“พี่สี่เสินท่านอย่าลืมว่าเกาะนี้ไม่เคยมีผู้ใดผ่านเข้าออกมาก่อน หากจะมีผู้บุกรุกขึ้นมาบนเกาะก็เป็นเราสองคนต่างหากที่บุกรุก” มู่เหยาจีตั้งข้อสังเกตใหม่
“อีกอย่างนะเจ้าคะ หากเราเป็นผู้บุกรุก เจ้าของเดิมสมควรขับไล่เราหาใช่มาช่วยเราเก็บผลไม้ ข้าว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายกับเราสองคนเจ้าค่ะ”
“จริงของเจ้า เอาอย่างนี้คืนนี้เรามาพิสูจน์กัน”
สองพี่น้องตัดสินใจล้มเลิกการสำรวจรอบเกาะ แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ชายหาดดังเดิม ช่วยกันแบกตะกร้าเปล่าเข้าป่าไปกองไว้ที่ใต้ต้นมะกอกต้นเดิม พวกเขาเลือกผลไม้ที่สุกงอมมีสีคล้ำไปกองไว้ตามใต้ต้นไม้เพื่อให้มันกลายเป็นปุ๋ยตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้เก็บผลไม้ดีใส่ตะกร้าเลยแม้แต่ผลเดียว
พอใกล้ค่ำ มู่สี่เสินก็ตะโกนเรียกน้องสาวให้กลับไปพักผ่อนตามปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่เมื่อถึงจุดลับสายตาร่างสองร่างก็หายเข้าไปในโพรงของต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง
เด็กทั้งคู่ต้องกินผลไม้และน้ำที่เตรียมเอาไว้ด้วยเสียงที่เบาที่สุด ขยับตัวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆ เฝ้ารอให้แสงสว่างรอบข้างเลือนหายไปทีละน้อยด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก
ผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ขณะที่ทั้งสองนั่งพิงกันหลับอยู่ในโพรงไม้ เสียงการเคลื่อนไหวอย่างไม่ปิดบังก็ดังมาจากทิศทางของต้นมะกอกใหญ่ ปลุกให้สองพี่น้องต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
มู่สี่เสินรีบเอื้อมมือไปปิดปากน้องสาวเอาไว้ เมื่อเห็นรางๆ จากแสงจันทร์ว่าน้องสาวกำลังจะอ้าปากเอ่ยคำถามอะไรสักอย่าง เขาเชื่อว่าบางทีนางอาจจะลืมตัวไปว่าเวลานี้พวกตนไม่ได้นอนอยู่ในถ้ำ
มู่เหยาจีพยักหน้าช้าๆ ส่งสัญญาณบอกพี่ชายว่านางรับรู้แล้ว พร้อมกับดึงมือหยาบกร้านของมู่สี่เสินออกจากใบหน้าของตน
ครั้งแรกมู่สี่เสินยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วกางนิ้วห้านิ้วออกมาตรงหน้าน้องสาว
มู่เหยาจีหยุดฟังเสียงภายนอกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็เป็นฝ่ายยกมือทั้งสองข้างของตนขึ้นมา กางนิ้วทั้งสิบไปที่หน้าพี่ชายบ้าง
สองพี่น้องทำตาโตเบิกโพลงใส่กันภายใต้ความมืด พวกเขาคิดว่าคนที่อยู่ข้างนอกอาจจะมีถึง 10 คน! เสียงใบไม้ที่ถูกเหยียบย่ำดังกรอบแกรบแว่วผ่านหูเข้ามาไม่ขาดสาย แต่กลับไม่มีเสียงพูดคุยเปล่งออกมาเลยสักคำ
ทั้งคู่นั่งหน้าบิดหน้าเบี้ยวด้วยความอึดอัดคับข้องใจอยู่นานหลายอึดใจ สุดท้ายแล้วก็เป็นมู่สี่เสินเองที่อดรนทนไม่ไหว เขาต้องการเห็นกับตาว่าคนบนเกาะมีอยู่กี่คนกันแน่ เหตุใดพวกเขาจึงอยู่กันอย่างเงียบเชียบไร้เสียงได้นานนับเดือน
โชคดีนักที่พื้นที่บริเวณนี้ยังมีแสงสว่างจากดวงจันทร์สาดส่องผ่านร่มไม้มาพอให้มองเห็นพื้นดินอยู่บ้าง ร่างสูงของมู่สี่เสินค่อยๆ เคลื่อนกายออกมาจากโพรงใหญ่โดยมีมู่เหยาจีเดินย่ำตามรอยเท้าพี่ชายมาติดๆ
เด็กหญิงด้านหลังกระตุกชายเสื้อของผู้เป็นพี่ชายรัวๆ ยกมือข้างหนึ่งมาปิดหน้าปิดตาตัวเองเอาไว้แน่น
เมื่อครู่นางตาไม่ฝาดใช่หรือไม่ นางเห็นกล้วย ส้ม และผลไม้อื่น ๆ ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศเหนือพื้นดิน ไม่มีผู้บุกรุกเลยสักคน!
