ผีเสื้อเกล็ดแก้วตัวหนึ่งรีบคืนร่างมาเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่เคียงข้างเซียนน้อยเหยาจีด้วยใบหน้าร้อนรน
“แดนสวรรค์ มนุษย์และปีศาจไม่ได้เชื่อมต่อกันมาเนิ่นนาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้างแล้ว เหยาจียังเล็กนางไม่รู้ความขับไล่นางลงไปนางจะใช้ชีวิตอยู่เช่นไรขอรับท่านมหาเทพ”
ทูตสวรรค์สี่เสินรู้ดีว่าการลงโทษโดยการขับไล่หาใช่การเกิดใหม่ แต่เหยาจีสหายของตนจะถูกส่งลงไปในรูปลักษณ์ของเด็กหญิงวัย 11 ปีเช่นนี้โดยถูกกำหนดตัวตนขึ้นมาใหม่เท่านั้น นางอาจกลายเป็นบุตรสาวของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง หรืออาจจะปรากฏตัวเป็นคนเร่ร่อนไร้ญาติพี่น้องในแดนทุรกันดาร หากเป็นเช่นนั้นเหยาจีก็ต้องลำบากไม่น้อย
เสียงพูดคุยรอบวิมานแก้วเงียบสนิท ทุกคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป ทั้งสงสารเหยาจี ทั้งเห็นควรกับบทลงโทษ และแน่นอนที่สุดพวกเขาพยายามคิดถึงเรื่องราวของแดนมนุษย์ที่เวลานี้แทบจะกลายเป็นสถานที่แปลกใหม่สำหรับพวกตนไปเสียแล้ว
“ข้าน้อยอยู่กับนางเกือบจะตลอดเวลา แต่ยังปล่อยให้นางกระทำความผิดต่อหน้าได้ ข้าก็จะขอรับโทษขับไล่ออกจากแดนสวรรค์ไปพร้อมกับนางขอรับ ขอท่านมหาเทพทั้งสามได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย” สี่เสินคุกเข่าลงเบื้องหน้ามหาเทพทั้งสาม
มหาเทพมู่ซีขยับร่างเล็กน้อย นางรู้ดีว่าทูตสวรรค์สี่เสินเพิ่งจะออกจากการจำศีลบนเกาะแก้ว ระหว่างที่เกิดเรื่องเขาไม่ได้อยู่ข้างกายเหยาจีแต่อย่างใด แต่ด้วยความเป็นห่วงเซียนน้อยนางจำต้องกัดฟันหุบปากไว้ให้สนิท หากมีสี่เสินอีกคนเซียนน้อยเหยาจีก็ยังมีคนดูแล
เหยาจีตัวน้อยหันขวับมายังสหายที่ทำตัวเป็นพี่ชายนางมาโดยตลอดด้วยความไม่เข้าใจ นางขยับปากจะกล่าวคำคัดค้านว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความผิด แต่สี่เสินก็เอื้อมมือมาบิดขานางเอาไว้เบาๆ พร้อมทั้งขยิบตาไม่ให้นางผู้อะไรออกมา
การกระทำที่มีพิรุธของทั้งคู่อยู่ในสายตาของหลวนหลงที่จับจ้องเหยาจีเอาไว้โดยตลอด เดิมทีเขาก็เหมือนคนอื่นที่ไม่เชื่อว่าเซียนน้อยผู้ไร้เดียงสาจะขโมยผลท้อไป พอได้ยินคำสารภาพจากนางก็ยังตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติอยู่
หากทูตสวรรค์สี่เสินเป็นผู้ขโมยผลท้อ แล้วเหยาจีรับผิดแทน สี่เสินก็ไม่ควรแสดงตัวออกมารับโทษ หรือหากเหยาจีทำความผิดจริง นางก็สมควรจะต้องแสดงความหวั่นเกรงบางอย่างออกมาบ้าง
แต่เมื่อครู่เซียนน้อยเหยาจีเพิ่งจะส่งสายตาขอโทษขอโพยมายังตน ประกายตาที่วาบไหวครู่หนึ่ง เขาถึงกับรู้สึกว่านางพึงพอใจกับคำตัดสินโทษของตนด้วยซ้ำ
