“เหยาจี! เราว่ายน้ำข้ามไปไม่ได้! เจ้ารีบกลับขึ้นมาก่อน!” สี่เสินใจหายวาบรีบวิ่งตามมาดึงร่างน้องสาวเอาไว้
“ในน้ำมีสัตว์ทะเลอะไรบ้างเราก็ไม่รู้ อันตรายเกินไป เอาไว้ข้าจะคิดหาทางข้ามไปเกาะนั้นเอง อีกอย่างระหว่างที่เรายังหาทางข้ามไปไม่ได้ ไม่แน่ว่ามนุษย์ที่อยู่ทางนั้นอาจจะข้ามมาหาเราเอง เราก็จุดไฟสุมควันส่งสัญญาณให้เขาบ้างก็แล้วกัน”
“ข้าจะต่อแพเพื่อข้ามไปที่เกาะนั่น เราต้องช่วยกันขนไม้ที่หักโค่นมาไว้ที่ชายฝั่ง ตัดเถาวัลย์ในป่ามาผูกพวกมัน เจ้าไหวไหม”
มองดูมือพี่ชายที่เต็มไปด้วยตุ่มไต ฝ่ามือของสี่เสินไม่ได้อ่อนนุ่มบอบบางเหมือนแต่ก่อนแล้วเหยาจีก็เศร้าใจ การเก็บผลไม้ จับสัตว์มาทำอาหาร จุดไฟ ทุกอย่างล้วนเป็นสี่เสินจัดการให้หมด นางรู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกสะดวกสบายทั้งหมดของนางล้วนผ่านมือสองข้างของสี่เสินมาทั้งสิ้น
“ไหวเจ้าค่ะ ข้าเอาแต่กินแล้วก็นอน ข้าอยากทำงานจะแย่อยู่แล้ว” เด็กสาวไม่รอช้าเดินลิ่วกลับไปที่ชายป่าตั้งอกตั้งใจเก็บไม้ที่ตนลากไหวมากองรวมกันไว้ หากเหนื่อยนางก็จะเปลี่ยนไปเก็บเถาวัลย์มาเตรียมเอาไว้แทน ปล่อยให้สี่เสินจัดการกับท่อนไม้ขนาดใหญ่เพียงลำพัง
“ยังมีเรื่องที่เจ้าต้องเรียนรู้อีกมากนัก เมื่อเราพบกับมนุษย์คนอื่น เจ้าจะทำตัวกล้าหาญเช่นนี้ไม่ได้ มนุษย์มีโลภ โกรธ หลง มีการแก่งแย่งมีคนดีค้นร้าย เจ้าต้องระวังตัวมากกว่าเดิม” สี่เสินเล่าเรื่องของมนุษย์เท่าที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดจากเทพองค์อื่น ๆ ให้น้องสาวได้รับรู้
สี่เสินและเหยาจีย้ายที่พักมาอยู่ที่ชายหาดชั่วคราว และจุดไฟเอาไว้เกือบจะตลอดเวลาเพื่อส่งสัญญาณให้คนอีกฝั่งรู้ว่ามีคนอาศัยอยู่บนเกาะร้างแห่งนี้ ผู้คนจากอีกฝั่งหนึ่งมองเห็นควันไฟจากพวกตนแน่นอนและมารวมกลุ่มกันที่ชายฝั่งอยู่บ่อยครั้ง
พวกเขามีเรือหลายลำ แต่กลับไม่เคยพายเรือมายังทิศทางของเกาะร้าง ไม่เคยกระทั่งจะหันหัวเรือมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้สองพี่น้องอยู่ไม่น้อย แต่ความเย้ายวนของการจะได้เห็นมนุษย์กลุ่มใหม่ตัวเป็นๆ ของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถอดทนรอดูสถานการณ์ต่อไปได้ไหว สี่เสินจึงเริ่มลงมือผูกท่อนไม้ด้วยเถาวัลย์และต่อแพขึ้นจนสำเร็จในอีก 10 วันต่อมา
“เหยาจี เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปที่นั่นเพียงลำพังแล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด” สี่เสินจัดการแบ่งผลไม้ออกเป็นสองกอง ฉีกแขนเสื้อยาวเฟื้อยเกินพอดีของเหยาจีมาห่อพวกมันเอาไว้ นอกจากนี้ยังจับปลาและกุ้งเตรียมไว้ให้น้องสาวกินระหว่างวันเรียบร้อยแล้ว
“พี่สี่เสิน ท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่ามนุษย์มีทั้งคนดีและคนชั่ว ถ้าพวกเขาเป็นคนชั่วจับตัวท่านไปเล่า? ข้าจะอยู่อย่างไรเพียงลำพัง” เหยาจีหน้าตื่น ไม่คิดว่าสี่เสินจะตัดสินใจลอยแพไปคนเดียวแล้วทิ้งตนเองไว้
“หากข้ามีอันตรายข้าก็จะหาทางหลบหนีออกมาเอง แต่หากเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน ข้าต่างหากที่ต้องเสียใจ อยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่าเจ้าก็รู้ว่าพวกเขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตรอบเกาะเลยสักครั้ง”
“แล้วทำไมท่านไม่คิดว่าข้าอาจจะช่วยท่านได้บ้างเล่าเจ้าคะ หากท่านเป็นอะไรข้าเสียใจไม่เป็นหรือ? เรื่องนี้ข้าไม่ยอมเด็ดขาด ไปไหนเราก็ต้องไปด้วยกัน” เหยาจีหยิบห่อเสบียงอาหารส่วนของตนกระโดดขึ้นไปนั่งบนแพอย่างไม่ยินยอม
“เจ้ามันดื้อรั้นนัก ข้าเพิ่งสอนไปไม่นานว่าเจ้ามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังข้า” สี่เสินใช้มือผลักศีรษะน้องสาวเบาๆ แม้จะกล่าวคำตำหนิ แต่หัวใจของเด็กหนุ่มก็รู้สึกซาบซึ้งและมีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิมที่เห็นว่าน้องสาวก็เป็นห่วงตนไม่น้อยไปกว่ากัน
การถ่อแพด้วยท่อนไม้หนึ่งท่อน จากกำลังแขนของเด็กชายร่างผอมอายุ 14 ปี ยากเย็นเหลือเกินในความคิดของสี่เสิน โชคดีที่วันนี้คลื่นลมไม่แรง แพของพวกเขาทั้งสองจึงยังมุ่งหน้าไปยังเกาะใหญ่ใกล้เข้าไปทุกที
