“ท่านย่า เทพเบื้องบนไม่ได้มีเพียงมหาเทพแห่งสรรพสัตว์เท่านั้นขอรับ ยังมีมหาเทพแห่งสรรพสิ่ง มหาเทพพฤกษาอยู่อีก สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็มีเทพประจำตัวของมันไม่ได้มีเฉพาะสัตว์เทพที่ดูน่าเกรงขามเท่านั้น เรื่องที่ข้ารู้ข้าไม่อาจอธิบายให้ท่านฟังได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ข้ามั่นใจมีอยู่อย่างหนึ่ง”ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกตาโพลงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน บรรดาตระกูลใหญ่ล้วนบูชาสัตว์เทพที่น่าเกรงขาม แต่สัตว์ทั้งปวงก็ยังมีเทพประจำตัวด้วยหรือ?นางเชื่อสนิทใจแล้วว่าฝูซีผู้นั้นคือผู้ส่งสารโดยแท้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนเป็นแน่ “อีกไม่นาน ทั่วทั้งแผ่นดินจะปรากฏผู้ฝึกตนที่มีความรู้ทัดเทียมกับข้า เราไม่อาจวางใจว่าทุกคนจะเป็นมิตร ฉะนั้นเรื่องการยกระดับความสามารถของคนในตระกูลก็เป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่ข้าขอเลือกสอนกับบางคนที่ข้าไว้ใจเสียก่อนขอรับท่านย่า”“เจ้าหมายถึง เจ้าจะสอนวิชาให้กับหลวนเซี่ย หลวนกัง และหลวนหลิงก่อนใช่หรือไม่”อ๋าวหลวนหลงพยักหน้ารับคำแทนคำตอบ ศึกนอกยังไม่อาจรู้ได้ ศึกในเขาก็ต้องเตรียมการไว้เช่นกัน“เหตุใดเจ้าจึงไม่แนะนำท่านลุงใหญ่ลุงรอง พ่อเจ้าหรือท่านอาสี่เสียก่อน พวกเขาคือผู้ท
“ทุกคนมาพร้อมกับหมดแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นเราก็เริ่มกันเลย” ในฐานะนายท่านใหญ่เป็นรองเพียงมารดาผู้เป็นผู้นำตระกูล ครั้งนี้อ๋าวซีห่าวจึงเป็นผู้นำเริ่มพิธีบูชาเทพมงกรขึ้นกลางแจ้ง ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาดูเคร่งเครียดแววตาแฝงความไม่ยินดีอยู่บ้างเมื่อคิดว่าการกระทำทั้งหมดของตนก็เป็นเพื่อการยกย่องอ๋าวหลวนหลงหลานชายผู้ซึ่งตนไม่ชอบหน้าเสร็จจากการเซ่นไหว้ด้วยนกนางแอ่นย่างและบ๊ะจ่าง บ้านสายหลักทุกคนก็ยังต้องกินเครื่องบูชากันจนหมด จึงจะเดินรวมตัวกันอยู่ที่ศาลเทพมังกรเพื่อเริ่มการเปิดศาล ครั้งนี้ไม่ได้มีการประลองเพื่อคัดเลือกผู้เปิดศาลอีกแล้ว ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่อ๋าวหลวนหลง ผู้ชนะการประลองในคราวก่อนและรอคอยที่จะได้เห็นเขาทำเรื่องปาฏิหาริย์อีกครั้ง“หลวนหลงเจ้าเริ่มได้เลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นหลานชายยังยืนนิ่งอยู่ด้วยใบหน้าเชิดขึ้นฟ้าเล็กน้อยจึงรีบร้องเตือน“ท่านย่า วันนี้หาใช่ข้าขอรับที่จะทำการเปิดศาลเทพมังกร แต่เป็นพี่ใหญ่” อ๋าวหลวนหลงถอยหลังไปก้าวหนึ่งผายมือไปยังอ๋าวหลวนเซี่ย“ข้าคิดไว้แล้วเชียว เจ้ามันก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ!” อ๋าวซีเค่อหัวเราะเสียงดังลั่นสะใจ หันมาสบตากับอ๋าวหล
