“เหยาจี! เราว่ายน้ำข้ามไปไม่ได้! เจ้ารีบกลับขึ้นมาก่อน!” สี่เสินใจหายวาบรีบวิ่งตามมาดึงร่างน้องสาวเอาไว้
“ในน้ำมีสัตว์ทะเลอะไรบ้างเราก็ไม่รู้ อันตรายเกินไป เอาไว้ข้าจะคิดหาทางข้ามไปเกาะนั้นเอง อีกอย่างระหว่างที่เรายังหาทางข้ามไปไม่ได้ ไม่แน่ว่ามนุษย์ที่อยู่ทางนั้นอาจจะข้ามมาหาเราเอง เราก็จุดไฟสุมควันส่งสัญญาณให้เขาบ้างก็แล้วกัน”
“ข้าจะต่อแพเพื่อข้ามไปที่เกาะนั่น เราต้องช่วยกันขนไม้ที่หักโค่นมาไว้ที่ชายฝั่ง ตัดเถาวัลย์ในป่ามาผูกพวกมัน เจ้าไหวไหม”
มองดูมือพี่ชายที่เต็มไปด้วยตุ่มไต ฝ่ามือของสี่เสินไม่ได้อ่อนนุ่มบอบบางเหมือนแต่ก่อนแล้วเหยาจีก็เศร้าใจ การเก็บผลไม้ จับสัตว์มาทำอาหาร จุดไฟ ทุกอย่างล้วนเป็นสี่เสินจัดการให้หมด นางรู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกสะดวกสบายทั้งหมดของนางล้วนผ่านมือสองข้างของสี่เสินมาทั้งสิ้น
“ไหวเจ้าค่ะ ข้าเอาแต่กินแล้วก็นอน ข้าอยากทำงานจะแย่อยู่แล้ว” เด็กสาวไม่รอช้าเดินลิ่วกลับไปที่ชายป่าตั้งอกตั้งใจเก็บไม้ที่ตนลากไหวมากองรวมกันไว้ หากเหนื่อยนางก็จะเปลี่ยนไปเก็บเถาวัลย์มาเตรียมเอาไว้แทน ปล่อยให้สี่เสินจัดการกับท่อนไม้ขนาดใหญ่เพียงลำพัง
“ยังมีเรื่องที่เจ้าต้องเรียนรู้อีกมากนัก เมื่อเราพบกับมนุษย์คนอื่น เจ้าจะทำตัวกล้าหาญเช่นนี้ไม่ได้ มนุษย์มีโลภ โกรธ หลง มีการแก่งแย่งมีคนดีค้นร้าย เจ้าต้องระวังตัวมากกว่าเดิม” สี่เสินเล่าเรื่องของมนุษย์เท่าที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดจากเทพองค์อื่น ๆ ให้น้องสาวได้รับรู้
สี่เสินและเหยาจีย้ายที่พักมาอยู่ที่ชายหาดชั่วคราว และจุดไฟเอาไว้เกือบจะตลอดเวลาเพื่อส่งสัญญาณให้คนอีกฝั่งรู้ว่ามีคนอาศัยอยู่บนเกาะร้างแห่งนี้ ผู้คนจากอีกฝั่งหนึ่งมองเห็นควันไฟจากพวกตนแน่นอนและมารวมกลุ่มกันที่ชายฝั่งอยู่บ่อยครั้ง
พวกเขามีเรือหลายลำ แต่กลับไม่เคยพายเรือมายังทิศทางของเกาะร้าง ไม่เคยกระทั่งจะหันหัวเรือมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้สองพี่น้องอยู่ไม่น้อย แต่ความเย้ายวนของการจะได้เห็นมนุษย์กลุ่มใหม่ตัวเป็นๆ ของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถอดทนรอดูสถานการณ์ต่อไปได้ไหว สี่เสินจึงเริ่มลงมือผูกท่อนไม้ด้วยเถาวัลย์และต่อแพขึ้นจนสำเร็จในอีก 10 วันต่อมา
“เหยาจี เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปที่นั่นเพียงลำพังแล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด” สี่เสินจัดการแบ่งผลไม้ออกเป็นสองกอง ฉีกแขนเสื้อยาวเฟื้อยเกินพอดีของเหยาจีมาห่อพวกมันเอาไว้ นอกจากนี้ยังจับปลาและกุ้งเตรียมไว้ให้น้องสาวกินระหว่างวันเรียบร้อยแล้ว
“พี่สี่เสิน ท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่ามนุษย์มีทั้งคนดีและคนชั่ว ถ้าพวกเขาเป็นคนชั่วจับตัวท่านไปเล่า? ข้าจะอยู่อย่างไรเพียงลำพัง” เหยาจีหน้าตื่น ไม่คิดว่าสี่เสินจะตัดสินใจลอยแพไปคนเดียวแล้วทิ้งตนเองไว้
“หากข้ามีอันตรายข้าก็จะหาทางหลบหนีออกมาเอง แต่หากเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน ข้าต่างหากที่ต้องเสียใจ อยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่าเจ้าก็รู้ว่าพวกเขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตรอบเกาะเลยสักครั้ง”
“แล้วทำไมท่านไม่คิดว่าข้าอาจจะช่วยท่านได้บ้างเล่าเจ้าคะ หากท่านเป็นอะไรข้าเสียใจไม่เป็นหรือ? เรื่องนี้ข้าไม่ยอมเด็ดขาด ไปไหนเราก็ต้องไปด้วยกัน” เหยาจีหยิบห่อเสบียงอาหารส่วนของตนกระโดดขึ้นไปนั่งบนแพอย่างไม่ยินยอม
“เจ้ามันดื้อรั้นนัก ข้าเพิ่งสอนไปไม่นานว่าเจ้ามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังข้า” สี่เสินใช้มือผลักศีรษะน้องสาวเบาๆ แม้จะกล่าวคำตำหนิ แต่หัวใจของเด็กหนุ่มก็รู้สึกซาบซึ้งและมีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิมที่เห็นว่าน้องสาวก็เป็นห่วงตนไม่น้อยไปกว่ากัน