จากสายตาที่คะเนไว้ว่าระยะห่างระหว่างสองเกาะน่าจะราวๆ 5 ลี้ แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนระยะทางจะไกลเกินกว่าที่สองพี่น้องเห็นมากนัก ทั้งคู่ไม่ได้ปริปากพูดคุยกันเลยสักคำมาตลอดทาง เพราะในใจต่างมีความคิดที่หลายหลากเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมนุษย์กลุ่มแรกที่พวกตนไม่รู้จัก
ชาวบ้านจากเกาะจิงเหมินมองเห็นแพที่มีคนนั่งอยู่ด้านบนสองคนตั้งแต่ไกล พวกเขาจับกลุ่มชี้ไม้ชี้มือให้คนอื่น ๆ พากันมองดูไปที่สองพี่น้องที่เข้าใกล้ชายหาดมาทุกที
“มีคนอาศัยอยู่บนเกาะลอยแห่งนั้นจริงๆ เสียด้วย”
“ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นเด็กชายและเด็กหญิงอายุน้อยกันนะ”
“ไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเร็ว คนจากเกาะลอยปรากฏตัวออกมาแล้ว เราอาจจะรู้ข่าวอะไรจากที่นั่นบ้างก็ได้” ชายชาวประมงตะโกนบอกกันไปเป็นทอดๆ
หลายคนรู้สึกหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของสองพี่น้อง รีบเรียกบุตรหลานวัยเยาว์ของตนให้ขึ้นจากน้ำ หลายคนก็ช่วยกันลากเรือขึ้นมาบนชายหาดด้วยความแตกตื่น ชาวบ้านในหมู่บ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะทยอยกันเดินทางมาที่ชายหาด ชายหนุ่มบางคนยังถืออาวุธติดไม้ติดมือกันมาด้วยเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะปลอดภัยจากมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนเกาะลอยแห่งนั้น
สถานการณ์บนชายหาดฝั่งเกาะจิงเหมินชุลมุนวุ่นวายไม่แพ้จิตใจของสองพี่น้องบนแพไม้ลำเล็กเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินเป็นบุรุษกลางคนร่างใหญ่วัย 45 ปี เมื่อเห็นว่าบนแพไม้ที่ใกล้จะถึงขายหาดเป็นเพียงเด็กหนุ่มและเด็กสาวรุ่นเยาว์ เขาตัดสินใจเดินลุยน้ำลงทะเลไปเจรจากับอีกฝ่ายก่อนที่คนทั้งสองจะลงจากแพ
“เจ้าอาศัยอยู่บนเกาะลอยหรือ? มีใครอยู่ที่นั่นอีก พ่อแม่ของเจ้าครอบครัวของเจ้ามีกันทั้งหมดกี่คน?” เกาโหลวถามเสียงเข้ม ดังพอที่จะให้ชาวบ้านที่ยืนอยู่เบื้องหลังได้ยินโดยทั่วกัน
“เกาะลอย? เกาะนั้นมีชื่อว่าเกาะลอยหรือขอรับ? เราสองพี่น้องรอดชีวิตกันเพียงสองคนจากเรือโดยสารที่แตกกลางทะเล พวกเราลอยไปติดอยู่ที่ชายฝั่งของเกาะแห่งนั้น จนมองเห็นควันไฟจากที่นี่เราเลยพยายามจุดไฟเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็ช่วยกันต่อแพขึ้นมาได้ก็เลยลอยแพกันมาเอง เราไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นหรอกขอรับ”
เหยาจีเหลือบตามองพี่ชายของนางแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกชื่นชม เพียงครู่เดียวสี่เสินก็สร้างเรื่องราวเป็นตุเป็นตะขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน
เกาโหลวไม่กล่าวตอบโต้อะไรกับเด็กทั้งสองอีก เขาหันหลังเดินกลับมาพูดคุยกับชาวบ้านที่ชายหาดเบาๆ
แท้จริงแล้วสี่เสินก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ชายหาดมากนัก เขาตั้งใจว่าหากกลุ่มคนที่ถืออาวุธขยับขาออกมาแม้เพียงก้าวเดียว ตนก็จะตัดสินใจหันหัวพาน้องสาวลอยทะเลกลับไปที่เกาะร้างอีกครั้ง โชคดีที่เป็นบุรุษร่างใหญ่ในมือไร้อาวุธเดินมาหาตนและน้องสาวเพียงลำพัง
ดูจากสีหน้าและการลดความก้าวร้าวลงไปของชาวบ้านบนหาดทรายก็ทำให้สี่เสินโล่งใจ
บนชายหาดหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวก็กำลังหารือกับสมาชิกบนเกาะของตนเช่นกัน
“ร้อยวันพันปีไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นคนอาศัยอยู่บนเกาะลอยเลยสักคน แต่ข้าเห็นเต็มสองตาเลยนะว่าพวกเขาลอยแพออกมาจากเกาะประหลาดนั่นจริงๆ” ชายชราผู้เห็นเหตุการณ์เป็นกลุ่มแรกรีบยืนยันสิ่งที่ตนเห็น
“เจ้าหนุ่มน้อยนั่นบอกว่าเขาจุดไฟส่งสัญญาณ นั่นก็เป็นเรื่องจริงอีกด้วย เราเห็นกองไฟถูกจุดขึ้นที่ชายหาดอยู่หลายวันแล้ว หรือว่าพวกเขาเพิ่งจะรอดชีวิตมาจากเรือแตกจริงๆ”
“สองเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้าก็เชื่อว่าจริงตามที่พวกเขากล่าว แต่พวกเขาลอยเข้าไปติดเกาะนั่นได้อย่างไรนี่ต่างหากที่ข้าสงสัย”
เกาะที่มีภูเขาอยู่ตรงกลางเป็นจุดเด่นแห่งนั้นแทบจะเรียกว่าเป็นเกาะในตำนานแห่งท้องทะเลก็ว่าได้ มันสามารถเคลื่อนตัวไปกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ได้โดยอิสระจึงถูกขนานนามว่าเกาะลอย
