เวยวั่งซูกับซินหรูอี้เดินทางมาถึงจวนตระกูลอ๋าวแล้วก็ต้องทำตาโต เฉพาะกำแพงหน้าจวนตระกูลอ๋าวก็ครอบครองพื้นที่ยาวตลอดถนนสายหนึ่งในเมืองหลงเทียนได้แล้ว พื้นที่ด้านหลังจวนยังมีภูเขาเล็กๆ อยู่อีกหนึ่งลูก ซึ่งน่าจะอยู่ในอาณาเขตของตระกูลอ๋าวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลงเทียนอย่างแน่นอนในคราวแรกคนเฝ้าประตูทำสีหน้ารังเกียจพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อซินหรูอี้แจ้งความประสงค์ว่าจะมาขอพบคุณชายสี่อ๋าวหลวนหลง บุรุษวัยกลางคนก็รีบเชื้อเชิญให้ไปรอด้านในโดยที่มีเด็กหนุ่มอีกคนรีบวิ่งไปแจ้งกับคุณชายสี่ทันที“อ๋าวหลวนหลงผู้นี้เป็นคุณชายสี่แต่ได้รับความเกรงใจไม่น้อย ข้าว่าเขาก็คือท่านเซียนหลวนหลงไม่ผิดตัวแน่แล้วล่ะหรูอี้ สกุลใหญ่เช่นนี้อย่างไรคงไม่ได้ความสำคัญกับคุณชายลำดับหลังๆ ถึงเพียงนี้หรอกหากไม่เป็นเพราะคนผู้นั้นมีความสามารถสูงพอ”เวยวั่งซูกล่าวจบก็ต้องขมวดคิ้วมองหน้าสตรีข้างกายด้วยความฉงน เพราะเวลานี้ซินหรูอี้กำลังปิดปากหัวเราะจนตาปิดพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง“เป็นท่านนี่เองวั่งซู” อ๋าวหลวนหลงคนเดิมไม่มีสหายนอกจวน เขามั่นใจเต็มที่ว่าคนที่มาขอพบย่อมเป็นเซียนคนใดคนหนึ่งที่ลงจากแดนสวรรค์มาพร้อ
ลานฝึกยุทธ์จวนสกุลอ๋าว“วันนี้ข้าขอให้ท่านย่าเรียกทุกคนมาก็เพราะข้าจะแนะนำพวกเขาให้ทุกคนรู้จัก สหายข้าเวยวั่งซู ซินหรูอี้ ส่วนฝูซีและหูกุ้ยที่ยืนอยู่ด้วยทุกคนก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว”“นี่มันเรื่องอะไรกันหลวนหลง แค่เจ้ามีสหายใหม่นี่นะ! ถึงกับต้องให้ผู้นำตระกูลเรียกรวมพลเชียวหรือ!” อ๋าวซีเค่อสบถเสียงดัง กระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง“หากท่านลุงรองไม่เหนื่อยเกินไปก็อดทนรออีกสักครู่เถิดขอรับ หรือถ้านั่งไม่ไหวก็ขอให้พี่รองพาท่านกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้”“เพ่ย!! ข้ายังไม่แก่ขนาดนั้น! เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามา! หวังว่าคงไม่ใช่คิดอยากพาคนเข้ามาขอพักอาศัยสุ่มสี่สุ่มห้าก็แล้วกัน” อ๋าวซีเค่อมองดูเวยวั่งซูกับซินหรูอี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาถูกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามอ๋าวหลวนหลงเริ่มต้นโดยให้เวยวั่งซูและซินหรูอี้เล่าถึงสถานการณ์ของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายนอกออกมาก่อน เป็นเพราะเมืองหลงเทียนมีตระกูลอ๋าวเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง อีกตระกูลที่บูชาเทพและมีผู้ฝึกตนอยู่ในสกุลก็คือสกุลกัวบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่ากัว คนในเมืองหลงเทียนและพื้นที่โดยรอบจึงไม่ค่อยมีคนมาก่อความวุ่นวาย ชาวเมืองก็ไม่ได้ให้คว