การถ่อแพด้วยท่อนไม้หนึ่งท่อน จากกำลังแขนของเด็กชายร่างผอมอายุ 14 ปี ยากเย็นเหลือเกินในความคิดของสี่เสิน โชคดีที่วันนี้คลื่นลมไม่แรง แพของพวกเขาทั้งสองจึงยังมุ่งหน้าไปยังเกาะใหญ่ใกล้เข้าไปทุกที
จากสายตาที่คะเนไว้ว่าระยะห่างระหว่างสองเกาะน่าจะราวๆ 5 ลี้ แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนระยะทางจะไกลเกินกว่าที่สองพี่น้องเห็นมากนัก ทั้งคู่ไม่ได้ปริปากพูดคุยกันเลยสักคำมาตลอดทาง เพราะในใจต่างมีความคิดที่หลายหลากเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมนุษย์กลุ่มแรกที่พวกตนไม่รู้จัก
ชาวบ้านจากเกาะจิงเหมินมองเห็นแพที่มีคนนั่งอยู่ด้านบนสองคนตั้งแต่ไกล พวกเขาจับกลุ่มชี้ไม้ชี้มือให้คนอื่น ๆ พากันมองดูไปที่สองพี่น้องที่เข้าใกล้ชายหาดมาทุกที
“มีคนอาศัยอยู่บนเกาะลอยแห่งนั้นจริงๆ เสียด้วย”
“ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นเด็กชายและเด็กหญิงอายุน้อยกันนะ”
“ไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเร็ว คนจากเกาะลอยปรากฏตัวออกมาแล้ว เราอาจจะรู้ข่าวอะไรจากที่นั่นบ้างก็ได้” ชายชาวประมงตะโกนบอกกันไปเป็นทอดๆ
หลายคนรู้สึกหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของสองพี่น้อง รีบเรียกบุตรหลานวัยเยาว์ของตนให้ขึ้นจากน้ำ หลายคนก็ช่วยกันลากเรือขึ้นมาบนชายหาดด้วยความแตกตื่น ชาวบ้านในหมู่บ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะทยอยกันเดินทางมาที่ชายหาด ชายหนุ่มบางคนยังถืออาวุธติดไม้ติดมือกันมาด้วยเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะปลอดภัยจากมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนเกาะลอยแห่งนั้น
สถานการณ์บนชายหาดฝั่งเกาะจิงเหมินชุลมุนวุ่นวายไม่แพ้จิตใจของสองพี่น้องบนแพไม้ลำเล็กเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินเป็นบุรุษกลางคนร่างใหญ่วัย 45 ปี เมื่อเห็นว่าบนแพไม้ที่ใกล้จะถึงขายหาดเป็นเพียงเด็กหนุ่มและเด็กสาวรุ่นเยาว์ เขาตัดสินใจเดินลุยน้ำลงทะเลไปเจรจากับอีกฝ่ายก่อนที่คนทั้งสองจะลงจากแพ
“เจ้าอาศัยอยู่บนเกาะลอยหรือ? มีใครอยู่ที่นั่นอีก พ่อแม่ของเจ้าครอบครัวของเจ้ามีกันทั้งหมดกี่คน?” เกาโหลวถามเสียงเข้ม ดังพอที่จะให้ชาวบ้านที่ยืนอยู่เบื้องหลังได้ยินโดยทั่วกัน
“เกาะลอย? เกาะนั้นมีชื่อว่าเกาะลอยหรือขอรับ? เราสองพี่น้องรอดชีวิตกันเพียงสองคนจากเรือโดยสารที่แตกกลางทะเล พวกเราลอยไปติดอยู่ที่ชายฝั่งของเกาะแห่งนั้น จนมองเห็นควันไฟจากที่นี่เราเลยพยายามจุดไฟเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็ช่วยกันต่อแพขึ้นมาได้ก็เลยลอยแพกันมาเอง เราไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นหรอกขอรับ”
เหยาจีเหลือบตามองพี่ชายของนางแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกชื่นชม เพียงครู่เดียวสี่เสินก็สร้างเรื่องราวเป็นตุเป็นตะขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน
เกาโหลวไม่กล่าวตอบโต้อะไรกับเด็กทั้งสองอีก เขาหันหลังเดินกลับมาพูดคุยกับชาวบ้านที่ชายหาดเบาๆ
แท้จริงแล้วสี่เสินก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ชายหาดมากนัก เขาตั้งใจว่าหากกลุ่มคนที่ถืออาวุธขยับขาออกมาแม้เพียงก้าวเดียว ตนก็จะตัดสินใจหันหัวพาน้องสาวลอยทะเลกลับไปที่เกาะร้างอีกครั้ง โชคดีที่เป็นบุรุษร่างใหญ่ในมือไร้อาวุธเดินมาหาตนและน้องสาวเพียงลำพัง
ดูจากสีหน้าและการลดความก้าวร้าวลงไปของชาวบ้านบนหาดทรายก็ทำให้สี่เสินโล่งใจ
บนชายหาดหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวก็กำลังหารือกับสมาชิกบนเกาะของตนเช่นกัน
“ร้อยวันพันปีไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นคนอาศัยอยู่บนเกาะลอยเลยสักคน แต่ข้าเห็นเต็มสองตาเลยนะว่าพวกเขาลอยแพออกมาจากเกาะประหลาดนั่นจริงๆ” ชายชราผู้เห็นเหตุการณ์เป็นกลุ่มแรกรีบยืนยันสิ่งที่ตนเห็น
“เจ้าหนุ่มน้อยนั่นบอกว่าเขาจุดไฟส่งสัญญาณ นั่นก็เป็นเรื่องจริงอีกด้วย เราเห็นกองไฟถูกจุดขึ้นที่ชายหาดอยู่หลายวันแล้ว หรือว่าพวกเขาเพิ่งจะรอดชีวิตมาจากเรือแตกจริงๆ”
“สองเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้าก็เชื่อว่าจริงตามที่พวกเขากล่าว แต่พวกเขาลอยเข้าไปติดเกาะนั่นได้อย่างไรนี่ต่างหากที่ข้าสงสัย”
เกาะที่มีภูเขาอยู่ตรงกลางเป็นจุดเด่นแห่งนั้นแทบจะเรียกว่าเป็นเกาะในตำนานแห่งท้องทะเลก็ว่าได้ มันสามารถเคลื่อนตัวไปกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ได้โดยอิสระจึงถูกขนานนามว่าเกาะลอย
มีผู้คนในอดีตมากมายที่พยายามแล่นเรือเข้าไปเทียบที่เกาะลอยแห่งนั้น แต่ผ่านมานานเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ทุกวันนี้เรือขนาดเล็กหรือใหญ่ แม้กระทั่งการว่ายน้ำเข้าไปก็ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเหยียบย่างขึ้นไปบนเกาะลอยได้เลยสักคน
เมื่อพวกเขาพยายามเดินทางเข้าใกล้เกาะไปเมื่อใด ก็ดูเหมือนว่าเกาะจะเคลื่อนที่ลอยห่างไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในอดีตมีคนรวมกลุ่มกันส่งเรือร้อยลำพร้อมกับอาวุธเต็มลำเรือล้อมรอบเกาะเอาไว้ไม่ให้มันลอยหนีไปได้ ก็กลับกลายเป็นว่าเรือทั้งร้อยลำถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากดูดกลืนเรือให้จมลงสู่ใต้ทะเล
ครั้งนั้นมีผู้คนจำนวนมากประสบอุบัติเหตุ บ้างก็ได้รับการช่วยเหลือทัน ที่พยายามว่ายเข้าไปให้ถึงเกาะลอยก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงจมน้ำเสียชีวิตไปไม่น้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล่าที่ผ่านมาเนิ่นนานราวกับเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่เคยปรากฏว่าบนเกาะจะส่งสิ่งมีชีวิตออกมาเข่นฆ่าผู้คน ทุกอย่างคล้ายเป็นอุบัติเหตุทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าคิดย่างกรายเข้าไปในอาณาเขตของเกาะลอยอีกเลย
“ลอยไปทางใดก็ไม่ไป กลับลอยมาทางเกาะของเราเสียได้นี่” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น ชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินเห็นแล้วว่าเกาะลอยค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาทีละนิด พวกเขายังคิดว่าอีกไม่นานเกาะประหลาดแห่งนี้ก็จะเคลื่อนตัวห่างออกไปเอง ไม่คิดว่ามันจะลอยค้างอยู่ที่เดิมนานนับเดือน เป็นเหตุให้สองพี่น้องสร้างแพออกมาจากเกาะจนสำเร็จ“ความลับบนเกาะหลายร้อยปีที่ผ่านมา เราอาจได้รู้จากปากเด็กสองคนนั้นก็เป็นได้ อย่างไรก็แสดงความเป็นมิตรกับพวกเขาสักหน่อย เด็กสองคนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนั้นได้ เราจะรอดูกันว่าพวกเขาจะกลับไปอีกครั้งได้หรือไม่” กลุ่มบุรุษที่ถืออาวุธเอาไว้พากันวางอาวุธลงบนพื้น มีชายหนุ่มสี่คนเดินแย้มยิ้มไปช่วยกันลากแพของสองพี่น้องกลับมาขึ้นฝั่งส่งเสียงพูดคุยถามคำถามออกมาด้วยความเป็นมิตรมากกว่าเดิม“พวกเจ้าอย่าหาว่าเราเสียมารยาทเลย เราไม่เคยพบคนที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นเลยสักครั้ง มาพวกเราจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเหตุใดมันจึงได้ชื่อว่าเกาะลอย และข้าก็มีคำถามอยากรู้จากพวกเจ้ามากมายนัก” เกาโหลวเชิญชวนให้สองพี่น้องเข้าไปในหมู่บ้านอย่างใจกว้าง“ท่านอาโปรดอภัยเราสองพี่น้องเช่นกันขอรับ เรามีกันเพียงสองพี่น้อง
เกาโหลวรู้ดีว่าชาวบ้านยังคงกลัวความแปลกประหลาดของเกาะลอยอยู่ เขาตัดสินใจคว้าองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวกินต่อหน้าสมาชิกในหมู่บ้านเป็นการทดสอบทันที“โอ เยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก เนื้อก็เยอะ” เกาโหลวเอ่ยชมไม่ขาดปาก ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองก็ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดจากองุ่นผลนี้“พวกท่านมีเรือมิใช่หรือขอรับ พายตามเราสองคนกลับไปที่เกาะสิ เราจะขอเอาผลไม้บนเกาะแลกเปลี่ยนกับข้าวของเครื่องใช้หรือไม่อย่างนั้นข้าก็ขอแลกเปลี่ยนเป็นเงิน จะได้หาซื้อของได้เองในภายหลัง” มู่สี่เสินตาเป็นประกายเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยชมผลไม้บนเกาะ เขาค้นพบช่องทางการค้าหาเงินมาใช้ได้แล้ว!“เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าจะกลับไปที่นั่น ข้าก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังแล้วอย่างไร หากกลับไปแล้วเจ้าถูกกระแสน้ำกลืนกินไปเล่า?” เกาโหลวพยายามชักจูงมู่สี่เสินเต็มกำลัง นึกห่วงความปลอดภัยของสองพี่น้องด้วยคุณธรรมน้ำมิตร“มีอะไรต้องกลัวกันท่านอา ที่นั่นปลอดภัยอย่างแน่นอน สัตว์ป่าดุร้ายสักตัวก็ไม่มี มีเพียงสัตว์เล็กๆ อย่างไก่ป่า กระรอก กระต่ายอะไรพวกนี้เท่านั้น เสียดายที่ข้าจับพวกมันมาเป็นอาหารไม่ได้” ยิ่งพูดมู่สี่เสินยิ่งรู้สึกหง
สองพี่น้องกลับมาอาศัยอยู่ในถ้ำตามเดิม และตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มการค้าของตนกันด้วยความตื่นเต้น แม้จะมีตะกร้าสานและถังไม้มาช่วยในการเก็บผลไม้ได้สะดวกขึ้น แต่การขนพวกมันกลับไปไว้ในเรือก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย มู่สี่เสินต้องลงแรงสร้างลากเลื่อนจากท่อนไม้เล็กหลายอันมาผูกเข้าด้วยกันเพื่อช่วยในการขนส่งผลไม้ได้คราวละมากๆ มู่เหยาจีจะมีหน้าที่เก็บผลไม้สุกที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นไม้มากองเอาไว้ที่จุดหนึ่ง ให้พี่ชายทยอยนำตะกร้าผลไม้เอาไปเทใส่เรือแล้วกลับขึ้นมารับเอาไปใหม่ กว่าจะได้ผลไม้เต็มลำเรือสองพี่น้องก็ต้องพักเหนื่อยอยู่หลายรอบและใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน แต่เมื่อมองเห็นผลไม้กองโตที่ยังเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจำนวนผลไม้ที่มีเต็มเกาะ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ถูกแทนที่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขจนล้นอก“หากแลกเปลี่ยนเก็บสะสมเงินซื้ออุปกรณ์ได้มากพอ ไม่นานข้าคงจะสร้างเรือนหลังเล็กๆ ให้เจ้าสักหลังได้ เจ้าจะมีที่นอน ผ้าห่มที่อบอุ่น อ้อ! อย่าลืมเตือนข้าด้วย เราต้องแลกเอาข้าวสารกลับมาด้วยนะ อีกหน่อยเจ้าต้องเติบโต ต้องกินอาหารแบบมนุษย์จะได้แข็งแรง” มู่เหยาจีเงยหน้ามองพี่ชายที่ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ข้อ
เกาะลอย“ขนตะกร้าไปกันเลยเหยาจี เราจะเริ่มเก็บผลไม้ไว้ตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้จะได้เสร็จเร็วขึ้น”“ท่านไม่บอกข้าก็จะทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเขย่าเงินเหรียญที่ท่านป้าคนหนึ่งมอบถุงใส่เงินให้นางมาผูกไว้กับผ้าคาดเอว รู้สึกว่าการมีเงินนี่มันช่างดีเสียจริงทั้งคู่ช่วยกันคัดเลือกผลไม้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิม ผลไม้เนื้อแข็งจะถูกวางลงก้นตะกร้าและที่เนื้ออ่อนนุ่มอย่างเช่นมะม่วง ก็จะถูกวางไว้ด้านบน ผลที่มีร่องรอยแตก ช้ำ มีจุดด่างดำเล็กน้อยพวกเขาก็จะแยกเอาไปกองไว้อีกทางไม่นำเอาไปขาย“ฟ้าใกล้จะมืดแล้วเหยาจี เราต้องกลับไปที่อุโมงค์กันแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อแต่เช้าก็แล้วกัน” มู่สี่เสินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม“เพิ่งเก็บได้แค่ 8 ตะกร้าเอง ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ เสียดายจัง” “ไปเถิด ข้าวของตะกร้าอะไรก็วางเอาไว้ที่นี่ทั้งหมดนั่นล่ะไม่ต้องเก็บกลับไป ข้ารับรองไม่มีของสูญหายแน่”“ข้าอยากเห็นแผ่นดินใหญ่ที่พวกเขากล่าวถึงกันจังเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่ามันน่าจะเจริญมากกว่าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินนะเจ้าคะ” “ข้าก็คิดเช่นนั้น เราต้องได้ไปแน่นอนเหยาจี เก็บเงินให้ได้มากๆ กันไว้ก่อน มนุษย์ใช้เง