ในคราวแรกมู่สี่เสินก็เห็นแบบเดียวกับที่น้องสาวเห็น แต่ด้วยความเป็นทูตสวรรค์หลายหมื่นปี มีหรือจะไม่เคยเห็นสิ่งของลอยไปลอยมาได้ด้วยตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่บนแดนสวรรค์พวกท่านเทพทั้งหลายก็มักจะแสดงอิทธิฤทธิ์ ส่งสิ่งของให้โบยบินแข่งกันได้เป็นว่าเล่น
เด็กหนุ่มยังคงจ้องมองผลไม้เหล่านั้นอยู่นานหลายอึดใจและในที่สุดเขาก็หันมากระซิบเข้าที่ข้างหูของน้องสาว
“ดูดีๆ ใช่สหายของเจ้าหรือไม่”
ได้ยินคำว่าสหายมู่เหยาจีก็หูผึ่งตาสว่าง นางรีบลดมือลงแล้วจ้องมองไปยังกองผลไม้ที่ลอยไปลอยมาอยู่ตรงหน้า ตั้งใจมองฝ่าความมืดให้เห็นชัดๆ
“เป็นพวกเจ้าหรือ? เจ้ามาช่วยข้าเช่นนั้นหรือ?” มู่เหยาจีพรวดพราดออกจากที่ซ่อนตัว วิ่งฝ่าความมืดพร้อมกับส่งเสียงดังไปตลอดทาง
นางเห็นแล้วว่าแท้จริงแล้วผลไม่ไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ แต่เป็นกระรอกกับกระต่ายกลุ่มใหญ่ที่มาช่วยเก็บผลไม้ใส่ตะกร้าให้พวกตน สัตว์ที่ชาญฉลาดเช่นนี้หากไม่ใช่สหายของนางที่กระโดดบ่อลงมาล่วงหน้าจะเป็นผู้ใดได้อีก!
เสียงของมู่เหยาจีพาให้สรรพสัตว์พากันตกใจทิ้งผลไม้หล่นใส่กองใบไม้พร้อมกับวิ่งหนีแตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง
“หนีข้าทำไม? นี่ข้าเองนะ พวกเจ้าดูช้าให้ดีๆ” มู่เหยาจีพยายามไปยืนตรงบริเวณที่มีแสงสว่างมากที่สุด ยกมือลูบหน้าลูบตาเปิดเผยใบหน้าตนเองออกมาเต็มที่ให้สัตว์ตัวน้อยที่เข้าใจว่าเป็นสหายได้เห็นนางชัดเจน
“ออกมาหาข้าเร็ว!” มู่เหยาจียังคงย่ำเท้าปรบมือเรียกอยู่กับที่ด้วยความตื่นเต้น คาดว่าอีกไม่นานสหายรักทั้งหลายก็คงแย่งกันกระโดดเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนดังเดิม
“พี่ชาย..” เด็กหญิงตัวน้อยเสียงอ่อนลงจนน่าเวทนา นางเรียกสหายอยู่นาน แต่พวกมันกลับยิ่งหลบซ่อนตัวไปทีละตัวสองตัว และสุดท้ายก็วิ่งหายลับเข้าไปในความมืดไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลยสักตัวเดียว
“เหยาจี พวกมันอาจจะไม่ใช่สหายของเจ้าก็ได้นะ หากเป็นพวกมันจริงๆ อย่างไรก็ย่อมจำเจ้าได้ การตกลงมาจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำให้ความทรงจำของเราเลือนหายไปเสียเมื่อใด”
มู่เหยาจีทอดสายตาที่เอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตามองหาร่างเล็กในความมืดอันเงียบงัน
“จริงของท่าน อาจจะไม่ใช่พวกเขา แต่แล้วเหตุใดพวกมันจึงมาช่วยเราเก็บผลไม้เล่าเจ้าคะ?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หรือเป็นเพราะพวกมันเห็นเราทำอะไรก็เลยทำตาม เจ้าคิดดูสิว่าที่นี่ไม่เคยมีคนอาศัยอยู่มิใช่หรือ พวกสัตว์เหล่านั้นอาจจะแค่สงสัยและทำเลียนแบบก็ได้กระมัง” มู่สี่เสินก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดีเช่นกัน
“ได้เห็นกับตาแล้วว่าไม่ใช่มนุษย์ข้าก็เบาใจ รีบกลับไปพักกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เรายังมีงานต้องทำอีกมากเลยทีเดียว พวกมันอาจจะตกใจแล้วไม่เข้ามาวุ่นวายกับเราอีกแล้วก็เป็นได้”
เช้าวันรุ่งขึ้น
สองพี่น้องรีบตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เพื่อเร่งมาจัดการกับกองผลไม้ตามเคย แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ ตะกร้าทั้ง 30 ใบที่วางทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน บัดนี้ถูกบรรจุเอาไว้ด้วยผลไม้จนเต็มทั้ง 30 ตะกร้า!