“เหมาะสมแล้ว ผีเสื้อเกล็ดแก้วแม้จะไม่มีหน้าที่โดยตรงในการรับผิดชอบผลท้อ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใกล้ตัวไม่อาจปกป้อง ข้ายินยอมปล่อยให้เขารับโทษไปพร้อมกับเซียนเหยาจี” มหาเทพสิงเทียนตัดสินใจเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดคัดค้านต่อ ก็เป็นหน้าที่ของเทพนกขุนทองดังเดิมที่ป่าวประกาศโทษของเซียนเหยาจีกับทูตสวรรค์สี่เสินผู้ใกล้ชิดนางด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะนำทางทุกคนไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เส้นทางลงไปสู่แดนมนุษย์ที่ไม่มีผู้ใดผ่านเข้าออกมาเนิ่นนาน
“ผ่านบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เจ้าจะยังมีความทรงจำเดิมบนแดนสวรรค์อยู่เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องลงไปทนทุกข์ยังแดนมนุษย์ แต่อายุขัยที่เจ้ากินผลท้อสวรรค์ รวมทั้งอิทธิฤทธิ์ความสามารถที่สั่งสมมาจะถูกริบคืนมาทั้งหมด จากนี้ต่อไปเจ้าต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ รับโทษของพวกเจ้าเสีย”
สิ้นคำกล่าวของมหาเทพฮ่าวเทียน เหยาจีกับสี่เสินก็พยักหน้าให้กันแล้วกระโดดลงไปในบ่อน้ำศักดิ์ฺสิทธิ์ขนาดกว้างใหญ่ทันทีโดยไม่ลังเล
“เซียนหลวนหลง เรื่องนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดย่อมเป็นเจ้า ข้าไม่อาจหาผลท้อสวรรค์มาชดเชยเจ้าได้ในเวลานี้ หากเจ้ามีความต้องการอื่นใดที่จะเรียกร้อง ก็ขอให้กล่าวออกมา”
หลวนหลงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง เขายังอยู่ในชั้นเซียนความปรารถนาเดียวก็มีเพียงการกลายเป็นเทพ ก่อนจะได้เป็นเทพก็ต้องสะสมอายุขัยให้เพียงพอ แล้วเขาเรียกร้องขออายุขัยที่เพิ่มขึ้นได้จากผู้ใดกันเล่า ในเมื่อเรื่องนี้ทำได้เพียงการบำเพ็ญเพียรด้วยตนเอง หรือการกินผลท้อสวรรค์เท่านั้น
“เวรแล้ว!!"
เสียงร้องดังของเทพโอสถดึงสติหลวนหลงให้หลุดออกจากภวังค์ของตน
“นางยังไม่ได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์กลับคืนมา!”
เมื่อกินผลท้อสวรรค์ไปแล้ว เซียนผู้ได้รับเลือกต้องคืนเมล็ดท้อสวรรค์ให้กับมหาเทพมู่ซีเพื่อคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีไว้เพาะปลูกต่อ ส่วนที่เหลือก็จะถูกนำมาส่งมอบให้กับเทพโอสถเพื่อนำไปทำเป็นส่วนประกอบของโอสถได้หลายชนิด
เหล่าทวยเทพเริ่มหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก หากเมล็ดท้อสวรรค์ที่เหยาจีนำติดตัวไปด้วยเป็นเมล็ดที่เพาะปลูกขึ้นมาได้เล่า? ใช่ว่าต่อไปในแดนมนุษย์จะมีต้นท้อสวรรค์ขึ้นมาอีกหนึ่งต้นหรือไม่?
