“ทุกคนมาพร้อมกับหมดแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นเราก็เริ่มกันเลย” ในฐานะนายท่านใหญ่เป็นรองเพียงมารดาผู้เป็นผู้นำตระกูล ครั้งนี้อ๋าวซีห่าวจึงเป็นผู้นำเริ่มพิธีบูชาเทพมงกรขึ้นกลางแจ้ง ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาดูเคร่งเครียดแววตาแฝงความไม่ยินดีอยู่บ้างเมื่อคิดว่าการกระทำทั้งหมดของตนก็เป็นเพื่อการยกย่องอ๋าวหลวนหลงหลานชายผู้ซึ่งตนไม่ชอบหน้าเสร็จจากการเซ่นไหว้ด้วยนกนางแอ่นย่างและบ๊ะจ่าง บ้านสายหลักทุกคนก็ยังต้องกินเครื่องบูชากันจนหมด จึงจะเดินรวมตัวกันอยู่ที่ศาลเทพมังกรเพื่อเริ่มการเปิดศาล ครั้งนี้ไม่ได้มีการประลองเพื่อคัดเลือกผู้เปิดศาลอีกแล้ว ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่อ๋าวหลวนหลง ผู้ชนะการประลองในคราวก่อนและรอคอยที่จะได้เห็นเขาทำเรื่องปาฏิหาริย์อีกครั้ง“หลวนหลงเจ้าเริ่มได้เลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นหลานชายยังยืนนิ่งอยู่ด้วยใบหน้าเชิดขึ้นฟ้าเล็กน้อยจึงรีบร้องเตือน“ท่านย่า วันนี้หาใช่ข้าขอรับที่จะทำการเปิดศาลเทพมังกร แต่เป็นพี่ใหญ่” อ๋าวหลวนหลงถอยหลังไปก้าวหนึ่งผายมือไปยังอ๋าวหลวนเซี่ย“ข้าคิดไว้แล้วเชียว เจ้ามันก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ!” อ๋าวซีเค่อหัวเราะเสียงดังลั่นสะใจ หันมาสบตากับอ๋าวหล
หลังจากดีใจกันพอเป็นพิธีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คิดจะเข้าไปสำรวจด้านในของศาลเทพมังกร “หลวนเซี่ย หลวนหลงตามย่าเข้าไปด้านในก่อน” อ๋าวซีห่าวถึงกับหน้าถอดสี การที่มารดาไม่เรียกคนตามลำดับอาวุโสก็ทำให้ตนรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่นั่นก็บุตรชายแท้ๆ ผิดแผกไปก็แค่มีอ๋าวหลวนหลงได้ตามไปอีกคนเท่านั้นเพียงแค่ผลักประตูให้เปิดกว้างขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวขาเข้าไปในห้อง กลิ่นเหม็นอับชื้นพิกลก็พุ่งมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสามเข้าอย่างจังจนฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ แม้ว่าศาลเทพมังกรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแต่ก็ทำได้เพียงภายนอก เครื่องเรือนรวมทั้งผนังห้องที่ทำจากไม้ภายในล้วนแล้วแต่ผุพังจากความชื้นที่ผ่านฝนย่ำลมหนาวเยือนไม่เคยเจอแสงแดดมายาวนาน ภายในห้องขนาดใหญ่มีชั้นหนังสือและชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านเขียนตำรา มองอย่างไรก็คือห้องหนังสือดีๆ นี่เอง เพียงแต่เป็นห้องหนังสือที่กว้างขวางมีโต๊ะเก้าอี้อยู่หลายชุด คล้ายว่าเป็นห้องหนังสือส่วนรวมประจำตระกูลอ๋าวในอดีตหาใช่ห้องส่วนตัวไม่ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับอ๋าวหลวนเซี่ยเอาแต่ตื่นตาตื่นใจกับสมบัติล้ำค่าที่คาดว่าจะเป็นตำรายุทธ์ มรดกตกทอดที่
