“เหยาจี หากหิมะละลายจนหมดแล้ว เจ้าคิดว่าพื้นที่ทุ่งหญ้าทางนี้เราจะปลูกผลไม้เพิ่มดีหรือไม่” “ปลูกเพิ่ม? เท่าที่มีก็มากพออยู่แล้วนี่เจ้าคะ เสบียงอาหารที่เราแลกเปลี่ยนมาจากการค้าผลไม้ก็มีพอกินไปอีก 2 ปีเลยทีเดียว พี่สี่เสินอยากได้เงินไปทำอะไรหรือ?”“ข้าก็ยังไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่าเงินเป็นของที่ควรมีติดกายไว้ตลอดเวลา เจ้าอย่าลืมสิว่าเกาะลอยอาจพาพวกเราไปยังเมืองอื่น เราอาจต้องเริ่มทำการค้ากับคนกลุ่มใหม่ พวกเขาจะมีน้ำใจและซื่อสัตย์เหมือนอย่างท่านอาเกาหรือไม่ก็ไม่รู้”“ท่านคิดจะใช้แรงงานสัตว์พวกนั้นอีกล่ะสิ!” เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งตัวตรง ทำหน้างอไม่พอใจ“ใช่ว่าข้าก็คิดเผื่อพวกมันด้วยหรือไม่เล่า! เราเอาผลไม้ที่ควรเป็นของพวกมันทั้งหมดมาขาย สัตว์บนเกาะต้องมาทนกินผลไม้ที่ถูกมดแมลงเจาะ หรือไม่ก็ลูกที่ไม่สวย หากเราปลูกเพิ่มพวกมันก็จะมีผลไม้ดีๆ กินด้วยนะ”“พื้นที่ทางทุ่งหญ้านี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย กระรอก กระต่ายและลิงคงขุดดินไม่เป็นกระมัง พวกมันช่วยเราไม่ได้หรอกพี่สี่เสิน”“ใครว่าบนเกาะมีแค่สัตว์พวกนี้กันเล่า” มู่สี่เสินวางตำราในมือลงแล้วลุกมาหยิบผ้าห่มที่เหยาจีทำหลุดออกจากร่างเมื่อครู่มาห่มให้น้องสาว“มีสัตว
ชายป่าเมืองหยุนไห่ เมืองเดียวกันกับเกาะจิงเหมิน“วั่งซู ดูนั่น! ทางนั้นมีบ้านเรือนมนุษย์” ซินหรูอี้กระโดดโลดเต้นไปมาหลายรอบจนเวยวั่งซูต้องส่งสายตาตำหนิหญิงสาวข้างกาย“รักษากิริยาของเจ้าไว้หน่อยหรูอี้ อย่าให้มนุษย์มาดูแคลนเซียนอย่างเราได้เชียวว่าไร้มารยาท”“โอย!! เราสองคนซัดเซพเนจรอยู่กลางป่ากลางเขามานานหลายเดือนยังไม่เคยพบมนุษย์เลยสักคน ท่านจะให้ข้าคอยหลบสายตาผู้ใดกัน อีกอย่างเวลานี้เราสองคนหาใช่เซียนไม่ รีบไปเถิดข้าหนาวจะแย่อยู่แล้ว”เวยวั่งซูกลอกตามองสตรีข้างกายอีกรอบหนึ่งด้วยความรู้สึกขัดใจ แต่ก็รีบก้าวขายาวขึ้นให้ทันคนข้างหน้าที่ออกวิ่งไปก่อนแล้วเวยวั่งซูปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ในกระท่อมเล็กเก่าผุพังเพียงลำพังกลางป่าเขา ทุกวันเขาจะนั่งบำเพ็ญเพียรตามความเคยชินเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและสร้างปราณใหม่ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความหิว เริ่มออกหาอาหารในป่าและเรียนรู้การดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูหนาวกระท่อมซอมซ่อหลังนั้นก็พังลงจากการรับน้ำหนักหิมะบนหลังคาไม่ไหว เขาจึงต้องออกเดินทางค้นหาบ้านเรือนผู้คน และได้พบกับซินหรูอี้ที่นอนเหน็บหนาวซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้กองใหญ่ พวกเข