“ผีเสื้อเกล็ดแก้ว! กลับไปค้นหาให้ทุกซอกทุกมุมบนเกาะ นางอาจจะเตรียมเมล็ดไว้เพาะพันธุ์ต่อแล้วก็เป็นได้!” มหาเทพสิงเทียนรีบออกคำสั่ง
เทพนกและสัตว์อื่นที่บินได้สยายปีกออกไปบินว่อนปกคลุมทุกพื้นที่ของปากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สายตาของพวกเขามองไม่เห็นแม้แต่เงาของเหยาจีและสี่เสิน จะบินตามลงไปสักเล็กน้อยก็ไม่กล้า หากข้ามผ่านบ่อน้ำแห่งนี้ไปแล้วพวกตนคงต้องไปจุติในโลกมนุษย์เช่นเดียวกับนาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ผีเสื้อเกล็ดแก้วก็ทยอยบินกลับมา ผีเสื้อเกล็ดแก้วตัวหนึ่งกลายร่างออกมาแจ้งข่าวร้ายโดยพลัน
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ พวกเราหากันจนทั่วแล้ว”
“ไม่ได้การแล้ว หากเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์ถูกนำไปเพาะปลูกเบื้องล่างจะส่งผลอย่างไรพวกเราไม่อาจล่วงรู้ได้ มหาเทพมู่ซีเพิ่งจะเพาะปลูกต้นท้อสวรรค์ได้สำเร็จมาไม่นาน เป็นไปได้ว่าเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ก็จะสามารถขยายพันธุ์ได้ดีเสียด้วยสิ” มหาเทพฮ่าวเทียนเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
“เราต้องส่งคนลงไปตามหานาง แล้วเอาเมล็ดพันธุ์กลับคืนมาให้ได้” มหาเทพสิงเทียนนั่งไม่ติดพื้นเช่นกัน
“ข้าอาสาจะตามลงไปเองขอรับ ท้อสวรรค์ผลนั้นเดิมทีก็ควรเป็นของข้า” หลวนหลงอาสาออกมาท่ามกลางความไม่เข้าใจของเหล่าทวยเทพ
“เซียนหลวนหลง เจ้าคงเสียใจจนเลอะเลือนไปแล้วกระมัง เจ้าสามารถขอสิ่งชดเชยจากมหาเทพเช่นเราได้มากมายหลายประการ แต่กลับเลือกจะลงไปแดนมนุษย์เพื่อตามหาเมล็ดพันธุ์ยินยอมที่จะสูญเสียพลังอำนาจที่สั่งสมมาเช่นนั้นหรือ?” มหาเทพสิงเทียนรีบร้องห้าม
หลวนหลงก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าตนเองตัดสินใจเช่นนั้นไปได้อย่างไร เขาสามารถขอสิทธิ์รับผลท้อสวรรค์ในรอบ 3,000 ปีข้างหน้าได้ด้วยซ้ำ แต่ความสงสัยใคร่รู้ในตัวเซียนน้อยเหยาจีทำให้เซียนหนุ่มรู้สึกตื่นเต้น
อีกอย่างใช่ว่าเขาไม่เคยสังเกต เมื่อเลื่อนขั้นไปเป็นเทพแล้ว ชีวิตในฐานะเทพของทุกคนดูเหงาๆ ชอบกล ออกไปเผชิญหน้ากับความท้าทายที่แปลกใหม่ก็น่าสนใจดีไม่น้อย
“ข้าน้อยมีความประสงค์เช่นนั้นจริงๆ ขอรับท่านมหาเทพ หากพวกท่านไม่อนุญาตข้าก็จะขอใช้สิทธิ์ที่พวกท่านจะชดเชยข้อผิดพลาดในวันนี้เป็นการขอให้ส่งตัวข้าลงไปอยู่ดีขอรับ”
ในขณะที่เซียนหลวนหลงคิดไปทาง ท่านเซียนอีกหลายคนก็มีความคิดไปอีกทาง พวกเขาพลาดจากการคัดเลือกในวันนี้ และต้องรออย่างน่าเบื่อไปอีก 3,000 ปี จึงจะได้ลุ้นเสี่ยงดวงใหม่ แล้วถ้าเซียนน้อยเหยาจีเก็บเอาเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ไปปลูกยังแดนมนุษย์ได้สำเร็จจริงๆ เล่า!! คนกลุ่มแรกที่ลงไปก่อนย่อมมีโอกาสได้รับผลท้อด้วยมิใช่หรือ
