วิมานแก้ว แดนสวรรค์
มหาเทพ 3 องค์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดปกครองสวรรค์ร่วมกันประทับอยู่บนบัลลังก์เหม่อมองไปยังเหล่าทวยเทพและเซียนสวรรค์นับหมื่นด้วยสายตาเรียบนิ่งด้านชา มีเพียงบางครั้งที่รู้สึกตัวก็จะพยายามโบกมือและส่งยิ้มให้กับเทพและเซียนบนแดนสวรรค์เป็นระยะ
วันนี้พวกเขาทั้งสามมารวมตัวกันที่วิมานแก้วที่ประทับของมหาเทพมู่ซี สตรีเพียงหนึ่งเดียวในมหาเทพทั้งสาม ผู้เป็นเจ้านายแห่งมวลพฤกษานานาพรรณ ด้วยเหตุที่ว่าท้อสวรรค์ที่จะสุกทุก 3,000 ปี ได้สุกงอมเต็มที่ เซียนสวรรค์นับหมื่นจึงมารวมตัวกันเพื่อรอรับส่วนผลไม้แห่งอายุวัฒนะนี้
“ต้นท้อออกผลกี่ผลกันเล่าคราวนี้ท่านมหาเทพมู่ซี” มหาเทพฮ่าวเทียนผู้เป็นนายแห่งสรรพสิ่ง ควบคุมสุริยัน จันทรา ดิน น้ำ ลมไฟ เริ่มตั้งคำถามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“ได้ยินว่า คราวนี้มีถึง 384 ผลเลยทีเดียว ทั้งยังสามารถขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นได้อีกถึง 3 ต้น อีก 3.000 ปี พอพวกมันสุกพร้อมกันก็คงจะมีมากกว่านี้อีกไม่น้อย” มหาเทพมู่ซีเปิดเผยสีหน้าลำบากใจออกมา
ท้อสวรรค์เป็นผลไม้ในดินแดนเทพที่เคยเป็นที่ต้องการของมนุษย์ที่ต้องการเพิ่มอายุขัยมาช้านาน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว บัดนี้แดนสวรรค์ แดนมนุษย์และแดนปีศาจล้วนแบ่งแยกไม่ก้าวก่ายกัน มนุษย์ไม่อาจก้าวข้ามมาเป็นเซียน จึงไม่เกิดสงครามแย่งชิงท้อสวรรค์อีกต่อไป
แต่ท่านเซียนนับหมื่นนับพันที่อาศัยอยู่บนแดนสวรรค์ก่อนที่ดินแดนทั้งสามจะตัดขาด ก็ยังให้กำเนิดลูกหลานเซียนออกมาอีกไม่น้อย ผลท้อยังคงเป็นที่ต้องการของพวกเขาเพื่อการยกระดับขึ้นเป็นเทพอยู่ดังเดิม
ช่วงแรกท่านผู้ปกครองทั้งสามก็ยังรู้สึกยินดีที่เซียนสวรรค์เหล่านี้จะได้ก้าวข้ามมาเป็นเทพได้ จะได้มีคนช่วยงานให้มากหน่อย แต่พวกเขาลืมคิดไปว่าสวรรค์ มนุษย์และปีศาจแยกกันอยู่ไปแล้ว ไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกทำลายล้างกันเอง ปัญหาเทพล้นสวรรค์จึงบังเกิด
แม้ผลท้อจะสุกทุก 3 ,000 ปี แต่คราวหนึ่งก็หลายร้อยลูก เซียนสวรรค์ที่เคยได้กินผลท้อไปก่อนหน้ายกระดับขึ้นเป็นเทพจนล้นสวรรค์ มหาเทพทั้งสามจำต้องแบ่งแยกหน้าที่มอบหมายยิบย่อยให้พวกเขาไปดูแล ไม่ว่าจะเป็น เทพต้นสน เทพน้ำค้าง เทพปลาตะเพียน เทพกระต่าย เทพเตาไฟ เทพตะเกียง สารพัดเทพ กลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงในการแต่งตั้งมอบหมายงานในทุก 3.000 ปี
“หา!! 384 ผลเชียวหรือ แล้วเราจะมอบตำแหน่งเทพอันใดให้พวกเขากันหวาดไหวเล่านั่น! ข้าคิดไม่ออกแล้วนะว่าแต่งตั้งเทพอะไรเพิ่มขึ้นได้อีก!”