“เพ้อเจ้อ!” ซินหรูอี้โมโหจนหน้าดำหน้าแดง มนุษย์พวกนี้จะไปรู้อะไร! ตัวนางเองก็บ่มเพาะวิชายุทธ์ในสายเทพสัตว์เช่นกัน เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องที่นางฝึกฝนในระดับกลางสามารถทำให้คนหูหนวกได้เลยเชียวนะ! นางยังมีความฝันจะได้เป็นเทพจิ้งหรีดอยู่เลย“หรูอี้ เจ้าใจเย็นลงก่อน” เวยวั่งซูรีบห้ามปราบสตรีผู้กำลังจะบันดาลโทสะไปอีกรอบไม่แปลกที่มนุษย์จะไม่รู้ว่าทวยเทพมีจำนวนมากมายเพียงใด เพราะพวกเขาขาดการติดต่อกับแดนสวรรค์มาเนิ่นนาน ส่วนคนในตระกูลใหญ่ที่พวกเขายังจดจำได้ ก็อาจเป็นเพราะความมั่งคั่งของพวกเขาจึงมีการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสิ่งของบางอย่างส่งต่อมายังคนรุ่นหลังชาวบ้านธรรมดาต้องต่อสู้กับความหิวโหย ละเลยเรื่องการฝึกตนไปหลายต่อหลายรุ่น จนในที่สุดแม้แต่การรวบรวมลมปราณก็ยังมีการสอนกันเฉพาะในตระกูลใหญ่ และเข้าใจผิดไปว่าเป็นเพราะตระกูลใหญ่มีการบูชาเทพจึงได้รับโอกาสให้เป็นผู้ฝึกตนเท่านั้น“เราสองคนไม่ได้ถือกำเนิดจากตระกูลใหญ่โต เราพักอาศัยอยู่ในป่าที่กันดารโดยต้องหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยสองมือทั้งสิ้น การฝึกฝนเป็นเรื่องที่คนเราสามารถทำได้ไม่ใช่เป็นเพราะคนเหล่านั้นถือกำเนิดจากตระกูลให
“ท่านย่า เทพเบื้องบนไม่ได้มีเพียงมหาเทพแห่งสรรพสัตว์เท่านั้นขอรับ ยังมีมหาเทพแห่งสรรพสิ่ง มหาเทพพฤกษาอยู่อีก สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็มีเทพประจำตัวของมันไม่ได้มีเฉพาะสัตว์เทพที่ดูน่าเกรงขามเท่านั้น เรื่องที่ข้ารู้ข้าไม่อาจอธิบายให้ท่านฟังได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ข้ามั่นใจมีอยู่อย่างหนึ่ง”ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกตาโพลงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน บรรดาตระกูลใหญ่ล้วนบูชาสัตว์เทพที่น่าเกรงขาม แต่สัตว์ทั้งปวงก็ยังมีเทพประจำตัวด้วยหรือ?นางเชื่อสนิทใจแล้วว่าฝูซีผู้นั้นคือผู้ส่งสารโดยแท้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนเป็นแน่ “อีกไม่นาน ทั่วทั้งแผ่นดินจะปรากฏผู้ฝึกตนที่มีความรู้ทัดเทียมกับข้า เราไม่อาจวางใจว่าทุกคนจะเป็นมิตร ฉะนั้นเรื่องการยกระดับความสามารถของคนในตระกูลก็เป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่ข้าขอเลือกสอนกับบางคนที่ข้าไว้ใจเสียก่อนขอรับท่านย่า”“เจ้าหมายถึง เจ้าจะสอนวิชาให้กับหลวนเซี่ย หลวนกัง และหลวนหลิงก่อนใช่หรือไม่”อ๋าวหลวนหลงพยักหน้ารับคำแทนคำตอบ ศึกนอกยังไม่อาจรู้ได้ ศึกในเขาก็ต้องเตรียมการไว้เช่นกัน“เหตุใดเจ้าจึงไม่แนะนำท่านลุงใหญ่ลุงรอง พ่อเจ้าหรือท่านอาสี่เสียก่อน พวกเขาคือผู้ท
“ทุกคนมาพร้อมกับหมดแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นเราก็เริ่มกันเลย” ในฐานะนายท่านใหญ่เป็นรองเพียงมารดาผู้เป็นผู้นำตระกูล ครั้งนี้อ๋าวซีห่าวจึงเป็นผู้นำเริ่มพิธีบูชาเทพมงกรขึ้นกลางแจ้ง ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาดูเคร่งเครียดแววตาแฝงความไม่ยินดีอยู่บ้างเมื่อคิดว่าการกระทำทั้งหมดของตนก็เป็นเพื่อการยกย่องอ๋าวหลวนหลงหลานชายผู้ซึ่งตนไม่ชอบหน้าเสร็จจากการเซ่นไหว้ด้วยนกนางแอ่นย่างและบ๊ะจ่าง