เซียนหนุ่มสาวหลายคนมองไปยังหลวนหลงด้วยสายตาชื่นชม เชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงมีความคิดเช่นเดียวกันกับพวกตนและยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการขอลงไปตามหาเมล็ดพันธุ์เสียอีก
“ข้าก็อาสาจะลงไปยังแดนมนุษย์เพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ด้วยขอรับ/เจ้าค่ะ” เซียนสวรรค์กลุ่มใหญ่กล่าวออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่ใช่เพียงท่านมหาเทพทั้งสามเท่านั้นที่ตกอกตกใจกับความพร้อมใจโดยไม่ได้นัดหมายของเซียนหนุ่มสาวเหล่านี้ เทพหรือเซียนส่วนใหญ่ต่างก็พากันงุนงงกับความคิดจะลงโทษตัวเองครั้งใหญ่ของเซียนหนุ่มสาวเยาว์วัยกันทั้งสิ้น“พวกเจ้าจะถูกริบเอาการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดแล้วกลายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดากันนะ สวรรค์กับมนุษย์ตัดขาดกันไปแล้ว หากเราส่งพวกเจ้าลงไปทั้งที่ยังคงสภาพเป็นเซียนอาจสร้างความปั่นป่วนในแดนมนุษย์เบื้องล่างให้กลับคืนมา ตัดสินใจให้ดีก่อน” มหาเทพฮ่าวเทียนจำต้องเตือนสติเหล่าเซียนหนุ่มสาวอีกรอบ“เช่นนั้นข้าขอถามคำถามหนึ่งขอรับ หากว่าเราสามารถบ่มเพาะพลังและบำเพ็ญตนจนได้เป็นเซียนกันอีกครั้งเล่า? พวกเรายังจะมีโอกาสกลับมายังแดนสวรรค์ได้หรือไม่ขอรับ” หลวนหลงเอ่ยถามอย่างชาญฉลาด“นั่นมัน..” มหาเทพทั้งสามรีบหันหน้าเข้ามาประชุมกันโดยเร็วครั้งก่อนที่สวรรค์ มนุษย์และปีศาจแยกออกจากกันก็เพราะสงครามการแย่งชิงอำนาจในสามภพอันยาวนาน การสูญเสียไพร่พลทั้งสามดินแดน ทำให้ต่างฝ่ายต่างเลิกรากันไปเองและแยกกันอยู่อย่างสงบมาหลายหมื่นปีโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ ทางแดนมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา เมื่อแดนสวรรค์ไม่ส่งเทพ
“สี่เสิน เอาเรื่องนี้ก่อน นี่เราลงมาเป็นเด็กกำพร้ากันหรือไร? รอบตัวเราไม่มีผู้คน ไม่มีสิ่งก่อสร้างเลยสักแห่ง”“จริงสิ ไม่มีบ้านเรือนของผู้คนจริงๆ ด้วย แต่อย่างนี้ก็ดีไม่ใช่หรือ เราไม่ได้ถูกกำหนดตัวตนขึ้นมาใหม่แต่ถูกส่งมาอยู่ในสถานที่ ที่ไม่เคยมีใครรู้จักพวกเรา เช่นนี้เราก็ตัดสินใจกันได้ง่ายว่าจะเลือกให้ตัวตนของเราเป็นใคร”เซียนน้อยเหยาจียักไหล่ทีหนึ่งอย่างซุกซน ไม่มีบิดามารดาก็ดี มีสี่เสินอยู่ด้วยนางก็พอใจแล้ว“ที่นี่มีต้นไม้และผลไม้เยอะเลยสี่เสิน แม้จะงดงามไม่เท่าเกาะแก้วของพวกเรา อากาศก็มีกลิ่นแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ข้ากลับรู้สึกสดชื่นอย่างแปลกประหลาด” เหยาจีหลับตาพริ้มสูดรับอากาศบนเกาะร้างที่มีทะเลล้อมรอบเข้าปอดไปเต็มลมหายใจ“เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชาย ฝึกเรียกให้คล่องปากเอาไว้จะได้ไม่ลืม ว่าแต่เจ้าเถิดก่อเรื่องราวอะไรลงไป เจ้ากินผลท้อสวรรค์ไปจริงๆ ใช่หรือไม่? รีบเล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้เลย"“ข้าไม่ได้กินคนเดียวนะพี่ชาย” เหยาจีรีบโบกไม้โบกมือ พอนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็ได้กินผลท้อไปเช่นกัน นางก็ก้มหน้าหลบตาสี่เสิน กวาดเท้าไปที่เม็ดทรายละเอียดยิบริมชายหาด ท่าทางอิดออดคล้ายกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
อาการปวดหัวและปั่นป่วนในร่างกายของเขายามนี้ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สี่เสินเข้าใจได้รวดเร็วว่านี่คงเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ยามที่หิวโหย“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เหยาจีลูบท้องขึ้นลงไปมา ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด นางไม่เคยหิวมาก่อน อาหารบนสวรรค์ล้วนแล้วแต่กินเข้าไปเพื่อตอบสนองความอยากลิ้มลองและเพื่อความเป็นมงคลทั้งสิ้น“ตามข้ามาเราต้องหาอาหารกินกันแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มส่งมือไปให้น้องสาวที่ยังนั่งกองอยู่กับพื้นทรายเหยาจีเงยหน้าขึ้นมองมือเล็กที่ยื่นมาหานาง ช้อนสายตามองขึ้นไปอีกหน่อยก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของสี่เสินที่ยืนอยู่เหนือศีรษะ เมื่อ 5,000 ปีก่อน สี่เสินยังตัวเตี้ยกว่านี้บอบบางกว่านี้ ภายหลังมหาเทพมู่ซีไม่อนุญาตให้ทูตสวรรค์กลับคืนร่างเดิมนางจึงไม่ได้เห็นสี่เสินมานานเลยทีเดียวยื่นมือออกไปสัมผัสกับฝ่ามือเนียนนุ่มของอีกฝ่าย แรงดึงของสี่เสินเพียงเล็กน้อยกลับยกตัวนางให้ลอยขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลและปกป้องในฐานะน้องสาวเป็นครั้งแรกนี่มันดีจริงๆ เหยาจีคิดในใจสองพี่น้องเยาว์วัยหาอาหารใส่ท้องที่หิวจนไส้กิ่วได้อย่างง่ายดาย พวกเขาพบว่าสถานที่ที่ตนเองกำลังยืนอยู่เป็นเกา
“เหยาจี! เราว่ายน้ำข้ามไปไม่ได้! เจ้ารีบกลับขึ้นมาก่อน!” สี่เสินใจหายวาบรีบวิ่งตามมาดึงร่างน้องสาวเอาไว้“ในน้ำมีสัตว์ทะเลอะไรบ้างเราก็ไม่รู้ อันตรายเกินไป เอาไว้ข้าจะคิดหาทางข้ามไปเกาะนั้นเอง อีกอย่างระหว่างที่เรายังหาทางข้ามไปไม่ได้ ไม่แน่ว่ามนุษย์ที่อยู่ทางนั้นอาจจะข้ามมาหาเราเอง เราก็จุดไฟสุมควันส่งสัญญาณให้เขาบ้างก็แล้วกัน”“ข้าจะต่อแพเพื่อข้ามไปที่เกาะนั่น เราต้องช่วยกันขนไม้ที่หักโค่นมาไว้ที่ชายฝั่ง ตัดเถาวัลย์ในป่ามาผูกพวกมัน เจ้าไหวไหม” มองดูมือพี่ชายที่เต็มไปด้วยตุ่มไต ฝ่ามือของสี่เสินไม่ได้อ่อนนุ่มบอบบางเหมือนแต่ก่อนแล้วเหยาจีก็เศร้าใจ การเก็บผลไม้ จับสัตว์มาทำอาหาร จุดไฟ ทุกอย่างล้วนเป็นสี่เสินจัดการให้หมด