“เมื่อคืน พวกเขากลับมาทำงานต่อเช่นนั้นหรือ?” มู่สี่เสินไม่อยากจะเชื่อสายตา
เขาพยายามมองไปรอบๆ เห็นว่ามีกระรอกนั่งแทะผลไม้อยู่บนกิ่งไม้ไม่กี่ตัว และพวกมันก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนอกสนใจพวกตนเลยสักนิด นกหลากหลายชนิดบินผ่านไปผ่านมา เป็นสภาพของป่าปกติทั่วไปที่พวกเขาเห็นตั้งแต่มาถึงเกาะลอย
“สหายข้า พวกเจ้าดูให้ดีๆ นี่ข้าเองนะ เสียงของข้า ใบหน้าของข้า แต่พี่ชายข้าแปลงร่างไปเป็นผีเสื้อเกล็ดแก้วไม่ได้แล้วล่ะ พวกเจ้าจำสี่เสินไม่ได้หรือ?” มู่เหยาจีพยายามสื่อสารออกไปอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
“เหยาจี เรารีบขนผลไม้ออกไปส่งที่หมู่บ้านกันก่อนดีกว่า พวกเขาช่วยทำงานก็เท่ากับว่าพวกเขาเป็นสหายเรา ไม่จำเป็นที่จะต้องสื่อสารกันเข้าใจเหมือนยามที่อยู่บนแดนสวรรค์ก็ได้นี่”
มู่เหยาจีรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่สัตว์เหล่านี้กลับจำนางไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไรนางจะค่อยๆ พยายามตีสนิทพวกมันเอาภายหลัง นางมีเวลาอยู่บนเกาะลอยแห่งนี้อีกยาวนานเลยทีเดียว
การค้าในรอบแรกของวัน มู่สี่เสินขอแลกตะกร้าใส่ผลไม้เพิ่มอีก 30 ใบ นอกนั้นเขาและน้องสาวก็ไม่ได้ขาดสิ่งใดอีก จึงรับค่าผลไม้มาเป็นเงินทั้งหมด
มู่เหยาจีก็ไม่มีเวลาพูดคุยเล่นกับสตรีในหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย สองพี่น้องเร่งรีบช่วยชาวบ้านขนผลไม้ลงจากเรือ รับเงินกับตะกร้าเสร็จก็รีบกลับไปที่เกาะลอยอย่างเร่งด่วน
ที่ทั้งสองมีพฤติกรรมแปลกประหลาดไปเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาต้องการจะทดสอบ!
เกาะลอยแม้ว่าจะเล็กกว่าเกาะจิงเหมินที่มีผู้อยู่อาศัยถึง 4 หมู่บ้านอยู่สามเท่า แต่ขนาดและเนื้อที่ของมันก็ไม่ใช่น้อยๆ มีทั้งภูเขา น้ำตก ลำธาร ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และชายหาดสีขาวล้อมรอบอีกด้วย
จำนวนพื้นที่ของผลไม้หลากหลายพันธุ์ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาเขียวขจี ดังนั้นจึงยังมีผลไม้อีกมากมายที่สองพี่น้องยังเก็บเกี่ยวไม่หมด และเท่าที่กำลังเก็บกันอยู่นี้ก็เป็นเพียงแค่ผลไม้ที่ร่วงหล่นลงมาเท่านั้น บนต้นไม้ยังคงมีผลเขียวๆ ที่กำลังเจริญเติบโตรอวันเก็บเกี่ยวอีกไม่น้อย
“เอาไปวางไว้ทางด้านนั้น 30 ใบ” มู่สี่เสินออกคำสั่งกับน้องสาว เลือกวางตะกร้าผลไม้เปล่าๆ 30 ใบไว้ยังบริเวณต้นผลไม้นานาชนิดที่พวกตนยังเก็บเกี่ยวไปไม่ถึงบริเวณนั้น “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเลือกวางตะกร้าทั้ง 30 ใบให้กระจายไปทั่วๆ จากนั้นก็วิ่งตัวปลิวกลับมาหาพี่ชาย“ไป! เราไปกันอีกทาง” มู่สี่เสินตั้งใจจะทดลองดูว่า หากพวกตนไม่ได้อยู่ใกล้ตะกร้า กระรอกและกระต่ายจะมาช่วยเก็บผลไม้อีกหรือไม่ในเวลากลางวัน พวกเขาจึงซื้อตะกร้ามาเพิ่มใหม่อีก 30 ใบแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่สนใจจะไปดูแล สองพี่น้องใช้ตะกร้าเก่า 30 ใบย้ายมาเก็บผลไม้อีกทิศทางหนึ่งกันลำพังแค่สองคน พอเก็บได้ 20 ตะกร้าก็ตัดสินใจพายเรือออกไปส่งที่หมู่บ้านอีกรอบหนึ่งก่อน เพราะหากรอให้ได้ครบ 30 ใบ เวลาอาจจะช้าเกินไป “ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้วเหยาจี รู้หรือไม่ว่าหากเป็นไปตามที่เราคิด จากนี้เราจะมีหน้าที่แค่เพียงขนมันลงเรือแล้วพายมาส่งขายเท่านั้น เราอาจทำได้ถึงวันละ 3 รอบทีเดียวเลยนะ นั่นหมายถึงการรับเงินที่มากขึ้นทุกวัน!” ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายระยิบระยับ มีเงินมากก็จะสร้างบ้านให้น้องสาวได้อยู่เร็วขึ้น!“ไม่ได้นะเจ้าคะพี่สี่เสิน เรามีกัน