บ้านสายหลักทุกคนก็ยังต้องกินเครื่องบูชากันจนหมด จึงจะเดินรวมตัวกันอยู่ที่ศาลเทพมังกรเพื่อเริ่มการเปิดศาล ครั้งนี้ไม่ได้มีการประลองเพื่อคัดเลือกผู้เปิดศาลอีกแล้ว ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่อ๋าวหลวนหลง ผู้ชนะการประลองในคราวก่อนและรอคอยที่จะได้เห็นเขาทำเรื่องปาฏิหาริย์อีกครั้ง“หลวนหลงเจ้าเริ่มได้เลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นหลานชายยังยืนนิ่งอยู่ด้วยใบหน้าเชิดขึ้นฟ้าเล็กน้อยจึงรีบร้องเตือน“ท่านย่า วันนี้หาใช่ข้าขอรับที่จะทำการเปิดศาลเทพมังกร แต่เป็นพี่ใหญ่” อ๋าวหลวนหลงถอยหลังไปก้าวหนึ่งผายมือไปยังอ๋าวหลวนเซี่ย“ข้าคิดไว้แล้วเชียว เจ้ามันก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ!” อ๋าวซีเค่อหัวเราะเสียงดังลั่นสะใจ หันมาสบตากับอ๋าวหล
หลังจากดีใจกันพอเป็นพิธีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คิดจะเข้าไปสำรวจด้านในของศาลเทพมังกร “หลวนเซี่ย หลวนหลงตามย่าเข้าไปด้านในก่อน” อ๋าวซีห่าวถึงกับหน้าถอดสี การที่มารดาไม่เรียกคนตามลำดับอาวุโสก็ทำให้ตนรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่นั่นก็บุตรชายแท้ๆ ผิดแผกไปก็แค่มีอ๋าวหลวนหลงได้ตามไปอีกคนเท่านั้นเพียงแค่ผลักประตูให้เปิดกว้างขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวขาเข้าไปในห้อง กลิ่นเหม็นอับชื้นพิกลก็พุ่งมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสามเข้าอย่างจังจนฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ แม้ว่าศาลเทพมังกรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแต่ก็ทำได้เพียงภายนอก เครื่องเรือนรวมทั้งผนังห้องที่ทำจากไม้ภายในล้วนแล้วแต่ผุพังจากความชื้นที่ผ่านฝนย่ำลมหนาวเยือนไม่เคยเจอแสงแดดมายาวนาน ภายในห้องขนาดใหญ่มีชั้นหนังสือและชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านเขียนตำรา มองอย่างไรก็คือห้องหนังสือดีๆ นี่เอง เพียงแต่เป็นห้องหนังสือที่กว้างขวางมีโต๊ะเก้าอี้อยู่หลายชุด คล้ายว่าเป็นห้องหนังสือส่วนรวมประจำตระกูลอ๋าวในอดีตหาใช่ห้องส่วนตัวไม่ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับอ๋าวหลวนเซี่ยเอาแต่ตื่นตาตื่นใจกับสมบัติล้ำค่าที่คาดว่าจะเป็นตำรายุทธ์ มรดกตกทอดที่
อ๋าวซีเค่อและอ๋าวหลวนตงสองพ่อลูกเจ้าปัญหาไม่กล้าท้วงติงอะไรสักประโยค แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในตัวอ๋าวหลวนหลงอยู่หลายประการ แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังทำทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่เป็นผลดีกับสกุลอ๋าว รวมทั้งสองพ่อลูกก็ได้เห็นตำราฉบับซ่อมแซมที่อ๋าวหลวนหลงแก้ไขมันด้วยตาตนเอง“หลวนหลง เรื่องสมบัติในศาลเทพมังกรเราก็ได้รู้กันแล้วว่าเป็นตำรายุทธ์ แล้วเรื่องที่จะสอนให้ทายาทคนอื่นๆ รู้วิธีการโคจรลมปราณเล่า เจ้าจะเริ่มสอนเลยดีหรือไม่”พี่น้องทุกคนได้ยินคำถามของคุณชายสามอ๋าวหลวนกังแล้วก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงการสอนพี่น้องคนอื่นๆ ในบ้านสายหลัก“ในศาลเทพมังกรไม่ได้มีเพียงวิชายุทธ์ขอรับพี่สาม ด้านในยังมีบันทึกการบำเพ็ญเพียรที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษหลายคน ในนั้นได้บ่งบอกระดับชั้นของผู้ฝึกตนว่ามีการแบ่งแยกเป็น ขั้นผู้ใช้ปราณ ขั้นสร้างรากฐาน ขั้นควบคุมปราณ ขั้นก่อกำเนิด และยังมีระดับขั้นที่สูงกว่านี้อีก” อ๋าวหลวนหลงยังไม่ได้สำรวจตำราทุกเล่มภายในศาลเทพมังกร แต่ที่ตนเห็นยังไม่มีบันทึกเล่มใดที่กล่าวถึงการฝึกฝนไปถึงระดับชั้นเซียนเลยสักเล่มคาดเดาว่าบรรพบุรุษสกุลอ๋าวที่ริเริ่มสะสมตำราเหล่าน
เวยวั่งซูกับซินหรูอี้เดินทางมาถึงจวนตระกูลอ๋าวแล้วก็ต้องทำตาโต เฉพาะกำแพงหน้าจวนตระกูลอ๋าวก็ครอบครองพื้นที่ยาวตลอดถนนสายหนึ่งในเมืองหลงเทียนได้แล้ว พื้นที่ด้านหลังจวนยังมีภูเขาเล็กๆ อยู่อีกหนึ่งลูก ซึ่งน่าจะอยู่ในอาณาเขตของตระกูลอ๋าวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลงเทียนอย่างแน่นอนในคราวแรกคนเฝ้าประตูทำสีหน้ารังเกียจพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อซินหรูอี้แจ้งความประสงค์ว่าจะมาขอพบคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลง บุรุษวัยกลางคนก็รีบเชื้อเชิญให้ไปรอด้านในโดยที่มีเด็กหนุ่มอีกคนรีบวิ่งไปแจ้งกับคุณชายสี่ทันที“อ๋าวหลวนหลงผู้นี้เป็นคุณชายสี่แต่ได้รับความเกรงใจไม่น้อย ข้าว่าเขาก็คือท่านเซียนหลวนหลงไม่ผิดตัวแน่แล้วล่ะหรูอี้ สกุลใหญ่เช่นนี้อย่างไรคงไม่ได้ความสำคัญกับคุณชายลำดับหลังๆ ถึงเพียงนี้หรอกหากไม่เป็นเพราะคนผู้นั้นมีความสามารถสูงพอ”เวยวั่งซูกล่าวจบก็ต้องขมวดคิ้วมองหน้าสตรีข้างกายด้วยความฉงน เพราะเวลานี้ซินหรูอี้กำลังปิดปากหัวเราะจนตาปิดพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง“เป็นท่านนี่เองวั่งซู” อ๋าวหลวนหลงคนเดิมไม่มีสหายนอกจวน เขามั่นใจเต็มที่ว่าคนที่มาขอพบย่อมเป็นเซียนคนใดคนหนึ่งที่ลงจากแดนสวรรค์มาพร้อ
“หวางเซี่ย!! เจ้ากระจายข่าวบอกพี่น้องของเจ้าทุกตัวได้หรือไม่ เราต้องคุ้มกันเกาะลอยให้แน่นหนา เจ้าเองก็ต้องเคลื่อนตัวออกห่างจากแผ่นดินใหญ่ได้แล้ว” มู่เหยาจีตะโกนออกคำสั่งทันทีแน่นอนว่าคำกล่าวของมู่เหยาจีเจ้าปูยักษ์และสัตว์เลี้ยงของนางที่อยู่รอบเกาะย่อมได้ยินชัดเจน แต่การสื่อสารตอบกลับของอีกฝ่ายก็ยังต้องพึ่งพามู่สี่เสิน“เวลานี้สัตว์จากแดนสวรรค์มีปลาหมึก 3 ตัวและปูอีก 2 ตัว ส่วนสัตว์อื่นอีก 4 ตัวอยู่ไกลเกินไปพวกเขาไม่รู้สถานที่หลบซ่อนของพวกมัน แต่หวางเซี่ยสามารถขอความช่วยเหลือจากฝูงปลาให้ออกไปตามหาที่พวกเหลือและส่งข่าวให้พวกมันได้" “ห้าตัว น้อยเกินไปหรือไม่เจ้าคะพี่สี่เสิน เราไม่รู้ว่าจะมีผู้ฝึกตนมาที่นี่มากมายเพียงใด