อ๋าวหลวนหลงยืนดูการต่อสู้สั้นๆ ที่ผู้อาวุโสในตระกูลไม่ปล่อยให้มันเลยเถิดเกินไปอยู่อีกหลายต่อหลายคู่ เมื่อมีคนชนะ ก็จะมีทายาทสกุลอ๋าวคนต่อไปเข้ามาท้าชิงไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากเด็กอายุน้อยและเริ่มสูงวัยขึ้นไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
“พี่สาม พวกเขาจะต่อสู้กันไปเช่นนี้แล้วจะสิ้นสุดที่ตรงไหน? ผู้ชนะย่อมเป็นผู้นำตระกูลที่มีวิชายุทธ์สูงกว่าผู้อื่นอยู่แล้วมิใช่หรือขอรับ” อ๋าวหลวนหลงอดรนทนไม่ไหว เขาดูการประลองระหว่างทายาทในตระกูลมานาน หากไม่มีการยุติอย่างไรท่านย่าผู้แข็งแกร่งก็ย่อมชนะ แล้วจะออกมาต่อยตีกันทำไมให้เจ็บตัว
“ผิดแล้วหลวนหลง การต่อสู้นี้จะยุติตรงที่รุ่นเรา ผ่านมาหลายปีก็เป็นพี่ใหญ่หลวนเซี่ยเป็นผู้ชนะมาโดยตลอด รุ่นบิดาหรือรุ่นท่านปู่ท่านย่าเคยสลับกันเป็นผู้แพ้ผู้ชนะและได้ทดลองเปิดศาลเทพมังกรกันแล้วทั้งสิ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดออกได้”
อ๋าวหลวนหลงเริ่มเข้าใจแล้ว การต่อสู้เพื่อหาผู้ชนะในวันนี้ เป็นเพียงการคัดเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่เปิดประตูศาลเทพมังกรนั่นเอง และยังมีกำหนดขอบเขตของรุ่นอาวุโสในสกุล
“ยังมีผู้ใดจะเข้าร่วมการประลองอีกหรือไม่ ข้ารออยู่” อ๋าวหลวนตงคุณชายรองบุตรชายของนายท่านรองอ๋าวซีเค่อประกาศก้อง หลังจากเป็นผู้ชนะลำดับล่าสุด
อ๋าวหลวนหลงเคลื่อนสายตามายังคุณชายใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ย บุตรชายของท่านลุงใหญ่อ๋าวซีห่าว ทีแรกก็คิดว่าจะได้ดูชมฝีไม้ลายมือของพี่ชายคนโตแต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องผิดหวัง
“ข้าไม่คิดจะเข้าร่วมการประลองแล้วขอรับท่านผู้นำตระกูล ผู้อาวุโส หลายปีมานี้ข้าเป็นผู้ชนะมาโดยตลอดและไม่เคยเปิดประตูศาลเทพมังกรได้เลย ข้าขอสละสิทธิ์” คุณชายใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยก้าวออกมาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ส่งรอยยิ้มให้กับอ๋าวหลวนตงด้วยความเต็มใจ
“เช่นนั้นการประลองเพื่อหาตัวผู้ทดสอบเปิดประตูศาลเทพมังกรก็จบเพียงเท่านี้ อ๋าวหลวนตง มาที่นี่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นยืน เตรียมประกาศชัยชนะของคุณชายรองอ๋าวหลวนตง
“ช้าก่อนขอรับท่านย่า วันนี้ยังมีอีกคนที่อยู่ที่นี่และยังไม่ได้แสดงฝีมือออกมาเลย เราจะไม่เปิดโอกาสให้พี่สี่ได้แสดงฝีมือกันหน่อยหรือไรขอรับ” อ๋าวหลวนหย่งคัดค้าน มองไปยังร่างของอ๋าวหลวนหลงด้วยสายตาเยาะเย้ยดูแคลน
“จริงสินะ ข้าก็เกือบลืมเขาไปเลย ทุกครั้งหลวนหลงไม่เคยอยู่รอจนถึงการประลองเลยสักครั้ง ในเมื่อเจ้ายืนอยู่ที่นี่ก็คงอยากจะพิสูจน์ฝีมือล่ะสิหลวนหลง” อ๋าวซีเค่อรีบเอ่ยคำสนับสนุนบุตรชาย
ทุกคนในจวนรู้ดีกว่าอ๋าวหลวนหลงมักจะถูกบรรดาทายาทร่วมสายตระกูลออกไปท้าทายให้ต่อสู้หลังจากพิธีเสร็จสิ้นทุกครั้ง แต่ที่ผ่านมาก็เป็นเพียงการต่อสู้กลั่นแกล้งให้อับอายกันลับหลัง
วันนี้อ๋าวหลวนหลงทำให้อ๋าวซีเค่อโมโหมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงอยากเห็นเจ้าเด็กจองหองผู้นี้ถูกอัดให้น่วมต่อหน้าผู้คนเหลือเกิน คราวหน้าจะได้ไม่คิดโผล่หัวออกมาให้เกะกะสายตาอีก
เสียงหัวเราะพร้อมกับเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาพร้อมกันจนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสียอาการ ไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี นางหันไปมองอ๋าวซีซวนก็เห็นอีกฝ่ายจ้องมองไปที่หลานชายไม่วางตา แต่ไม่ยอมห้ามปรามหรือเอ่ยปากคัดค้านอย่างเช่นเคย
“แน่นอน ข้ารอมานานแล้ว ขอพี่รองยั้งมือให้น้องด้วยขอรับ”
“-”
เสียงหัวเราะ ซุบซิบนินทาเมื่อครู่เงียบลงไปกะทันหัน ผู้คนเกือบ 300 ชีวิตไม่มีผู้ใดส่งเสียงใดๆ ออกมา ไม่มีกระทั่งเสียงลมหายใจเข้าออก เมื่อครู่คุณชายสี่ว่าอะไรนะ? เขาจะเข้าร่วมการประลองเช่นนั้นหรือ?
“หลวนหลง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยเรียกหลานชายเสียงแผ่วเบาคล้ายรำพัน คิดอยากจะห้ามปรามแต่ก็ไม่ทันแล้ว
“เริ่มเลยดีหรือไม่ พี่รอง”
ใบหน้าคมของอ๋าวหลวนตงบิดเบี้ยวไปพลัน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหาญกล้าเอ่ยคำท้าทายออกมาก่อนด้วยซ้ำ
“ไร้สาระ! ซีซวนยังไม่รีบลากบุตรชายเจ้ากลับออกไปอีก! พิธีเปิดศาลเทพมังกรเป็นพิธีสำคัญสำหรับตระกูลอ๋าวของเรา อย่าให้เด็กหลวนหลงมาทำให้เสียเวลา!” อ๋าวซีห่าวตวาดลั่น คล้ายจะหยุดยั้งเรื่องน่ารำคาญใจแต่ก็จงใจสร้างความอับอายให้สองพ่อลูกไปในตัว วันนี้เขาก็ไม่รู้น้องสามกับหลานชายไปกินดีหมีหัวใจเสือที่ไหนมาถึงได้ฮึกเหิมกันถึงเพียงนี้
อ๋าวหลวนหลงหันไปสบสายตากับอ๋าวซีซวนผู้เป็นบิดาคราวหนึ่ง สายตาที่มองกลับมาไม่มีวี่แววตำหนิหรือเสียใจแม้แต่น้อย มีเพียงความเชื่อมั่นและส่งกำลังใจให้ตนเท่านั้น
เด็กหนุ่มหันกลับมาที่คู่ต่อสู้ของตน เขาเริ่มโคจรพลังปราณผ่านจุดตันเถียนบน (บริเวณหน้าผาก) ผ่านมาถึงจุดตันเถียนกลาง (บริเวณอก) และไปหยุดอยู่ที่จุดตันเถียนล่าง (บริเวณท้องน้อย) ส่งผลให้แสงสีเหลืองอำพันส่องประกายออกมาจากร่าง
ใช่แล้ว ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาอ๋าวหลวนหลงได้กรุยทางปรับชีพจรลมปราณของตนตามแบบอย่างที่ถูกต้องได้จนสำเร็จ อ๋าวหลวนหลงคนเดิมหาใช่ผู้ไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะทะเลปราณในจุดตันเถียนของเขามีขนาดกว้างใหญ่กว่าปกติ การรวบรวมลมปราณให้เต็มจุดตันเถียนจึงต้องใช้เวลานานกว่าผู้อื่น
โชคดีที่ร่างเดิมไม่เคยหยุดความพยายามเลย เมื่อเทพหลวนหลงผู้มีประสบการณ์การบำเพ็ญเพียรมาหลายหมื่นปีเข้ามาใช้ร่างของเขา จึงสานต่อหน้าที่ได้ไม่ยากเย็น
“นั่น! เขา! ใช่ว่าเขาไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนได้มิใช่หรือ?”
“เจ้า” อ๋าวหลวนตงอยู่ใกล้อ๋าวหลวนหลงมากที่สุด เขาย่อมเห็นแสงแห่งปราณชัดเจนกว่าผู้ใด ขนาดปราณของอ๋าวหลวนหลงไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ก็ไม่ใช่เล็กแบบเด็กน้อยวัยเยาว์ที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนโคจรลมปราณเป็นครั้งแรก
“หลวนหลง..” อ๋าวซีซวนน้ำตาไหลนองหน้า เนื้อตัวและริมฝีปากสั่นระริก เขารู้ดีกว่าผู้ใดว่าบุตรชายพยายามมาหลายปี ครั้งสุดท้ายที่เขาไม่ประสบผลสำเร็จยังเพิ่งจะคิดสั้นกระโดดลงสระบัวไปหยกๆ ไม่คิดเลยว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาบุตรชายจะก้าวข้ามความทุกข์ยากมาได้แล้ว
ทายาทรุ่นหลวน 13 คนที่เหลือ ล้วนมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ กับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในครั้งนี้ ทั้งรู้สึกดีใจที่เวลานี้บ้านสายหลักจะมีผู้ฝึกปราณเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เป็นตระกูลใหญ่สายหลักที่สมศักดิ์ศรีไร้ที่ติ ซ้ำยังไม่ต้องเป็นที่นินทาของผู้อื่น
แต่อีกทางอ๋าวหลวนหลงก็เป็นดังหนามยอกอกที่แย่งชิงความรักจากท่านย่าไปแต่เพียงผู้เดียว เวลานี้เขากลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว ท่านย่าจะไม่ยิ่งประเคนทุกอย่างให้กับคุณชายสี่ผู้นี้หรอกหรือ
อ๋าวหลวนตงโคจรปราณไปที่ตันเถียนทันที และเมื่อแสงสว่างเริ่มไปจางหายไป เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมอ๋าวหลวนหลงก่อน
อ๋าวหลวนหลงจัดกระบวนท่าในการตั้งรับเพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดโจมตีกลับ ก่อนหน้านี้เขาเฝ้ามองการต่อสู้ของทายาทสกุลอ๋าวทุกเพศทุกวัยมาแล้วและเห็นความผิดปกติของมันอยู่ เวลานี้จึงได้แต่ตั้งรับเพื่อประเมินความสามารถด้านการต่อสู้ของพี่ชายรอง
“เจ้าเต่า! เจ้ามันก็เป็นเต่าวันยังค่ำ!” อ๋าวหลวนตงสบถพร้อมกับลงมือหนักขึ้น เมื่อเห็นว่าอ๋าวหลวนหลงเอาแต่ถอยหลังตั้งรับโดยไม่มีการตอบโต้
“เจ้าอยากรู้ไหม ว่าการต่อสู้ของผู้ฝึกตนที่แท้จริงเขาทำกันเช่นไร” อ๋าวหลวนหลงสะบัดแขนทั้งสองข้างกางออกอย่างแรง ผลักร่างของอ๋าวหลวนตงให้หยุดวอแวกับตนชั่วครู่
ใบหน้าเชิดหยิ่งของอ๋าวหลวนหลงมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสายตาดูถูกเต็มกำลัง จนอ๋าวหลวนตงถึงกับใจฝ่อไปเล็กน้อย
เขาสู้มาตั้งนาน เห็นได้ชัดว่าเนื้อตัวของน้องสี่มีร่องรอยแดงช้ำ แต่อ๋าวหลวนหลงดูคล้ายว่าจะไม่เจ็บไม่เหนื่อยและยังหายใจได้มั่นคงดังเดิม ผิดกับตนเองที่เมื่อครู่หากอ๋าวหลวนหลงไม่ผลักให้กระเด็นออกมาเขาก็อาจหมดแรงจนล้มไปแล้วก็เป็นได้
“พวกเจ้าสะสมพลังปราณเอาไว้เพื่อโอ้อวดกันทั้งสิ้นแต่กลับไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ วิชายุทธ์ที่เจ้าร่ำเรียนมาก็เป็นเพียงการลอกเลียนแบบใช้ท่าทางที่สวยงามกันทั้งนั้น!”