“ข้าเองก็ขุดเอาพืช ผักผลไม้ออกมาแต่งตั้งเทพประจำตัวจนแทบจะหมดแล้ว จบงานท้อสวรรค์ครั้งนี้ข้าคงต้องทุ่มเทแรงใจสรรค์สร้างพืชพรรณชนิดใหม่ๆ ออกมาแล้วกระมัง" มหาเทพมู่ซีลอบถอนใจเบาๆ
มหาเทพสิงเทียนนั่งฝั่งเงียบๆ แต่ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำจนเป็นสีผัก เขาเป็นมหาเทพแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง เวลานี้ไม่ว่าสัตว์เทพ สัตว์บก สัตว์น้ำ ก็แต่งตั้งเทพผู้พิทักษ์ไว้จนเกือบหมดแล้ว จะเป็นไรหรือไม่หากจะมีเทพไส้เดือน เทพกิ้งก่าอะไรเทือกนั้น มหาเทพสูงวัยผู้น่าเกรงขามรู้สึกกระอักกระอ่วนเหลือจะกล่าว
จะยับยั้งขีดจำกัดของท่านเซียนทั้งหลายเอาไว้ก็ใช่ที่ กว่าพวกเขาจะบำเพ็ญเพียรกันมาได้ก็นานหลายพันปี ความหวังสูงสุดย่อมเป็นการได้เป็นเทพอยู่แล้ว หรือจะให้ไปตัดต้นท้อทั้ง 12 ต้นนั้นทิ้งก็ไม่ได้เช่นกัน ท้อสวรรค์เป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์มีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และหากคิดตัดจริงๆ ตนก็คงต้องเปิดสงครามกับมหาเทพมู่ซีมหาเทพแห่งมวลพฤกษาเป็นแน่
เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาทั้งสามไม่อาจเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนได้ว่ากำลังทนทุกข์เพียงใด ผลท้อสวรรค์เปรียบเสมือนของล้ำค่าที่เหล่าเซียนอยากได้มาครอบครอง บรรดาเทพที่ได้รับการแต่งตั้งไปแล้วทุกองค์ก็ภาคภูมิใจกับหน้าที่ของตนกันอย่างไร้ข้อกังขา
ดังนั้นการมอบท้อสวรรค์ในทุก 3,000 ปี มหาเทพทั้งสามจึงให้ความสำคัญและจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้ได้รับผลท้อ ไม่อาจทำลายความเชื่อมั่นและความฝันอันสูงส่งของเหล่าเทพและเซียนบนสวรรค์ได้ลงคอ
“ได้เวลาแล้ว ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ”
เทพนกขุนทองส่งเสียงแหลมเป็นสัญญาณ ทำให้บทสนทนาของท่านมหาเทพต้องหยุดลงพร้อมกับเปลี่ยนแปลงใบหน้าให้เหมาะสมกับวันแห่งความหวังของเหล่าเซียนสวรรค์ทั้งหลาย
เมื่อเสียงเบื้องล่างเงียบสงบลงมหาเทพมู่ซีจึงเคลื่อนกายออกไปลอยอยู่เบื้องหน้าเซียนสวรรค์นับหมื่น
"อย่างที่พวกท่านรู้ หากพวกท่านจะก้าวข้ามไปสู่ขั้นเทพได้ ท่านต้องบำเพ็ญเพียรสะสมอายุขัยให้มากพอ ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้เวลายาวนานหลายหมื่นปี และการได้กินผลท้อสวรรค์จากเกาะแก้วของข้าก็เป็นทางลัดทางหนึ่ง”
น้ำเสียงหวานอันทรงพลังของมหาเทพมู่ซี สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าเซียนเบื้องล่าง แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมาสักคนด้วยความตื่นเต้น
“ครั้งนี้ท้อสวรรค์ออกผลมาทั้งหมด 384 ผล เราจะใช้การคัดเลือกแบบเดิม ขอให้ทุกท่านจงโชคดี”
เสียงสูดหายใจเข้าของเซียนสวรรค์ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเยาว์เบื้องล่างดังขึ้นพร้อมกันด้วยความตื่นเต้น หลายคนเข้าร่วมการคัดเลือกมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยได้รับเลือก ได้แต่พยายามฝึกฝนบำเพ็ญเพียรเพิ่มอายุขัยของตนเองรอโอกาสดีงามเช่นนี้มาโดยตลอด
เมื่อมหาเทพมู่ซีกล่าวจบ ทูตสวรรค์ในรูปลักษณ์ผีเสื้อเกล็ดแก้วบางใสจำนวน 384 ตัว ก็โบยบินออกมาจากหมู่เมฆโดยรอบ เพื่อทำการคัดเลือกโดยการเสี่ยงจับคู่ เมื่อผีเสื้อเกล็ดแก้วไปเกาะที่ผู้ใด ผู้นั้นก็จะได้รับผลท้อไปคนละ 1 ผล
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ เสียงแสดงความยินดี รวมทั้งเสียงร่ำร้องด้วยความเสียใจของผู้ที่ผิดหวัง ค่อยๆ ดังขึ้นมาจากกลุ่มท่านเซียนเป็นระลอก จนในที่สุดผีเสื้อเกล็ดแก้วก็คัดเลือกผู้โชคดีทั้ง 384 คนได้จนครบ
มหาเทพมู่ซีจัดการส่งกลีบดอกไม้นานาชนิดให้โปรยลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมงคล นอกจากนี้ท่านมหาเทพฮ่าวเทียนยังปล่อยให้สายรุ้งหลายสายวิ่งผ่านไปทั่วฟ้า เทพสัตว์ต่าง ๆ แปลงกายเป็นสัตว์สวรรค์ร้องคำรามก้องเพื่อร่วมแสดงความยินดี
ภาพการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ตระการตาเหล่านี้ทำให้ท่านเซียนผู้ได้รับผลท้อรู้สึกถึงการต้อนรับเข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์อย่างแท้จริง และยังกระตุ้นเหล่าเซียนที่เหลือให้มุ่งมั่นตั้งใจที่จะบำเพ็ญเพียรเข้าสู่การเป็นเทพมากกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้แทบจะไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลยสักนิดว่าเทพสวรรค์ว่างงานกันจนเหงา พอมีงานมอบท้อสวรรค์ที่เกาะแก้วของมหาเทพมู่ซี จึงมาร่วมงานกันคับคั่ง เร่งแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาให้เชยชมกันเพราะปกติก็ไม่ค่อยได้แสดงฝีมืออันใดออกมา
“เชิญท่านเซียนที่ได้รับการคัดเลือกพาผีเสื้อของพวกท่านมารับผลท้อของท่านไปเสีย เมื่อท่านกินผลท้อไปแล้วท่านจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นแต่ยังคงต้องฝึกฝนและต้องเรียนรู้กับท่านเทพอาวุโสในสายงานที่ถูกจะถูกมอบหมายจึงจะสำเร็จเป็นเทพได้”
มหาเทพมู่ซีนายหญิงแห่งพฤกษากวาดมือรอบหนึ่ง เถาวัลย์สีเขียวก็แทงยอดออกมาจากก้อนเมฆใต้เท้าของนาง เลื้อยพันขึ้นเป็นต้นเถาวัลย์ขนาดใหญ่ ภายในฝักสีชมพูของเถาวัลย์ค่อยๆ คลี่ออกและในนั้นบรรจุผลท้อสีทองอร่ามจำนวน 384 ผลเอาไว้ ผลท้อสวรรค์สีทองส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์แผ่กระจายไปทั่ว ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องรีบสูดหายใจเข้าเพื่อรับเอากลิ่นอายแห่งความเป็นมงคลเข้าไปกักเก็บไว้ในร่าง
การแจกผลท้อสวรรค์เริ่มดำเนินไปอย่างช้าๆ พร้อมกับมีทูตสวรรค์ในคราบของผีเสื้อเกล็ดแก้วอีกหลายพันตัว บินออกมาแจกผลท้อธรรมดาสีชมพูอ่อนจากเกาะแก้วให้กับผู้มาร่วมงานกันถ้วนหน้า
และในที่สุดก็ถึงการมอบผลท้อสวรรค์ผลที่ 384 ซึ่งเป็นผลสุดท้าย เซียนหนุ่มท่าทางองอาจในเครื่องแต่งกายสีน้ำเงินขาวเดินมาถึงเบื้องหน้ามหาเทพมู่ซีพร้อมกับผีเสื้อเกล็ดแก้วของเขา
“คนสุดท้ายแล้วสินะ ท่านเซียนมีนามว่ากระไร” มหาเทพมู่ซีต้องการจบขั้นตอนการแจกจ่ายผลท้อสวรรค์ให้แล้วเสร็จ นางจงใจเอ่ยถามนามของท่านเซียนหนุ่มด้วยเสียงอันดัง เพื่อเรียกความสนใจจากเทพและเซียนทั้งหมดกลับมาที่ตนและเซียนหนุ่มตรงหน้า“ข้าผู้น้อยนามหลวนหลง ตั้งมั่นบ่มเพาะพลังอยู่ในสายเทพมังกรขอรับ”“สายสัตว์เทพเช่นนั้นหรือ ดีจริง ท่านเซียนองอาจสง่าผ่าเผยเลือกการฝึกฝนได้เหมาะสมดีจริงๆ” มหาเทพมู่ซีย่อมพึงพอใจเป็นพิเศษหากจะมีเทพในสายสรรพสัตว์มากขึ้น เพราะนางไม่รู้จะรับท่านเซียนหน้าใหม่สายพฤกษาและพืชพรรณไว้ในตำแหน่งอะไรแล้วยังไม่ต้องนับอีกว่าท่านเซียนหนุ่มผู้นี้เลือกบ่มเพาะพลังเฉพาะเจาะจงในสายเทพมังกร การจัดหน้าที่ให้เขาก็ยิ่งสะดวกง่ายดายสำหรับมหาเทพสิงเทียนอีกด้วย “ท้อสวรรค์ผลสุดท้ายในรอบ 3,000 ปีเป็นของท่านแล้ว ท่านเซียนหลวนหลง” มหาเทพมู่ซีเอื้อมมือไปยังฝักสีชมพูอ่อนของเถาวัลย์ต้นใหญ่ด้านข้าง แต่นางกลับไม่พบอะไร..มหาเทพผู้งดงามหันกลับไปมองในฝักของเถาวัลย์ พลิกคว่ำพลิกหงายดูอยู่อีกหลายรอบนางกลับไม่พบท้อสวรรค์ผลสุดท้ายตามต้องการ“ท้อสวรรค์หายไปหนึ่งผล!” เสียงอุทานด้วยความตกใจของมหาเทพมู่ซีดังขึ
ผีเสื้อเกล็ดแก้วตัวหนึ่งรีบคืนร่างมาเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่เคียงข้างเซียนน้อยเหยาจีด้วยใบหน้าร้อนรน“แดนสวรรค์ มนุษย์และปีศาจไม่ได้เชื่อมต่อกันมาเนิ่นนาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้างแล้ว เหยาจียังเล็กนางไม่รู้ความขับไล่นางลงไปนางจะใช้ชีวิตอยู่เช่นไรขอรับท่านมหาเทพ”ทูตสวรรค์สี่เสินรู้ดีว่าการลงโทษโดยการขับไล่หาใช่การเกิดใหม่ แต่เหยาจีสหายของตนจะถูกส่งลงไปในรูปลักษณ์ของเด็กหญิงวัย 11 ปีเช่นนี้โดยถูกกำหนดตัวตนขึ้นมาใหม่เท่านั้น นางอาจกลายเป็นบุตรสาวของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง หรืออาจจะปรากฏตัวเป็นคนเร่ร่อนไร้ญาติพี่น้องในแดนทุรกันดาร หากเป็นเช่นนั้นเหยาจีก็ต้องลำบากไม่น้อยเสียงพูดคุยรอบวิมานแก้วเงียบสนิท ทุกคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป ทั้งสงสารเหยาจี ทั้งเห็นควรกับบทลงโทษ และแน่นอนที่สุดพวกเขาพยายามคิดถึงเรื่องราวของแดนมนุษย์ที่เวลานี้แทบจะกลายเป็นสถานที่แปลกใหม่สำหรับพวกตนไปเสียแล้ว“ข้าน้อยอยู่กับนางเกือบจะตลอดเวลา แต่ยังปล่อยให้นางกระทำความผิดต่อหน้าได้ ข้าก็จะขอรับโทษขับไล่ออกจากแดนสวรรค์ไปพร้อมกับนางขอรับ ขอท่านมหาเทพทั้งสามได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย” สี่เสินคุกเข่า
ไม่ใช่เพียงท่านมหาเทพทั้งสามเท่านั้นที่ตกอกตกใจกับความพร้อมใจโดยไม่ได้นัดหมายของเซียนหนุ่มสาวเหล่านี้ เทพหรือเซียนส่วนใหญ่ต่างก็พากันงุนงงกับความคิดจะลงโทษตัวเองครั้งใหญ่ของเซียนหนุ่มสาวเยาว์วัยกันทั้งสิ้น“พวกเจ้าจะถูกริบเอาการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดแล้วกลายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดากันนะ สวรรค์กับมนุษย์ตัดขาดกันไปแล้ว หากเราส่งพวกเจ้าลงไปทั้งที่ยังคงสภาพเป็นเซียนอาจสร้างความปั่นป่วนในแดนมนุษย์เบื้องล่างให้กลับคืนมา ตัดสินใจให้ดีก่อน” มหาเทพฮ่าวเทียนจำต้องเตือนสติเหล่าเซียนหนุ่มสาวอีกรอบ“เช่นนั้นข้าขอถามคำถามหนึ่งขอรับ หากว่าเราสามารถบ่มเพาะพลังและบำเพ็ญตนจนได้เป็นเซียนกันอีกครั้งเล่า? พวกเรายังจะมีโอกาสกลับมายังแดนสวรรค์ได้หรือไม่ขอรับ” หลวนหลงเอ่ยถามอย่างชาญฉลาด“นั่นมัน..” มหาเทพทั้งสามรีบหันหน้าเข้ามาประชุมกันโดยเร็วครั้งก่อนที่สวรรค์ มนุษย์และปีศาจแยกออกจากกันก็เพราะสงครามการแย่งชิงอำนาจในสามภพอันยาวนาน การสูญเสียไพร่พลทั้งสามดินแดน ทำให้ต่างฝ่ายต่างเลิกรากันไปเองและแยกกันอยู่อย่างสงบมาหลายหมื่นปีโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ ทางแดนมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา เมื่อแดนสวรรค์ไม่ส่งเทพ
“สี่เสิน เอาเรื่องนี้ก่อน นี่เราลงมาเป็นเด็กกำพร้ากันหรือไร? รอบตัวเราไม่มีผู้คน ไม่มีสิ่งก่อสร้างเลยสักแห่ง”“จริงสิ ไม่มีบ้านเรือนของผู้คนจริงๆ ด้วย แต่อย่างนี้ก็ดีไม่ใช่หรือ เราไม่ได้ถูกกำหนดตัวตนขึ้นมาใหม่แต่ถูกส่งมาอยู่ในสถานที่ ที่ไม่เคยมีใครรู้จักพวกเรา เช่นนี้เราก็ตัดสินใจกันได้ง่ายว่าจะเลือกให้ตัวตนของเราเป็นใคร”เซียนน้อยเหยาจียักไหล่ทีหนึ่งอย่างซุกซน ไม่มีบิดามารดาก็ดี มีสี่เสินอยู่ด้วยนางก็พอใจแล้ว“ที่นี่มีต้นไม้และผลไม้เยอะเลยสี่เสิน แม้จะงดงามไม่เท่าเกาะแก้วของพวกเรา อากาศก็มีกลิ่นแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ข้ากลับรู้สึกสดชื่นอย่างแปลกประหลาด” เหยาจีหลับตาพริ้มสูดรับอากาศบนเกาะร้างที่มีทะเลล้อมรอบเข้าปอดไปเต็มลมหายใจ“เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชาย ฝึกเรียกให้คล่องปากเอาไว้จะได้ไม่ลืม ว่าแต่เจ้าเถิดก่อเรื่องราวอะไรลงไป เจ้ากินผลท้อสวรรค์ไปจริงๆ ใช่หรือไม่? รีบเล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้เลย"“ข้าไม่ได้กินคนเดียวนะพี่ชาย” เหยาจีรีบโบกไม้โบกมือ พอนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็ได้กินผลท้อไปเช่นกัน นางก็ก้มหน้าหลบตาสี่เสิน กวาดเท้าไปที่เม็ดทรายละเอียดยิบริมชายหาด ท่าทางอิดออดคล้ายกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