อีกอย่างพวกเขาแข็งแกร่งในระดับไหนแล้วก็ไม่รู้”มู่สี่เสินหยุดรอฟังคำตอบจากหวางเซี่ยครู่หนึ่งแล้วจึงมาถ่ายทอดให้กับน้องสาวอีกครั้ง"ตั้งแต่อดีตจนถึงเวลานี้หวางเซี่ยไม่เคยพบเจอผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมาก่อน พวกผู้ฝึกตนระดับต่ำก็ไม่ได้เข้ามารุกรานเกาะลอยนานมากแล้ว มันเลยไม่แน่ใจเช่นกันว่าผู้ฝึกตนในยุคใหม่จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หวางเซี่ยจะตามฝูงปลาขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ มาคุ้มกันเก
เกาะลอย “เหยาจี ข้าทำสำเร็จแล้ว!”มู่เหยาจีได้ยินเสียงของมู่สี่เสินตะโกนเข้ามาในเรือนพักของนางตั้งแต่ตัวคนยังมาไม่ถึง หญิงสาวรีบลุกออกจากสมาธิเปิดประตูออกจากห้องมาหาพี่ชายของนางทันที“พี่สี่เสินท่านเก่งที่สุดเลย อย่างนี้ท่านก็สามารถติดต่อกับสัตว์ที่ลงมาจากแดนสวรรค์ได้แล้วสิเจ้าคะ”“ใช่ข้าได้พูดคุยกับสหายของเจ้าที่ลงมาจากแดนสวรรค์แล้วด้วย”ข่าวนี้ทำให้หัวใจของหญิงสาวแทบระเบิดออกมานอกอก นางคิดไม่ผิดที่ว่าปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นจะเป็นสหายของนาง แต่นางยังไม่รู้ว่าเหตุใดพวกมันจึงไม่พูดคุยหรือตอบโต้กับนางเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา“พวกมันทุกตัวปลอดภัยดีใช่หรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวถามเสียงสั่น สัตว์เลี้ยงของนางมีตัวอะไรบ้างนางจำได้ไม่หมด แต่ที่แน่ๆ มันไม่ได้มีเฉพาะปลาหมึกเท่านั้น“เหยาจี พวกมันบางตัวลงมายังแดนมนุษย์ก่อนเราสองพันกว่าปีเชียวนะ” มู่สี่เสินส่ายหน้าแทนคำตอบ“เท่าที่ข้าถามความจากปูยักษ์ที่อาศัยอยู่บนแดนมนุษย์มานานที่สุด มันบอกว่ามีสหายของพวกมันที่เป็นสัตว์น้ำ ล้มตายกันไปไม่น้อยแล้ว เท่าที่มันรู้และยังรวมกลุ่มกันอยู่เวลานี้มีทั้งหมด 9 ตัว เป็นปู ปลาหมึก หอย ปลาและเต่า"“เก้าตัว!!” มู่เหยาจีไ
จวนตระกูลอ๋าวเมืองหลงเทียน“การรักษาของท่านหมอที่นี่ ห่วยแตกพอๆ กันกับความสามารถในเชิงยุทธ์เลยทีเดียว ข้าต้องพาคุณชายสี่เดินทางไปที่เมืองหยุนไห่”คุณชายสามอ่าวหลวนกังได้ยินคำสบถของฝูซีแล้วก็หน้าเสีย ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฝูซีมาจากสถานที่ใดกัน ท่านหมอที่เขาเชิญมารักษาอาการของหลวนหลงก็เป็นหมอมือดีที่สุดในเมืองหลงเทียนแห่งนี้แล้วไม่รู้ว่าจะหาท่านหมอจากที่ใดมาได้อีก“นั่นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้แล้วล่ะฝูซี ท่านหมอรักษาอาการบอบช้ำทางร่างกายได้ก็จริงแต่การบาดเจ็บจากพลังปราณมันใช้เวลานานเกินไป” ผังหนงสนับสนุนอีกเสียง“ที่พวกท่านกล่าวหมายความว่าอย่างไร ที่เมืองหยุนไห่มีท่านหมอที่รักษาอาการบาดเจ็บจากพลังปราณได้รวดเร็วเช่นนั้นหรือขอรับ ให้ข้าไปตามหาแล้วเชิญท่านหมอมาที่นี่ก็ได้ เรายังมีผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บต้องพักรักษาตัวยาวนานอยู่อีกตั้งมาก”“เชิญมาไม่ได้ คนผู้นั้นเรายังไม่รู้ว่าจะตามหาพบหรือไม่ คุณชายสามจำได้หรือไม่ว่าเวยวั่งซูกับซินหรูอี้เดินทางไปเมืองหยุนไห่ด้วยเรื่องอะไร”“ผลท้อ? ท่านคิดว่าผลท้อจะรักษาอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วกว่าการรักษาของท่านหมอเช่นนั้นหรือ” “ข่าวที่เราได้ยินมาเป็น