เด็กหนุ่มไม่ได้กล่าวกับอ๋าวหลวนตงคู่ต่อสู้ของตนเพียงคนเดียว เขาชี้มือไปรอบตัว จงใจตำหนิคนสกุลอ๋าวตั้งแต่บนยันล่างโดยทั่วกัน
“ไร้มารยาท!! หลวนหลง เจ้าคิดว่าเจ้าคือผู้ใด ก่อนจะกล่าวอะไรออกมาเจ้าเอาชนะน้องรองให้ได้เสียก่อนเถิด” อ๋าวหลวนเซี่ยกระโดดออกมากลางวง ในใจคิดอยากจะทุบตีใบหน้าจองหองของน้องชายลำดับที่สี่ผู้นี้ยิ่งนัก แต่นี่เป็นเวทีประลอง สมควรต้องให้อ๋าวหลวนตงเป็นผู้จัดการเขาเอง
“ตกลงพี่ใหญ่ ท่านยืนอยู่ตรงนี้แล้วจ้องดูให้ดีๆ พี่รองเชิญ!” อ๋าวหลวนหลงหงายฝ่ามือกวักมือเรียกพี่รองของตนให้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนดังเดิมด้วยท่าทางสุภาพแต่กลับสง่างามและน่าเกรงขามไปพร้อมกัน
อ๋าวหลวนตงได้พักเหนื่อยไปชั่วครู่ก็เรียกความมั่นใจของตนกลับมาเต็มที่ เขากำหมัดสองข้างเอาไว้แน่น ออกท่าทางวิชายุทธ์ที่ร่ำเรียนมาอย่างยากเย็นอยู่สองสามกระบวนท่าแล้วพุ่งตรงมาที่อ๋าวหลวนหลงด้วยความเร็วและพละกำลังทั้งหมดอ๋าวหลวนเซี่ยยืนอยู่ใกล้คนทั้งสองและเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของทั้งสองฝ่าย อ๋าวหลวนหลงเพียงแค่หายใจเข้าออกตามปกติแล้วยืนอยู่กับที่ ในขณะที่น้องรองพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ภายในใจของคุณชายใหญ่รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยเป็นห่วงความปลอดภัยของอ๋าวหลวนหลงที่มีรูปร่างเล็กกว่าอ๋าวหลวนตง แต่นั่นอะไร?อ๋าวหลวนหลงยกขาแล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหยียดแขนสองข้างออกไปพร้อมกัน ใช้ฝ่ามือตั้งรับแรงกระแทกจากอ๋าวหลวนตงไว้ที่บริเวณหน้าอกของอีกฝ่าย"โครม!! ร่างสูงใหญ่กว่าของอ๋าวหลวนตงชายหนุ่มวัย 19 ปี กระเด็นออกไปไกลราว 20 ก้าว“-”เป็นอีกครั้งที่ผู้คนสกุลอ๋าวต้องเงียบเสียงลืมหายใจกันโดยพร้อมเพรียงคุณชายใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ น้องสี่แทบจะไม่ได้ขยับร่างกายสักนิด แต่กลับกลายเป็นว่าแรงของน้องรองที่โจมตีเข้าหาเขา ย้อนกลับมากระแทกร่างของอ๋าวหลวนตงให้กระเด็นออกไปชัดๆ“เจ
“น้องสี่ โปรดรับคำขอโทษจากข้าเอาไว้ด้วย ที่ผ่านมาพวกเราล้วนผิดต่อเจ้า” อ๋าวหลวนเซี่ยมองซ้ายมองขวาแล้วก็เห็นมีแต่คนกล่าวโทษกันไปมาแต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากขอโทษอ๋าวหลวนหลงเลยสักคน น้องชายยังคงยืนมองและฟังทุกสิ่งด้วยใบหน้านิ่งขรึมออกจะไปทางสมเพชคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ เขาจึงตัดสินใจคุกเข่าลง“พี่ใหญ่ ท่านทำอะไร!” อ๋าวหลวนหลงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ด้วยนิสัยและตัวตนในฐานะที่เคยเป็นเซียน เด็กหนุ่มยังคงยืดหลังตรงไม่ยอมเข้ามาพยุงพี่ชายคนโตให้ลุกขึ้น“น้องสี่ได้โปรดสั่งสอนพวกเราทุกคนด้วย ความสำเร็จของตระกูลไม่สามารถเกิดขึ้นจากกลุ่มคนไม่กี่คน แต่ต้องเป็นพวกเราทุกคนที่จะก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าบ้านสายหลัก สายรองหรือสายไหนๆ พวกเขาสมควรได้รับโอกาสที่ทัดเทียม”อ๋าวหลวนหลงหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างบ้าคลั่ง “พี่ใหญ่เรื่องความทัดเทียมกันในหมู่พี่น้อง คงไม่มีผู้ใดกระจ่างแจ้งเกินไปกว่าข้าแล้วกระมังขอรับ"เด็กหนุ่มจงใจหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นแล้วปล่อยให้บรรดาคนสกุลอ๋าวไตร่ตรองกันเองในใจ ยามนี้สถานการณ์ในจวนตระกูลอ๋าวมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะกล่าวเสียงดังได้!!พี่น้องรุ่นหลวนในบ้านสายหลัก คุกเ