“เข้าใจแล้วท่านอาเกา จากนี้ข้าจะระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นขอรับ”“ดีแล้ว ที่ข้ายังไม่ไปพร้อมกับเจ้าเวลานี้ก็เพราะ หากเจ้าพาเราข้ามไปได้สำเร็จ เราต้องปกปิดเอาไว้ให้มิดว่ามนุษย์คนอื่นสามารถไปถึงที่นั่นได้ เราจะแอบข้ามไปตอนที่ไม่มีคนเห็นและเรื่องนี้ควรเป็นความลับที่รู้กันแค่พวกเราหกครอบครัวเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายเกาโหลวหันไปกล่าวกับสหายที่เขาไว้วางใจ“วันนี้รอให้ฟ้ามืดอีกสักนิดข้าค่อยกลับก็แล้วกัน ท่านอาทั้งหกคนเตรียมเสื้อผ้าไปค้างคืนที่นั่นสักคืนเถิด ข้าคงไม่พายเรือกลับมาส่งท่านยามค่ำคืนเป็นแน่”ปากว่ากล้า ว่าอยากลองเสี่ยง แต่เมื่อได้รับคำเชิญให้ไปค้างคืนบนเกาะลอยจากเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำกันอยู่หลายอึดใจเลยทีเดียวพอฟ้ามืดเรือสองลำกับแพขนส่งผลไม้ก็เคลื่อนตัวออกไปจากเกาะจิงเหมินอย่างเงียบเชียบ โดยมีบุรุษห้าคนซ่อนตัวนอนราบไปกับพื้นเรือร่วมทางไปกับสองพี่น้องสกุลมู่ด้วย“ถึงไหนแล้วหลานชายหลานสาว” เกาโหลวกับสหายร้องถามออกมาเป็นรอบที่สิบด้วยความตื่นเต้น“ครึ่งทางแล้วขอรับท่านอา อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”“หา!! ครึ่งทางแล้วหรือ? ข้างหน้าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าดูให้ดีเริ่มมีคลื
ตระกูลอ๋าว เมืองหลงเทียน“คุณชายสี่ตกน้ำ คุณชายสี่จมน้ำไปแล้ว ใครก็ได้รีบมาช่วยที ทางนั้น! เขาอยู่ทางนั้น!” เสียงกรีดร้องจากบ่าวรับใช้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาจากทางสระบัวขนาดใหญ่ภายในจวนตระกูลอ๋าว บ่าวรับใช้สตรีผู้นี้มาเก็บดอกบัวเพื่อไปบูชาเทพมังกรตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัว สตรีหม้ายที่เป็นทั้งผู้นำตระกูล และเป็นท่านย่าแท้ๆ ของคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลงนางเห็นคุณชายสี่ยืนอยู่เพียงลำพังบนสะพาน และคิดว่าเขาก็คงจะมาชื่นชมความงามของดอกบัวที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ในสระจึงไม่ได้สนใจมากนัก เพียงครู่เดียวนางก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงแตกกระจายของน้ำและเห็นร่างของอ๋าวหลวนหลงจมลงสู่ก้นสระด้วยตาของตนเองบ่าวรับใช้บุรุษที่กำลังทำงานอยู่โดยรอบ วิ่งกรูกันไปยังทิศทางที่หญิงสาวชี้มือไป แต่เป็นเพราะดอกบัวกำลังบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ กอปรกับผิวน้ำไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทำให้บ่าวรับใช้ยังไม่เห็นว่าคุณชายสี่ของพวกตนจมน้ำไปจากบริเวณไหนกันแน่ก้นสระเซียนหนุ่มหลวนหลงกับทูตสวรรค์ฝูซีกลั้นหายใจกันจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่พ้นจากผืนน้ำของบ่อศักดิ์สิทธิ์กันเสียที จากทิศทางที่ตนเองกระโดดลงมาสองบุรุษผู้กล้าห
“นายท่านสาม” หูกุ้ยเป็นผู้คารวะอีกฝ่ายก่อนทำให้ฝูซีต้องทำตาม“หลงเอ๋อร์ไม่ให้ข้าเอาผิดจากเจ้า ไม่ต้องกลัวไปอากุ้ย” บุรุษที่ถูกเรียกว่านายท่านสามเอ่ยปากบอกกับเด็กหนุ่ม น้ำเสียงอ่อนโยน “ส่วนเจ้า เป็นคนใหม่ของหลวนหลงบุตรชายข้าเช่นนั้นหรือ?”“ขอรับนายท่านสาม ข้าน้อยฝูซีขอรับ” ฝูซีชำเลืองมองหน้านายท่านสามแวบหนึ่ง บุรุษผู้ดูสุภาพอ่อนโยนใบหน้าเศร้าหมองผู้นี้คือบิดาของหลวนหลงที่อยู่ด้านในแน่แล้ว“ใกล้วันบูชาเทพประจำตระกูลแล้ว เขาคงเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังแล้วสินะ จำเอาไว้ก็แล้วกันว่าอย่างไรก็ต้องให้เกียรติคุณชายเหล่านั้นไว้บ้าง โดยเฉพาะกับบ้านใหญ่และบ้านรอง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรให้ข้าต้องลำบากใจ” ฝูซีโค้งคำนับเงียบๆ แทนการรับคำ ในใจยังมีคำถามนับร้อยพันที่ยังไม่รู้จะถามเอาคำตอบจากผู้ใด แต่ก็พอจะรู้สถานการณ์ของอ๋าวหลวนหลง หรือคุณชายสี่ตระกูลอ๋าวบ้างแล้วว่าชีวิตของเขาไม่น่าจะสบายนัก“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรายงานท่านแม่และฮูหยิน โชคดีที่ฝูซีช่วยเหลือหลงเอ๋อร์ได้รวดเร็ว เขาจึงไม่ได้ป่วยหนักอันใด อย่าให้ท่านแม่กับฮูหยินข้าต้องทุกข์ใจเรื่องของหลงเอ๋อร์อีกเลย” คำสั่งสุดท้ายของอ๋าวซีซวนนายท่านสามบิดา