“อย่าหยุดเดิน! อย่าสนใจเขาน้องห้า! หากพวกนั้นรู้ว่าพี่รองเป็นคนสกุลอ๋าวคงจะเล่นงานพี่รองหนักกว่านี้เป็นแน่"คำกล่าวของอ๋าวหลวนหลงนั้นรวดเร็วพอที่จะห้ามไม่ให้อ๋าวหลวนหย่งหันกลับไปทัน แต่พวกฉีอันเฉิงก็ไม่ได้โง่! วันที่หลวนหลงยืนรอรับผลท้อจากมหาเทพมู่ซี เรื่องราววิชาการฝึกฝนของเขาก็ถูกนำออกมาพูดคุยกันเป็นวงกว้างและรู้ว่าเขาอยู่ในสายเทพมังกรน้ำ แล้วเซียนที่ลงมาแดนมนุษย์ก็มักจะจุติใหม่ในตระกูลหรือกลับกลายเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับสายการฝึกฝนนั้นๆ อยู่แล้ว เซียนสายเทพมังกรมีเพียงหลวนหลงผู้เดียวเท่านั้นที่อาสาลงมายังแดนมนุษย์!!“อ้อ เจ้ารู้จักมังกรน้ำด้วยเช่นนั้นหรือ แล้วรู้จักมังกรประเภทอื่นๆ ด้วยหรือไม่เล่า?” คำถามของฉีอันเฉิงแม้จะคล้ายว่ากำลังซักถามหลี่หมิงเจ๋อ แต่สายตาของคนทั้งห้ากลับมองตามร่างของอ๋าวหลวนหลงไปด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดจนอ๋าวหลวนตงในคราบหลี่หมิงเจ๋อสะดุ้งในใจ คิดว่าตนคงกล่าวอะไรผิดไปแล้วเป็นแน่ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม ร่างที่ผ่ายผอมลงถนัดตาของอ๋าวหลวนตงสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ไม่กล้าแม้กระทั่งจะอ้าปากตอบคำ“โครม!!” ฉีอันเฉิงถีบเข้าไปที่หน้าอกของ
ภายในเมืองหยวนเปียว กลุ่มของอ๋าวหลวนหลงทั้ง 7 คนตามหาเหมืองหินแร่กิจการของสกุลเหลาจนพบตามเบาะแสที่อ๋าวหลวนตงส่งให้กับอ๋าวหลวนหย่งจนพบ“พวกเรามาหาหลี่หมิงเจ่๋อ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะตามเขามาพบกับพวกเราได้หรือไม่” อ๋าวหลวนหย่งตรงเข้าไปหาบุรุษกลุ่มหนึ่งที่ดูคล้ายว่าจะเป็นผู้ดูแลเหมืองหินเหล่านั้น และบอกชื่อแซ่ที่อ๋าวหลวนตงปลอมตัวเข้ามาอยู่ในเขตของสกุลเหลา“หลี่หมิงเจ๋อ? พวกเจ้าคุ้นหูกันบ้างหรือไม่?”"หลี่หมิงเจ๋อ..ว่าแต่พวกท่านเป็นอะไรกับเขาเช่นนั้นหรือ” บุรุษคนหนึ่งคล้ายจะนึกได้ขึ้นมา แต่เมื่อสำรวจไปที่คนทั้งเจ็ด ทุกคนล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงท่าทางภูมิฐานไม่น่าจะเป็นญาติกับคนต่ำต้อยเช่นนั้นได้“ตามเขามาให้พวกเราได้หรือไม่ขอรับ หากว่าเป็นเขาจริงๆ เขาก็น่าจะบอกได้ว่าข้าเกี่ยวข้องอันใดกับเขา” อ๋าวหลวนหย่งหน้าเสียไปเล็กน้อย พี่รองบอกกล่าวแน่ชัดว่าเขาแอบอ้างชื่อแซ่นี้และทำงานอยู่ในเมืองหินแร่ในเมืองหยวนเปียว แต่ไม่คิดว่าสถานการณ์ของพี่ชายคนรองจะดูน่าหดหู่เสียเหลือเกิน“ได้สิ เจ้ารอประเดี๋ยวก็แล้วกัน” บุรุษคนเดิมรับปากแล้วหันไปสั่งความกับบุรุษอีกคน พร้อมกับส่งสัญญาณบางอย่างให้อีกฝ่า