นางรู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกสะดวกสบายทั้งหมดของนางล้วนผ่านมือสองข้างของสี่เสินมาทั้งสิ้น“ไหวเจ้าค่ะ ข้าเอาแต่กินแล้วก็นอน ข้าอยากทำงานจะแย่อยู่แล้ว” เด็กสาวไม่รอช้าเดินลิ่วกลับไปที่ชายป่าตั้งอกตั้งใจเก็บไม้ที่ตนลากไหวมากองรวมกันไว้ หากเหนื่อยนางก็จะเปลี่ยนไปเก็บเถาวัลย์มาเตรียมเอาไว้แทน ปล่อยให้สี่เสินจัดการกับท่อนไม้ขนาดใหญ่เพียงลำพัง“ยังมีเรื่องที่เจ้าต้อง
“ลอยไปทางใดก็ไม่ไป กลับลอยมาทางเกาะของเราเสียได้นี่” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น ชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินเห็นแล้วว่าเกาะลอยค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาทีละนิด พวกเขายังคิดว่าอีกไม่นานเกาะประหลาดแห่งนี้ก็จะเคลื่อนตัวห่างออกไปเอง ไม่คิดว่ามันจะลอยค้างอยู่ที่เดิมนานนับเดือน เป็นเหตุให้สองพี่น้องสร้างแพออกมาจากเกาะจนสำเร็จ“ความลับบนเกาะหลายร้อยปีที่ผ่านมา เราอาจได้รู้จากปากเด็กสองคนนั้นก็เป็นได้ อย่างไรก็แสดงความเป็นมิตรกับพวกเขาสักหน่อย เด็กสองคนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนั้นได้ เราจะรอดูกันว่าพวกเขาจะกลับไปอีกครั้งได้หรือไม่” กลุ่มบุรุษที่ถืออาวุธเอาไว้พากันวางอาวุธลงบนพื้น มีชายหนุ่มสี่คนเดินแย้มยิ้มไปช่วยกันลากแพของสองพี่น้องกลับมาขึ้นฝั่งส่งเสียงพูดคุยถามคำถามออกมาด้วยความเป็นมิตรมากกว่าเดิม“พวกเจ้าอย่าหาว่าเราเสียมารยาทเลย เราไม่เคยพบคนที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นเลยสักครั้ง มาพวกเราจะเล่าให้เจ้าฟังว่าเหตุใดมันจึงได้ชื่อว่าเกาะลอย และข้าก็มีคำถามอยากรู้จากพวกเจ้ามากมายนัก” เกาโหลวเชิญชวนให้สองพี่น้องเข้าไปในหมู่บ้านอย่างใจกว้าง“ท่านอาโปรดอภัยเราสองพี่น้องเช่นกันขอรับ เรามีกันเพียงสองพี่น้อง
เกาโหลวรู้ดีว่าชาวบ้านยังคงกลัวความแปลกประหลาดของเกาะลอยอยู่ เขาตัดสินใจคว้าองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวกินต่อหน้าสมาชิกในหมู่บ้านเป็นการทดสอบทันที“โอ เยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก เนื้อก็เยอะ” เกาโหลวเอ่ยชมไม่ขาดปาก ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองก็ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดจากองุ่นผลนี้“พวกท่านมีเรือมิใช่หรือขอรับ พายตามเราสองคนกลับไปที่เกาะสิ เราจะขอเอาผลไม้บนเกาะแลกเปลี่ยนกับข้าวของเครื่องใช้หรือไม่อย่างนั้นข้าก็ขอแลกเปลี่ยนเป็นเงิน จะได้หาซื้อของได้เองในภายหลัง” มู่สี่เสินตาเป็นประกายเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยชมผลไม้บนเกาะ เขาค้นพบช่องทางการค้าหาเงินมาใช้ได้แล้ว!“เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าจะกลับไปที่นั่น ข้าก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังแล้วอย่างไร หากกลับไปแล้วเจ้าถูกกระแสน้ำกลืนกินไปเล่า?” เกาโหลวพยายามชักจูงมู่สี่เสินเต็มกำลัง นึกห่วงความปลอดภัยของสองพี่น้องด้วยคุณธรรมน้ำมิตร“มีอะไรต้องกลัวกันท่านอา ที่นั่นปลอดภัยอย่างแน่นอน สัตว์ป่าดุร้ายสักตัวก็ไม่มี มีเพียงสัตว์เล็กๆ อย่างไก่ป่า กระรอก กระต่ายอะไรพวกนี้เท่านั้น เสียดายที่ข้าจับพวกมันมาเป็นอาหารไม่ได้” ยิ่งพูดมู่สี่เสินยิ่งรู้สึกหง
สองพี่น้องกลับมาอาศัยอยู่ในถ้ำตามเดิม และตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มการค้าของตนกันด้วยความตื่นเต้น แม้จะมีตะกร้าสานและถังไม้มาช่วยในการเก็บผลไม้ได้สะดวกขึ้น แต่การขนพวกมันกลับไปไว้ในเรือก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย มู่สี่เสินต้องลงแรงสร้างลากเลื่อนจากท่อนไม้เล็กหลายอันมาผูกเข้าด้วยกันเพื่อช่วยในการขนส่งผลไม้ได้คราวละมากๆ มู่เหยาจีจะมีหน้าที่เก็บผลไม้สุกที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นไม้มากองเอาไว้ที่จุดหนึ่ง ให้พี่ชายทยอยนำตะกร้าผลไม้เอาไปเทใส่เรือแล้วกลับขึ้นมารับเอาไปใหม่ กว่าจะได้ผลไม้เต็มลำเรือสองพี่น้องก็ต้องพักเหนื่อยอยู่หลายรอบและใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวัน แต่เมื่อมองเห็นผลไม้กองโตที่ยังเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจำนวนผลไม้ที่มีเต็มเกาะ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ถูกแทนที่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขจนล้นอก“หากแลกเปลี่ยนเก็บสะสมเงินซื้ออุปกรณ์ได้มากพอ ไม่นานข้าคงจะสร้างเรือนหลังเล็กๆ ให้เจ้าสักหลังได้ เจ้าจะมีที่นอน ผ้าห่มที่อบอุ่น อ้อ! อย่าลืมเตือนข้าด้วย เราต้องแลกเอาข้าวสารกลับมาด้วยนะ อีกหน่อยเจ้าต้องเติบโต ต้องกินอาหารแบบมนุษย์จะได้แข็งแรง” มู่เหยาจีเงยหน้ามองพี่ชายที่ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ข้อ
เกาะลอย“ขนตะกร้าไปกันเลยเหยาจี เราจะเริ่มเก็บผลไม้ไว้ตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้จะได้เสร็จเร็วขึ้น”“ท่านไม่บอกข้าก็จะทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเขย่าเงินเหรียญที่ท่านป้าคนหนึ่งมอบถุงใส่เงินให้นางมาผูกไว้กับผ้าคาดเอว รู้สึกว่าการมีเงินนี่มันช่างดีเสียจริงทั้งคู่ช่วยกันคัดเลือกผลไม้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิม ผลไม้เนื้อแข็งจะถูกวางลงก้นตะกร้าและที่เนื้ออ่อนนุ่มอย่างเช่นมะม่วง ก็จะถูกวางไว้ด้านบน ผลที่มีร่องรอยแตก ช้ำ มีจุดด่างดำเล็กน้อยพวกเขาก็จะแยกเอาไปกองไว้อีกทางไม่นำเอาไปขาย“ฟ้าใกล้จะมืดแล้วเหยาจี