อ๋าวซีซวนหน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเห็นแล้วว่าบุตรชายเพียงคนเดียวพยายามกินอาหารและออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาตลอด เมื่อวานเขายังเข้าไปพูดคุยกับบุตรชายอยู่เลยว่าให้แสร้งป่วยไปก่อนไม่จำเป็นต้องรีบออกมาไม่คิดว่าบุตรชายจะรีบออกมาปรากฏตัวตั้งแต่พิธียังไม่เริ่มด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาการกระทำของอ๋าวหลวนหลงก็สร้างความไม่สบายใจให้ตนกับฟางฮูหยินไม่น้อย ด้วยเกรงว่าที่เขาเพียรพยายามออกกำลัง ก็คงทำเพื่อจะมาต่อยตีกับบรรดาพี่น้อง สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้งไปกล่าวตามจริงอ๋าวหลวนหลงก็ไม่ได้มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น แต่ตระกูลอ๋าวจะทำพิธีบูชาเทพประจำตระกูลทั้งที ตนจะไม่อยากรู้อยากเห็นวิถีชีวิตของมนุษย์ที่ไม่มีวันจะได้ข้องเกี่ยวกับเหล่าเทพแล้วได้อย่างไร ยังมีเรื่องการเป็นผู้ฝึกตนอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เขาตัดสินใจมาเข้าร่วมพิธีในวันนี้“คำนับท่านย่า ผู้อาวุโส ท่านลุง ท่านอา…” อ๋าวหลวนหลงเดินเรียงคำนับญาติพี่น้องในตระกูลโดยเริ่มจากผู้นำตระกูลคือกัวฮูหยินผู้เป็นท่านย่า จากนั้นก็เป็นบรรดาน้องชายของท่านปู่ที่เป็นบ้านสายรอง สายสาม สี่ ไล่เลียงไปจนถึงรุ่นบิดาที่ใช่ชื่อน
พิธีบูชาเทพมังกรของตระกูลอ๋าวเริ่มจากการจุดธูปสักการะปักลงบนแท่นบูชากลางแจ้งขนาดใหญ่ตรงลานกว้างหน้าศาลบรรพชนประจำตระกูล มีผลไม้หลากหลายชนิด บ๊ะจ่างกับนกนางแอ่นย่างเป็นเครื่องถวายเพียงสามสิ่งเท่านั้น พวกเขาสร้างรูปปั้นมังกรเหยียบลูกแก้วสีดำสนิทเป็นตัวแทนในการบูชา กัวฮูหยินผู้นำตระกูลเป็นผู้กล่าวคำสวดเบาๆ ถ้อยคำเหล่านั้นอ๋าวหลวนหลงไม่อาจได้ยินว่าท่านย่าพูดอะไรบ้าง สุดท้ายก็เป็นการขอพรให้กับลูกหลานในสกุลอ๋าว แล้วคนอื่น ๆ จึงได้เข้าไปจุดธูปบูชาตามลำดับขั้นตอนง่ายๆ เพียงเท่านี้แต่กว่าจะแล้วเสร็จก็ใช้เวลาไปนานพอสมควร เพราะทายาทสกุลอ๋าวทั้งสายหลักสายรองที่มาเข้าร่วมพิธีมีราว 300 คน “ต่อไปก็เป็นการไหว้บรรพชน” ผู้อาวุโสหนึ่งคนเดิมประกาศเสียงดังหลังจากที่เห็นว่าทายาททุกคนได้บูชาเทพมังกรกันครบแล้วอ๋าวหลวนหลงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมดในเรื่องการบูชาเทพมังกรของชาวมนุษย์ เขารู้ดีในฐานะที่ตนก็เป็นหนึ่งในสมาชิกแดนสวรรค์ การเคารพบูชาเทพมังกรนี้หาได้ส่งผลไปถึงเบื้องบนแต่อย่างใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเทพมังกรชอบกินบ๊ะจ่างกับนกนางแอ่นย่าง!เมื่อมาเห็นกับตาก็ยังไม่ได้รู้สึกพิเศษอันใดกับการเคารพเหล่านี้
อ๋าวหลวนหลงยืนดูการต่อสู้สั้นๆ ที่ผู้อาวุโสในตระกูลไม่ปล่อยให้มันเลยเถิดเกินไปอยู่อีกหลายต่อหลายคู่ เมื่อมีคนชนะ ก็จะมีทายาทสกุลอ๋าวคนต่อไปเข้ามาท้าชิงไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากเด็กอายุน้อยและเริ่มสูงวัยขึ้นไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย“พี่สาม พวกเขาจะต่อสู้กันไปเช่นนี้แล้วจะสิ้นสุดที่ตรงไหน? ผู้ชนะย่อมเป็นผู้นำตระกูลที่มีวิชายุทธ์สูงกว่าผู้อื่นอยู่แล้วมิใช่หรือขอรับ” อ๋าวหลวนหลงอดรนทนไม่ไหว เขาดูการประลองระหว่างทายาทในตระกูลมานาน หากไม่มีการยุติอย่างไรท่านย่าผู้แข็งแกร่งก็ย่อมชนะ แล้วจะออกมาต่อยตีกันทำไมให้เจ็บตัว“ผิดแล้วหลวนหลง การต่อสู้นี้จะยุติตรงที่รุ่นเรา ผ่านมาหลายปีก็เป็นพี่ใหญ่หลวนเซี่ยเป็นผู้ชนะมาโดยตลอด รุ่นบิดาหรือรุ่นท่านปู่ท่านย่าเคยสลับกันเป็นผู้แพ้ผู้ชนะและได้ทดลองเปิดศาลเทพมังกรกันแล้วทั้งสิ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดออกได้”อ๋าวหลวนหลงเริ่มเข้าใจแล้ว การต่อสู้เพื่อหาผู้ชนะในวันนี้ เป็นเพียงการคัดเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่เปิดประตูศาลเทพมังกรนั่นเอง และยังมีกำหนดขอบเขตของรุ่นอาวุโสในสกุล“ยังมีผู้ใดจะเข้าร่วมการประลองอีกหรือไม่ ข้ารออยู่” อ๋าวหลวนตงคุณชายรองบุตรชายของนายท่านรองอ๋าวซี