เกาะลอย“พี่สี่เสิน หมดฤดูหนาวมาพักใหญ่แล้วแต่เกาะลอยยังไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนตัวไปทางอื่นเลย” “เอ้า!! ก่อนหน้านี้ก็เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่บอกว่าอยากอยู่ที่นี่นานๆ ที่นี่งดงาม บรรยากาศดีอะไรต่อมิอะไรสารพัด มาทีนี้เกิดอยากจะออกไปท่องเที่ยวอีกแล้วหรือไร”“เปล่าซะหน่อย ข้าก็แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ เป็นแบบนี้ก็ดีเช่นกันพวกเราจะได้มีเวลาเพาะปลูกต้นท้อได้”“ใช่ ข้าก็คิดว่าถึงเวลาที่เราจะเริ่มปลูกกันเสียที ข้าหยุดงานมานานจนชักจะติดนิสัยขี้เกียจแล้วล่ะ”“แล้วเราจะเริ่มกันอย่างไรดี จอบก็มีแค่สองอัน เรามีเครื่องมืออะไรอีกนะ ข้าไปค้นดูก่อน” เด็กสาวกล่าวจบก็วิ่งไปทางหลังเรือน แบกจอบ กระบุงใส่ดินและคราดมาอีก 1 อันอย่างทุลักทุเล“ก็คงต้องเริ่มจากถางหญ้า เราทำเป็นตัวอย่างให้สัตว์เหล่านั้นดูสักระยะ ข้าเชื่อว่าเดี๋ยวพวกมันก็เข้าใจว่าเรากำลังคิดทำสิ่งใด”“ท่านอย่าเอาเปรียบสัตว์น่ารักเหล่าเด็ดขาด! ครั้งนี้เราสองคนไม่ต้องขนส่งผลไม้ออกไปขายมีเวลาว่างมากมาย ก็ต้องช่วยพวกมันให้สุดกำลัง” มู่เหยาจีเป็นเดือดเป็นแค้นแทนสัตว์ตัวเล็กๆ ของนางยิ่งนัก คราวก่อนตั้งแต่รู้ว่าพวกมันเก็บผลไม้ได้ มู่สี่เสินก็ใช้
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
ได้ยินเช่นนี้ทั้งมู่สี่เสินและมู่เหยาจีต่างก็ดีใจกันมาก ครั้งนี้โชคดีที่เกาะลอยยอมเคลื่อนที่มาที่เกาะจิงเหมิน พวกเขาจำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารไว้ให้มากกว่าเดิม ป้องกันการขาดแคลนในอนาคตหากว่าเกาะลอยเคลื่อนตัวไปอยู่กลางมหาสมุทรที่ห่างไกลอีกครั้ง“ดีเลยเจ้าค่ะ อีกครึ่งเดือนผลท้อบนเกาะก็น่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เราจะได้เอาพวกมันมาขายด้วย”“ผลท้อ? ผลท้อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหลานสาว"“ก็ลูกสีแดงๆ ขนาดประมาณเท่านี้อย่างไรเจ้าคะ” มู่เหยาจีทำมือกะขนาดให้เกาโหลวดู“นั่นมันผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ไม่ใช่หรือ? ก็ไหนพวกเจ้าว่าบนเกาะลอยไม่มีผิงกั่วอย่างไรเล่า?"“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ผิงกั่ว ดอก ผล ใบและกิ่งท้อล้วนเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้นท่านอาเกาไม่รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ”เกาโหลวกับชาวบ้านขมวดคิ้วพยายามคิดถึงผลไม้ดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อหรือสรรพคุณที่ดีงามของผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว“เอาไว้ข้าข้ามไปแผ่นดินใหญ่แล้วจะลองถามคนที่นั่นดู บางทีอาจเป็นผลไม้ทางเหนือที่เมืองหยุนไห่ของพวกเราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้”มู่สี่เสินและมู่เหยาจีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หากผลท้อไม่มีปลูกที่เม
วันต่อๆ มามู่สี่เสินและมู่เหยาจีก็ได้เรือขนาดใหญ่ลำใหม่จากการช่วยเหลือของหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวมา 2 ลำ พวกเขาจึงคืนเรือสองลำเดิมรวมทั้งแพให้กับเกาโหลวไป “เรือสองลำนี้เราบรรจุผลไม้ได้ถึง 160 ตะกร้าเลยทีเดียวขอรับ ครั้งนี้การทยอยเอาผลไม้ทั้งหมดออกจากเกาะลอยคงเสร็จเร็วกว่าเก่า”“พวกเจ้าปลูกต้นท้อเอาไว้อีก 200 กว่าต้นมิใช่หรือ ข้าว่าคงจะใช้เวลา 3 เดือนดังเดิมนั่นล่ะ นอกจากเรือแล้วเจ้าอยากได้สิ่งใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมการหาซื้อไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ"“ข้าวสารขอรับ แล้วก็ผ้า