มีผู้คนในอดีตมากมายที่พยายามแล่นเรือเข้าไปเทียบที่เกาะลอยแห่งนั้น แต่ผ่านมานานเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ทุกวันนี้เรือขนาดเล็กหรือใหญ่ แม้กระทั่งการว่ายน้ำเข้าไปก็ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเหยียบย่างขึ้นไปบนเกาะลอยได้เลยสักคน
เมื่อพวกเขาพยายามเดินทางเข้าใกล้เกาะไปเมื่อใด ก็ดูเหมือนว่าเกาะจะเคลื่อนที่ลอยห่างไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในอดีตมีคนรวมกลุ่มกันส่งเรือร้อยลำพร้อมกับอาวุธเต็มลำเรือล้อมรอบเกาะเอาไว้ไม่ให้มันลอยหนีไปได้ ก็กลับกลายเป็นว่าเรือทั้งร้อยลำถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากดูดกลืนเรือให้จมลงสู่ใต้ทะเล
ครั้งนั้นมีผู้คนจำนวนมากประสบอุบัติเหตุ บ้างก็ได้รับการช่วยเหลือทัน ที่พยายามว่ายเข้าไปให้ถึงเกาะลอยก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงจมน้ำเสียชีวิตไปไม่น้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล่าที่ผ่านมาเนิ่นนานราวกับเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่เคยปรากฏว่าบนเกาะจะส่งสิ่งมีชีวิตออกมาเข่นฆ่าผู้คน ทุกอย่างคล้ายเป็นอุบัติเหตุทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าคิดย่างกรายเข้าไปในอาณาเขตของเกาะลอยอีกเลย
“ลอยไปทางใดก็ไม่ไป กลับลอยมาทางเกาะของเราเสียได้นี่” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น ชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินเห็นแล้วว่าเกาะลอยค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาทีละนิด พวกเขายังคิดว่าอีกไม่นานเกาะประหลาดแห่งนี้ก็จะเคลื่อนตัวห่างออกไปเอง ไม่คิดว่ามันจะลอยค้างอยู่ที่เดิมนานนับเดือน เป็นเหตุให้สองพี่น้องสร้างแพออกมาจากเกาะจนสำเร็จ“ความลับบนเกาะหลายร้อยปีที่ผ่านมา เราอาจได้รู้จากปากเด็กสองคนนั้นก็เป็นได้ อย่างไรก็แสดงความเป็นมิตรกับพวกเขาสักหน่อย เด็กสองคนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนั้นได้ เราจะรอดูกันว่าพวกเขาจะกลับไปอีกครั้งได้หรือไม่” กลุ่มบุรุษที่ถืออาวุธเอาไว้พากันวางอาวุธลงบนพื้น มีชายหนุ่มสี่คนเดินแย้มยิ้มไปช่วยกันลากแพของสองพี่น้องกลับมาขึ้นฝั่งส่งเสียงพูดคุยถามคำถามออกมาด้วยความเป็นมิตรมากกว่าเดิม“พวกเจ้าอย่าหาว่าเราเสียมารยาทเลย เราไม่เคยพบคนที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นเลยสักครั้ง มาพวกเราจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเหตุใดมันจึงได้ชื่อว่าเกาะลอย และข้าก็มีคำถามอยากรู้จากพวกเจ้ามากมายนัก” เกาโหลวเชิญชวนให้สองพี่น้องเข้าไปในหมู่บ้านอย่างใจกว้าง“ท่านอาโปรดอภัยเราสองพี่น้องเช่นกันขอรับ เรามีกันเพียงสองพี่น้อง
เกาโหลวรู้ดีว่าชาวบ้านยังคงกลัวความแปลกประหลาดของเกาะลอยอยู่ เขาตัดสินใจคว้าองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวกินต่อหน้าสมาชิกในหมู่บ้านเป็นการทดสอบทันที“โอ เยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก เนื้อก็เยอะ” เกาโหลวเอ่ยชมไม่ขาดปาก ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองก็ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดจากองุ่นผลนี้“พวกท่านมีเรือมิใช่หรือขอรับ พายตามเราสองคนกลับไปที่เกาะสิ เราจะขอเอาผลไม้บนเกาะแลกเปลี่ยนกับข้าวของเครื่องใช้หรือไม่อย่างนั้นข้าก็ขอแลกเปลี่ยนเป็นเงิน จะได้หาซื้อของได้เองในภายหลัง” มู่สี่เสินตาเป็นประกายเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยชมผลไม้บนเกาะ เขาค้นพบช่องทางการค้าหาเงินมาใช้ได้แล้ว!“เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าจะกลับไปที่นั่น ข้าก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังแล้วอย่างไร หากกลับไปแล้วเจ้าถูกกระแสน้ำกลืนกินไปเล่า?” เกาโหลวพยายามชักจูงมู่สี่เสินเต็มกำลัง นึกห่วงความปลอดภัยของสองพี่น้องด้วยคุณธรรมน้ำมิตร“มีอะไรต้องกลัวกันท่านอา ที่นั่นปลอดภัยอย่างแน่นอน สัตว์ป่าดุร้ายสักตัวก็ไม่มี มีเพียงสัตว์เล็กๆ อย่างไก่ป่า กระรอก กระต่ายอะไรพวกนี้เท่านั้น เสียดายที่ข้าจับพวกมันมาเป็นอาหารไม่ได้” ยิ่งพูดมู่สี่เสินยิ่งรู้สึกหง