อ๋าวหลวนตงได้พักเหนื่อยไปชั่วครู่ก็เรียกความมั่นใจของตนกลับมาเต็มที่ เขากำหมัดสองข้างเอาไว้แน่น ออกท่าทางวิชายุทธ์ที่ร่ำเรียนมาอย่างยากเย็นอยู่สองสามกระบวนท่าแล้วพุ่งตรงมาที่อ๋าวหลวนหลงด้วยความเร็วและพละกำลังทั้งหมดอ๋าวหลวนเซี่ยยืนอยู่ใกล้คนทั้งสองและเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของทั้งสองฝ่าย อ๋าวหลวนหลงเพียงแค่หายใจเข้าออกตามปกติแล้วยืนอยู่กับที่ ในขณะที่น้องรองพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ภายในใจของคุณชายใหญ่รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยเป็นห่วงความปลอดภัยของอ๋าวหลวนหลงที่มีรูปร่างเล็กกว่าอ๋าวหลวนตง แต่นั่นอะไร?อ๋าวหลวนหลงยกขาแล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหยียดแขนสองข้างออกไปพร้อมกัน ใช้ฝ่ามือตั้งรับแรงกระแทกจากอ๋าวหลวนตงไว้ที่บริเวณหน้าอกของอีกฝ่าย"โครม!! ร่างสูงใหญ่กว่าของอ๋าวหลวนตงชายหนุ่มวัย 19 ปี กระเด็นออกไปไกลราว 20 ก้าว“-”เป็นอีกครั้งที่ผู้คนสกุลอ๋าวต้องเงียบเสียงลืมหายใจกันโดยพร้อมเพรียงคุณชายใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ น้องสี่แทบจะไม่ได้ขยับร่างกายสักนิด แต่กลับกลายเป็นว่าแรงของน้องรองที่โจมตีเข้าหาเขา ย้อนกลับมากระแทกร่างของอ๋าวหลวนตงให้กระเด็นออกไปชัดๆ“เจ
อ๋าวหลวนหลงพาอดีตเซียนที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเดินทางไปด้วยกันอีกสี่คนไม่นับรวมเขากับฝูซี แต่ไม่ยินยอมให้ทายาทหรือผู้ติดตามคนอื่นจากสกุลอ๋าวร่วมทางมาด้วยอีกเลยนอกจากอ๋าวหลวนหย่งตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยการทำงานหนักของอ๋าวซีเค่อกับอ๋าวหลวนตงที่ออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมกับภายหลังฝูซีและเวยวั่งซูก็ออกไปรวบรวมท่านเซียนไร้สกุลที่ยังเคว้งคว้างอยู่มาเข้ากลุ่มกันไว้ก็มีไม่น้อย ทำให้ขอบเขตของกองกำลังสกุลอ๋าวยังมีแนวร่วมที่กระจายตัวอยู่ในหลายเมืองในเขตเทือกเขาที่มีทายาทสกุลอ๋าวสายรองมาคอยดูแลอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นอ๋าวหลวนหลงเดินทางผ่านทางมาก็รีบเข้าไปทักทาย“คุณชายสี่ คุณชายห้า พวกท่านกับสหายจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”“เรากำลังจะข้ามไปที่เมืองหยวนเปียว ทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่” “ไม่มีขอรับ เขตแนวภูเขาฝากนี้มีกองกำลังที่เป็นมิตรกับสกุลอ๋าวของเราไม่น้อย แต่ที่เมืองหยวนเปียวไม่ใช่ว่าเป็นเขตติดต่อของสกุลเหลาหรอกหรือคุณชาย”“ใช่ ข้ามีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี พวกเจ้าตามสบายเถิดพวกเราจะเร่งเดินทางกันต่อ”“รอก่อนคุณชายสี่! เมืองหยวนเปียวไม่น่าจะปลอดภัยเท่าใดนัก ข้าจะไปตามคนให้ต
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ หากสัตว์เลี้ยงของข้ายังคงมีอายุขัยยืนยาวดังเดิม พวกมันบางตัวที่ได้กินท้อโอสถแล้วพูดได้ทำไมจึงไม่พูดคุยกับข้าบ้าง”“ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ก็คือข้าต้องรีบรวบรวมลมปราณให้สำเร็จ แล้วฟื้นฟูความสามารถเรื่องการสื่อสารกับพวกมันอีกครั้ง”“ใช่แล้ว!! ท่านเป็นทูตสวรรค์มาก่อนนี่นา ท่านสามารถสื่อสารกับสัตว์เทพและสัตว์ต่างสายพันธุ์บนแดนสวรรค์ได้ พี่สี่เสินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย”“เห็นหรือไม่เหยาจี แม้ว่าข้าจะไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้แต่ความสามารถในการสื่อสารของข้าก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เจ้าเองก็อย่าละเลยเรื่องการรวบรวมปราณเด็ดขาดเลยเชียว”“แต่พี่สี่เสิน ถึงแม้เวลานี้เราจะยังไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าจะพูดได้ดังเดิมหรือไม่ แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันกำลังปกป้องเราอยู่ แล้วอย่างนี้พี่ยังคิดจะออกจากเกาะไปเรียนวิชายุทธ์อีกหรือเจ้าคะ”“ท่านอาเกาบอกว่าผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน พวกเขาก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเข่นฆ่าสังหารกันเกิดขึ้น เรายังวางใจไม่ได้นะเหยาจี”“แล้วเซียนสายพฤกษาอย่างข้าจะฝึกฝนอะไร ความทรงจำเดิมของข้าก็ไม่เคยมีเรื่องที่เกี่ยวกับพลังการโจมตีแม้แต่น้อย