อ๋าวซีเค่อและอ๋าวหลวนตงสองพ่อลูกเจ้าปัญหาไม่กล้าท้วงติงอะไรสักประโยค แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในตัวอ๋าวหลวนหลงอยู่หลายประการ แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังทำทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่เป็นผลดีกับสกุลอ๋าว รวมทั้งสองพ่อลูกก็ได้เห็นตำราฉบับซ่อมแซมที่อ๋าวหลวนหลงแก้ไขมันด้วยตาตนเอง“หลวนหลง เรื่องสมบัติในศาลเทพมังกรเราก็ได้รู้กันแล้วว่าเป็นตำรายุทธ์ แล้วเรื่องที่จะสอนให้ทายาทคนอื่นๆ รู้วิธีการโคจรลมปราณเล่า เจ้าจะเริ่มสอนเลยดีหรือไม่”พี่น้องทุกคนได้ยินคำถามของคุณชายสามอ๋าวหลวนกังแล้วก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงการสอนพี่น้องคนอื่นๆ ในบ้านสายหลัก“ในศาลเทพมังกรไม่ได้มีเพียงวิชายุทธ์ขอรับพี่สาม ด้านในยังมีบันทึกการบำเพ็ญเพียรที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษหลายคน ในนั้นได้บ่งบอกระดับชั้นของผู้ฝึกตนว่ามีการแบ่งแยกเป็น ขั้นผู้ใช้ปราณ ขั้นสร้างรากฐาน ขั้นควบคุมปราณ ขั้นก่อกำเนิด และยังมีระดับขั้นที่สูงกว่านี้อีก” อ๋าวหลวนหลงยังไม่ได้สำรวจตำราทุกเล่มภายในศาลเทพมังกร แต่ที่ตนเห็นยังไม่มีบันทึกเล่มใดที่กล่าวถึงการฝึกฝนไปถึงระดับชั้นเซียนเลยสักเล่มคาดเดาว่าบรรพบุรุษสกุลอ๋าวที่ริเริ่มสะสมตำราเหล่าน
เวยวั่งซูกับซินหรูอี้เดินทางมาถึงจวนตระกูลอ๋าวแล้วก็ต้องทำตาโต เฉพาะกำแพงหน้าจวนตระกูลอ๋าวก็ครอบครองพื้นที่ยาวตลอดถนนสายหนึ่งในเมืองหลงเทียนได้แล้ว พื้นที่ด้านหลังจวนยังมีภูเขาเล็กๆ อยู่อีกหนึ่งลูก ซึ่งน่าจะอยู่ในอาณาเขตของตระกูลอ๋าวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลงเทียนอย่างแน่นอนในคราวแรกคนเฝ้าประตูทำสีหน้ารังเกียจพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อซินหรูอี้แจ้งความประสงค์ว่าจะมาขอพบคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลง บุรุษวัยกลางคนก็รีบเชื้อเชิญให้ไปรอด้านในโดยที่มีเด็กหนุ่มอีกคนรีบวิ่งไปแจ้งกับคุณชายสี่ทันที“อ๋าวหลวนหลงผู้นี้เป็นคุณชายสี่แต่ได้รับความเกรงใจไม่น้อย ข้าว่าเขาก็คือท่านเซียนหลวนหลงไม่ผิดตัวแน่แล้วล่ะหรูอี้ สกุลใหญ่เช่นนี้อย่างไรคงไม่ได้ความสำคัญกับคุณชายลำดับหลังๆ ถึงเพียงนี้หรอกหากไม่เป็นเพราะคนผู้นั้นมีความสามารถสูงพอ”เวยวั่งซูกล่าวจบก็ต้องขมวดคิ้วมองหน้าสตรีข้างกายด้วยความฉงน เพราะเวลานี้ซินหรูอี้กำลังปิดปากหัวเราะจนตาปิดพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง“เป็นท่านนี่เองวั่งซู” อ๋าวหลวนหลงคนเดิมไม่มีสหายนอกจวน เขามั่นใจเต็มที่ว่าคนที่มาขอพบย่อมเป็นเซียนคนใดคนหนึ่งที่ลงจากแดนสวรรค์มาพร้อ