หากลมหนาวมาเยือนอีกครั้งข้าไม่มั่นใจว่าเกาะลอยจะพาเราไปที่ใดอีก และยังไม่รู้ว่าจะนานเท่าใดมันจึงจะยอมเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสบียงอาหารของใช้จำเป็นอะไรเพิ่มเติมจากนี้ข้าจะให้เหยาจีจดมาส่งให้ท่านเอง”ระหว่างที่เกาโหลวกับมู่สี่เสินกำลังสนทนากันอยู่ ร่างสามร่างของอู๋ฉ่าง นางลู่และอู๋หนิง ก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดตรงเข้ามาบริเวณเรือที่รับส่งสินค้า“คุณชายคุณหนู เราสามคนมาขอบคุณพวกท่านขอรับ” อู๋ฉ่างเป็นคนนำภรรยาและบุตรสาวคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับสองพี่น้องด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ“พี่ชาย พี่สาว!! ท่านลุกขึ้นก่อน! ไม่เห็นต้องทำ
“นั่นสี่เสินแน่แล้ว! เราขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกสักนิดให้เขาเห็นเราชัดๆ จะดีกว่า”มู่สี่เสินจ้องมองตำแหน่งของวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรือของเกาโหลวและกู้หยุนเคลื่อนที่มาใกล้กองเพลิงเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเกาโหลวและกู้หยุนกำลังโบกผ้าสีขาวในมือไปมาอยู่บนเรือ“ท่านอาเกา!! ท่านอากู้!! เกิดอะไรขึ้นขอรับเหตุใดจึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้” ชายหนุ่มรีบเร่งฝีพายเข้ามาหาคนทั้งคู่และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังช่วยกันวิดน้ำดับกองไฟที่จุดเผาเรือลำเก่าที่ตนเคยใช้กันพัลวัน“ช่วยกันดับไฟก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นก่อนสี่เสิน เดี๋ยวเจ้าพาเราสองคนเข้าไปที่เกาะลอยแล้วค่อยคุยกัน”ดับไฟและจมซากเรือลำเก่าลงสู้ก้นทะเลแล้ว คนทั้งสามก็ยังคงลอยเรือจับตาดูความเคลื่อนไหวบนผืนน้ำรอบๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนเกาโหลวแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา มู่สี่เสินจึงได้พาคนทั้งคู่กลับมาที่เกาะลอย“ท่านอาเกา ท่านอากู้ เป็นพวกท่านเองหรือเจ้าคะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงไฟเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร” มู่เหยาจีย่ำลงน้ำเดินมาหาคนทั้งสามอย่างร้อนใจ“เหยาจี น้ำเย็นมากเจ้าทำไมไม่ไปรอข้างบนฝั่ง รีบกลับขึ้นไปก่อน”“จะให้ข้ายืนรอเฉยๆ ได้อย่างไรพี่สี่เ
อ๋าวหลวนหลงพาอดีตเซียนที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเดินทางไปด้วยกันอีกสี่คนไม่นับรวมเขากับฝูซี แต่ไม่ยินยอมให้ทายาทหรือผู้ติดตามคนอื่นจากสกุลอ๋าวร่วมทางมาด้วยอีกเลยนอกจากอ๋าวหลวนหย่งตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยการทำงานหนักของอ๋าวซีเค่อกับอ๋าวหลวนตงที่ออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมกับภายหลังฝูซีและเวยวั่งซูก็ออกไปรวบรวมท่านเซียนไร้สกุลที่ยังเคว้งคว้างอยู่มาเข้ากลุ่มกันไว้ก็มีไม่น้อย ทำให้ขอบเขตของกองกำลังสกุลอ๋าวยังมีแนวร่วมที่กระจายตัวอยู่ในหลายเมืองในเขตเทือกเขาที่มีทายาทสกุลอ๋าวสายรองมาคอยดูแลอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นอ๋าวหลวนหลงเดินทางผ่านทางมาก็รีบเข้าไปทักทาย“คุณชายสี่ คุณชายห้า พวกท่านกับสหายจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”“เรากำลังจะข้ามไปที่เมืองหยวนเปียว ทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่” “ไม่มีขอรับ เขตแนวภูเขาฝากนี้มีกองกำลังที่เป็นมิตรกับสกุลอ๋าวของเราไม่น้อย แต่ที่เมืองหยวนเปียวไม่ใช่ว่าเป็นเขตติดต่อของสกุลเหลาหรอกหรือคุณชาย”“ใช่ ข้ามีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี พวกเจ้าตามสบายเถิดพวกเราจะเร่งเดินทางกันต่อ”“รอก่อนคุณชายสี่! เมืองหยวนเปียวไม่น่าจะปลอดภัยเท่าใดนัก ข้าจะไปตามคนให้ต
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ หากสัตว์เลี้ยงของข้ายังคงมีอายุขัยยืนยาวดังเดิม พวกมันบางตัวที่ได้กินท้อโอสถแล้วพูดได้ทำไมจึงไม่พูดคุยกับข้าบ้าง”“ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ก็คือข้าต้องรีบรวบรวมลมปราณให้สำเร็จ แล้วฟื้นฟูความสามารถเรื่องการสื่อสารกับพวกมันอีกครั้ง”“ใช่แล้ว!! ท่านเป็นทูตสวรรค์มาก่อนนี่นา ท่านสามารถสื่อสารกับสัตว์เทพและสัตว์ต่างสายพันธุ์บนแดนสวรรค์ได้ พี่สี่เสินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย”“เห็นหรือไม่เหยาจี แม้ว่าข้าจะไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้แต่ความสามารถในการสื่อสารของข้าก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เจ้าเองก็อย่าละเลยเรื่องการรวบรวมปราณเด็ดขาดเลยเชียว”“แต่พี่สี่เสิน ถึงแม้เวลานี้เราจะยังไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าจะพูดได้ดังเดิมหรือไม่ แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันกำลังปกป้องเราอยู่ แล้วอย่างนี้พี่ยังคิดจะออกจากเกาะไปเรียนวิชายุทธ์อีกหรือเจ้าคะ”“ท่านอาเกาบอกว่าผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน พวกเขาก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเข่นฆ่าสังหารกันเกิดขึ้น เรายังวางใจไม่ได้นะเหยาจี”“แล้วเซียนสายพฤกษาอย่างข้าจะฝึกฝนอะไร ความทรงจำเดิมของข้าก็ไม่เคยมีเรื่องที่เกี่ยวกับพลังการโจมตีแม้แต่น้อย
“พวกท่านพายต่อไปหาเหยาจี นางอยู่ข้างหลังข้า!” มู่สี่เสินต้อนเรือเล็กให้เข้ามาในพื้นที่เกาะลอยทีละลำ บนเรือแต่ละลำมีชาวบ้านที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนรวมทั้งครอบครัวของหนูน้อยหนิงเอ๋อร์ที่เหยาจีเคยช่วยเหลือเอาไว้ด้วย“ท่านอาหญิงแล้วท่านอาเกาเล่าเจ้าคะ” “สามีข้ากับสหายควบคุมเรือใหญ่ที่บรรทุกเสบียงอาหาร เรือหนักมากมันเคลื่อนตัวได้ช้า ข้าก็ห่วงเขาเหลือเกิน เจ้าสองคนช่วยพวกเขาได้หรือไม่”“ท่านอาหญิงใจเย็นๆ เจ้าค่ะ เราต้องรอให้เขาเข้ามาถึงเขตของเกาะลอย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”“ท่านอา หากคิดว่าไม่ทันท่านโดดลงน้ำว่ายมาหาข้า!! ทิ้งเรือไปเสีย! ทิ้งเรือไป!” เสียงมู่สี่เสินตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เบื้องหน้า เกาโหลวกับกู้หยุนควบคุมเรือร่วมกับสหายลำละสี่คน พวกเขาหันมาสบตากัน แม้ว่าจะมีชาวบ้านเต็มใจจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่เกาะลอยไม่ถึง 40 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ใช้เงินของมู่สี่เสินแจกจ่ายให้ชาวบ้านคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งหลักที่อื่นไม่น้อย เสบียงอาหารในเรือทั้งสองลำที่ซื้อมาด้วยเงินของสองพี่น้องสกุลมู่พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้“ออกแรงอีก! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”ทางฝ่ายมู่เหยาจีนางและชาวบ้านที่ข้ามเขตมาแ