สองพี่น้องกลับมาอาศัยอยู่ในถ้ำตามเดิม และตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มการค้าของตนกันด้วยความตื่นเต้น แม้จะมีตะกร้าสานและถังไม้มาช่วยในการเก็บผลไม้ได้สะดวกขึ้น แต่การขนพวกมันกลับไปไว้ในเรือก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย มู่สี่เสินต้องลงแรงสร้างลากเลื่อนจากท่อนไม้เล็กหลายอันมาผูกเข้าด้วยกันเพื่อช่วยในการขนส่งผลไม้ได้คราวละมากๆ มู่เหยาจีจะมีหน้าที่เก็บผลไม้สุกที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นไม้มากองเอาไว้ที่จุดหนึ่ง ให้พี่ชายทยอยนำตะกร้าผลไม้เอาไปเทใส่เรือแล้วกลับขึ้นมารับเอาไปใหม่ กว่าจะได้ผลไม้เต็มลำเรือสองพี่น้องก็ต้องพักเหนื่อยอยู่หลายรอบและใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน แต่เมื่อมองเห็นผลไม้กองโตที่ยังเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจำนวนผลไม้ที่มีเต็มเกาะ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ถูกแทนที่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขจนล้นอก“หากแลกเปลี่ยนเก็บสะสมเงินซื้ออุปกรณ์ได้มากพอ ไม่นานข้าคงจะสร้างเรือนหลังเล็กๆ ให้เจ้าสักหลังได้ เจ้าจะมีที่นอน ผ้าห่มที่อบอุ่น อ้อ! อย่าลืมเตือนข้าด้วย เราต้องแลกเอาข้าวสารกลับมาด้วยนะ อีกหน่อยเจ้าต้องเติบโต ต้องกินอาหารแบบมนุษย์จะได้แข็งแรง” มู่เหยาจีเงยหน้ามองพี่ชายที่ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ข้อ
เกาะลอย“ขนตะกร้าไปกันเลยเหยาจี เราจะเริ่มเก็บผลไม้ไว้ตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้จะได้เสร็จเร็วขึ้น”“ท่านไม่บอกข้าก็จะทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเขย่าเงินเหรียญที่ท่านป้าคนหนึ่งมอบถุงใส่เงินให้นางมาผูกไว้กับผ้าคาดเอว รู้สึกว่าการมีเงินนี่มันช่างดีเสียจริงทั้งคู่ช่วยกันคัดเลือกผลไม้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิม ผลไม้เนื้อแข็งจะถูกวางลงก้นตะกร้าและที่เนื้ออ่อนนุ่มอย่างเช่นมะม่วง ก็จะถูกวางไว้ด้านบน ผลที่มีร่องรอยแตก ช้ำ มีจุดด่างดำเล็กน้อยพวกเขาก็จะแยกเอาไปกองไว้อีกทางไม่นำเอาไปขาย“ฟ้าใกล้จะมืดแล้วเหยาจี เราต้องกลับไปที่อุโมงค์กันแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อแต่เช้าก็แล้วกัน” มู่สี่เสินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม“เพิ่งเก็บได้แค่ 8 ตะกร้าเอง ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ เสียดายจัง” “ไปเถิด ข้าวของตะกร้าอะไรก็วางเอาไว้ที่นี่ทั้งหมดนั่นล่ะไม่ต้องเก็บกลับไป ข้ารับรองไม่มีของสูญหายแน่”“ข้าอยากเห็นแผ่นดินใหญ่ที่พวกเขากล่าวถึงกันจังเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่ามันน่าจะเจริญมากกว่าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินนะเจ้าคะ” “ข้าก็คิดเช่นนั้น เราต้องได้ไปแน่นอนเหยาจี เก็บเงินให้ได้มากๆ กันไว้ก่อน มนุษย์ใช้เง
“พี่สี่เสินท่านอย่าลืมว่าเกาะนี้ไม่เคยมีผู้ใดผ่านเข้าออกมาก่อน หากจะมีผู้บุกรุกขึ้นมาบนเกาะก็เป็นเราสองคนต่างหากที่บุกรุก” มู่เหยาจีตั้งข้อสังเกตใหม่“อีกอย่างนะเจ้าคะ หากเราเป็นผู้บุกรุก เจ้าของเดิมสมควรขับไล่เราหาใช่มาช่วยเราเก็บผลไม้ ข้าว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายกับเราสองคนเจ้าค่ะ”“จริงของเจ้า เอาอย่างนี้คืนนี้เรามาพิสูจน์กัน”สองพี่น้องตัดสินใจล้มเลิกการสำรวจรอบเกาะ แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ชายหาดดังเดิม ช่วยกันแบกตะกร้าเปล่าเข้าป่าไปกองไว้ที่ใต้ต้นมะกอกต้นเดิม พวกเขาเลือกผลไม้ที่สุกงอมมีสีคล้ำไปกองไว้ตามใต้ต้นไม้เพื่อให้มันกลายเป็นปุ๋ยตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้เก็บผลไม้ดีใส่ตะกร้าเลยแม้แต่ผลเดียวพอใกล้ค่ำ มู่สี่เสินก็ตะโกนเรียกน้องสาวให้กลับไปพักผ่อนตามปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่เมื่อถึงจุดลับสายตาร่างสองร่างก็หายเข้าไปในโพรงของต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เด็กทั้งคู่ต้องกินผลไม้และน้ำที่เตรียมเอาไว้ด้วยเสียงที่เบาที่สุด ขยับตัวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆ เฝ้ารอให้แสงสว่างรอบข้างเลือนหายไปทีละน้อยด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึกผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ขณะที่ทั้งสองนั่งพ