หลังจากดีใจกันพอเป็นพิธีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คิดจะเข้าไปสำรวจด้านในของศาลเทพมังกร “หลวนเซี่ย หลวนหลงตามย่าเข้าไปด้านในก่อน” อ๋าวซีห่าวถึงกับหน้าถอดสี การที่มารดาไม่เรียกคนตามลำดับอาวุโสก็ทำให้ตนรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่นั่นก็บุตรชายแท้ๆ ผิดแผกไปก็แค่มีอ๋าวหลวนหลงได้ตามไปอีกคนเท่านั้นเพียงแค่ผลักประตูให้เปิดกว้างขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวขาเข้าไปในห้อง กลิ่นเหม็นอับชื้นพิกลก็พุ่งมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสามเข้าอย่างจังจนฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ แม้ว่าศาลเทพมังกรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแต่ก็ทำได้เพียงภายนอก เครื่องเรือนรวมทั้งผนังห้องที่ทำจากไม้ภายในล้วนแล้วแต่ผุพังจากความชื้นที่ผ่านฝนย่ำลมหนาวเยือนไม่เคยเจอแสงแดดมายาวนาน ภายในห้องขนาดใหญ่มีชั้นหนังสือและชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านเขียนตำรา มองอย่างไรก็คือห้องหนังสือดีๆ นี่เอง เพียงแต่เป็นห้องหนังสือที่กว้างขวางมีโต๊ะเก้าอี้อยู่หลายชุด คล้ายว่าเป็นห้องหนังสือส่วนรวมประจำตระกูลอ๋าวในอดีตหาใช่ห้องส่วนตัวไม่ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับอ๋าวหลวนเซี่ยเอาแต่ตื่นตาตื่นใจกับสมบัติล้ำค่าที่คาดว่าจะเป็นตำรายุทธ์ มรดกตกทอดที่
อ๋าวซีเค่อและอ๋าวหลวนตงสองพ่อลูกเจ้าปัญหาไม่กล้าท้วงติงอะไรสักประโยค แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในตัวอ๋าวหลวนหลงอยู่หลายประการ แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังทำทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่เป็นผลดีกับสกุลอ๋าว รวมทั้งสองพ่อลูกก็ได้เห็นตำราฉบับซ่อมแซมที่อ๋าวหลวนหลงแก้ไขมันด้วยตาตนเอง“หลวนหลง เรื่องสมบัติในศาลเทพมังกรเราก็ได้รู้กันแล้วว่าเป็นตำรายุทธ์ แล้วเรื่องที่จะสอนให้ทายาทคนอื่นๆ รู้วิธีการโคจรลมปราณเล่า เจ้าจะเริ่มสอนเลยดีหรือไม่”พี่น้องทุกคนได้ยินคำถามของคุณชายสามอ๋าวหลวนกังแล้วก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงการสอนพี่น้องคนอื่นๆ ในบ้านสายหลัก“ในศาลเทพมังกรไม่ได้มีเพียงวิชายุทธ์ขอรับพี่สาม ด้านในยังมีบันทึกการบำเพ็ญเพียรที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษหลายคน ในนั้นได้บ่งบอกระดับชั้นของผู้ฝึกตนว่ามีการแบ่งแยกเป็น ขั้นผู้ใช้ปราณ ขั้นสร้างรากฐาน ขั้นควบคุมปราณ ขั้นก่อกำเนิด และยังมีระดับขั้นที่สูงกว่านี้อีก” อ๋าวหลวนหลงยังไม่ได้สำรวจตำราทุกเล่มภายในศาลเทพมังกร แต่ที่ตนเห็นยังไม่มีบันทึกเล่มใดที่กล่าวถึงการฝึกฝนไปถึงระดับชั้นเซียนเลยสักเล่มคาดเดาว่าบรรพบุรุษสกุลอ๋าวที่ริเริ่มสะสมตำราเหล่าน