“เหยาจี เมื่อครู่ท่านอาเกาบอกเรื่องหนึ่งกับข้าซึ่งเจ้าก็ควรจะรู้ไว้เช่นกัน”มองดูใบหน้างามของน้องสาวแล้วมู่สี่เสินก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตนเองและน้องสาวจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบบนเกาะลอยที่ปลอดภัยได้อยู่แล้วเชียว“บนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าเราจะลงมายังแดนมนุษย์ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะฟื้นฟูการฝึกฝนกันเข้าพอดี”“ผู้ฝึกตน? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าท่านมหาเทพมู่ซีบอกว่าแดนสวรรค์ยึดสมบัติเทพ สิ่งของแทนเทพรวมทั้งพืชผักผลไม้เสริมปราณจากแดนมนุษย์ไปหมดแล้ว พวกเขายังอยากจะฝึกฝนกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”“ใช่ นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าทวยเทพในอดีต พวกเขาคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถขึ้นมาแดนสวรรค์ได้อีก ก็คงล้มเลิกความคิดในการฝึกฝนไปในที่สุด แต่เวลานี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”“นี่คือเรื่องที่ท่านอาร้อนใจจนต้องพายเรือมายามดึกดื่นเพื่อเตือนพวกเราสองคน?”“นั่นก็ใช่อีก จากที่ท่านอาเกาเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่ เมื่อก่อนผู้ฝึกตนก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ดีๆ ก็เกิดสำนักและตระกูลใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่เคยมีผู้นำจึงกำลั
“นั่นสี่เสินแน่แล้ว! เราขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกสักนิดให้เขาเห็นเราชัดๆ จะดีกว่า”มู่สี่เสินจ้องมองตำแหน่งของวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรือของเกาโหลวและกู้หยุนเคลื่อนที่มาใกล้กองเพลิงเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเกาโหลวและกู้หยุนกำลังโบกผ้าสีขาวในมือไปมาอยู่บนเรือ“ท่านอาเกา!! ท่านอากู้!! เกิดอะไรขึ้นขอรับเหตุใดจึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้” ชายหนุ่มรีบเร่งฝีพายเข้ามาหาคนทั้งคู่และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังช่วยกันวิดน้ำดับกองไฟที่จุดเผาเรือลำเก่าที่ตนเคยใช้กันพัลวัน“ช่วยกันดับไฟก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นก่อนสี่เสิน เดี๋ยวเจ้าพาเราสองคนเข้าไปที่เกาะลอยแล้วค่อยคุยกัน”ดับไฟและจมซากเรือลำเก่าลงสู้ก้นทะเลแล้ว คนทั้งสามก็ยังคงลอยเรือจับตาดูความเคลื่อนไหวบนผืนน้ำรอบๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนเกาโหลวแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา มู่สี่เสินจึงได้พาคนทั้งคู่กลับมาที่เกาะลอย“ท่านอาเกา ท่านอากู้ เป็นพวกท่านเองหรือเจ้าคะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงไฟเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร” มู่เหยาจีย่ำลงน้ำเดินมาหาคนทั้งสามอย่างร้อนใจ“เหยาจี น้ำเย็นมากเจ้าทำไมไม่ไปรอข้างบนฝั่ง รีบกลับขึ้นไปก่อน”“จะให้ข้ายืนรอเฉยๆ ได้อย่างไรพี่สี่เ