อาการปวดหัวและปั่นป่วนในร่างกายของเขายามนี้ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สี่เสินเข้าใจได้รวดเร็วว่านี่คงเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ยามที่หิวโหย“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เหยาจีลูบท้องขึ้นลงไปมา ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด นางไม่เคยหิวมาก่อน อาหารบนสวรรค์ล้วนแล้วแต่กินเข้าไปเพื่อตอบสนองความอยากลิ้มลองและเพื่อความเป็นมงคลทั้งสิ้น“ตามข้ามาเราต้องหาอาหารกินกันแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มส่งมือไปให้น้องสาวที่ยังนั่งกองอยู่กับพื้นทรายเหยาจีเงยหน้าขึ้นมองมือเล็กที่ยื่นมาหานาง ช้อนสายตามองขึ้นไปอีกหน่อยก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของสี่เสินที่ยืนอยู่เหนือศีรษะ เมื่อ 5,000 ปีก่อน สี่เสินยังตัวเตี้ยกว่านี้บอบบางกว่านี้ ภายหลังมหาเทพมู่ซีไม่อนุญาตให้ทูตสวรรค์กลับคืนร่างเดิมนางจึงไม่ได้เห็นสี่เสินมานานเลยทีเดียวยื่นมือออกไปสัมผัสกับฝ่ามือเนียนนุ่มของอีกฝ่าย แรงดึงของสี่เสินเพียงเล็กน้อยกลับยกตัวนางให้ลอยขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลและปกป้องในฐานะน้องสาวเป็นครั้งแรกนี่มันดีจริงๆ เหยาจีคิดในใจสองพี่น้องเยาว์วัยหาอาหารใส่ท้องที่หิวจนไส้กิ่วได้อย่างง่ายดาย พวกเขาพบว่าสถานที่ที่ตนเองกำลังยืนอยู่เป็นเกา
“เหยาจี! เราว่ายน้ำข้ามไปไม่ได้! เจ้ารีบกลับขึ้นมาก่อน!” สี่เสินใจหายวาบรีบวิ่งตามมาดึงร่างน้องสาวเอาไว้“ในน้ำมีสัตว์ทะเลอะไรบ้างเราก็ไม่รู้ อันตรายเกินไป เอาไว้ข้าจะคิดหาทางข้ามไปเกาะนั้นเอง อีกอย่างระหว่างที่เรายังหาทางข้ามไปไม่ได้ ไม่แน่ว่ามนุษย์ที่อยู่ทางนั้นอาจจะข้ามมาหาเราเอง เราก็จุดไฟสุมควันส่งสัญญาณให้เขาบ้างก็แล้วกัน”“ข้าจะต่อแพเพื่อข้ามไปที่เกาะนั่น เราต้องช่วยกันขนไม้ที่หักโค่นมาไว้ที่ชายฝั่ง ตัดเถาวัลย์ในป่ามาผูกพวกมัน เจ้าไหวไหม” มองดูมือพี่ชายที่เต็มไปด้วยตุ่มไต ฝ่ามือของสี่เสินไม่ได้อ่อนนุ่มบอบบางเหมือนแต่ก่อนแล้วเหยาจีก็เศร้าใจ การเก็บผลไม้ จับสัตว์มาทำอาหาร จุดไฟ ทุกอย่างล้วนเป็นสี่เสินจัดการให้หมด นางรู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกสะดวกสบายทั้งหมดของนางล้วนผ่านมือสองข้างของสี่เสินมาทั้งสิ้น“ไหวเจ้าค่ะ ข้าเอาแต่กินแล้วก็นอน ข้าอยากทำงานจะแย่อยู่แล้ว” เด็กสาวไม่รอช้าเดินลิ่วกลับไปที่ชายป่าตั้งอกตั้งใจเก็บไม้ที่ตนลากไหวมากองรวมกันไว้ หากเหนื่อยนางก็จะเปลี่ยนไปเก็บเถาวัลย์มาเตรียมเอาไว้แทน ปล่อยให้สี่เสินจัดการกับท่อนไม้ขนาดใหญ่เพียงลำพัง“ยังมีเรื่องที่เจ้าต้อง
“ลอยไปทางใดก็ไม่ไป กลับลอยมาทางเกาะของเราเสียได้นี่” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น ชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินเห็นแล้วว่าเกาะลอยค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาทีละนิด พวกเขายังคิดว่าอีกไม่นานเกาะประหลาดแห่งนี้ก็จะเคลื่อนตัวห่างออกไปเอง ไม่คิดว่ามันจะลอยค้างอยู่ที่เดิมนานนับเดือน เป็นเหตุให้สองพี่น้องสร้างแพออกมาจากเกาะจนสำเร็จ“ความลับบนเกาะหลายร้อยปีที่ผ่านมา เราอาจได้รู้จากปากเด็กสองคนนั้นก็เป็นได้ อย่างไรก็แสดงความเป็นมิตรกับพวกเขาสักหน่อย เด็กสองคนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนั้นได้ เราจะรอดูกันว่าพวกเขาจะกลับไปอีกครั้งได้หรือไม่” กลุ่มบุรุษที่ถืออาวุธเอาไว้พากันวางอาวุธลงบนพื้น มีชายหนุ่มสี่คนเดินแย้มยิ้มไปช่วยกันลากแพของสองพี่น้องกลับมาขึ้นฝั่งส่งเสียงพูดคุยถามคำถามออกมาด้วยความเป็นมิตรมากกว่าเดิม“พวกเจ้าอย่าหาว่าเราเสียมารยาทเลย เราไม่เคยพบคนที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นเลยสักครั้ง มาพวกเราจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเหตุใดมันจึงได้ชื่อว่าเกาะลอย และข้าก็มีคำถามอยากรู้จากพวกเจ้ามากมายนัก” เกาโหลวเชิญชวนให้สองพี่น้องเข้าไปในหมู่บ้านอย่างใจกว้าง“ท่านอาโปรดอภัยเราสองพี่น้องเช่นกันขอรับ เรามีกันเพียงสองพี่น้อง