“พี่สี่เสินท่านอย่าลืมว่าเกาะนี้ไม่เคยมีผู้ใดผ่านเข้าออกมาก่อน หากจะมีผู้บุกรุกขึ้นมาบนเกาะก็เป็นเราสองคนต่างหากที่บุกรุก” มู่เหยาจีตั้งข้อสังเกตใหม่“อีกอย่างนะเจ้าคะ หากเราเป็นผู้บุกรุก เจ้าของเดิมสมควรขับไล่เราหาใช่มาช่วยเราเก็บผลไม้ ข้าว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายกับเราสองคนเจ้าค่ะ”“จริงของเจ้า เอาอย่างนี้คืนนี้เรามาพิสูจน์กัน”สองพี่น้องตัดสินใจล้มเลิกการสำรวจรอบเกาะ แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ชายหาดดังเดิม ช่วยกันแบกตะกร้าเปล่าเข้าป่าไปกองไว้ที่ใต้ต้นมะกอกต้นเดิม พวกเขาเลือกผลไม้ที่สุกงอมมีสีคล้ำไปกองไว้ตามใต้ต้นไม้เพื่อให้มันกลายเป็นปุ๋ยตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้เก็บผลไม้ดีใส่ตะกร้าเลยแม้แต่ผลเดียวพอใกล้ค่ำ มู่สี่เสินก็ตะโกนเรียกน้องสาวให้กลับไปพักผ่อนตามปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่เมื่อถึงจุดลับสายตาร่างสองร่างก็หายเข้าไปในโพรงของต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เด็กทั้งคู่ต้องกินผลไม้และน้ำที่เตรียมเอาไว้ด้วยเสียงที่เบาที่สุด ขยับตัวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆ เฝ้ารอให้แสงสว่างรอบข้างเลือนหายไปทีละน้อยด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึกผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ขณะที่ทั้งสองนั่งพ
“เอาไปวางไว้ทางด้านนั้น 30 ใบ” มู่สี่เสินออกคำสั่งกับน้องสาว เลือกวางตะกร้าผลไม้เปล่าๆ 30 ใบไว้ยังบริเวณต้นผลไม้นานาชนิดที่พวกตนยังเก็บเกี่ยวไปไม่ถึงบริเวณนั้น “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเลือกวางตะกร้าทั้ง 30 ใบให้กระจายไปทั่วๆ จากนั้นก็วิ่งตัวปลิวกลับมาหาพี่ชาย“ไป! เราไปกันอีกทาง” มู่สี่เสินตั้งใจจะทดลองดูว่า หากพวกตนไม่ได้อยู่ใกล้ตะกร้า กระรอกและกระต่ายจะมาช่วยเก็บผลไม้อีกหรือไม่ในเวลากลางวัน พวกเขาจึงซื้อตะกร้ามาเพิ่มใหม่อีก 30 ใบแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่สนใจจะไปดูแล สองพี่น้องใช้ตะกร้าเก่า 30 ใบย้ายมาเก็บผลไม้อีกทิศทางหนึ่งกันลำพังแค่สองคน พอเก็บได้ 20 ตะกร้าก็ตัดสินใจพายเรือออกไปส่งที่หมู่บ้านอีกรอบหนึ่งก่อน เพราะหากรอให้ได้ครบ 30 ใบ เวลาอาจจะช้าเกินไป “ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้วเหยาจี รู้หรือไม่ว่าหากเป็นไปตามที่เราคิด จากนี้เราจะมีหน้าที่แค่เพียงขนมันลงเรือแล้วพายมาส่งขายเท่านั้น เราอาจทำได้ถึงวันละ 3 รอบทีเดียวเลยนะ นั่นหมายถึงการรับเงินที่มากขึ้นทุกวัน!” ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายระยิบระยับ มีเงินมากก็จะสร้างบ้านให้น้องสาวได้อยู่เร็วขึ้น!“ไม่ได้นะเจ้าคะพี่สี่เสิน เรามีกัน
“เข้าใจแล้วท่านอาเกา จากนี้ข้าจะระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นขอรับ”“ดีแล้ว ที่ข้ายังไม่ไปพร้อมกับเจ้าเวลานี้ก็เพราะ หากเจ้าพาเราข้ามไปได้สำเร็จ เราต้องปกปิดเอาไว้ให้มิดว่ามนุษย์คนอื่นสามารถไปถึงที่นั่นได้ เราจะแอบข้ามไปตอนที่ไม่มีคนเห็นและเรื่องนี้ควรเป็นความลับที่รู้กันแค่พวกเราหกครอบครัวเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายเกาโหลวหันไปกล่าวกับสหายที่เขาไว้วางใจ“วันนี้รอให้ฟ้ามืดอีกสักนิดข้าค่อยกลับก็แล้วกัน ท่านอาทั้งหกคนเตรียมเสื้อผ้าไปค้างคืนที่นั่นสักคืนเถิด ข้าคงไม่พายเรือกลับมาส่งท่านยามค่ำคืนเป็นแน่”ปากว่ากล้า ว่าอยากลองเสี่ยง แต่เมื่อได้รับคำเชิญให้ไปค้างคืนบนเกาะลอยจากเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำกันอยู่หลายอึดใจเลยทีเดียวพอฟ้ามืดเรือสองลำกับแพขนส่งผลไม้ก็เคลื่อนตัวออกไปจากเกาะจิงเหมินอย่างเงียบเชียบ โดยมีบุรุษห้าคนซ่อนตัวนอนราบไปกับพื้นเรือร่วมทางไปกับสองพี่น้องสกุลมู่ด้วย“ถึงไหนแล้วหลานชายหลานสาว” เกาโหลวกับสหายร้องถามออกมาเป็นรอบที่สิบด้วยความตื่นเต้น“ครึ่งทางแล้วขอรับท่านอา อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”“หา!! ครึ่งทางแล้วหรือ? ข้างหน้าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าดูให้ดีเริ่มมีคลื