อ๋าวหลวนหลงพาอดีตเซียนที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเดินทางไปด้วยกันอีกสี่คนไม่นับรวมเขากับฝูซี แต่ไม่ยินยอมให้ทายาทหรือผู้ติดตามคนอื่นจากสกุลอ๋าวร่วมทางมาด้วยอีกเลยนอกจากอ๋าวหลวนหย่งตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยการทำงานหนักของอ๋าวซีเค่อกับอ๋าวหลวนตงที่ออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมกับภายหลังฝูซีและเวยวั่งซูก็ออกไปรวบรวมท่านเซียนไร้สกุลที่ยังเคว้งคว้างอยู่มาเข้ากลุ่มกันไว้ก็มีไม่น้อย ทำให้ขอบเขตของกองกำลังสกุลอ๋าวยังมีแนวร่วมที่กระจายตัวอยู่ในหลายเมืองในเขตเทือกเขาที่มีทายาทสกุลอ๋าวสายรองมาคอยดูแลอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นอ๋าวหลวนหลงเดินทางผ่านทางมาก็รีบเข้าไปทักทาย“คุณชายสี่ คุณชายห้า พวกท่านกับสหายจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”“เรากำลังจะข้ามไปที่เมืองหยวนเปียว ทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่” “ไม่มีขอรับ เขตแนวภูเขาฝากนี้มีกองกำลังที่เป็นมิตรกับสกุลอ๋าวของเราไม่น้อย แต่ที่เมืองหยวนเปียวไม่ใช่ว่าเป็นเขตติดต่อของสกุลเหลาหรอกหรือคุณชาย”“ใช่ ข้ามีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี พวกเจ้าตามสบายเถิดพวกเราจะเร่งเดินทางกันต่อ”“รอก่อนคุณชายสี่! เมืองหยวนเปียวไม่น่าจะปลอดภัยเท่าใดนัก ข้าจะไปตามคนให้ต
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ หากสัตว์เลี้ยงของข้ายังคงมีอายุขัยยืนยาวดังเดิม พวกมันบางตัวที่ได้กินท้อโอสถแล้วพูดได้ทำไมจึงไม่พูดคุยกับข้าบ้าง”“ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ก็คือข้าต้องรีบรวบรวมลมปราณให้สำเร็จ แล้วฟื้นฟูความสามารถเรื่องการสื่อสารกับพวกมันอีกครั้ง”“ใช่แล้ว!! ท่านเป็นทูตสวรรค์มาก่อนนี่นา ท่านสามารถสื่อสารกับสัตว์เทพและสัตว์ต่างสายพันธุ์บนแดนสวรรค์ได้ พี่สี่เสินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย”“เห็นหรือไม่เหยาจี แม้ว่าข้าจะไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้แต่ความสามารถในการสื่อสารของข้าก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เจ้าเองก็อย่าละเลยเรื่องการรวบรวมปราณเด็ดขาดเลยเชียว”“แต่พี่สี่เสิน ถึงแม้เวลานี้เราจะยังไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าจะพูดได้ดังเดิมหรือไม่ แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันกำลังปกป้องเราอยู่ แล้วอย่างนี้พี่ยังคิดจะออกจากเกาะไปเรียนวิชายุทธ์อีกหรือเจ้าคะ”“ท่านอาเกาบอกว่าผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน พวกเขาก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเข่นฆ่าสังหารกันเกิดขึ้น เรายังวางใจไม่ได้นะเหยาจี”“แล้วเซียนสายพฤกษาอย่างข้าจะฝึกฝนอะไร ความทรงจำเดิมของข้าก็ไม่เคยมีเรื่องที่เกี่ยวกับพลังการโจมตีแม้แต่น้อย