ลานฝึกยุทธ์จวนสกุลอ๋าว“วันนี้ข้าขอให้ท่านย่าเรียกทุกคนมาก็เพราะข้าจะแนะนำพวกเขาให้ทุกคนรู้จัก สหายข้าเวยวั่งซู ซินหรูอี้ ส่วนฝูซีและหูกุ้ยที่ยืนอยู่ด้วยทุกคนก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว”“นี่มันเรื่องอะไรกันหลวนหลง แค่เจ้ามีสหายใหม่นี่นะ! ถึงกับต้องให้ผู้นำตระกูลเรียกรวมพลเชียวหรือ!” อ๋าวซีเค่อสบถเสียงดัง กระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง“หากท่านลุงรองไม่เหนื่อยเกินไปก็อดทนรออีกสักครู่เถิดขอรับ หรือถ้านั่งไม่ไหวก็ขอให้พี่รองพาท่านกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้”“เพ่ย!! ข้ายังไม่แก่ขนาดนั้น! เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามา! หวังว่าคงไม่ใช่คิดอยากพาคนเข้ามาขอพักอาศัยสุ่มสี่สุ่มห้าก็แล้วกัน” อ๋าวซีเค่อมองดูเวยวั่งซูกับซินหรูอี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาถูกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามอ๋าวหลวนหลงเริ่มต้นโดยให้เวยวั่งซูและซินหรูอี้เล่าถึงสถานการณ์ของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายนอกออกมาก่อน เป็นเพราะเมืองหลงเทียนมีตระกูลอ๋าวเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง อีกตระกูลที่บูชาเทพและมีผู้ฝึกตนอยู่ในสกุลก็คือสกุลกัวบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่ากัว คนในเมืองหลงเทียนและพื้นที่โดยรอบจึงไม่ค่อยมีคนมาก่อความวุ่นวาย ชาวเมืองก็ไม่ได้ให้คว
เกาะลอย“พี่สี่เสิน หมดฤดูหนาวมาพักใหญ่แล้วแต่เกาะลอยยังไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนตัวไปทางอื่นเลย” “เอ้า!! ก่อนหน้านี้ก็เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่บอกว่าอยากอยู่ที่นี่นานๆ ที่นี่งดงาม บรรยากาศดีอะไรต่อมิอะไรสารพัด มาทีนี้เกิดอยากจะออกไปท่องเที่ยวอีกแล้วหรือไร”“เปล่าซะหน่อย ข้าก็แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ เป็นแบบนี้ก็ดีเช่นกันพวกเราจะได้มีเวลาเพาะปลูกต้นท้อได้”“ใช่ ข้าก็คิดว่าถึงเวลาที่เราจะเริ่มปลูกกันเสียที ข้าหยุดงานมานานจนชักจะติดนิสัยขี้เกียจแล้วล่ะ”“แล้วเราจะเริ่มกันอย่างไรดี จอบก็มีแค่สองอัน เรามีเครื่องมืออะไรอีกนะ ข้าไปค้นดูก่อน” เด็กสาวกล่าวจบก็วิ่งไปทางหลังเรือน แบกจอบ กระบุงใส่ดินและคราดมาอีก 1 อันอย่างทุลักทุเล“ก็คงต้องเริ่มจากถางหญ้า เราทำเป็นตัวอย่างให้สัตว์เหล่านั้นดูสักระยะ ข้าเชื่อว่าเดี๋ยวพวกมันก็เข้าใจว่าเรากำลังคิดทำสิ่งใด”“ท่านอย่าเอาเปรียบสัตว์น่ารักเหล่าเด็ดขาด! ครั้งนี้เราสองคนไม่ต้องขนส่งผลไม้ออกไปขายมีเวลาว่างมากมาย ก็ต้องช่วยพวกมันให้สุดกำลัง” มู่เหยาจีเป็นเดือดเป็นแค้นแทนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนางยิ่งนัก คราวก่อนตั้งแต่รู้ว่าพวกมันเก็บผลไม้ได้ มู่สี่เสินก็ใช้
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
“นี่พวกเจ้าไม่คิดจะทำสิ่งอื่นนอกจากเกี้ยวพาราสีกันทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้บ้างหรือไร!” เสียงหวานใสของซินหรูอี้ดังมาแต่ไกล“หรูอี้!! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้พูดแต่คำหวานๆ รักษากิริยาให้สำรวมไว้หน่อยเถิด หากลูกในท้องติดนิสัยโผงผางเช่นเจ้ามาข้าคงต้องกลั้นใจตายสักวันเป็นแน่” เวยวั่งซูชักสีหน้าไม่พอใจแต่สองมือก็ประคองปกป้องร่างภรรยารักเอาไว้ราวกับไข่ในหิน“ท่านก็เลิกวุ่นวายกับชีวิตข้าเสียทีเวยวั่งซู!! ข้ามันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมแต่งให้ท่าน ดูสิทุกวันนี้ข้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนเหนือที่หนาวเย็นจนถึงกระดูก คลอดลูกออกมาเมื่อใดข้าจะย้ายมาอยู่กับเหยาจีที่ทางใต้เสียให้รู้แล้วรู้รอด”“ก็ข้าเป็นผู้ฝึกตนสายน้ำแข็งนี่นา ไม่อยู่กับหิมะจะให้ข้าไปอยู่ในกองเพลิงหรือไร แล้วเมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? คลอดบุตรแล้วเจ้าจะมาอยู่ทางใต้ คิดจะทิ้งเราสองพ่อลูกไว้ทางเหนือเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิด!!" “เจ้าจะหงุดหงิดอันใดนักหนาเล่าวั่งซู นางยังไม่ทันคลอดด้วยซ้ำ ข้าแนะนำให้เอง!! กลับไปแดนเหนือคราวนี้ไม่สู้เจ้าแช่แข็งนางเอาไว้เป็นไร นางจะได้ไม่หนีไปเที่ยวเล่นที่ใดได้อีก”ซินหรูอี้ใช้สองมือประคองท้องกลมโตเดินอาดๆ ม
หญิงสาวก้าวออกมายืนด้านหน้าผู้คนแทนที่อ๋าวหลวนหลง“ชัยชนะของพวกเราในครั้งนี้จะไม่สำเร็จโดยง่ายหากปราศจากพวกเขาเช่นกัน” มู่เหยาจีผายมือไปด้านขวาของนาง สายตามองไปยังสัตว์เลี้ยง 12 ตัวที่ยังรอดชีวิตอยู่“สัตว์ปราณทั้ง 12 ตัว ได้รับผลท้อไปแล้ว 5 ตัว ข้าจะไม่ลังเลเลยที่จะมอบผลท้อสวรรค์อีก 7 ผลให้กับพวกมันอย่างยุติธรรม วันใดที่มนุษย์ไม่อาจไว้วางใจกันเอง พวกท่านโปรดจำเอาไว้ว่าสัตว์ทั้ง 12 จะเป็นผู้ที่ปกป้องท่านจากภยันตรายทั้งปวง”สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว ผีเสื้อเกล็ดแก้ว 7 ตัวก็โบยบินออกไปส่งมอบผลท้อสวรรค์ให้วานรสองตัว สุนัขจิ้งจอกสองตัว หวางผาง เต่าและปลาหมึก“ท้อสวรรค์ 7 ผลที่เหลือข้าจะให้ผีเสื้อเกล็ดแก้วเป็นผู้คัดเลือกผู้โชคดีขึ้นมาตามแบบอย่างที่เคยทำในแดนสวรรค์ และจากนี้ไปผลท้อที่สุกออกมาทั้งหมดก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้เช่นกัน”มู่เหยาจีวาดเรียวแขนงามออกมาโบกสะบัดชายแขนเสื้อยาวกรุยกรายสยายออกเป็นวงกว้างในอากาศพร้อมกับมีร่างของผีเสื้อเกล็ดแก้วลำตัวใสกระจ่างระยิบระยับเจ็ดตัวโบยบินไปวนเวียนอยู่เหนือศีรษะกลุ่มผู้ฝึกตนที่รวมกลุ่มกันอยู่ผู้โชคดีทั้งเจ็ดคนมีทั้งอดีตเซียนที่ลงมาจากแดนสวรรค์และผู้ฝึกต
“ยามนี้บนเกาะลอยที่เหลือเพียงครึ่งไม่มีผลท้อธรรมดาที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเลยสักผล ทำอย่างไรดีพี่สี่เสิน หวางเซี่ยเจ้าต้องหยุดพักรักษาตัวก่อน เราจะหาทางกลับไปเอาผลท้อมาช่วยเจ้ากันเอง!!” หญิงสาวละล่ำละลัก หันพูดทางนั้นทีทางนี้ทีตัดสินใจทำสิ่งใดไม่ถูก“น้องสาว ผลท้อธรรมดาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของหวางเซี่ยได้หรอก ต่อให้เจ้าฝืนเด็ดผลท้อสวรรค์ที่ยังไม่สุกหยิบยื่นให้เขาก็ยังไม่อาจรักษาบาดแผลที่สาหัสนั้นได้ ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการต่อไปเถิด”“ผลท้อช่วยไม่ได้ เช่นนั้นลูกแก้วมังกรของพี่หลวนหลงก็ต้องช่วยได้สิเจ้าคะ ท่านลองส่งสารบอกผีเสื้อเกล็ดแก้วดู ให้พวกเขาพาคุณชายสี่กลับมาที่นี่ก่อน” น้ำตาสองสายไหลออกมาเต็มใบหน้างาม อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา“เจ้าตั้งสติให้ดีๆ อวัยวะภายในของหวางเซี่ยเสียหายรุนแรงเกินไป หาใช่ขาดแล้วเชื่อมต่อใหม่ได้เหมือนอย่างเส้นเอ็นของหลวนหลง เจ้าดูดวงตาของฝูซีสิ สิ่งที่ขาดหายไปแล้วน้ำลายมังกรไม่อาจสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้มู่เหยาจีก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงอันหนักหน่วงบนร่างกายสหายรักใต้น้ำสองพี่น้องเดินลงไปที่ชายหาดจุดเดิมที
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของนกอินทรียักษ์รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด เพียงไม่นานมันก็พาอ๋าวหลวนหลงมาพบกับกลุ่มผีเสื้อเกล็ดแก้วที่กำลังรุมล้อมรอบเกาะลอยพุ่งโจมตีไส้เดือนปีศาจยี่สิบตัวกันไม่ยั้งมือ“นั่นมัน!!” ดวงตาคมกริบของอ๋าวหลวนหลงเบิกค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาก็พลันถูกกลืนลงคอไปด้วยความตื่นตะลึงชายหนุ่มขยี้ตาซ้ำๆ อีกหลายครั้งและสุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาตาไม่ฝาด ยามนี้บนต้นท้อสวรรค์มีผลท้อสีเขียวอมชมพูส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลล่องลอยไปทั่วบริเวณ“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ท้อสวรรค์ออกผลอีกแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ผลงานของเหยาจีนี่ดูท่าจะลูกดกดีแท้!!” กล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องรีบจับขนหลังคอนกอินทรีตัวเขื่องเอาไว้แน่น เจ้านกยักษ์แกล้งบินลงต่ำกะทันหันด้วยความหมั่นไส้กับคำพูดที่กำกวมของมนุษย์ไร้ขนที่ขี่หลังมันอยู่“ข้าหมายถึงผลท้อ เจ้าจะขัดเคืองอันใดนักหนา!!” อ๋าวหลวนหลงเอื้อมมือไปตบหัวนกอินทรีทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำที่ถูกจับได้ว่าแอบคิดนอกลู่นอกทางในยามคับขัน“พวกเขาจัดการเจ้าหนอนเหล่านี้ได้แน่นอน เราต้องไปช่วยทางนั้น” อ๋าวหลวนหลงชี้มือไปยังบริเวณชายหาดเพิกเฉยกับการต
“ข้ายังมีพลังอ่อนด้อยเกินไป ไม่สามารถติดต่อกับผีเสื้อเกล็ดแก้วที่อยู่ทางใต้ไม่ได้ แต่การที่หวางเซี่ยและคู่ของมันลุกขึ้นมาสู้สุดใจเช่นนี้อาจเกิดเรื่องกับทางหลวนหลง” ฝูซีเอ่ยปากอย่างร้อนรน“คุณชายสี่อยู่ทางนั้นเพียงลำพังหรือเจ้าคะ” มู่เหยาจีก็เพิ่งรู้ว่าอ๋าวหลวนหลงไม่ได้อยู่ร่วมการต่อสู้ทางชายหาดบริเวณนี้“ใช่ เขาต้องรีบผนึกรอยแยกใต้ทะเล ทางนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยให้พวกมันขึ้นมาบริเวณน้ำตื้นเพื่อจัดการมันได้ง่ายหน่อย แต่จะไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นฝั่ง การที่หวางเซี่ยพาเกาะลอยกลับลงทะเลลึกอยู่นอกเหนือจากที่เราตกลงกันไว้”“เช่นนั้นข้าจะส่งนกอินทรีออกไปสืบข่าว” ต้าโหวจื้อกระโดดลงจากหลังนกอินทรี