ตระกูลอ๋าว เมืองหลงเทียน“คุณชายสี่ตกน้ำ คุณชายสี่จมน้ำไปแล้ว ใครก็ได้รีบมาช่วยที ทางนั้น! เขาอยู่ทางนั้น!” เสียงกรีดร้องจากบ่าวรับใช้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาจากทางสระบัวขนาดใหญ่ภายในจวนตระกูลอ๋าว บ่าวรับใช้สตรีผู้นี้มาเก็บดอกบัวเพื่อไปบูชาเทพมังกรตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัว สตรีหม้ายที่เป็นทั้งผู้นำตระกูล และเป็นท่านย่าแท้ๆ ของคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลงนางเห็นคุณชายสี่ยืนอยู่เพียงลำพังบนสะพาน และคิดว่าเขาก็คงจะมาชื่นชมความงามของดอกบัวที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ในสระจึงไม่ได้สนใจมากนัก เพียงครู่เดียวนางก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงแตกกระจายของน้ำและเห็นร่างของอ๋าวหลวนหลงจมลงสู่ก้นสระด้วยตาของตนเองบ่าวรับใช้บุรุษที่กำลังทำงานอยู่โดยรอบ วิ่งกรูกันไปยังทิศทางที่หญิงสาวชี้มือไป แต่เป็นเพราะดอกบัวกำลังบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ กอปรกับผิวน้ำไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทำให้บ่าวรับใช้ยังไม่เห็นว่าคุณชายสี่ของพวกตนจมน้ำไปจากบริเวณไหนกันแน่ก้นสระเซียนหนุ่มหลวนหลงกับทูตสวรรค์ฝูซีกลั้นหายใจกันจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่พ้นจากผืนน้ำของบ่อศักดิ์สิทธิ์กันเสียที จากทิศทางที่ตนเองกระโดดลงมาสองบุรุษผู้กล้าห
อ๋าวหลวนหลงพาอดีตเซียนที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเดินทางไปด้วยกันอีกสี่คนไม่นับรวมเขากับฝูซี แต่ไม่ยินยอมให้ทายาทหรือผู้ติดตามคนอื่นจากสกุลอ๋าวร่วมทางมาด้วยอีกเลยนอกจากอ๋าวหลวนหย่งตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยการทำงานหนักของอ๋าวซีเค่อกับอ๋าวหลวนตงที่ออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมกับภายหลังฝูซีและเวยวั่งซูก็ออกไปรวบรวมท่านเซียนไร้สกุลที่ยังเคว้งคว้างอยู่มาเข้ากลุ่มกันไว้ก็มีไม่น้อย ทำให้ขอบเขตของกองกำลังสกุลอ๋าวยังมีแนวร่วมที่กระจายตัวอยู่ในหลายเมืองในเขตเทือกเขาที่มีทายาทสกุลอ๋าวสายรองมาคอยดูแลอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นอ๋าวหลวนหลงเดินทางผ่านทางมาก็รีบเข้าไปทักทาย“คุณชายสี่ คุณชายห้า พวกท่านกับสหายจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”“เรากำลังจะข้ามไปที่เมืองหยวนเปียว ทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่” “ไม่มีขอรับ เขตแนวภูเขาฝากนี้มีกองกำลังที่เป็นมิตรกับสกุลอ๋าวของเราไม่น้อย แต่ที่เมืองหยวนเปียวไม่ใช่ว่าเป็นเขตติดต่อของสกุลเหลาหรอกหรือคุณชาย”“ใช่ ข้ามีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี พวกเจ้าตามสบายเถิดพวกเราจะเร่งเดินทางกันต่อ”“รอก่อนคุณชายสี่! เมืองหยวนเปียวไม่น่าจะปลอดภัยเท่าใดนัก ข้าจะไปตามคนให้ต
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ หากสัตว์เลี้ยงของข้ายังคงมีอายุขัยยืนยาวดังเดิม พวกมันบางตัวที่ได้กินท้อโอสถแล้วพูดได้ทำไมจึงไม่พูดคุยกับข้าบ้าง”“ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ก็คือข้าต้องรีบรวบรวมลมปราณให้สำเร็จ แล้วฟื้นฟูความสามารถเรื่องการสื่อสารกับพวกมันอีกครั้ง”“ใช่แล้ว!! ท่านเป็นทูตสวรรค์มาก่อนนี่นา ท่านสามารถสื่อสารกับสัตว์เทพและสัตว์ต่างสายพันธุ์บนแดนสวรรค์ได้ พี่สี่เสินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย”“เห็นหรือไม่เหยาจี แม้ว่าข้าจะไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้แต่ความสามารถในการสื่อสารของข้าก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เจ้าเองก็อย่าละเลยเรื่องการรวบรวมปราณเด็ดขาดเลยเชียว”“แต่พี่สี่เสิน ถึงแม้เวลานี้เราจะยังไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าจะพูดได้ดังเดิมหรือไม่ แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันกำลังปกป้องเราอยู่ แล้วอย่างนี้พี่ยังคิดจะออกจากเกาะไปเรียนวิชายุทธ์อีกหรือเจ้าคะ”“ท่านอาเกาบอกว่าผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน พวกเขาก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเข่นฆ่าสังหารกันเกิดขึ้น เรายังวางใจไม่ได้นะเหยาจี”“แล้วเซียนสายพฤกษาอย่างข้าจะฝึกฝนอะไร ความทรงจำเดิมของข้าก็ไม่เคยมีเรื่องที่เกี่ยวกับพลังการโจมตีแม้แต่น้อย