“พวกท่านพายต่อไปหาเหยาจี นางอยู่ข้างหลังข้า!” มู่สี่เสินต้อนเรือเล็กให้เข้ามาในพื้นที่เกาะลอยทีละลำ บนเรือแต่ละลำมีชาวบ้านที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนรวมทั้งครอบครัวของหนูน้อยหนิงเอ๋อร์ที่เหยาจีเคยช่วยเหลือเอาไว้ด้วย“ท่านอาหญิงแล้วท่านอาเกาเล่าเจ้าคะ” “สามีข้ากับสหายควบคุมเรือใหญ่ที่บรรทุกเสบียงอาหาร เรือหนักมากมันเคลื่อนตัวได้ช้า ข้าก็ห่วงเขาเหลือเกิน เจ้าสองคนช่วยพวกเขาได้หรือไม่”“ท่านอาหญิงใจเย็นๆ เจ้าค่ะ เราต้องรอให้เขาเข้ามาถึงเขตของเกาะลอย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”“ท่านอา หากคิดว่าไม่ทันท่านโดดลงน้ำว่ายมาหาข้า!! ทิ้งเรือไปเสีย! ทิ้งเรือไป!” เสียงมู่สี่เสินตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เบื้องหน้า เกาโหลวกับกู้หยุนควบคุมเรือร่วมกับสหายลำละสี่คน พวกเขาหันมาสบตากัน แม้ว่าจะมีชาวบ้านเต็มใจจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่เกาะลอยไม่ถึง 40 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ใช้เงินของมู่สี่เสินแจกจ่ายให้ชาวบ้านคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งหลักที่อื่นไม่น้อย เสบียงอาหารในเรือทั้งสองลำที่ซื้อมาด้วยเงินของสองพี่น้องสกุลมู่พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้“ออกแรงอีก! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”ทางฝ่ายมู่เหยาจีนางและชาวบ้านที่ข้ามเขตมาแ
“เหยาจี เมื่อครู่ท่านอาเกาบอกเรื่องหนึ่งกับข้าซึ่งเจ้าก็ควรจะรู้ไว้เช่นกัน”มองดูใบหน้างามของน้องสาวแล้วมู่สี่เสินก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตนเองและน้องสาวจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบบนเกาะลอยที่ปลอดภัยได้อยู่แล้วเชียว“บนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าเราจะลงมายังแดนมนุษย์ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะฟื้นฟูการฝึกฝนกันเข้าพอดี”“ผู้ฝึกตน? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าท่านมหาเทพมู่ซีบอกว่าแดนสวรรค์ยึดสมบัติเทพ สิ่งของแทนเทพรวมทั้งพืชผักผลไม้เสริมปราณจากแดนมนุษย์ไปหมดแล้ว พวกเขายังอยากจะฝึกฝนกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”“ใช่ นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าทวยเทพในอดีต พวกเขาคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถขึ้นมาแดนสวรรค์ได้อีก ก็คงล้มเลิกความคิดในการฝึกฝนไปในที่สุด แต่เวลานี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”“นี่คือเรื่องที่ท่านอาร้อนใจจนต้องพายเรือมายามดึกดื่นเพื่อเตือนพวกเราสองคน?”“นั่นก็ใช่อีก จากที่ท่านอาเกาเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่ เมื่อก่อนผู้ฝึกตนก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ดีๆ ก็เกิดสำนักและตระกูลใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่เคยมีผู้นำจึงกำลั