เวยวั่งซูกับซินหรูอี้เดินทางมาถึงจวนตระกูลอ๋าวแล้วก็ต้องทำตาโต เฉพาะกำแพงหน้าจวนตระกูลอ๋าวก็ครอบครองพื้นที่ยาวตลอดถนนสายหนึ่งในเมืองหลงเทียนได้แล้ว พื้นที่ด้านหลังจวนยังมีภูเขาเล็กๆ อยู่อีกหนึ่งลูก ซึ่งน่าจะอยู่ในอาณาเขตของตระกูลอ๋าวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลงเทียนอย่างแน่นอนในคราวแรกคนเฝ้าประตูทำสีหน้ารังเกียจพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อซินหรูอี้แจ้งความประสงค์ว่าจะมาขอพบคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลง บุรุษวัยกลางคนก็รีบเชื้อเชิญให้ไปรอด้านในโดยที่มีเด็กหนุ่มอีกคนรีบวิ่งไปแจ้งกับคุณชายสี่ทันที“อ๋าวหลวนหลงผู้นี้เป็นคุณชายสี่แต่ได้รับความเกรงใจไม่น้อย ข้าว่าเขาก็คือท่านเซียนหลวนหลงไม่ผิดตัวแน่แล้วล่ะหรูอี้ สกุลใหญ่เช่นนี้อย่างไรคงไม่ได้ความสำคัญกับคุณชายลำดับหลังๆ ถึงเพียงนี้หรอกหากไม่เป็นเพราะคนผู้นั้นมีความสามารถสูงพอ”เวยวั่งซูกล่าวจบก็ต้องขมวดคิ้วมองหน้าสตรีข้างกายด้วยความฉงน เพราะเวลานี้ซินหรูอี้กำลังปิดปากหัวเราะจนตาปิดพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง“เป็นท่านนี่เองวั่งซู” อ๋าวหลวนหลงคนเดิมไม่มีสหายนอกจวน เขามั่นใจเต็มที่ว่าคนที่มาขอพบย่อมเป็นเซียนคนใดคนหนึ่งที่ลงจากแดนสวรรค์มาพร้อ
ลานฝึกยุทธ์จวนสกุลอ๋าว“วันนี้ข้าขอให้ท่านย่าเรียกทุกคนมาก็เพราะข้าจะแนะนำพวกเขาให้ทุกคนรู้จัก สหายข้าเวยวั่งซู ซินหรูอี้ ส่วนฝูซีและหูกุ้ยที่ยืนอยู่ด้วยทุกคนก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว”“นี่มันเรื่องอะไรกันหลวนหลง แค่เจ้ามีสหายใหม่นี่นะ! ถึงกับต้องให้ผู้นำตระกูลเรียกรวมพลเชียวหรือ!” อ๋าวซีเค่อสบถเสียงดัง กระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง“หากท่านลุงรองไม่เหนื่อยเกินไปก็อดทนรออีกสักครู่เถิดขอรับ หรือถ้านั่งไม่ไหวก็ขอให้พี่รองพาท่านกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้”“เพ่ย!! ข้ายังไม่แก่ขนาดนั้น! เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามา! หวังว่าคงไม่ใช่คิดอยากพาคนเข้ามาขอพักอาศัยสุ่มสี่สุ่มห้าก็แล้วกัน” อ๋าวซีเค่อมองดูเวยวั่งซูกับซินหรูอี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาถูกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามอ๋าวหลวนหลงเริ่มต้นโดยให้เวยวั่งซูและซินหรูอี้เล่าถึงสถานการณ์ของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายนอกออกมาก่อน เป็นเพราะเมืองหลงเทียนมีตระกูลอ๋าวเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง อีกตระกูลที่บูชาเทพและมีผู้ฝึกตนอยู่ในสกุลก็คือสกุลกัวบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่ากัว คนในเมืองหลงเทียนและพื้นที่โดยรอบจึงไม่ค่อยมีคนมาก่อความวุ่นวาย ชาวเมืองก็ไม่ได้ให้คว