“พวกท่านพายต่อไปหาเหยาจี นางอยู่ข้างหลังข้า!” มู่สี่เสินต้อนเรือเล็กให้เข้ามาในพื้นที่เกาะลอยทีละลำ บนเรือแต่ละลำมีชาวบ้านที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนรวมทั้งครอบครัวของหนูน้อยหนิงเอ๋อร์ที่เหยาจีเคยช่วยเหลือเอาไว้ด้วย“ท่านอาหญิงแล้วท่านอาเกาเล่าเจ้าคะ” “สามีข้ากับสหายควบคุมเรือใหญ่ที่บรรทุกเสบียงอาหาร เรือหนักมากมันเคลื่อนตัวได้ช้า ข้าก็ห่วงเขาเหลือเกิน เจ้าสองคนช่วยพวกเขาได้หรือไม่”“ท่านอาหญิงใจเย็นๆ เจ้าค่ะ เราต้องรอให้เขาเข้ามาถึงเขตของเกาะลอย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”“ท่านอา หากคิดว่าไม่ทันท่านโดดลงน้ำว่ายมาหาข้า!! ทิ้งเรือไปเสีย! ทิ้งเรือไป!” เสียงมู่สี่เสินตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เบื้องหน้า เกาโหลวกับกู้หยุนควบคุมเรือร่วมกับสหายลำละสี่คน พวกเขาหันมาสบตากัน แม้ว่าจะมีชาวบ้านเต็มใจจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่เกาะลอยไม่ถึง 40 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ใช้เงินของมู่สี่เสินแจกจ่ายให้ชาวบ้านคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งหลักที่อื่นไม่น้อย เสบียงอาหารในเรือทั้งสองลำที่ซื้อมาด้วยเงินของสองพี่น้องสกุลมู่พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้“ออกแรงอีก! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”ทางฝ่ายมู่เหยาจีนางและชาวบ้านที่ข้ามเขตมาแ
“เหยาจี เมื่อครู่ท่านอาเกาบอกเรื่องหนึ่งกับข้าซึ่งเจ้าก็ควรจะรู้ไว้เช่นกัน”มองดูใบหน้างามของน้องสาวแล้วมู่สี่เสินก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตนเองและน้องสาวจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบบนเกาะลอยที่ปลอดภัยได้อยู่แล้วเชียว“บนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าเราจะลงมายังแดนมนุษย์ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะฟื้นฟูการฝึกฝนกันเข้าพอดี”“ผู้ฝึกตน? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าท่านมหาเทพมู่ซีบอกว่าแดนสวรรค์ยึดสมบัติเทพ สิ่งของแทนเทพรวมทั้งพืชผักผลไม้เสริมปราณจากแดนมนุษย์ไปหมดแล้ว พวกเขายังอยากจะฝึกฝนกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”“ใช่ นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าทวยเทพในอดีต พวกเขาคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถขึ้นมาแดนสวรรค์ได้อีก ก็คงล้มเลิกความคิดในการฝึกฝนไปในที่สุด แต่เวลานี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”“นี่คือเรื่องที่ท่านอาร้อนใจจนต้องพายเรือมายามดึกดื่นเพื่อเตือนพวกเราสองคน?”“นั่นก็ใช่อีก จากที่ท่านอาเกาเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่ เมื่อก่อนผู้ฝึกตนก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ดีๆ ก็เกิดสำนักและตระกูลใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่เคยมีผู้นำจึงกำลั
“นั่นสี่เสินแน่แล้ว! เราขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกสักนิดให้เขาเห็นเราชัดๆ จะดีกว่า”มู่สี่เสินจ้องมองตำแหน่งของวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรือของเกาโหลวและกู้หยุนเคลื่อนที่มาใกล้กองเพลิงเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเกาโหลวและกู้หยุนกำลังโบกผ้าสีขาวในมือไปมาอยู่บนเรือ“ท่านอาเกา!! ท่านอากู้!! เกิดอะไรขึ้นขอรับเหตุใดจึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้” ชายหนุ่มรีบเร่งฝีพายเข้ามาหาคนทั้งคู่และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังช่วยกันวิดน้ำดับกองไฟที่จุดเผาเรือลำเก่าที่ตนเคยใช้กันพัลวัน“ช่วยกันดับไฟก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นก่อนสี่เสิน