เกาโหลวรู้ดีว่าชาวบ้านยังคงกลัวความแปลกประหลาดของเกาะลอยอยู่ เขาตัดสินใจคว้าองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวกินต่อหน้าสมาชิกในหมู่บ้านเป็นการทดสอบทันที“โอ เยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก เนื้อก็เยอะ” เกาโหลวเอ่ยชมไม่ขาดปาก ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองก็ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดจากองุ่นผลนี้“พวกท่านมีเรือมิใช่หรือขอรับ พายตามเราสองคนกลับไปที่เกาะสิ เราจะขอเอาผลไม้บนเกาะแลกเปลี่ยนกับข้าวของเครื่องใช้หรือไม่อย่างนั้นข้าก็ขอแลกเปลี่ยนเป็นเงิน จะได้หาซื้อของได้เองในภายหลัง” มู่สี่เสินตาเป็นประกายเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยชมผลไม้บนเกาะ เขาค้นพบช่องทางการค้าหาเงินมาใช้ได้แล้ว!“เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าจะกลับไปที่นั่น ข้าก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังแล้วอย่างไร หากกลับไปแล้วเจ้าถูกกระแสน้ำกลืนกินไปเล่า?” เกาโหลวพยายามชักจูงมู่สี่เสินเต็มกำลัง นึกห่วงความปลอดภัยของสองพี่น้องด้วยคุณธรรมน้ำมิตร“มีอะไรต้องกลัวกันท่านอา ที่นั่นปลอดภัยอย่างแน่นอน สัตว์ป่าดุร้ายสักตัวก็ไม่มี มีเพียงสัตว์เล็กๆ อย่างไก่ป่า กระรอก กระต่ายอะไรพวกนี้เท่านั้น เสียดายที่ข้าจับพวกมันมาเป็นอาหารไม่ได้” ยิ่งพูดมู่สี่เสินยิ่งรู้สึกหง
อ๋าวหลวนหลงพาอดีตเซียนที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเดินทางไปด้วยกันอีกสี่คนไม่นับรวมเขากับฝูซี แต่ไม่ยินยอมให้ทายาทหรือผู้ติดตามคนอื่นจากสกุลอ๋าวร่วมทางมาด้วยอีกเลยนอกจากอ๋าวหลวนหย่งตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยการทำงานหนักของอ๋าวซีเค่อกับอ๋าวหลวนตงที่ออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมกับภายหลังฝูซีและเวยวั่งซูก็ออกไปรวบรวมท่านเซียนไร้สกุลที่ยังเคว้งคว้างอยู่มาเข้ากลุ่มกันไว้ก็มีไม่น้อย ทำให้ขอบเขตของกองกำลังสกุลอ๋าวยังมีแนวร่วมที่กระจายตัวอยู่ในหลายเมืองในเขตเทือกเขาที่มีทายาทสกุลอ๋าวสายรองมาคอยดูแลอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นอ๋าวหลวนหลงเดินทางผ่านทางมาก็รีบเข้าไปทักทาย“คุณชายสี่ คุณชายห้า พวกท่านกับสหายจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”“เรากำลังจะข้ามไปที่เมืองหยวนเปียว ทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่” “ไม่มีขอรับ เขตแนวภูเขาฝากนี้มีกองกำลังที่เป็นมิตรกับสกุลอ๋าวของเราไม่น้อย แต่ที่เมืองหยวนเปียวไม่ใช่ว่าเป็นเขตติดต่อของสกุลเหลาหรอกหรือคุณชาย”“ใช่ ข้ามีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี พวกเจ้าตามสบายเถิดพวกเราจะเร่งเดินทางกันต่อ”“รอก่อนคุณชายสี่! เมืองหยวนเปียวไม่น่าจะปลอดภัยเท่าใดนัก ข้าจะไปตามคนให้ต
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ หากสัตว์เลี้ยงของข้ายังคงมีอายุขัยยืนยาวดังเดิม พวกมันบางตัวที่ได้กินท้อโอสถแล้วพูดได้ทำไมจึงไม่พูดคุยกับข้าบ้าง”“ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ก็คือข้าต้องรีบรวบรวมลมปราณให้สำเร็จ แล้วฟื้นฟูความสามารถเรื่องการสื่อสารกับพวกมันอีกครั้ง”“ใช่แล้ว!! ท่านเป็นทูตสวรรค์มาก่อนนี่นา ท่านสามารถสื่อสารกับสัตว์เทพและสัตว์ต่างสายพันธุ์บนแดนสวรรค์ได้ พี่สี่เสินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย”“เห็นหรือไม่เหยาจี แม้ว่าข้าจะไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้แต่ความสามารถในการสื่อสารของข้าก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เจ้าเองก็อย่าละเลยเรื่องการรวบรวมปราณเด็ดขาดเลยเชียว”“แต่พี่สี่เสิน ถึงแม้เวลานี้เราจะยังไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าจะพูดได้ดังเดิมหรือไม่ แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันกำลังปกป้องเราอยู่ แล้วอย่างนี้พี่ยังคิดจะออกจากเกาะไปเรียนวิชายุทธ์อีกหรือเจ้าคะ”“ท่านอาเกาบอกว่าผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน พวกเขาก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเข่นฆ่าสังหารกันเกิดขึ้น เรายังวางใจไม่ได้นะเหยาจี”“แล้วเซียนสายพฤกษาอย่างข้าจะฝึกฝนอะไร ความทรงจำเดิมของข้าก็ไม่เคยมีเรื่องที่เกี่ยวกับพลังการโจมตีแม้แต่น้อย