“เหยาจี หากหิมะละลายจนหมดแล้ว เจ้าคิดว่าพื้นที่ทุ่งหญ้าทางนี้เราจะปลูกผลไม้เพิ่มดีหรือไม่” “ปลูกเพิ่ม? เท่าที่มีก็มากพออยู่แล้วนี่เจ้าคะ เสบียงอาหารที่เราแลกเปลี่ยนมาจากการค้าผลไม้ก็มีพอกินไปอีก 2 ปีเลยทีเดียว พี่สี่เสินอยากได้เงินไปทำอะไรหรือ?”“ข้าก็ยังไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่าเงินเป็นของที่ควรมีติดกายไว้ตลอดเวลา เจ้าอย่าลืมสิว่าเกาะลอยอาจพาพวกเราไปยังเมืองอื่น เราอาจต้องเริ่มทำการค้ากับคนกลุ่มใหม่ พวกเขาจะมีน้ำใจและซื่อสัตย์เหมือนอย่างท่านอาเกาหรือไม่ก็ไม่รู้”“ท่านคิดจะใช้แรงงานสัตว์พวกนั้นอีกล่ะสิ!” เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งตัวตรง ทำหน้างอไม่พอใจ“ใช่ว่าข้าก็คิดเผื่อพวกมันด้วยหรือไม่เล่า! เราเอาผลไม้ที่ควรเป็นของพวกมันทั้งหมดมาขาย สัตว์บนเกาะต้องมาทนกินผลไม้ที่ถูกมดแมลงเจาะ หรือไม่ก็ลูกที่ไม่สวย หากเราปลูกเพิ่มพวกมันก็จะมีผลไม้ดีๆ กินด้วยนะ”“พื้นที่ทางทุ่งหญ้านี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย กระรอก กระต่ายและลิงคงขุดดินไม่เป็นกระมัง พวกมันช่วยเราไม่ได้หรอกพี่สี่เสิน”“ใครว่าบนเกาะมีแค่สัตว์พวกนี้กันเล่า” มู่สี่เสินวางตำราในมือลงแล้วลุกมาหยิบผ้าห่มที่เหยาจีทำหลุดออกจากร่างเมื่อครู่มาห่มให้น้องสาว“มีสัตว
ชายป่าเมืองหยุนไห่ เมืองเดียวกันกับเกาะจิงเหมิน“วั่งซู ดูนั่น! ทางนั้นมีบ้านเรือนมนุษย์” ซินหรูอี้กระโดดโลดเต้นไปมาหลายรอบจนเวยวั่งซูต้องส่งสายตาตำหนิหญิงสาวข้างกาย“รักษากิริยาของเจ้าไว้หน่อยหรูอี้ อย่าให้มนุษย์มาดูแคลนเซียนอย่างเราได้เชียวว่าไร้มารยาท”“โอย!! เราสองคนซัดเซพเนจรอยู่กลางป่ากลางเขามานานหลายเดือนยังไม่เคยพบมนุษย์เลยสักคน ท่านจะให้ข้าคอยหลบสายตาผู้ใดกัน อีกอย่างเวลานี้เราสองคนหาใช่เซียนไม่ รีบไปเถิดข้าหนาวจะแย่อยู่แล้ว”เวยวั่งซูกลอกตามองสตรีข้างกายอีกรอบหนึ่งด้วยความรู้สึกขัดใจ แต่ก็รีบก้าวขายาวขึ้นให้ทันคนข้างหน้าที่ออกวิ่งไปก่อนแล้วเวยวั่งซูปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ในกระท่อมเล็กเก่าผุพังเพียงลำพังกลางป่าเขา ทุกวันเขาจะนั่งบำเพ็ญเพียรตามความเคยชินเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและสร้างปราณใหม่ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความหิว เริ่มออกหาอาหารในป่าและเรียนรู้การดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูหนาวกระท่อมซอมซ่อหลังนั้นก็พังลงจากการรับน้ำหนักหิมะบนหลังคาไม่ไหว เขาจึงต้องออกเดินทางค้นหาบ้านเรือนผู้คน และได้พบกับซินหรูอี้ที่นอนเหน็บหนาวซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้กองใหญ่ พวกเข
“เพ้อเจ้อ!” ซินหรูอี้โมโหจนหน้าดำหน้าแดง มนุษย์พวกนี้จะไปรู้อะไร! ตัวนางเองก็บ่มเพาะวิชายุทธ์ในสายเทพสัตว์เช่นกัน เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องที่นางฝึกฝนในระดับกลางสามารถทำให้คนหูหนวกได้เลยเชียวนะ! นางยังมีความฝันจะได้เป็นเทพจิ้งหรีดอยู่เลย“หรูอี้ เจ้าใจเย็นลงก่อน” เวยวั่งซูรีบห้ามปราบสตรีผู้กำลังจะบันดาลโทสะไปอีกรอบไม่แปลกที่มนุษย์จะไม่รู้ว่าทวยเทพมีจำนวนมากมายเพียงใด เพราะพวกเขาขาดการติดต่อกับแดนสวรรค์มาเนิ่นนาน ส่วนคนในตระกูลใหญ่ที่พวกเขายังจดจำได้ ก็อาจเป็นเพราะความมั่งคั่งของพวกเขาจึงมีการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสิ่งของบางอย่างส่งต่อมายังคนรุ่นหลังชาวบ้านธรรมดาต้องต่อสู้กับความหิวโหย ละเลยเรื่องการฝึกตนไปหลายต่อหลายรุ่น จนในที่สุดแม้แต่การรวบรวมลมปราณก็ยังมีการสอนกันเฉพาะในตระกูลใหญ่ และเข้าใจผิดไปว่าเป็นเพราะตระกูลใหญ่มีการบูชาเทพจึงได้รับโอกาสให้เป็นผู้ฝึกตนเท่านั้น“เราสองคนไม่ได้ถือกำเนิดจากตระกูลใหญ่โต เราพักอาศัยอยู่ในป่าที่กันดารโดยต้องหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยสองมือทั้งสิ้น การฝึกฝนเป็นเรื่องที่คนเราสามารถทำได้ไม่ใช่เป็นเพราะคนเหล่านั้นถือกำเนิดจากตระกูลให