เกาะลอย“พี่สี่เสิน หมดฤดูหนาวมาพักใหญ่แล้วแต่เกาะลอยยังไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนตัวไปทางอื่นเลย” “เอ้า!! ก่อนหน้านี้ก็เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่บอกว่าอยากอยู่ที่นี่นานๆ ที่นี่งดงาม บรรยากาศดีอะไรต่อมิอะไรสารพัด มาทีนี้เกิดอยากจะออกไปท่องเที่ยวอีกแล้วหรือไร”“เปล่าซะหน่อย ข้าก็แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ เป็นแบบนี้ก็ดีเช่นกันพวกเราจะได้มีเวลาเพาะปลูกต้นท้อได้”“ใช่ ข้าก็คิดว่าถึงเวลาที่เราจะเริ่มปลูกกันเสียที ข้าหยุดงานมานานจนชักจะติดนิสัยขี้เกียจแล้วล่ะ”“แล้วเราจะเริ่มกันอย่างไรดี จอบก็มีแค่สองอัน เรามีเครื่องมืออะไรอีกนะ ข้าไปค้นดูก่อน” เด็กสาวกล่าวจบก็วิ่งไปทางหลังเรือน แบกจอบ กระบุงใส่ดินและคราดมาอีก 1 อันอย่างทุลักทุเล“ก็คงต้องเริ่มจากถางหญ้า เราทำเป็นตัวอย่างให้สัตว์เหล่านั้นดูสักระยะ ข้าเชื่อว่าเดี๋ยวพวกมันก็เข้าใจว่าเรากำลังคิดทำสิ่งใด”“ท่านอย่าเอาเปรียบสัตว์น่ารักเหล่าเด็ดขาด! ครั้งนี้เราสองคนไม่ต้องขนส่งผลไม้ออกไปขายมีเวลาว่างมากมาย ก็ต้องช่วยพวกมันให้สุดกำลัง” มู่เหยาจีเป็นเดือดเป็นแค้นแทนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนางยิ่งนัก คราวก่อนตั้งแต่รู้ว่าพวกมันเก็บผลไม้ได้ มู่สี่เสินก็ใช้
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้
ตลอดทางเดินอ๋าวหลวนหลงได้เห็นต้นผลไม้หลากชนิดมีฝูงสัตว์เล็กออกหากินตามธรรมชาติอยู่มากมาย พอเริ่มเข้าใกล้น้ำตกอากาศก็เย็นสบายขึ้นมีเสียงน้ำไหลรินพร้อมกับเสียงนกร้องแว่วมาเป็นระยะมู่เหยาจีเลือกให้เขานั่งลงตรงโขดหินเรียบ มีก้อนหินใหญ่หลายก้อนโอบล้อมบดบังสายตาที่นางเคยใช้เป็นสถานที่อาบน้ำเป็นประจำเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้สร้างเรือนนางหันไปจัดการกับตะกร้าเสื้อผ้าที่เตรียมมาสำหรับให้อ๋าวหลวนหลง แต่เมื่อหันกลับมาอีกทีหญิงสาวก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลง“กรี๊ด!!” หญิงสาวยกสองมือขึ้นปิดบังใบหน้าเอาไว้แน่น “ท่านทำบ้าอะไรกันเนี่ย อยู่ดีๆ มาถอดเสื้อกลางป่ากลางเขาไม่รู้จักอับอายบ้างหรือไร!”“ข้าผิดตรงไหน? ข้าก็แค่จะอาบน้ำ หรือเวลาอาบน้ำเจ้าไม่ถอดเสื้อผ้า”มู่เหยาจีปิดตาเอาไว้แน่น แต่นางรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่รอบตัวชัดเจน อ๋าวหลวนหลงขยับตัวเข้ามาประชิดตัวนางในระยะห่างไม่ถึงฉื่อจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาชัดเจน“อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!” มู่เหยาจีถอยหลังกรูด เป็นเพราะมองไม่เห็นและตั้งหลักไม่ทันร่างงามจึงลื่นล้มลงไปกองกับพื้น“เหยาจี!!” อ๋าวหลวนหลงใจหายวาบ เขาก็แค่คิดจะหยอกล้อนิดหน่