เดี๋ยวเจ้าพาเราสองคนเข้าไปที่เกาะลอยแล้วค่อยคุยกัน”ดับไฟและจมซากเรือลำเก่าลงสู้ก้นทะเลแล้ว คนทั้งสามก็ยังคงลอยเรือจับตาดูความเคลื่อนไหวบนผืนน้ำรอบๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนเกาโหลวแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา มู่สี่เสินจึงได้พาคนทั้งคู่กลับมาที่เกาะลอย“ท่านอาเกา ท่านอากู้ เป็นพวกท่านเองหรือเจ้าคะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงไฟเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร” มู่เหยาจีย่ำลงน้ำเดินมาหาคนทั้งสามอย่างร้อนใจ“เหยาจี น้ำเย็นมากเจ้าทำไมไม่ไปรอข้างบนฝั่ง รีบกลับขึ้นไปก่อน”“จะให้ข้ายืนรอเฉยๆ ได้อย่างไรพี่สี่เ
วันต่อๆ มามู่สี่เสินและมู่เหยาจีก็ได้เรือขนาดใหญ่ลำใหม่จากการช่วยเหลือของหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวมา 2 ลำ พวกเขาจึงคืนเรือสองลำเดิมรวมทั้งแพให้กับเกาโหลวไป “เรือสองลำนี้เราบรรจุผลไม้ได้ถึง 160 ตะกร้าเลยทีเดียวขอรับ ครั้งนี้การทยอยเอาผลไม้ทั้งหมดออกจากเกาะลอยคงเสร็จเร็วกว่าเก่า”“พวกเจ้าปลูกต้นท้อเอาไว้อีก 200 กว่าต้นมิใช่หรือ ข้าว่าคงจะใช้เวลา 3 เดือนดังเดิมนั่นล่ะ นอกจากเรือแล้วเจ้าอยากได้สิ่งใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมการหาซื้อไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ"“ข้าวสารขอรับ แล้วก็ผ้า หากลมหนาวมาเยือนอีกครั้งข้าไม่มั่นใจว่าเกาะลอยจะพาเราไปที่ใดอีก และยังไม่รู้ว่าจะนานเท่าใดมันจึงจะยอมเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสบียงอาหารของใช้จำเป็นอะไรเพิ่มเติมจากนี้ข้าจะให้เหยาจีจดมาส่งให้ท่านเอง”ระหว่างที่เกาโหลวกับมู่สี่เสินกำลังสนทนากันอยู่ ร่างสามร่างของอู๋ฉ่าง นางลู่และอู๋หนิง ก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดตรงเข้ามาบริเวณเรือที่รับส่งสินค้า“คุณชายคุณหนู เราสามคนมาขอบคุณพวกท่านขอรับ” อู๋ฉ่างเป็นคนนำภรรยาและบุตรสาวคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับสองพี่น้องด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ“พี่ชาย พี่สาว!! ท่านลุกขึ้นก่อน! ไม่เห็นต้องทำ
ได้ยินเช่นนี้ทั้งมู่สี่เสินและมู่เหยาจีต่างก็ดีใจกันมาก ครั้งนี้โชคดีที่เกาะลอยยอมเคลื่อนที่มาที่เกาะจิงเหมิน พวกเขาจำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารไว้ให้มากกว่าเดิม ป้องกันการขาดแคลนในอนาคตหากว่าเกาะลอยเคลื่อนตัวไปอยู่กลางมหาสมุทรที่ห่างไกลอีกครั้ง“ดีเลยเจ้าค่ะ อีกครึ่งเดือนผลท้อบนเกาะก็น่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เราจะได้เอาพวกมันมาขายด้วย”“ผลท้อ? ผลท้อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหลานสาว"“ก็ลูกสีแดงๆ ขนาดประมาณเท่านี้อย่างไรเจ้าคะ” มู่เหยาจีทำมือกะขนาดให้เกาโหลวดู“นั่นมันผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ไม่ใช่หรือ? ก็ไหนพวกเจ้าว่าบนเกาะลอยไม่มีผิงกั่วอย่างไรเล่า?"“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ผิงกั่ว ดอก ผล ใบและกิ่งท้อล้วนเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้นท่านอาเกาไม่รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ”เกาโหลวกับชาวบ้านขมวดคิ้วพยายามคิดถึงผลไม้ดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อหรือสรรพคุณที่ดีงามของผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว“เอาไว้ข้าข้ามไปแผ่นดินใหญ่แล้วจะลองถามคนที่นั่นดู บางทีอาจเป็นผลไม้ทางเหนือที่เมืองหยุนไห่ของพวกเราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้”มู่สี่เสินและมู่เหยาจีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หากผลท้อไม่มีปลูกที่เม
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้