“ท่านย่า เทพเบื้องบนไม่ได้มีเพียงมหาเทพแห่งสรรพสัตว์เท่านั้นขอรับ ยังมีมหาเทพแห่งสรรพสิ่ง มหาเทพพฤกษาอยู่อีก สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็มีเทพประจำตัวของมันไม่ได้มีเฉพาะสัตว์เทพที่ดูน่าเกรงขามเท่านั้น เรื่องที่ข้ารู้ข้าไม่อาจอธิบายให้ท่านฟังได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ข้ามั่นใจมีอยู่อย่างหนึ่ง”ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกตาโพลงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน บรรดาตระกูลใหญ่ล้วนบูชาสัตว์เทพที่น่าเกรงขาม แต่สัตว์ทั้งปวงก็ยังมีเทพประจำตัวด้วยหรือ?นางเชื่อสนิทใจแล้วว่าฝูซีผู้นั้นคือผู้ส่งสารโดยแท้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนเป็นแน่ “อีกไม่นาน ทั่วทั้งแผ่นดินจะปรากฏผู้ฝึกตนที่มีความรู้ทัดเทียมกับข้า เราไม่อาจวางใจว่าทุกคนจะเป็นมิตร ฉะนั้นเรื่องการยกระดับความสามารถของคนในตระกูลก็เป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่ข้าขอเลือกสอนกับบางคนที่ข้าไว้ใจเสียก่อนขอรับท่านย่า”“เจ้าหมายถึง เจ้าจะสอนวิชาให้กับหลวนเซี่ย หลวนกัง และหลวนหลิงก่อนใช่หรือไม่”อ๋าวหลวนหลงพยักหน้ารับคำแทนคำตอบ ศึกนอกยังไม่อาจรู้ได้ ศึกในเขาก็ต้องเตรียมการไว้เช่นกัน“เหตุใดเจ้าจึงไม่แนะนำท่านลุงใหญ่ลุงรอง พ่อเจ้าหรือท่านอาสี่เสียก่อน พวกเขาคือผู้ท
“ทุกคนมาพร้อมกับหมดแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นเราก็เริ่มกันเลย” ในฐานะนายท่านใหญ่เป็นรองเพียงมารดาผู้เป็นผู้นำตระกูล ครั้งนี้อ๋าวซีห่าวจึงเป็นผู้นำเริ่มพิธีบูชาเทพมงกรขึ้นกลางแจ้ง ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาดูเคร่งเครียดแววตาแฝงความไม่ยินดีอยู่บ้างเมื่อคิดว่าการกระทำทั้งหมดของตนก็เป็นเพื่อการยกย่องอ๋าวหลวนหลงหลานชายผู้ซึ่งตนไม่ชอบหน้าเสร็จจากการเซ่นไหว้ด้วยนกนางแอ่นย่างและบ๊ะจ่าง บ้านสายหลักทุกคนก็ยังต้องกินเครื่องบูชากันจนหมด จึงจะเดินรวมตัวกันอยู่ที่ศาลเทพมังกรเพื่อเริ่มการเปิดศาล ครั้งนี้ไม่ได้มีการประลองเพื่อคัดเลือกผู้เปิดศาลอีกแล้ว ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่อ๋าวหลวนหลง ผู้ชนะการประลองในคราวก่อนและรอคอยที่จะได้เห็นเขาทำเรื่องปาฏิหาริย์อีกครั้ง“หลวนหลงเจ้าเริ่มได้เลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นหลานชายยังยืนนิ่งอยู่ด้วยใบหน้าเชิดขึ้นฟ้าเล็กน้อยจึงรีบร้องเตือน“ท่านย่า วันนี้หาใช่ข้าขอรับที่จะทำการเปิดศาลเทพมังกร แต่เป็นพี่ใหญ่” อ๋าวหลวนหลงถอยหลังไปก้าวหนึ่งผายมือไปยังอ๋าวหลวนเซี่ย“ข้าคิดไว้แล้วเชียว เจ้ามันก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ!” อ๋าวซีเค่อหัวเราะเสียงดังลั่นสะใจ หันมาสบตากับอ๋าวหล
หลังจากดีใจกันพอเป็นพิธีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คิดจะเข้าไปสำรวจด้านในของศาลเทพมังกร “หลวนเซี่ย หลวนหลงตามย่าเข้าไปด้านในก่อน” อ๋าวซีห่าวถึงกับหน้าถอดสี การที่มารดาไม่เรียกคนตามลำดับอาวุโสก็ทำให้ตนรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่นั่นก็บุตรชายแท้ๆ ผิดแผกไปก็แค่มีอ๋าวหลวนหลงได้ตามไปอีกคนเท่านั้นเพียงแค่ผลักประตูให้เปิดกว้างขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวขาเข้าไปในห้อง กลิ่นเหม็นอับชื้นพิกลก็พุ่งมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสามเข้าอย่างจังจนฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ แม้ว่าศาลเทพมังกรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแต่ก็ทำได้เพียงภายนอก เครื่องเรือนรวมทั้งผนังห้องที่ทำจากไม้ภายในล้วนแล้วแต่ผุพังจากความชื้นที่ผ่านฝนย่ำลมหนาวเยือนไม่เคยเจอแสงแดดมายาวนาน ภายในห้องขนาดใหญ่มีชั้นหนังสือและชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านเขียนตำรา มองอย่างไรก็คือห้องหนังสือดีๆ นี่เอง เพียงแต่เป็นห้องหนังสือที่กว้างขวางมีโต๊ะเก้าอี้อยู่หลายชุด คล้ายว่าเป็นห้องหนังสือส่วนรวมประจำตระกูลอ๋าวในอดีตหาใช่ห้องส่วนตัวไม่ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับอ๋าวหลวนเซี่ยเอาแต่ตื่นตาตื่นใจกับสมบัติล้ำค่าที่คาดว่าจะเป็นตำรายุทธ์ มรดกตกทอดที่