แล้วปล่อยให้นกยักษ์บินกลับไปเพียงลำพังเพราะตัวเขายังมีประโยชน์ในการสู้รบกับกลุ่มปีศาจมากมายที่มารวมตัวกันบริเวณนี้ไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ไตร่ตรองสิ่งใดต่อไป สัตว์ปีศาจที่เล็ดลอดออกจากรอยแยกใต้ทะเลรวมกับกลุ่มที่หลอกล่อให้มนุษย์หลงไปผิดทางก็มีไม่น้อย พวกเขายังไม่สามารถจัดการมันได้ทั้งหมดหากปราศจากความช่วยเหลือจากผีเสื้อเกล็ดแก้วที่แข็งแกร่งทั้งหกพันตัวอินทรียักษ์บินเลยผ่านหวางเซี่ยที่เคลื่อนตัวไปได้
เมื่อเห็นหวางเซี่ยพยายามชิงพื้นที่การควบคุมเกาะลอยใต้น้ำไว้อย่างยากลำบาก ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหกคนก็มุ่งเข้ามาช่วยเหลือปูยักษ์สองสามีภรรยาโดยพร้อมเพรียงกัน“เหยาจี!! เป็นอย่างไรบ้าง” มู่สี่เสินทะยานขึ้นไปบนเกาะไปหาน้องสาวเป็นคนแรก“พี่สี่เสินข้าปลอดภัย พวกมันกำลังพยายามจะขึ้นไปบนฝั่งเจ้าค่ะ”“ฝูซีก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เราจะไม่ยอมให้พวกมันเอาต้นท้อสวรรค์กลับลงไปยังแดนปีศาจได้สำเร็จแน่นอน”“พวกเราต้องช่วยหวางเซี่ย ไส้เดือนปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งมากอีกไม่นานหวางเซี่ยอาจจะทนต่อไปไม่ไหวเจ้าค่ะ”หญิงสาวสงสารและเป็นห่วงปูยักษ์จับใจ ขาทั้งแปดของหวางเซี่ยขยับเขยื้อนได้เพียงเล็กน้อย ความสามารถในการป้องกันตัวแทบจะเป็นศูนย์ แต่โชคดีที่มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าไส้เดือนตาบอดเหล่านั้นจึงยังใช้กระดองดันไส้เดือนปีศาจให้อยู่รอบนอกโดยมันควบคุมพื้นที่ใต้เกาะลอยส่วนใหญ่เอาไว้ได้พอดิบพอดีมู่สี่เสินคว้ามือของน้องสาวย่อตัวลงเล็กน้อยและออกแรงกระโดดขึ้นไปอยู่บนร่างของวานรทั้งสองตัวเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับปีศาจไส้เดือนที่กำลังพยายามยึดเอาเกาะลอยกลับคืนมาจากหวางเซี่ย……….รอยแยกใต้ทะเลลึกผีเสื้อเกล็ดแก้
ทางด้านบนนกอินทรีสองตัวก็ได้ยินคำสั่งของมู่สี่เสินแล้วเช่นกัน พวกมันส่งเสียงร้องเรียกสมาชิกสัตว์ปีกในบริเวณใกล้เคียงออกมาทั้งหมดฝูงนกจำนวนมหาศาลไม่ว่าเล็กหรือใหญ่คาบก้อนหินไว้ในปากแล้วทิ้งลงไปในน้ำเป็นการเปิดฉากการต่อสู้และสกัดกั้นให้ปีศาจเคลื่อนตัวได้ช้าลง หวางเซี่ยและคู่พามนุษย์เต็มแผ่นหลังแหวกว่ายขึ้นสู่ชายฝั่งทางทิศตะวันออกได้ก่อนที่ศัตรูจะฝ่าฝนหินขึ้นสู่ชายหาดได้ทันเวลา มันสองสามีภรรยาหันหลังให้กับท้องทะเลใช้กระดองอันใหญ่โตปกป้องผู้ฝึกตนให้รอดพ้นจากหนามแหลมคมที่สลัดออกมาจากสัตว์ปีศาจคล้ายเม่น“สร้างแนวป้องกันไว้อย่าให้พวกมันขึ้นมาได้!!""โจมตี!!”“โจมตี!!”"กี้ดดดด!!!เสียงกรีดร้องจากสัตว์ปีศาจดังระงมขึ้นมาในชั่วพริบตา พวกมันเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตีทั้งในน้ำบนบกและทางอากาศพร้อมกันในขณะที่ยังตั้งตัวไม่ทัน“กี้ดๆๆๆๆๆ!!!”“พวกมันกำลังส่งสัญญาณถึงกัน อีกไม่นานพวกมันจะมุ่งหน้ามาทางนี้เพิ่มขึ้น จัดการพวกที่อยู่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด!!”แม้อ๋าวหลวนหลงจะสั่งเอาไว้ว่าให้พวกเขารอจนกว่าเขาและผีเสื้อเกล็ดแก้วจะมาถึง แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ฝูซีจำต้องขัดคำสั่ง เขาจะปล่อยให้ปีศาจเหล่านี้ขึ้