“พวกท่านพายต่อไปหาเหยาจี นางอยู่ข้างหลังข้า!” มู่สี่เสินต้อนเรือเล็กให้เข้ามาในพื้นที่เกาะลอยทีละลำ บนเรือแต่ละลำมีชาวบ้านที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนรวมทั้งครอบครัวของหนูน้อยหนิงเอ๋อร์ที่เหยาจีเคยช่วยเหลือเอาไว้ด้วย“ท่านอาหญิงแล้วท่านอาเกาเล่าเจ้าคะ” “สามีข้ากับสหายควบคุมเรือใหญ่ที่บรรทุกเสบียงอาหาร เรือหนักมากมันเคลื่อนตัวได้ช้า ข้าก็ห่วงเขาเหลือเกิน เจ้าสองคนช่วยพวกเขาได้หรือไม่”“ท่านอาหญิงใจเย็นๆ เจ้าค่ะ เราต้องรอให้เขาเข้ามาถึงเขตของเกาะลอย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”“ท่านอา หากคิดว่าไม่ทันท่านโดดลงน้ำว่ายมาหาข้า!! ทิ้งเรือไปเสีย! ทิ้งเรือไป!” เสียงมู่สี่เสินตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เบื้องหน้า เกาโหลวกับกู้หยุนควบคุมเรือร่วมกับสหายลำละสี่คน พวกเขาหันมาสบตากัน แม้ว่าจะมีชาวบ้านเต็มใจจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่เกาะลอยไม่ถึง 40 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ใช้เงินของมู่สี่เสินแจกจ่ายให้ชาวบ้านคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งหลักที่อื่นไม่น้อย เสบียงอาหารในเรือทั้งสองลำที่ซื้อมาด้วยเงินของสองพี่น้องสกุลมู่พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้“ออกแรงอีก! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”ทางฝ่ายมู่เหยาจีนางและชาวบ้านที่ข้ามเขตมาแ
“เหยาจี เมื่อครู่ท่านอาเกาบอกเรื่องหนึ่งกับข้าซึ่งเจ้าก็ควรจะรู้ไว้เช่นกัน”มองดูใบหน้างามของน้องสาวแล้วมู่สี่เสินก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตนเองและน้องสาวจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบบนเกาะลอยที่ปลอดภัยได้อยู่แล้วเชียว“บนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าเราจะลงมายังแดนมนุษย์ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะฟื้นฟูการฝึกฝนกันเข้าพอดี”“ผู้ฝึกตน? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าท่านมหาเทพมู่ซีบอกว่าแดนสวรรค์ยึดสมบัติเทพ สิ่งของแทนเทพรวมทั้งพืชผักผลไม้เสริมปราณจากแดนมนุษย์ไปหมดแล้ว พวกเขายังอยากจะฝึกฝนกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”“ใช่ นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าทวยเทพในอดีต พวกเขาคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถขึ้นมาแดนสวรรค์ได้อีก ก็คงล้มเลิกความคิดในการฝึกฝนไปในที่สุด แต่เวลานี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”“นี่คือเรื่องที่ท่านอาร้อนใจจนต้องพายเรือมายามดึกดื่นเพื่อเตือนพวกเราสองคน?”“นั่นก็ใช่อีก จากที่ท่านอาเกาเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่ เมื่อก่อนผู้ฝึกตนก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ดีๆ ก็เกิดสำนักและตระกูลใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่เคยมีผู้นำจึงกำลั
“นั่นสี่เสินแน่แล้ว! เราขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกสักนิดให้เขาเห็นเราชัดๆ จะดีกว่า”มู่สี่เสินจ้องมองตำแหน่งของวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรือของเกาโหลวและกู้หยุนเคลื่อนที่มาใกล้กองเพลิงเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเกาโหลวและกู้หยุนกำลังโบกผ้าสีขาวในมือไปมาอยู่บนเรือ“ท่านอาเกา!! ท่านอากู้!! เกิดอะไรขึ้นขอรับเหตุใดจึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้” ชายหนุ่มรีบเร่งฝีพายเข้ามาหาคนทั้งคู่และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังช่วยกันวิดน้ำดับกองไฟที่จุดเผาเรือลำเก่าที่ตนเคยใช้กันพัลวัน“ช่วยกันดับไฟก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นก่อนสี่เสิน