“นี่พวกเจ้าไม่คิดจะทำสิ่งอื่นนอกจากเกี้ยวพาราสีกันทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้บ้างหรือไร!” เสียงหวานใสของซินหรูอี้ดังมาแต่ไกล“หรูอี้!! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้พูดแต่คำหวานๆ รักษากิริยาให้สำรวมไว้หน่อยเถิด หากลูกในท้องติดนิสัยโผงผางเช่นเจ้ามาข้าคงต้องกลั้นใจตายสักวันเป็นแน่” เวยวั่งซูชักสีหน้าไม่พอใจแต่สองมือก็ประคองปกป้องร่างภรรยารักเอาไว้ราวกับไข่ในหิน“ท่านก็เลิกวุ่นวายกับชีวิตข้าเสียทีเวยวั่งซู!! ข้ามันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมแต่งให้ท่าน ดูสิทุกวันนี้ข้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนเหนือที่หนาวเย็นจนถึงกระดูก คลอดลูกออกมาเมื่อใดข้าจะย้ายมาอยู่กับเหยาจีที่ทางใต้เสียให้รู้แล้วรู้รอด”“ก็ข้าเป็นผู้ฝึกตนสายน้ำแข็งนี่นา ไม่อยู่กับหิมะจะให้ข้าไปอยู่ในกองเพลิงหรือไร แล้วเมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? คลอดบุตรแล้วเจ้าจะมาอยู่ทางใต้ คิดจะทิ้งเราสองพ่อลูกไว้ทางเหนือเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิด!!" “เจ้าจะหงุดหงิดอันใดนักหนาเล่าวั่งซู นางยังไม่ทันคลอดด้วยซ้ำ ข้าแนะนำให้เอง!! กลับไปแดนเหนือคราวนี้ไม่สู้เจ้าแช่แข็งนางเอาไว้เป็นไร นางจะได้ไม่หนีไปเที่ยวเล่นที่ใดได้อีก”ซินหรูอี้ใช้สองมือประคองท้องกลมโตเดินอาดๆ ม
หญิงสาวก้าวออกมายืนด้านหน้าผู้คนแทนที่อ๋าวหลวนหลง“ชัยชนะของพวกเราในครั้งนี้จะไม่สำเร็จโดยง่ายหากปราศจากพวกเขาเช่นกัน” มู่เหยาจีผายมือไปด้านขวาของนาง สายตามองไปยังสัตว์เลี้ยง 12 ตัวที่ยังรอดชีวิตอยู่“สัตว์ปราณทั้ง 12 ตัว ได้รับผลท้อไปแล้ว 5 ตัว ข้าจะไม่ลังเลเลยที่จะมอบผลท้อสวรรค์อีก 7 ผลให้กับพวกมันอย่างยุติธรรม วันใดที่มนุษย์ไม่อาจไว้วางใจกันเอง พวกท่านโปรดจำเอาไว้ว่าสัตว์ทั้ง 12 จะเป็นผู้ที่ปกป้องท่านจากภยันตรายทั้งปวง”สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว ผีเสื้อเกล็ดแก้ว 7 ตัวก็โบยบินออกไปส่งมอบผลท้อสวรรค์ให้วานรสองตัว สุนัขจิ้งจอกสองตัว หวางผาง เต่าและปลาหมึก“ท้อสวรรค์ 7 ผลที่เหลือข้าจะให้ผีเสื้อเกล็ดแก้วเป็นผู้คัดเลือกผู้โชคดีขึ้นมาตามแบบอย่างที่เคยทำในแดนสวรรค์ และจากนี้ไปผลท้อที่สุกออกมาทั้งหมดก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้เช่นกัน”มู่เหยาจีวาดเรียวแขนงามออกมาโบกสะบัดชายแขนเสื้อยาวกรุยกรายสยายออกเป็นวงกว้างในอากาศพร้อมกับมีร่างของผีเสื้อเกล็ดแก้วลำตัวใสกระจ่างระยิบระยับเจ็ดตัวโบยบินไปวนเวียนอยู่เหนือศีรษะกลุ่มผู้ฝึกตนที่รวมกลุ่มกันอยู่ผู้โชคดีทั้งเจ็ดคนมีทั้งอดีตเซียนที่ลงมาจากแดนสวรรค์และผู้ฝึกต
“ยามนี้บนเกาะลอยที่เหลือเพียงครึ่งไม่มีผลท้อธรรมดาที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเลยสักผล ทำอย่างไรดีพี่สี่เสิน หวางเซี่ยเจ้าต้องหยุดพักรักษาตัวก่อน เราจะหาทางกลับไปเอาผลท้อมาช่วยเจ้ากันเอง!!” หญิงสาวละล่ำละลัก หันพูดทางนั้นทีทางนี้ทีตัดสินใจทำสิ่งใดไม่ถูก“น้องสาว ผลท้อธรรมดาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของหวางเซี่ยได้หรอก ต่อให้เจ้าฝืนเด็ดผลท้อสวรรค์ที่ยังไม่สุกหยิบยื่นให้เขาก็ยังไม่อาจรักษาบาดแผลที่สาหัสนั้นได้ ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการต่อไปเถิด”“ผลท้อช่วยไม่ได้ เช่นนั้นลูกแก้วมังกรของพี่หลวนหลงก็ต้องช่วยได้สิเจ้าคะ ท่านลองส่งสารบอกผีเสื้อเกล็ดแก้วดู ให้พวกเขาพาคุณชายสี่กลับมาที่นี่ก่อน” น้ำตาสองสายไหลออกมาเต็มใบหน้างาม อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา“เจ้าตั้งสติให้ดีๆ อวัยวะภายในของหวางเซี่ยเสียหายรุนแรงเกินไป หาใช่ขาดแล้วเชื่อมต่อใหม่ได้เหมือนอย่างเส้นเอ็นของหลวนหลง เจ้าดูดวงตาของฝูซีสิ สิ่งที่ขาดหายไปแล้วน้ำลายมังกรไม่อาจสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้มู่เหยาจีก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงอันหนักหน่วงบนร่างกายสหายรักใต้น้ำสองพี่น้องเดินลงไปที่ชายหาดจุดเดิมที