ต้าโหวจื้อขึ้นขี่หลังนกอินทรีและออกไปสำรวจเส้นทางเบื้องหน้า ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามนกอินทรีก็บินโฉบมาที่เรือของฝูซีเพื่อรายงานข่าว“พวกมันไม่ได้มุ่งหน้าไปกลางมหาสมุทร แต่กำลังอ้อมไปขึ้นฝั่งอีกด้านหนึ่งทางตะวันออก” “มันกำลังล่อเราให้มุ่งหน้าไปผิดทาง!!” เวยวั่งซูเข้าใจได้ในทันที กลุ่มสัตว์ปีศาจที่ออกจากรอยแยกก้นทะเลทำทีว่าพวกมันต้องการติดตามต้นท้อสวรรค์ไปจนแทบจะไม่สนใจเข้าร่วมการต่อสู้กับกลุ่มมนุษย์ ที่แท้สัตว์ปีศาจไส้เดือนมีเกล็ดกลับแยกออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อหาทางนำต้นท้อสวรรค์ขึ้นบก“พวกมันดึงต้นท้อผ่านรอยแยกใต้ทะเลไปแดนปีศาจไม่ได้จึงต้องหาทางกลับเข้าฝั่ง” ฝูซีประเมินความคิดของศัตรูได้อย่างแม่นยำ“ต้าโหวจื้อ! เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าไม่มีรอยแยกบนแผ่นดินเพิ่มขึ้นมาอีก”“วางใจได้ข้าสำรวจอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ที่พวกมันไม่ส่งสัตว์ปีศาจออกมาจากรอยแยกบนแผ่นดินเพิ่มก็เพื่อลวงเราให้คลายการป้องกันเป็นแน่”“เราจะทิ้งกำลังคนส่วนหนึ่งแสร้งลอยเรือไล่ตามพวกมันไปดังเดิม ส่วนสัตว์ทุกตัวก็ให้ซ่อนกำลังคนส่วนใหญ่กลับเข้าฝั่ง” ฝูซีออกคำสั่ง“พวกเราจะกลับไปป้องกันรอยแยกทั้งสองแห่งเอาไว้ใช่หรือไม่ฝูซี” ซินหรูอี้กั
อ๋าวหลวนหลงเดินตามฝูซีและกลุ่มพี่น้องเข้ามาในเรือนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำไม่เป็นส่ำ เมื่อเข้ามาด้านในก็พบร่างของมู่สี่เสินกำลังก้มหน้านิ่งสีหน้าเคร่งเครียด เวยวั่งซูและซินหรูอี้ประกบอยู่ข้างกายเขาและกำลังพูดคุยกันเสียงเบาคล้ายกำลังปลอบประโลมอีกฝ่ายอยู่ก้อนโทสะและความหวาดกลัวอันแน่นไปทั่วร่างของชายหนุ่ม คาดเดาการหายไปของเกาะลอยบางส่วนได้อย่างรวดเร็ว“คนที่ได้กินผลท้อสวรรค์ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ยกเว้นมู่เหยาจี!!” อ๋าวหลวนหลงกัดกรามเอาไว้แน่น จ้องมองไปที่ดวงตาของมู่สี่เสินไม่กะพริบ หากมู่สี่เสินมีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เขาก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ออกมาไม่ยั้งเช่นกัน!!ลมหายใจของอ๋าวหลวนหลงขาดห้วงไปนานหลายอึดใจ และในที่สุดมู่สี่เสินก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาดีเหลือเกิน!! แววตาของมู่สี่เสินมีเพียงความโกรธแค้นและทุกข์ใจหาได้มีน้ำตาไหลออกมาเฉกเช่นคนที่สูญเสีย!!อ๋าวหลวนหลงถึงกับพรั่งพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด หัวใจที่แขวนเอาไว้สูงเมื่อครู่ค่อยๆ ลดลงมาถึงระดับปกติ แต่สีหน้ายังคงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย“ข้าพร้อมแล้วฝูซี เล่ามา!!”ฝูซีเล่าเหตุการณ์ในช่วงสี่วันที่อ๋าวหลวนหลงหลับไม่ได้สติออกมาช้าๆ