“พอแล้ว ข้าอิ่มแล้ว” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกว่าใบหน้าของตนหดลงจนเล็กกว่าฝ่ามือ แต่ยังแสร้งทำหน้าบึ้งเอาไว้ดังเดิม มู่เหยาจีไม่เพียงไม่โต้เถียงแต่นางกลับดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี พอมีข้าวเลอะติดปากก็ยังเช็ดมุมปากให้เขาอย่างเอาใจใส่จนเขารู้สึกขัดเขินเป็นที่สุด“เมื่อวานท่านกินโจ๊กหมดชามเลยนี่เจ้าคะ นี่เพิ่งหมดไปไม่ถึงครึ่งเองอิ่มแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นกินผลท้ออีกหน่อยนะเจ้าคะ”อ๋าวหลวนหลงอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสียเดี๋ยวนั้น รู้สึกว่าตนทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ให้นางมาคอยช่วยเหลือ กลิ่นกายหอมกรุ่นที่ยังวนเวียนอยู่ในลมหายใจกับการเอาใจใส่ที่ไม่เคยมีใครทำให้เช่นนี้มันช่างน่าอึดอัดนักภาพในความทรงจำเดิมของตน มู่เหยาจีก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ยามนี้นางเป็นหญิงสาววัยแรกแย้มจะไม่ให้เขาคิดเลยเถิดไปบ้างก็ไม่ได้ในเมื่อตนก็เป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วเช่นกันจะขับไล่นางไม่ให้มาคอยช่วยเหลือก็เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากผู้อื่นรู้ว่าเขาเขินอายจนใจสั่นไปหมด!! คิดยังไม่ทันถึงไหน ผลท้อชิ้นเล็กหวานฉ่ำก็ถูกส่งเข้าปากโดยที่อ๋าวหลวนหลงทำได้เพียงอ้าปากรับอย่างว่าง่าย สรุปแล้วเป็นเขาที่ควบ
มู่เหยาจีข่มกลั้นความหวาดวิตกเปิดประตูห้องพักเข้ามาเบาๆ พยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุดมาหยุดอยู่กลางห้องพลางมองดูร่างหนาที่นอนผินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง“คุณชายสี่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยปากขอโทษอ๋าวหลวนหลงก่อน“ผลท้อมันหลุดติดมือข้า ข้าจะต่อมันกลับไปดังเดิมไม่ได้ข้าเลย…”“-”ความเงียบอันน่าขนลุกจากอีกฝ่ายทำให้มู่เหยาต้องเอ่ยปากชวนคุยขึ้นมาอีกครั้ง“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าแก้ไขอันใดไม่ได้แล้วด้วย ท่านอย่าโกรธเลยนะ” “ข้าอยู่ที่นี่มากี่วัน? เจ้าเพิ่งคิดจะมาขอโทษเอาวันนี้ ข้าควรต้องขอบคุณเจ้าหรือไม่เล่า?” อ๋าวหลวนหลงหลับตาลงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เขาจำได้ว่ายามที่นางยอมรับผิดบนแดนสวรรค์ นางขอโทษท่านมหาเทพทั้งสามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กับตนนางทำเพียงส่งสายตาขอโทษขอโพยมาแต่ยังไม่เคยเอ่ยปากออกมาเลยสักครั้ง“เพราะข้ารู้ตัวว่าครั้งนั้นข้ายังไม่ได้ขอโทษท่านต่างหาก ข้าเลยยังรู้สึกผิดอยู่ แต่เป็นเพราะเวลานั้นข้าไม่รู้ความเจ้าค่ะ”“ยามนี้เจ้าก็ยังอ้างว่ายังไม่รู้ความดังเดิมสินะ?”มู่เหยาจีแสบจมูกแสบตาไปหมด นางรู้ว่านางผิดต่ออ๋าวหลวนหลงแต่หลังจากมาใช้ชีวิตอยู่บน