“เอาไปวางไว้ทางด้านนั้น 30 ใบ” มู่สี่เสินออกคำสั่งกับน้องสาว เลือกวางตะกร้าผลไม้เปล่าๆ 30 ใบไว้ยังบริเวณต้นผลไม้นานาชนิดที่พวกตนยังเก็บเกี่ยวไปไม่ถึงบริเวณนั้น “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเลือกวางตะกร้าทั้ง 30 ใบให้กระจายไปทั่วๆ จากนั้นก็วิ่งตัวปลิวกลับมาหาพี่ชาย“ไป! เราไปกันอีกทาง” มู่สี่เสินตั้งใจจะทดลองดูว่า หากพวกตนไม่ได้อยู่ใกล้ตะกร้า กระรอกและกระต่ายจะมาช่วยเก็บผลไม้อีกหรือไม่ในเวลากลางวัน พวกเขาจึงซื้อตะกร้ามาเพิ่มใหม่อีก 30 ใบแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่สนใจจะไปดูแล สองพี่น้องใช้ตะกร้าเก่า 30 ใบย้ายมาเก็บผลไม้อีกทิศทางหนึ่งกันลำพังแค่สองคน พอเก็บได้ 20 ตะกร้าก็ตัดสินใจพายเรือออกไปส่งที่หมู่บ้านอีกรอบหนึ่งก่อน เพราะหากรอให้ได้ครบ 30 ใบ เวลาอาจจะช้าเกินไป “ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้วเหยาจี รู้หรือไม่ว่าหากเป็นไปตามที่เราคิด จากนี้เราจะมีหน้าที่แค่เพียงขนมันลงเรือแล้วพายมาส่งขายเท่านั้น เราอาจทำได้ถึงวันละ 3 รอบทีเดียวเลยนะ นั่นหมายถึงการรับเงินที่มากขึ้นทุกวัน!” ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายระยิบระยับ มีเงินมากก็จะสร้างบ้านให้น้องสาวได้อยู่เร็วขึ้น!“ไม่ได้นะเจ้าคะพี่สี่เสิน เรามีกัน
“เข้าใจแล้วท่านอาเกา จากนี้ข้าจะระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นขอรับ”“ดีแล้ว ที่ข้ายังไม่ไปพร้อมกับเจ้าเวลานี้ก็เพราะ หากเจ้าพาเราข้ามไปได้สำเร็จ เราต้องปกปิดเอาไว้ให้มิดว่ามนุษย์คนอื่นสามารถไปถึงที่นั่นได้ เราจะแอบข้ามไปตอนที่ไม่มีคนเห็นและเรื่องนี้ควรเป็นความลับที่รู้กันแค่พวกเราหกครอบครัวเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายเกาโหลวหันไปกล่าวกับสหายที่เขาไว้วางใจ“วันนี้รอให้ฟ้ามืดอีกสักนิดข้าค่อยกลับก็แล้วกัน ท่านอาทั้งหกคนเตรียมเสื้อผ้าไปค้างคืนที่นั่นสักคืนเถิด ข้าคงไม่พายเรือกลับมาส่งท่านยามค่ำคืนเป็นแน่”ปากว่ากล้า ว่าอยากลองเสี่ยง แต่เมื่อได้รับคำเชิญให้ไปค้างคืนบนเกาะลอยจากเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำกันอยู่หลายอึดใจเลยทีเดียวพอฟ้ามืดเรือสองลำกับแพขนส่งผลไม้ก็เคลื่อนตัวออกไปจากเกาะจิงเหมินอย่างเงียบเชียบ โดยมีบุรุษห้าคนซ่อนตัวนอนราบไปกับพื้นเรือร่วมทางไปกับสองพี่น้องสกุลมู่ด้วย“ถึงไหนแล้วหลานชายหลานสาว” เกาโหลวกับสหายร้องถามออกมาเป็นรอบที่สิบด้วยความตื่นเต้น“ครึ่งทางแล้วขอรับท่านอา อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”“หา!! ครึ่งทางแล้วหรือ? ข้างหน้าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าดูให้ดีเริ่มมีคลื
ตระกูลอ๋าว เมืองหลงเทียน“คุณชายสี่ตกน้ำ คุณชายสี่จมน้ำไปแล้ว ใครก็ได้รีบมาช่วยที ทางนั้น! เขาอยู่ทางนั้น!” เสียงกรีดร้องจากบ่าวรับใช้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาจากทางสระบัวขนาดใหญ่ภายในจวนตระกูลอ๋าว บ่าวรับใช้สตรีผู้นี้มาเก็บดอกบัวเพื่อไปบูชาเทพมังกรตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัว สตรีหม้ายที่เป็นทั้งผู้นำตระกูล และเป็นท่านย่าแท้ๆ ของคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลงนางเห็นคุณชายสี่ยืนอยู่เพียงลำพังบนสะพาน และคิดว่าเขาก็คงจะมาชื่นชมความงามของดอกบัวที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ในสระจึงไม่ได้สนใจมากนัก เพียงครู่เดียวนางก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงแตกกระจายของน้ำและเห็นร่างของอ๋าวหลวนหลงจมลงสู่ก้นสระด้วยตาของตนเองบ่าวรับใช้บุรุษที่กำลังทำงานอยู่โดยรอบ วิ่งกรูกันไปยังทิศทางที่หญิงสาวชี้มือไป แต่เป็นเพราะดอกบัวกำลังบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ กอปรกับผิวน้ำไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทำให้บ่าวรับใช้ยังไม่เห็นว่าคุณชายสี่ของพวกตนจมน้ำไปจากบริเวณไหนกันแน่ก้นสระเซียนหนุ่มหลวนหลงกับทูตสวรรค์ฝูซีกลั้นหายใจกันจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่พ้นจากผืนน้ำของบ่อศักดิ์สิทธิ์กันเสียที จากทิศทางที่ตนเองกระโดดลงมาสองบุรุษผู้กล้าห