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของนกอินทรียักษ์รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด เพียงไม่นานมันก็พาอ๋าวหลวนหลงมาพบกับกลุ่มผีเสื้อเกล็ดแก้วที่กำลังรุมล้อมรอบเกาะลอยพุ่งโจมตีไส้เดือนปีศาจยี่สิบตัวกันไม่ยั้งมือ“นั่นมัน!!” ดวงตาคมกริบของอ๋าวหลวนหลงเบิกค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาก็พลันถูกกลืนลงคอไปด้วยความตื่นตะลึงชายหนุ่มขยี้ตาซ้ำๆ อีกหลายครั้งและสุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาตาไม่ฝาด ยามนี้บนต้นท้อสวรรค์มีผลท้อสีเขียวอมชมพูส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลล่องลอยไปทั่วบริเวณ“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ท้อสวรรค์ออกผลอีกแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ผลงานของเหยาจีนี่ดูท่าจะลูกดกดีแท้!!” กล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องรีบจับขนหลังคอนกอินทรีตัวเขื่องเอาไว้แน่น เจ้านกยักษ์แกล้งบินลงต่ำกะทันหันด้วยความหมั่นไส้กับคำพูดที่กำกวมของมนุษย์ไร้ขนที่ขี่หลังมันอยู่“ข้าหมายถึงผลท้อ เจ้าจะขัดเคืองอันใดนักหนา!!” อ๋าวหลวนหลงเอื้อมมือไปตบหัวนกอินทรีทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำที่ถูกจับได้ว่าแอบคิดนอกลู่นอกทางในยามคับขัน“พวกเขาจัดการเจ้าหนอนเหล่านี้ได้แน่นอน เราต้องไปช่วยทางนั้น” อ๋าวหลวนหลงชี้มือไปยังบริเวณชายหาดเพิกเฉยกับการต
“ข้ายังมีพลังอ่อนด้อยเกินไป ไม่สามารถติดต่อกับผีเสื้อเกล็ดแก้วที่อยู่ทางใต้ไม่ได้ แต่การที่หวางเซี่ยและคู่ของมันลุกขึ้นมาสู้สุดใจเช่นนี้อาจเกิดเรื่องกับทางหลวนหลง” ฝูซีเอ่ยปากอย่างร้อนรน“คุณชายสี่อยู่ทางนั้นเพียงลำพังหรือเจ้าคะ” มู่เหยาจีก็เพิ่งรู้ว่าอ๋าวหลวนหลงไม่ได้อยู่ร่วมการต่อสู้ทางชายหาดบริเวณนี้“ใช่ เขาต้องรีบผนึกรอยแยกใต้ทะเล ทางนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยให้พวกมันขึ้นมาบริเวณน้ำตื้นเพื่อจัดการมันได้ง่ายหน่อย แต่จะไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นฝั่ง การที่หวางเซี่ยพาเกาะลอยกลับลงทะเลลึกอยู่นอกเหนือจากที่เราตกลงกันไว้”“เช่นนั้นข้าจะส่งนกอินทรีออกไปสืบข่าว” ต้าโหวจื้อกระโดดลงจากหลังนกอินทรี แล้วปล่อยให้นกยักษ์บินกลับไปเพียงลำพังเพราะตัวเขายังมีประโยชน์ในการสู้รบกับกลุ่มปีศาจมากมายที่มารวมตัวกันบริเวณนี้ไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ไตร่ตรองสิ่งใดต่อไป สัตว์ปีศาจที่เล็ดลอดออกจากรอยแยกใต้ทะเลรวมกับกลุ่มที่หลอกล่อให้มนุษย์หลงไปผิดทางก็มีไม่น้อย พวกเขายังไม่สามารถจัดการมันได้ทั้งหมดหากปราศจากความช่วยเหลือจากผีเสื้อเกล็ดแก้วที่แข็งแกร่งทั้งหกพันตัวอินทรียักษ์บินเลยผ่านหวางเซี่ยที่เคลื่อนตัวไปได้
เมื่อเห็นหวางเซี่ยพยายามชิงพื้นที่การควบคุมเกาะลอยใต้น้ำไว้อย่างยากลำบาก ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหกคนก็มุ่งเข้ามาช่วยเหลือปูยักษ์สองสามีภรรยาโดยพร้อมเพรียงกัน“เหยาจี!! เป็นอย่างไรบ้าง” มู่สี่เสินทะยานขึ้นไปบนเกาะไปหาน้องสาวเป็นคนแรก“พี่สี่เสินข้าปลอดภัย พวกมันกำลังพยายามจะขึ้นไปบนฝั่งเจ้าค่ะ”“ฝูซีก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เราจะไม่ยอมให้พวกมันเอาต้นท้อสวรรค์กลับลงไปยังแดนปีศาจได้สำเร็จแน่นอน”“พวกเราต้องช่วยหวางเซี่ย ไส้เดือนปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งมากอีกไม่นานหวางเซี่ยอาจจะทนต่อไปไม่ไหวเจ้าค่ะ”หญิงสาวสงสารและเป็นห่วงปูยักษ์จับใจ ขาทั้งแปดของหวางเซี่ยขยับเขยื้อนได้เพียงเล็กน้อย ความสามารถในการป้องกันตัวแทบจะเป็นศูนย์ แต่โชคดีที่มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าไส้เดือนตาบอดเหล่านั้นจึงยังใช้กระดองดันไส้เดือนปีศาจให้อยู่รอบนอกโดยมันควบคุมพื้นที่ใต้เกาะลอยส่วนใหญ่เอาไว้ได้พอดิบพอดีมู่สี่เสินคว้ามือของน้องสาวย่อตัวลงเล็กน้อยและออกแรงกระโดดขึ้นไปอยู่บนร่างของวานรทั้งสองตัวเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับปีศาจไส้เดือนที่กำลังพยายามยึดเอาเกาะลอยกลับคืนมาจากหวางเซี่ย……….รอยแยกใต้ทะเลลึกผีเสื้อเกล็ดแก้