“พวกท่านพายต่อไปหาเหยาจี นางอยู่ข้างหลังข้า!” มู่สี่เสินต้อนเรือเล็กให้เข้ามาในพื้นที่เกาะลอยทีละลำ บนเรือแต่ละลำมีชาวบ้านที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนรวมทั้งครอบครัวของหนูน้อยหนิงเอ๋อร์ที่เหยาจีเคยช่วยเหลือเอาไว้ด้วย“ท่านอาหญิงแล้วท่านอาเกาเล่าเจ้าคะ” “สามีข้ากับสหายควบคุมเรือใหญ่ที่บรรทุกเสบียงอาหาร เรือหนักมากมันเคลื่อนตัวได้ช้า ข้าก็ห่วงเขาเหลือเกิน เจ้าสองคนช่วยพวกเขาได้หรือไม่”“ท่านอาหญิงใจเย็นๆ เจ้าค่ะ เราต้องรอให้เขาเข้ามาถึงเขตของเกาะลอย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”“ท่านอา หากคิดว่าไม่ทันท่านโดดลงน้ำว่ายมาหาข้า!! ทิ้งเรือไปเสีย! ทิ้งเรือไป!” เสียงมู่สี่เสินตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เบื้องหน้า เกาโหลวกับกู้หยุนควบคุมเรือร่วมกับสหายลำละสี่คน พวกเขาหันมาสบตากัน แม้ว่าจะมีชาวบ้านเต็มใจจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่เกาะลอยไม่ถึง 40 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ใช้เงินของมู่สี่เสินแจกจ่ายให้ชาวบ้านคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งหลักที่อื่นไม่น้อย เสบียงอาหารในเรือทั้งสองลำที่ซื้อมาด้วยเงินของสองพี่น้องสกุลมู่พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้“ออกแรงอีก! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”ทางฝ่ายมู่เหยาจีนางและชาวบ้านที่ข้ามเขตมาแ
“เหยาจี เมื่อครู่ท่านอาเกาบอกเรื่องหนึ่งกับข้าซึ่งเจ้าก็ควรจะรู้ไว้เช่นกัน”มองดูใบหน้างามของน้องสาวแล้วมู่สี่เสินก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตนเองและน้องสาวจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบบนเกาะลอยที่ปลอดภัยได้อยู่แล้วเชียว“บนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าเราจะลงมายังแดนมนุษย์ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะฟื้นฟูการฝึกฝนกันเข้าพอดี”“ผู้ฝึกตน? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าท่านมหาเทพมู่ซีบอกว่าแดนสวรรค์ยึดสมบัติเทพ สิ่งของแทนเทพรวมทั้งพืชผักผลไม้เสริมปราณจากแดนมนุษย์ไปหมดแล้ว พวกเขายังอยากจะฝึกฝนกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”“ใช่ นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าทวยเทพในอดีต พวกเขาคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถขึ้นมาแดนสวรรค์ได้อีก ก็คงล้มเลิกความคิดในการฝึกฝนไปในที่สุด แต่เวลานี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”“นี่คือเรื่องที่ท่านอาร้อนใจจนต้องพายเรือมายามดึกดื่นเพื่อเตือนพวกเราสองคน?”“นั่นก็ใช่อีก จากที่ท่านอาเกาเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่ เมื่อก่อนผู้ฝึกตนก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ดีๆ ก็เกิดสำนักและตระกูลใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่เคยมีผู้นำจึงกำลั
“นั่นสี่เสินแน่แล้ว! เราขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกสักนิดให้เขาเห็นเราชัดๆ จะดีกว่า”มู่สี่เสินจ้องมองตำแหน่งของวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรือของเกาโหลวและกู้หยุนเคลื่อนที่มาใกล้กองเพลิงเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเกาโหลวและกู้หยุนกำลังโบกผ้าสีขาวในมือไปมาอยู่บนเรือ“ท่านอาเกา!! ท่านอากู้!! เกิดอะไรขึ้นขอรับเหตุใดจึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้” ชายหนุ่มรีบเร่งฝีพายเข้ามาหาคนทั้งคู่และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังช่วยกันวิดน้ำดับกองไฟที่จุดเผาเรือลำเก่าที่ตนเคยใช้กันพัลวัน“ช่วยกันดับไฟก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นก่อนสี่เสิน