“ท่านลุง ท่านช่วยพยุงข้าให้ลุกนั่งสักครู่เถิด ข้านอนจนหลังเจ็บไปหมดแล้ว” อ๋าวหลวนหลงขอร้องให้ชายชราที่นำจานผลท้อมาส่งช่วยเหลือ “ลุกได้หรือ ข้าเห็นว่าเนื้อตัวท่านยังเขียวช้ำอยู่เลยนะ” ชายชราไม่กล้าให้อ๋าวหลวนหลงขยับตัวมากนัก เขาเป็นคนมาช่วยอีกฝ่ายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เคยเห็นร่องรอยบอบช้ำบนร่างกายที่น่าหวาดเสียวนั่นชัดเจน ไม่รู้ว่าชายหนุ่มอดทนกับบาดแผลได้อย่างไร“ไม่ไหวก็ต้องไหว ให้ข้าได้ลุกบ้างเถิด” อ๋าวหลวนหลงไม่ยินยอม จะว่าไปแม้ว่ารอยช้ำยังคงดูน่ากลัวแต่เขารู้สึกว่าหายใจได้สะดวกขึ้นและไม่ได้เจ็บปวดทรมาณเหมือนวันแรกๆ แล้ว อ๋าวหลวนหลงมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้เกิดจากผลท้อที่ตนกินเข้าไปทุกวันแน่นอน“เอาอย่างนี้แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะออกไปตามคนมาช่วยจัดเตียงอีกหลังหนึ่งตรงริมหน้าต่าง ท่านจะได้นอนมองท้องฟ้ามองบรรยากาศภายนอกจากทางหน้าต่างได้” “ขอบคุณขอรับท่านลุง” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกขอบคุณชายชราอย่างสุดซึ้ง แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะดีขึ้น แต่ก็คงจะอีกหลายวันกว่าจะลุกนั่งได้เอง หากได้เปลี่ยนไปนอนริมหน้าต่าง ได้เห็นอะไรที่ไม่น่าเบื่ออย่างหลังคาเรือนก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียวชายชราคนเ
“ไม่ต้องแต่แล้ว! พวกเราต้องรีบไป อ้อ! จริงสิ! ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าควรรู้ไว้ด้วย ท่านมหาเทพมู่ซียกเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ที่เจ้าเอาติดตัวมาด้วยให้เป็นความรับผิดชอบของอ๋าวหลวนหลง เจ้าเองก็ต้องรอให้เขาเป็นผู้ตัดสินว่าควรจะทำอะไรกับเมล็ดพันธุ์ชิ้นนั้น เชื่อฟังเขาเข้าใจหรือไม่”มู่เหยาจียืนพยักหน้าหงึกหงักคล้ายว่าจะรับรู้ ว่าแต่..ฝูซีว่าอะไรนะ? ให้นางเชื่อฟังอ๋าวหลวนหลง “เหยาจี ข้าไม่อยู่เจ้ามีอะไรก็ปรึกษาคุณชายอ๋าวก็แล้วกัน ฝูซีบอกว่าเขาเป็นคนดี เจ้าวางใจได้ฝูซีไม่หลอกพวกเราหรอก หลังจากนี้เราคงต้องส่งคนมารับผลท้อเป็นระยะแล้วข้าจะส่งข่าวมาถึงเจ้าเอง เราต้องรีบไปแล้ว เชื่อฟังเขาแทนข้าก็แล้วกันนะ”หญิงสาวหันซ้ายทีขวาทีฟังสองทูตสวรรค์สั่งความไม่หยุด พับผ่าเถิด! พวกท่านจะสั่งความอันใดก็ช่วยถามความเห็นนางสักหน่อยได้หรือไม่!!!“ประเดี๋ยวก่อนหลานชาย”เสียงเรียกของเกาโหลวดังขึ้นมาทำให้มู่เหยาจีรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก บางทีท่านอาเกาอาจช่วยพูดให้นางได้ไปกับพี่ชายแล้วพวกเขาจะดูแลอ๋าวหลวนหลงแทนนาง“พวกเราก็จะขอไปด้วย ข้าอยากลองทดสอบดูว่าข้าจะเป็นผู้ฝึกตนได้หรือไม่ หากไม่ได้ข้าก็จะกลับมารอเจ้าอยู่ที่เกาะจิง