ทางด้านบนนกอินทรีสองตัวก็ได้ยินคำสั่งของมู่สี่เสินแล้วเช่นกัน พวกมันส่งเสียงร้องเรียกสมาชิกสัตว์ปีกในบริเวณใกล้เคียงออกมาทั้งหมดฝูงนกจำนวนมหาศาลไม่ว่าเล็กหรือใหญ่คาบก้อนหินไว้ในปากแล้วทิ้งลงไปในน้ำเป็นการเปิดฉากการต่อสู้และสกัดกั้นให้ปีศาจเคลื่อนตัวได้ช้าลง หวางเซี่ยและคู่พามนุษย์เต็มแผ่นหลังแหวกว่ายขึ้นสู่ชายฝั่งทางทิศตะวันออกได้ก่อนที่ศัตรูจะฝ่าฝนหินขึ้นสู่ชายหาดได้ทันเวลา มันสองสามีภรรยาหันหลังให้กับท้องทะเลใช้กระดองอันใหญ่โตปกป้องผู้ฝึกตนให้รอดพ้นจากหนามแหลมคมที่สลัดออกมาจากสัตว์ปีศาจคล้ายเม่น“สร้างแนวป้องกันไว้อย่าให้พวกมันขึ้นมาได้!!""โจมตี!!”“โจมตี!!”"กี้ดดดด!!!เสียงกรีดร้องจากสัตว์ปีศาจดังระงมขึ้นมาในชั่วพริบตา พวกมันเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตีทั้งในน้ำบนบกและทางอากาศพร้อมกันในขณะที่ยังตั้งตัวไม่ทัน“กี้ดๆๆๆๆๆ!!!”“พวกมันกำลังส่งสัญญาณถึงกัน อีกไม่นานพวกมันจะมุ่งหน้ามาทางนี้เพิ่มขึ้น จัดการพวกที่อยู่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด!!”แม้อ๋าวหลวนหลงจะสั่งเอาไว้ว่าให้พวกเขารอจนกว่าเขาและผีเสื้อเกล็ดแก้วจะมาถึง แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ฝูซีจำต้องขัดคำสั่ง เขาจะปล่อยให้ปีศาจเหล่านี้ขึ้
ต้าโหวจื้อขึ้นขี่หลังนกอินทรีและออกไปสำรวจเส้นทางเบื้องหน้า ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามนกอินทรีก็บินโฉบมาที่เรือของฝูซีเพื่อรายงานข่าว“พวกมันไม่ได้มุ่งหน้าไปกลางมหาสมุทร แต่กำลังอ้อมไปขึ้นฝั่งอีกด้านหนึ่งทางตะวันออก” “มันกำลังล่อเราให้มุ่งหน้าไปผิดทาง!!” เวยวั่งซูเข้าใจได้ในทันที กลุ่มสัตว์ปีศาจที่ออกจากรอยแยกก้นทะเลทำทีว่าพวกมันต้องการติดตามต้นท้อสวรรค์ไปจนแทบจะไม่สนใจเข้าร่วมการต่อสู้กับกลุ่มมนุษย์ ที่แท้สัตว์ปีศาจไส้เดือนมีเกล็ดกลับแยกออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อหาทางนำต้นท้อสวรรค์ขึ้นบก“พวกมันดึงต้นท้อผ่านรอยแยกใต้ทะเลไปแดนปีศาจไม่ได้จึงต้องหาทางกลับเข้าฝั่ง” ฝูซีประเมินความคิดของศัตรูได้อย่างแม่นยำ“ต้าโหวจื้อ! เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าไม่มีรอยแยกบนแผ่นดินเพิ่มขึ้นมาอีก”“วางใจได้ข้าสำรวจอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ที่พวกมันไม่ส่งสัตว์ปีศาจออกมาจากรอยแยกบนแผ่นดินเพิ่มก็เพื่อลวงเราให้คลายการป้องกันเป็นแน่”“เราจะทิ้งกำลังคนส่วนหนึ่งแสร้งลอยเรือไล่ตามพวกมันไปดังเดิม ส่วนสัตว์ทุกตัวก็ให้ซ่อนกำลังคนส่วนใหญ่กลับเข้าฝั่ง” ฝูซีออกคำสั่ง“พวกเราจะกลับไปป้องกันรอยแยกทั้งสองแห่งเอาไว้ใช่หรือไม่ฝูซี” ซินหรูอี้กั
อ๋าวหลวนหลงเดินตามฝูซีและกลุ่มพี่น้องเข้ามาในเรือนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำไม่เป็นส่ำ เมื่อเข้ามาด้านในก็พบร่างของมู่สี่เสินกำลังก้มหน้านิ่งสีหน้าเคร่งเครียด เวยวั่งซูและซินหรูอี้ประกบอยู่ข้างกายเขาและกำลังพูดคุยกันเสียงเบาคล้ายกำลังปลอบประโลมอีกฝ่ายอยู่ก้อนโทสะและความหวาดกลัวอันแน่นไปทั่วร่างของชายหนุ่ม คาดเดาการหายไปของเกาะลอยบางส่วนได้อย่างรวดเร็ว“คนที่ได้กินผลท้อสวรรค์ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ยกเว้นมู่เหยาจี!!” อ๋าวหลวนหลงกัดกรามเอาไว้แน่น จ้องมองไปที่ดวงตาของมู่สี่เสินไม่กะพริบ หากมู่สี่เสินมีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เขาก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ออกมาไม่ยั้งเช่นกัน!!ลมหายใจของอ๋าวหลวนหลงขาดห้วงไปนานหลายอึดใจ และในที่สุดมู่สี่เสินก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาดีเหลือเกิน!! แววตาของมู่สี่เสินมีเพียงความโกรธแค้นและทุกข์ใจหาได้มีน้ำตาไหลออกมาเฉกเช่นคนที่สูญเสีย!!อ๋าวหลวนหลงถึงกับพรั่งพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด หัวใจที่แขวนเอาไว้สูงเมื่อครู่ค่อยๆ ลดลงมาถึงระดับปกติ แต่สีหน้ายังคงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย“ข้าพร้อมแล้วฝูซี เล่ามา!!”ฝูซีเล่าเหตุการณ์ในช่วงสี่วันที่อ๋าวหลวนหลงหลับไม่ได้สติออกมาช้าๆ