เดี๋ยวเจ้าพาเราสองคนเข้าไปที่เกาะลอยแล้วค่อยคุยกัน”ดับไฟและจมซากเรือลำเก่าลงสู้ก้นทะเลแล้ว คนทั้งสามก็ยังคงลอยเรือจับตาดูความเคลื่อนไหวบนผืนน้ำรอบๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนเกาโหลวแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา มู่สี่เสินจึงได้พาคนทั้งคู่กลับมาที่เกาะลอย“ท่านอาเกา ท่านอากู้ เป็นพวกท่านเองหรือเจ้าคะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงไฟเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร” มู่เหยาจีย่ำลงน้ำเดินมาหาคนทั้งสามอย่างร้อนใจ“เหยาจี น้ำเย็นมากเจ้าทำไมไม่ไปรอข้างบนฝั่ง รีบกลับขึ้นไปก่อน”“จะให้ข้ายืนรอเฉยๆ ได้อย่างไรพี่สี่เ
วันต่อๆ มามู่สี่เสินและมู่เหยาจีก็ได้เรือขนาดใหญ่ลำใหม่จากการช่วยเหลือของหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวมา 2 ลำ พวกเขาจึงคืนเรือสองลำเดิมรวมทั้งแพให้กับเกาโหลวไป “เรือสองลำนี้เราบรรจุผลไม้ได้ถึง 160 ตะกร้าเลยทีเดียวขอรับ ครั้งนี้การทยอยเอาผลไม้ทั้งหมดออกจากเกาะลอยคงเสร็จเร็วกว่าเก่า”“พวกเจ้าปลูกต้นท้อเอาไว้อีก 200 กว่าต้นมิใช่หรือ ข้าว่าคงจะใช้เวลา 3 เดือนดังเดิมนั่นล่ะ นอกจากเรือแล้วเจ้าอยากได้สิ่งใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมการหาซื้อไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ"“ข้าวสารขอรับ แล้วก็ผ้า หากลมหนาวมาเยือนอีกครั้งข้าไม่มั่นใจว่าเกาะลอยจะพาเราไปที่ใดอีก และยังไม่รู้ว่าจะนานเท่าใดมันจึงจะยอมเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสบียงอาหารของใช้จำเป็นอะไรเพิ่มเติมจากนี้ข้าจะให้เหยาจีจดมาส่งให้ท่านเอง”ระหว่างที่เกาโหลวกับมู่สี่เสินกำลังสนทนากันอยู่ ร่างสามร่างของอู๋ฉ่าง นางลู่และอู๋หนิง ก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดตรงเข้ามาบริเวณเรือที่รับส่งสินค้า“คุณชายคุณหนู เราสามคนมาขอบคุณพวกท่านขอรับ” อู๋ฉ่างเป็นคนนำภรรยาและบุตรสาวคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับสองพี่น้องด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ“พี่ชาย พี่สาว!! ท่านลุกขึ้นก่อน! ไม่เห็นต้องทำ
ได้ยินเช่นนี้ทั้งมู่สี่เสินและมู่เหยาจีต่างก็ดีใจกันมาก ครั้งนี้โชคดีที่เกาะลอยยอมเคลื่อนที่มาที่เกาะจิงเหมิน พวกเขาจำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารไว้ให้มากกว่าเดิม ป้องกันการขาดแคลนในอนาคตหากว่าเกาะลอยเคลื่อนตัวไปอยู่กลางมหาสมุทรที่ห่างไกลอีกครั้ง“ดีเลยเจ้าค่ะ อีกครึ่งเดือนผลท้อบนเกาะก็น่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เราจะได้เอาพวกมันมาขายด้วย”“ผลท้อ? ผลท้อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหลานสาว"“ก็ลูกสีแดงๆ ขนาดประมาณเท่านี้อย่างไรเจ้าคะ” มู่เหยาจีทำมือกะขนาดให้เกาโหลวดู“นั่นมันผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ไม่ใช่หรือ? ก็ไหนพวกเจ้าว่าบนเกาะลอยไม่มีผิงกั่วอย่างไรเล่า?"“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ผิงกั่ว ดอก ผล ใบและกิ่งท้อล้วนเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้นท่านอาเกาไม่รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ”เกาโหลวกับชาวบ้านขมวดคิ้วพยายามคิดถึงผลไม้ดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อหรือสรรพคุณที่ดีงามของผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว“เอาไว้ข้าข้ามไปแผ่นดินใหญ่แล้วจะลองถามคนที่นั่นดู บางทีอาจเป็นผลไม้ทางเหนือที่เมืองหยุนไห่ของพวกเราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้”มู่สี่เสินและมู่เหยาจีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หากผลท้อไม่มีปลูกที่เม
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้