“นี่พวกเจ้าไม่คิดจะทำสิ่งอื่นนอกจากเกี้ยวพาราสีกันทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้บ้างหรือไร!” เสียงหวานใสของซินหรูอี้ดังมาแต่ไกล“หรูอี้!! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้พูดแต่คำหวานๆ รักษากิริยาให้สำรวมไว้หน่อยเถิด หากลูกในท้องติดนิสัยโผงผางเช่นเจ้ามาข้าคงต้องกลั้นใจตายสักวันเป็นแน่” เวยวั่งซูชักสีหน้าไม่พอใจแต่สองมือก็ประคองปกป้องร่างภรรยารักเอาไว้ราวกับไข่ในหิน“ท่านก็เลิกวุ่นวายกับชีวิตข้าเสียทีเวยวั่งซู!! ข้ามันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมแต่งให้ท่าน ดูสิทุกวันนี้ข้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนเหนือที่หนาวเย็นจนถึงกระดูก คลอดลูกออกมาเมื่อใดข้าจะย้ายมาอยู่กับเหยาจีที่ทางใต้เสียให้รู้แล้วรู้รอด”“ก็ข้าเป็นผู้ฝึกตนสายน้ำแข็งนี่นา ไม่อยู่กับหิมะจะให้ข้าไปอยู่ในกองเพลิงหรือไร แล้วเมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? คลอดบุตรแล้วเจ้าจะมาอยู่ทางใต้ คิดจะทิ้งเราสองพ่อลูกไว้ทางเหนือเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิด!!" “เจ้าจะหงุดหงิดอันใดนักหนาเล่าวั่งซู นางยังไม่ทันคลอดด้วยซ้ำ ข้าแนะนำให้เอง!! กลับไปแดนเหนือคราวนี้ไม่สู้เจ้าแช่แข็งนางเอาไว้เป็นไร นางจะได้ไม่หนีไปเที่ยวเล่นที่ใดได้อีก”ซินหรูอี้ใช้สองมือประคองท้องกลมโตเดินอาดๆ ม
หญิงสาวก้าวออกมายืนด้านหน้าผู้คนแทนที่อ๋าวหลวนหลง“ชัยชนะของพวกเราในครั้งนี้จะไม่สำเร็จโดยง่ายหากปราศจากพวกเขาเช่นกัน” มู่เหยาจีผายมือไปด้านขวาของนาง สายตามองไปยังสัตว์เลี้ยง 12 ตัวที่ยังรอดชีวิตอยู่“สัตว์ปราณทั้ง 12 ตัว ได้รับผลท้อไปแล้ว 5 ตัว ข้าจะไม่ลังเลเลยที่จะมอบผลท้อสวรรค์อีก 7 ผลให้กับพวกมันอย่างยุติธรรม วันใดที่มนุษย์ไม่อาจไว้วางใจกันเอง พวกท่านโปรดจำเอาไว้ว่าสัตว์ทั้ง 12 จะเป็นผู้ที่ปกป้องท่านจากภยันตรายทั้งปวง”สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว ผีเสื้อเกล็ดแก้ว 7 ตัวก็โบยบินออกไปส่งมอบผลท้อสวรรค์ให้วานรสองตัว สุนัขจิ้งจอกสองตัว หวางผาง เต่าและปลาหมึก“ท้อสวรรค์ 7 ผลที่เหลือข้าจะให้ผีเสื้อเกล็ดแก้วเป็นผู้คัดเลือกผู้โชคดีขึ้นมาตามแบบอย่างที่เคยทำในแดนสวรรค์ และจากนี้ไปผลท้อที่สุกออกมาทั้งหมดก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้เช่นกัน”มู่เหยาจีวาดเรียวแขนงามออกมาโบกสะบัดชายแขนเสื้อยาวกรุยกรายสยายออกเป็นวงกว้างในอากาศพร้อมกับมีร่างของผีเสื้อเกล็ดแก้วลำตัวใสกระจ่างระยิบระยับเจ็ดตัวโบยบินไปวนเวียนอยู่เหนือศีรษะกลุ่มผู้ฝึกตนที่รวมกลุ่มกันอยู่ผู้โชคดีทั้งเจ็ดคนมีทั้งอดีตเซียนที่ลงมาจากแดนสวรรค์และผู้ฝึกต
“ยามนี้บนเกาะลอยที่เหลือเพียงครึ่งไม่มีผลท้อธรรมดาที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเลยสักผล ทำอย่างไรดีพี่สี่เสิน หวางเซี่ยเจ้าต้องหยุดพักรักษาตัวก่อน เราจะหาทางกลับไปเอาผลท้อมาช่วยเจ้ากันเอง!!” หญิงสาวละล่ำละลัก หันพูดทางนั้นทีทางนี้ทีตัดสินใจทำสิ่งใดไม่ถูก“น้องสาว ผลท้อธรรมดาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของหวางเซี่ยได้หรอก ต่อให้เจ้าฝืนเด็ดผลท้อสวรรค์ที่ยังไม่สุกหยิบยื่นให้เขาก็ยังไม่อาจรักษาบาดแผลที่สาหัสนั้นได้ ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการต่อไปเถิด”“ผลท้อช่วยไม่ได้ เช่นนั้นลูกแก้วมังกรของพี่หลวนหลงก็ต้องช่วยได้สิเจ้าคะ ท่านลองส่งสารบอกผีเสื้อเกล็ดแก้วดู ให้พวกเขาพาคุณชายสี่กลับมาที่นี่ก่อน” น้ำตาสองสายไหลออกมาเต็มใบหน้างาม อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา“เจ้าตั้งสติให้ดีๆ อวัยวะภายในของหวางเซี่ยเสียหายรุนแรงเกินไป หาใช่ขาดแล้วเชื่อมต่อใหม่ได้เหมือนอย่างเส้นเอ็นของหลวนหลง เจ้าดูดวงตาของฝูซีสิ สิ่งที่ขาดหายไปแล้วน้ำลายมังกรไม่อาจสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้มู่เหยาจีก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงอันหนักหน่วงบนร่างกายสหายรักใต้น้ำสองพี่น้องเดินลงไปที่ชายหาดจุดเดิมที