เดี๋ยวเจ้าพาเราสองคนเข้าไปที่เกาะลอยแล้วค่อยคุยกัน”ดับไฟและจมซากเรือลำเก่าลงสู้ก้นทะเลแล้ว คนทั้งสามก็ยังคงลอยเรือจับตาดูความเคลื่อนไหวบนผืนน้ำรอบๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนเกาโหลวแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา มู่สี่เสินจึงได้พาคนทั้งคู่กลับมาที่เกาะลอย“ท่านอาเกา ท่านอากู้ เป็นพวกท่านเองหรือเจ้าคะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงไฟเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร” มู่เหยาจีย่ำลงน้ำเดินมาหาคนทั้งสามอย่างร้อนใจ“เหยาจี น้ำเย็นมากเจ้าทำไมไม่ไปรอข้างบนฝั่ง รีบกลับขึ้นไปก่อน”“จะให้ข้ายืนรอเฉยๆ ได้อย่างไรพี่สี่เ
วันต่อๆ มามู่สี่เสินและมู่เหยาจีก็ได้เรือขนาดใหญ่ลำใหม่จากการช่วยเหลือของหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวมา 2 ลำ พวกเขาจึงคืนเรือสองลำเดิมรวมทั้งแพให้กับเกาโหลวไป “เรือสองลำนี้เราบรรจุผลไม้ได้ถึง 160 ตะกร้าเลยทีเดียวขอรับ ครั้งนี้การทยอยเอาผลไม้ทั้งหมดออกจากเกาะลอยคงเสร็จเร็วกว่าเก่า”“พวกเจ้าปลูกต้นท้อเอาไว้อีก 200 กว่าต้นมิใช่หรือ ข้าว่าคงจะใช้เวลา 3 เดือนดังเดิมนั่นล่ะ นอกจากเรือแล้วเจ้าอยากได้สิ่งใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมการหาซื้อไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ"“ข้าวสารขอรับ แล้วก็ผ้า หากลมหนาวมาเยือนอีกครั้งข้าไม่มั่นใจว่าเกาะลอยจะพาเราไปที่ใดอีก และยังไม่รู้ว่าจะนานเท่าใดมันจึงจะยอมเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสบียงอาหารของใช้จำเป็นอะไรเพิ่มเติมจากนี้ข้าจะให้เหยาจีจดมาส่งให้ท่านเอง”ระหว่างที่เกาโหลวกับมู่สี่เสินกำลังสนทนากันอยู่ ร่างสามร่างของอู๋ฉ่าง นางลู่และอู๋หนิง ก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดตรงเข้ามาบริเวณเรือที่รับส่งสินค้า“คุณชายคุณหนู เราสามคนมาขอบคุณพวกท่านขอรับ” อู๋ฉ่างเป็นคนนำภรรยาและบุตรสาวคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับสองพี่น้องด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ“พี่ชาย พี่สาว!! ท่านลุกขึ้นก่อน! ไม่เห็นต้องทำ
ได้ยินเช่นนี้ทั้งมู่สี่เสินและมู่เหยาจีต่างก็ดีใจกันมาก ครั้งนี้โชคดีที่เกาะลอยยอมเคลื่อนที่มาที่เกาะจิงเหมิน พวกเขาจำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารไว้ให้มากกว่าเดิม ป้องกันการขาดแคลนในอนาคตหากว่าเกาะลอยเคลื่อนตัวไปอยู่กลางมหาสมุทรที่ห่างไกลอีกครั้ง“ดีเลยเจ้าค่ะ อีกครึ่งเดือนผลท้อบนเกาะก็น่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เราจะได้เอาพวกมันมาขายด้วย”“ผลท้อ? ผลท้อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหลานสาว"“ก็ลูกสีแดงๆ ขนาดประมาณเท่านี้อย่างไรเจ้าคะ” มู่เหยาจีทำมือกะขนาดให้เกาโหลวดู“นั่นมันผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ไม่ใช่หรือ? ก็ไหนพวกเจ้าว่าบนเกาะลอยไม่มีผิงกั่วอย่างไรเล่า?"“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ผิงกั่ว ดอก ผล ใบและกิ่งท้อล้วนเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้นท่านอาเกาไม่รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ”เกาโหลวกับชาวบ้านขมวดคิ้วพยายามคิดถึงผลไม้ดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อหรือสรรพคุณที่ดีงามของผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว“เอาไว้ข้าข้ามไปแผ่นดินใหญ่แล้วจะลองถามคนที่นั่นดู บางทีอาจเป็นผลไม้ทางเหนือที่เมืองหยุนไห่ของพวกเราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้”มู่สี่เสินและมู่เหยาจีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หากผลท้อไม่มีปลูกที่เม
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้