วันต่อๆ มามู่สี่เสินและมู่เหยาจีก็ได้เรือขนาดใหญ่ลำใหม่จากการช่วยเหลือของหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวมา 2 ลำ พวกเขาจึงคืนเรือสองลำเดิมรวมทั้งแพให้กับเกาโหลวไป “เรือสองลำนี้เราบรรจุผลไม้ได้ถึง 160 ตะกร้าเลยทีเดียวขอรับ ครั้งนี้การทยอยเอาผลไม้ทั้งหมดออกจากเกาะลอยคงเสร็จเร็วกว่าเก่า”“พวกเจ้าปลูกต้นท้อเอาไว้อีก 200 กว่าต้นมิใช่หรือ ข้าว่าคงจะใช้เวลา 3 เดือนดังเดิมนั่นล่ะ นอกจากเรือแล้วเจ้าอยากได้สิ่งใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมการหาซื้อไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ"“ข้าวสารขอรับ แล้วก็ผ้า หากลมหนาวมาเยือนอีกครั้งข้าไม่มั่นใจว่าเกาะลอยจะพาเราไปที่ใดอีก และยังไม่รู้ว่าจะนานเท่าใดมันจึงจะยอมเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสบียงอาหารของใช้จำเป็นอะไรเพิ่มเติมจากนี้ข้าจะให้เหยาจีจดมาส่งให้ท่านเอง”ระหว่างที่เกาโหลวกับมู่สี่เสินกำลังสนทนากันอยู่ ร่างสามร่างของอู๋ฉ่าง นางลู่และอู๋หนิง ก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดตรงเข้ามาบริเวณเรือที่รับส่งสินค้า“คุณชายคุณหนู เราสามคนมาขอบคุณพวกท่านขอรับ” อู๋ฉ่างเป็นคนนำภรรยาและบุตรสาวคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับสองพี่น้องด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ“พี่ชาย พี่สาว!! ท่านลุกขึ้นก่อน! ไม่เห็นต้องทำ
ได้ยินเช่นนี้ทั้งมู่สี่เสินและมู่เหยาจีต่างก็ดีใจกันมาก ครั้งนี้โชคดีที่เกาะลอยยอมเคลื่อนที่มาที่เกาะจิงเหมิน พวกเขาจำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารไว้ให้มากกว่าเดิม ป้องกันการขาดแคลนในอนาคตหากว่าเกาะลอยเคลื่อนตัวไปอยู่กลางมหาสมุทรที่ห่างไกลอีกครั้ง“ดีเลยเจ้าค่ะ อีกครึ่งเดือนผลท้อบนเกาะก็น่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เราจะได้เอาพวกมันมาขายด้วย”“ผลท้อ? ผลท้อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหลานสาว"“ก็ลูกสีแดงๆ ขนาดประมาณเท่านี้อย่างไรเจ้าคะ” มู่เหยาจีทำมือกะขนาดให้เกาโหลวดู“นั่นมันผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ไม่ใช่หรือ? ก็ไหนพวกเจ้าว่าบนเกาะลอยไม่มีผิงกั่วอย่างไรเล่า?"“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ผิงกั่ว ดอก ผล ใบและกิ่งท้อล้วนเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้นท่านอาเกาไม่รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ”เกาโหลวกับชาวบ้านขมวดคิ้วพยายามคิดถึงผลไม้ดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อหรือสรรพคุณที่ดีงามของผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว“เอาไว้ข้าข้ามไปแผ่นดินใหญ่แล้วจะลองถามคนที่นั่นดู บางทีอาจเป็นผลไม้ทางเหนือที่เมืองหยุนไห่ของพวกเราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้”มู่สี่เสินและมู่เหยาจีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หากผลท้อไม่มีปลูกที่เม
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้