมมือ ช่วยกันพาร่างไร้สติของบดินทร์ขึ้นมา จนถึงห้องนอน ยังเห็นว่าเขายังหลับสนิท คนเป็นสามีจึงเริ่มตั้งกล้องตรงปลายเตียง ก่อนจะเดินออกไปจากปิดประตูดัง..ปึงงง ไม่สนใจ หรือหึงหวงบันนิดา เลยแม้แต่น้อยฝ่ายภรรยาก็ได้แต่มองตามเตชินหน้าจ๋อย ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน ถึงขนาดยอมให้เธอใช้ร่างกายร่วมหลับนอนกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง สลับกับเลื่อนสายตามองดูบดินทร์ ใจนั้นไม่อยากทำกับเขาแบบนี้เลยทว่าต้องทำอย่างไรล่ะ..หากว่าถอยตอนนี้ผลเสียย่อมมากกว่า เธอลงมือทุกอย่างไปอย่างชัดเจน เขาเห็นทั้งหน้า และรู้ตัวว่าโดนวางยา ความรู้สึกหลังจากนี้ บดินทร์คงมองตัวเธอเปลี่ยนไปแน่นอนยังไงซะ ตอนนี้ก็ไม่อาจถอยได้ ต้องเดินตามแผนต่อไปจวบจนเวลาผ่านไป รู้สึกตัวอีกที บดินทร์กลับพบว่าตัวเองกำลังนอนเปลือยเปล่า อยู่ข้างบีบีที่ไม่ได้สวมใส่อะไร เวลานั้นความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาใส่ ทั้งช็อก ทั้งโกรธ ทั้งโมโหและเศร้าใจ เร่งสะบัดศีรษะไปมาเพื่อเรียกสติให้คืนกลับ พร้อมยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเอง หวังจะเช็กดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่พบเจอ ไม่ใช่ความฝันและนั้น! ไม่ใช่ความฝ
หลังจากเริ่มรับประทานอาหาร ทำให้ทั่วทั้งห้อง ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ น่าอึดอัดใจ บดินทร์ที่ทานไปได้ สองสามคำ ค่อย ๆ ตัดสินเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"พ่อจะให้เวลาหนูกับเตชินพิสูจน์ตัวเอง เลิกยุ่งกับยาเสพติด แล้วไปหางานทำให้ได้ภายในเดือนนี้""บีเลิกยุ่งกับยาพวกนั้น..นานแล้วค่ะ" บันนิดาปฏิเสธเสียงแข็ง คราวก่อนที่บดินทร์ส่งไปบำบัด เธอจำได้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน และไม่อยากกลับไปเหยียบอีก..เป็นหนที่สอง ทว่าร่างกายกลับเสพติดของพวกนั้น จนไม่อาจทนต่อความต้องการไหว"หนูทำหรือไม่ทำ บีบีรู้อยู่แก่ใจตัวเอง พ่อจะไม่เข้ายุ่ง แต่ถ้าเดือนหน้า หนูกับเตชินยังมีสภาพแบบนี้อยู่ พ่อคงจะให้อยู่ที่นี่ไม่ได้""ผมเข้าไม่เข้าใจ พวกเราสองคนทำอะไรผิด ทำไมคุณพ่อ ถึงต้องไล่ผมกับบีออกไปด้วย" คนเป็นลูกเขยกล่าวเสียงสั่นเครือ แสร้งทำน้ำเสียงเศร้าซึมตามมาแต่นั้นกลับเป็น การเล่นละครที่น่าสะอิดสะเอียน ในสายตาบดินทร์ ทำเอากลืนอาหารลงคอด้วยความยากลำบากไม่คิดว่าการมาทานข้าวร่วมกับลูกสาวครั้งนี้ รสชาติกับข้าวราคาแพงจะฝืดคอได้มากขนาดนี้ พร้อมกันจึงยกน้ำเปล่าจิบนิด ๆ หวังให้ละเลียดลงกระเพาะไปให้จบ ๆ จ
บดินทร์เดินเตร่มาตามเส้นทางสวนสวย ๆ ดวงตามองแสงตะวันยามโพล้เพล้ หวังให้ความงดงามของธรรมชาติช่วยบรรเทาอาการเครียดที่มีตอนนี้เขารู้แล้วว่าบันนิดากลับไปใช้สารเสพติดอีกครั้ง หลังจากให้แม่บ้าน นำผมลูกสาวไปส่งตรวจความทรงจำแย่ ๆ เริ่มไหลย้อนกลับมา และนั้นคงเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของบีบีคนเป็นพ่ออย่างเขา ย่อมจำได้ดี บันนิดาในวัยเด็กนั้นน่ารักและร่าเริง แต่พอช่วงอายุได้ประมาณสิบหกปีเด็กคนนั้นก็เข้ามาถาม เรื่องที่ตัวเอง ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเขา ซึ่งบดินทร์ก็ยอมรับไปแต่ใครจะคิดว่า เบื้องหน้าสาวน้อยสดใสจะถูกความน้อยเนื้อต่ำใจกลืนกิน แถมเขายังไม่เคยมีเวลาให้กว่าจะรู้ตัวบีบี ดันถลำลึกเกินฉุดรั้ง เคราะห์ร้ายเธอยังไปหลงรักผู้ชายเลว ๆ และหนีไปอยู่ด้วยกัน เชื่อมาตลอดว่านั้นคือความรักที่แท้จริง สุดท้ายบดินทร์จึงส่งบีบีไปลองตรวจอาการทางจิต ปรากฏว่าเธอป่วยเป็นโรคเรียกร้องความสนใจ ทั้งบดินทร์และบุษบาเลยส่งบีบีไปรักษา พอออกมาได้ ทั้งสองคนก็พยายามช่วยกันกลบปมด้อยภายในใจของลูกสาว ทำให้บันนิดามีอาการดีขึ้นแต่ความสุขดันมีได้ไม่นาน หลังจากที่ทั้งคู่สูญเสียคนกลางไป ความสัมพันธ์ระหว