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของนกอินทรียักษ์รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด เพียงไม่นานมันก็พาอ๋าวหลวนหลงมาพบกับกลุ่มผีเสื้อเกล็ดแก้วที่กำลังรุมล้อมรอบเกาะลอยพุ่งโจมตีไส้เดือนปีศาจยี่สิบตัวกันไม่ยั้งมือ“นั่นมัน!!” ดวงตาคมกริบของอ๋าวหลวนหลงเบิกค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาก็พลันถูกกลืนลงคอไปด้วยความตื่นตะลึงชายหนุ่มขยี้ตาซ้ำๆ อีกหลายครั้งและสุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาตาไม่ฝาด ยามนี้บนต้นท้อสวรรค์มีผลท้อสีเขียวอมชมพูส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลล่องลอยไปทั่วบริเวณ“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ท้อสวรรค์ออกผลอีกแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ผลงานของเหยาจีนี่ดูท่าจะลูกดกดีแท้!!” กล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องรีบจับขนหลังคอนกอินทรีตัวเขื่องเอาไว้แน่น เจ้านกยักษ์แกล้งบินลงต่ำกะทันหันด้วยความหมั่นไส้กับคำพูดที่กำกวมของมนุษย์ไร้ขนที่ขี่หลังมันอยู่“ข้าหมายถึงผลท้อ เจ้าจะขัดเคืองอันใดนักหนา!!” อ๋าวหลวนหลงเอื้อมมือไปตบหัวนกอินทรีทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำที่ถูกจับได้ว่าแอบคิดนอกลู่นอกทางในยามคับขัน“พวกเขาจัดการเจ้าหนอนเหล่านี้ได้แน่นอน เราต้องไปช่วยทางนั้น” อ๋าวหลวนหลงชี้มือไปยังบริเวณชายหาดเพิกเฉยกับการต
“ข้ายังมีพลังอ่อนด้อยเกินไป ไม่สามารถติดต่อกับผีเสื้อเกล็ดแก้วที่อยู่ทางใต้ไม่ได้ แต่การที่หวางเซี่ยและคู่ของมันลุกขึ้นมาสู้สุดใจเช่นนี้อาจเกิดเรื่องกับทางหลวนหลง” ฝูซีเอ่ยปากอย่างร้อนรน“คุณชายสี่อยู่ทางนั้นเพียงลำพังหรือเจ้าคะ” มู่เหยาจีก็เพิ่งรู้ว่าอ๋าวหลวนหลงไม่ได้อยู่ร่วมการต่อสู้ทางชายหาดบริเวณนี้“ใช่ เขาต้องรีบผนึกรอยแยกใต้ทะเล ทางนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยให้พวกมันขึ้นมาบริเวณน้ำตื้นเพื่อจัดการมันได้ง่ายหน่อย แต่จะไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นฝั่ง การที่หวางเซี่ยพาเกาะลอยกลับลงทะเลลึกอยู่นอกเหนือจากที่เราตกลงกันไว้”“เช่นนั้นข้าจะส่งนกอินทรีออกไปสืบข่าว” ต้าโหวจื้อกระโดดลงจากหลังนกอินทรี แล้วปล่อยให้นกยักษ์บินกลับไปเพียงลำพังเพราะตัวเขายังมีประโยชน์ในการสู้รบกับกลุ่มปีศาจมากมายที่มารวมตัวกันบริเวณนี้ไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ไตร่ตรองสิ่งใดต่อไป สัตว์ปีศาจที่เล็ดลอดออกจากรอยแยกใต้ทะเลรวมกับกลุ่มที่หลอกล่อให้มนุษย์หลงไปผิดทางก็มีไม่น้อย พวกเขายังไม่สามารถจัดการมันได้ทั้งหมดหากปราศจากความช่วยเหลือจากผีเสื้อเกล็ดแก้วที่แข็งแกร่งทั้งหกพันตัวอินทรียักษ์บินเลยผ่านหวางเซี่ยที่เคลื่อนตัวไปได้
เมื่อเห็นหวางเซี่ยพยายามชิงพื้นที่การควบคุมเกาะลอยใต้น้ำไว้อย่างยากลำบาก ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหกคนก็มุ่งเข้ามาช่วยเหลือปูยักษ์สองสามีภรรยาโดยพร้อมเพรียงกัน“เหยาจี!! เป็นอย่างไรบ้าง” มู่สี่เสินทะยานขึ้นไปบนเกาะไปหาน้องสาวเป็นคนแรก“พี่สี่เสินข้าปลอดภัย พวกมันกำลังพยายามจะขึ้นไปบนฝั่งเจ้าค่ะ”“ฝูซีก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เราจะไม่ยอมให้พวกมันเอาต้นท้อสวรรค์กลับลงไปยังแดนปีศาจได้สำเร็จแน่นอน”“พวกเราต้องช่วยหวางเซี่ย ไส้เดือนปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งมากอีกไม่นานหวางเซี่ยอาจจะทนต่อไปไม่ไหวเจ้าค่ะ”หญิงสาวสงสารและเป็นห่วงปูยักษ์จับใจ ขาทั้งแปดของหวางเซี่ยขยับเขยื้อนได้เพียงเล็กน้อย ความสามารถในการป้องกันตัวแทบจะเป็นศูนย์ แต่โชคดีที่มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าไส้เดือนตาบอดเหล่านั้นจึงยังใช้กระดองดันไส้เดือนปีศาจให้อยู่รอบนอกโดยมันควบคุมพื้นที่ใต้เกาะลอยส่วนใหญ่เอาไว้ได้พอดิบพอดีมู่สี่เสินคว้ามือของน้องสาวย่อตัวลงเล็กน้อยและออกแรงกระโดดขึ้นไปอยู่บนร่างของวานรทั้งสองตัวเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับปีศาจไส้เดือนที่กำลังพยายามยึดเอาเกาะลอยกลับคืนมาจากหวางเซี่ย……….รอยแยกใต้ทะเลลึกผีเสื้อเกล็ดแก้