“พวกท่านจะคุยกันอีกนานไหม ข้าปวดระบมไปทั้งตัวแล้ว ยังไม่รีบพาข้าไปหาที่พักอีกหรือ?” อ๋าวหลวนหลงลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่พวกเกาโหลวช่วยจับเขาวางบนลากเลื่อนแล้ว แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาบอบช้ำมาจากการเดินทางจนไข้ขึ้น รอยช้ำบริเวณหน้าอกก็เจ็บหนักยิ่งกว่าเก่า เขาจึงได้แต่นอนหลับตานิ่งฟังฝูซีและสี่เสินถกเถียงกันอยู่นานสองนาน และในที่สุดก็ทนไม่ไหวฝูซีรู้สึกอับอายจนหน้าเขียว ด้วยหน้าที่เขาสมควรจะเป็นห่วงเป็นใยอ๋าวหลวนหลงเป็นอันดับหนึ่ง แต่เมื่อเห็นสี่เสินก็เผลอดีใจจนลืมตัวไปเช่นกัน“สี่เสิน ยามนี้หลวนหลงคือคนสกุลอ๋าว เจ้าจะเรียกเขาว่าคุณชายสี่ก็ได้”“ดูสิข้ามัวแต่ดีใจจนเสียมารยาทแล้ว! ขออภัยด้วยคุณชายสี่ข้าคิดว่าท่านยังคงหลับอยู่ ท่านอาช่วยพาเขากลับไปที่เรือนกันก่อนเถิดขอรับ”เกาโหลวและชาวบ้านระบายลมหายใจกันออกมาเล็กน้อยด้วยความโล่งใจ พวกเขายืนมึนงงกันอยู่นานจนรากจะงอกอยู่แล้ว ในที่สุดก็จะได้กลับไปพักผ่อนให้โล่งใจกันเสียทีกว่าจะพาอ๋าวหลวนหลงมาถึงเรือนพัก ชายหนุ่มก็ต้องสลบไปอีกครั้งเพราะพิษไข้และแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนย้ายร่างกายอันบอบช้ำหลายครั้งหลายหนมู่เหยาจีแอบมองดูเหตุการณ์อยู
เรือสามลำที่มีเรือของอ๋าวหลวนหลงอยู่ตรงกลางแล่นมาถึงบริเวณรอบเกาะลอยแล้วก็หยุดค้างอยู่ตรงนั้นแน่นิ่งทุกสายตาจ้องมองไปยังฝูซีที่ยืนกำหมัดแน่นใบหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงคล้ายกับกำลังมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ในร่างกายที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อด้วยความงุนงง“ท่านอาฝูซี ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่” หูกุ้ยเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเรียกสติของอีกฝ่าย“บัดซบ!! เหลวไหลสิ้นดี!! กล้าหาญกันเหลือเกิน!!” ฝูซีระเบิดเสียงออกมาเป็นชุดทำให้หูกุ้ยต้องกระโดดถอยหลังห่างออกมาหลายก้าว“ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ข้าก็แค่อยากจะถามว่าเราต้องทำอะไรกันต่อแค่นั้น” หูกุ้ยแทบจะร้องไห้ เขาแค่สะกิดเบาๆ จริงๆนะ“ข้าไม่ได้ว่าเจ้าอากุ้ย!! ข้ากำลังตำหนิพวกมันอยู่ต่างหากเล่า!!” ฝูซียังคงชี้ไม้ชี้มือก่นด่าไม่หยุดปากผู้ฝึกตนจากเรืออีสองลำด้านข้างมองไปยังผืนน้ำว่างเปล่าที่มีคลื่นเบาๆ เป็นระลอกด้วยความสับสนงุนงง ยามนี้พวกเขาไม่เห็นปลาหมึกยักษ์ ปลาหรือนกสักตัวก็ยังหายหัวไปราวกับพวกมันไม่เคยมีอยู่มาก่อนด้วยความสงสัย แล้วฝูซีกำลังพร่ำบ่นผู้ใดกันอยู่แน่?“เหยาจี! สี่เสิน! คอยดูเถิดข้าจะจับเจ้าสองคนมาตีให้ก้นลายเลยท
ต้าโหวจื้อและอดีตเซียนคนอื่นๆ ก็ได้ข่าวสารใหม่มาเช่นกัน “เหลาอีโจวตั้งใจจะบีบสกุลอ๋าวไว้ตรงกลาง แล้วเริ่มลงมือทางทิศตะวันออกกับตะวันตกที่อ่อนแอก่อน ฉลาดนัก!!”“แล้วสำนักต้าซิงของพวกเราเล่าเวลานี้จะถูกกำจัดไปแล้วหรือไม่!! เราต้องรีบกลับสำนักกันเดี๋ยวนี้นะโหวจื้อ” “ไม่จำเป็น ก่อนมาที่นี่ข้าสั่งทางนั้นเอาไว้แล้วว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้พวกเราย้ายมาเข้าร่วมกับหลวนหลง เหลาอีโจวมันบ้าระห่ำเกินไป”คนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย เหลาอีโจวไม่ใช่เพียงบ้าดีเดือด แต่เขาโหดร้ายเกินไป การต่อสู้เพื่อสร้างอาณาจักร สกุลเหลาลงมืออย่างโหดเหี้ยมไม่เว้นแม้แต่อดีตเซียนซึ่งเคยเป็นสหายอยู่บนแดนสวรรค์ด้วยกัน ผู้ใดที่ขัดขวางเขา เขาก็สังหารไม่เลือกหน้า“แต่เวลานี้สกุลอ๋าวมีตระกูลใหญ่ที่เข้าร่วมเพียงห้าตระกูล อีกฝ่ายมีถึงเก้าตระกูล แม้สำนักเล็กๆ ที่แตกพ่ายมาจะย้ายเข้ามาอยู่กับหลวนหลงก็คงไม่ได้มากันทั้งหมด ตระกูลอ๋าวยังเป็นรองอยู่ หากเราเลือกข้างผิดก็มีแต่ตายกับตาย”“เราเลือกไม่ได้แล้ว เจ้าไม่ได้ยินหรือเวลานี้ตระกูลอ๋าวตรึงกำลังทางภาคกลางครอบคลุมมาถึงทางใต้ หากเราคิดจะย้อนกลับไปหาเหลาอีโจว พวกเขา
เกาะลอย“พี่สี่เสิน ข้าว่าตาข้าไม่ฝาดนะ ท่านช่วยบอกข้าหน่อยเถิดว่าคนเหล่านั้นใช่ท่านเซียนที่เคยอยู่บนแดนสวรรค์ใช่หรือไม่”“ข้าเห็นแล้วเหยาจี จะบังเอิญมีมนุษย์หน้าเหมือนกันกับท่านเซียนเป็นร้อยคนพอดิบพอดีเชียวหรือ? แต่ว่าหากเป็นท่านเซียนลงมาตามเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์จากเจ้าจริงๆ พวกเขาทำไมถึงอ่อนแอกันนักเล่า? สัตว์เหล่านั้นไม่มีพลังปราณนะ”“พี่สี่เสินข้ากลัว.. ข้าไม่ได้ตั้งใจเอามันลงมาจริงๆ นะเจ้าคะ พวกเขาก็งกเหลือเกินเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ปลูกได้ง่ายเมื่อใดกันเล่า! ยังคิดจะมาตามทวงคืนกันอีก”“เหยาจี พวกเขาจะใช่หรือแค่หน้าเหมือนเราก็ยังไม่รู้ชัด อีกอย่างพวกเขาก็ยังเข้ามาไม่ถึงเกาะลอยนี่ ใจเย็นลงก่อน”“สหายข้าอ่อนล้าเต็มที่แล้ว หากยังมีคนมาไม่หยุดเช่นนี้ต่อไปข้าว่าพวกเขาอาจจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ เราจะทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่เจ้าคะ”“เดี๋ยวนะเหยาจี เจ้าดูนั่น!!”“นั่นพวกเขา..”สองพี่น้องรวมทั้งชาวบ้านที่เฝ้าดูสถานการณ์การต่อสู้จากบนเกาะลอยอยู่ตลอด ได้เห็นกลุ่มเรือกลุ่มหนึ่งเริ่มโจมตีพวกเดียวกันเอง อาวุธและพลังถูกนำออกมาใช้ในการปกป้องสัตว์ทะเลซึ่งควรจะเป็นศัตรูของพวกเขา เดิมทีการต่อสู้ระหว่า