ทางด้านบนนกอินทรีสองตัวก็ได้ยินคำสั่งของมู่สี่เสินแล้วเช่นกัน พวกมันส่งเสียงร้องเรียกสมาชิกสัตว์ปีกในบริเวณใกล้เคียงออกมาทั้งหมดฝูงนกจำนวนมหาศาลไม่ว่าเล็กหรือใหญ่คาบก้อนหินไว้ในปากแล้วทิ้งลงไปในน้ำเป็นการเปิดฉากการต่อสู้และสกัดกั้นให้ปีศาจเคลื่อนตัวได้ช้าลง หวางเซี่ยและคู่พามนุษย์เต็มแผ่นหลังแหวกว่ายขึ้นสู่ชายฝั่งทางทิศตะวันออกได้ก่อนที่ศัตรูจะฝ่าฝนหินขึ้นสู่ชายหาดได้ทันเวลา มันสองสามีภรรยาหันหลังให้กับท้องทะเลใช้กระดองอันใหญ่โตปกป้องผู้ฝึกตนให้รอดพ้นจากหนามแหลมคมที่สลัดออกมาจากสัตว์ปีศาจคล้ายเม่น“สร้างแนวป้องกันไว้อย่าให้พวกมันขึ้นมาได้!!""โจมตี!!”“โจมตี!!”"กี้ดดดด!!!เสียงกรีดร้องจากสัตว์ปีศาจดังระงมขึ้นมาในชั่วพริบตา พวกมันเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตีทั้งในน้ำบนบกและทางอากาศพร้อมกันในขณะที่ยังตั้งตัวไม่ทัน“กี้ดๆๆๆๆๆ!!!”“พวกมันกำลังส่งสัญญาณถึงกัน อีกไม่นานพวกมันจะมุ่งหน้ามาทางนี้เพิ่มขึ้น จัดการพวกที่อยู่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด!!”แม้อ๋าวหลวนหลงจะสั่งเอาไว้ว่าให้พวกเขารอจนกว่าเขาและผีเสื้อเกล็ดแก้วจะมาถึง แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ฝูซีจำต้องขัดคำสั่ง เขาจะปล่อยให้ปีศาจเหล่านี้ขึ้
ต้าโหวจื้อขึ้นขี่หลังนกอินทรีและออกไปสำรวจเส้นทางเบื้องหน้า ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามนกอินทรีก็บินโฉบมาที่เรือของฝูซีเพื่อรายงานข่าว“พวกมันไม่ได้มุ่งหน้าไปกลางมหาสมุทร แต่กำลังอ้อมไปขึ้นฝั่งอีกด้านหนึ่งทางตะวันออก” “มันกำลังล่อเราให้มุ่งหน้าไปผิดทาง!!” เวยวั่งซูเข้าใจได้ในทันที กลุ่มสัตว์ปีศาจที่ออกจากรอยแยกก้นทะเลทำทีว่าพวกมันต้องการติดตามต้นท้อสวรรค์ไปจนแทบจะไม่สนใจเข้าร่วมการต่อสู้กับกลุ่มมนุษย์ ที่แท้สัตว์ปีศาจไส้เดือนมีเกล็ดกลับแยกออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อหาทางนำต้นท้อสวรรค์ขึ้นบก“พวกมันดึงต้นท้อผ่านรอยแยกใต้ทะเลไปแดนปีศาจไม่ได้จึงต้องหาทางกลับเข้าฝั่ง” ฝูซีประเมินความคิดของศัตรูได้อย่างแม่นยำ“ต้าโหวจื้อ! เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าไม่มีรอยแยกบนแผ่นดินเพิ่มขึ้นมาอีก”“วางใจได้ข้าสำรวจอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ที่พวกมันไม่ส่งสัตว์ปีศาจออกมาจากรอยแยกบนแผ่นดินเพิ่มก็เพื่อลวงเราให้คลายการป้องกันเป็นแน่”“เราจะทิ้งกำลังคนส่วนหนึ่งแสร้งลอยเรือไล่ตามพวกมันไปดังเดิม ส่วนสัตว์ทุกตัวก็ให้ซ่อนกำลังคนส่วนใหญ่กลับเข้าฝั่ง” ฝูซีออกคำสั่ง“พวกเราจะกลับไปป้องกันรอยแยกทั้งสองแห่งเอาไว้ใช่หรือไม่ฝูซี” ซินหรูอี้กั
อ๋าวหลวนหลงเดินตามฝูซีและกลุ่มพี่น้องเข้ามาในเรือนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำไม่เป็นส่ำ เมื่อเข้ามาด้านในก็พบร่างของมู่สี่เสินกำลังก้มหน้านิ่งสีหน้าเคร่งเครียด เวยวั่งซูและซินหรูอี้ประกบอยู่ข้างกายเขาและกำลังพูดคุยกันเสียงเบาคล้ายกำลังปลอบประโลมอีกฝ่ายอยู่ก้อนโทสะและความหวาดกลัวอันแน่นไปทั่วร่างของชายหนุ่ม คาดเดาการหายไปของเกาะลอยบางส่วนได้อย่างรวดเร็ว“คนที่ได้กินผลท้อสวรรค์ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ยกเว้นมู่เหยาจี!!” อ๋าวหลวนหลงกัดกรามเอาไว้แน่น จ้องมองไปที่ดวงตาของมู่สี่เสินไม่กะพริบ หากมู่สี่เสินมีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เขาก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ออกมาไม่ยั้งเช่นกัน!!ลมหายใจของอ๋าวหลวนหลงขาดห้วงไปนานหลายอึดใจ และในที่สุดมู่สี่เสินก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาดีเหลือเกิน!! แววตาของมู่สี่เสินมีเพียงความโกรธแค้นและทุกข์ใจหาได้มีน้ำตาไหลออกมาเฉกเช่นคนที่สูญเสีย!!อ๋าวหลวนหลงถึงกับพรั่งพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด หัวใจที่แขวนเอาไว้สูงเมื่อครู่ค่อยๆ ลดลงมาถึงระดับปกติ แต่สีหน้ายังคงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย“ข้าพร้อมแล้วฝูซี เล่ามา!!”ฝูซีเล่าเหตุการณ์ในช่วงสี่วันที่อ๋าวหลวนหลงหลับไม่ได้สติออกมาช้าๆ