เราต้องกลับไปที่อุโมงค์กันแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อแต่เช้าก็แล้วกัน” มู่สี่เสินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม“เพิ่งเก็บได้แค่ 8 ตะกร้าเอง ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ เสียดายจัง” “ไปเถิด ข้าวของตะกร้าอะไรก็วางเอาไว้ที่นี่ทั้งหมดนั่นล่ะไม่ต้องเก็บกลับไป ข้ารับรองไม่มีของสูญหายแน่”“ข้าอยากเห็นแผ่นดินใหญ่ที่พวกเขากล่าวถึงกันจังเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่ามันน่าจะเจริญมากกว่าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินนะเจ้าคะ” “ข้าก็คิดเช่นนั้น เราต้องได้ไปแน่นอนเหยาจี เก็บเงินให้ได้มากๆ กันไว้ก่อน มนุษย์ใช้เง
อ๋าวหลวนหลงพาอดีตเซียนที่มาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเดินทางไปด้วยกันอีกสี่คนไม่นับรวมเขากับฝูซี แต่ไม่ยินยอมให้ทายาทหรือผู้ติดตามคนอื่นจากสกุลอ๋าวร่วมทางมาด้วยอีกเลยนอกจากอ๋าวหลวนหย่งตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยการทำงานหนักของอ๋าวซีเค่อกับอ๋าวหลวนตงที่ออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน รวมกับภายหลังฝูซีและเวยวั่งซูก็ออกไปรวบรวมท่านเซียนไร้สกุลที่ยังเคว้งคว้างอยู่มาเข้ากลุ่มกันไว้ก็มีไม่น้อย ทำให้ขอบเขตของกองกำลังสกุลอ๋าวยังมีแนวร่วมที่กระจายตัวอยู่ในหลายเมืองในเขตเทือกเขาที่มีทายาทสกุลอ๋าวสายรองมาคอยดูแลอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นอ๋าวหลวนหลงเดินทางผ่านทางมาก็รีบเข้าไปทักทาย“คุณชายสี่ คุณชายห้า พวกท่านกับสหายจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”“เรากำลังจะข้ามไปที่เมืองหยวนเปียว ทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่” “ไม่มีขอรับ เขตแนวภูเขาฝากนี้มีกองกำลังที่เป็นมิตรกับสกุลอ๋าวของเราไม่น้อย แต่ที่เมืองหยวนเปียวไม่ใช่ว่าเป็นเขตติดต่อของสกุลเหลาหรอกหรือคุณชาย”“ใช่ ข้ามีธุระต้องไปทำแถวนั้นพอดี พวกเจ้าตามสบายเถิดพวกเราจะเร่งเดินทางกันต่อ”“รอก่อนคุณชายสี่! เมืองหยวนเปียวไม่น่าจะปลอดภัยเท่าใดนัก ข้าจะไปตามคนให้ต
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ หากสัตว์เลี้ยงของข้ายังคงมีอายุขัยยืนยาวดังเดิม พวกมันบางตัวที่ได้กินท้อโอสถแล้วพูดได้ทำไมจึงไม่พูดคุยกับข้าบ้าง”“ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ก็คือข้าต้องรีบรวบรวมลมปราณให้สำเร็จ แล้วฟื้นฟูความสามารถเรื่องการสื่อสารกับพวกมันอีกครั้ง”“ใช่แล้ว!! ท่านเป็นทูตสวรรค์มาก่อนนี่นา ท่านสามารถสื่อสารกับสัตว์เทพและสัตว์ต่างสายพันธุ์บนแดนสวรรค์ได้ พี่สี่เสินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย”“เห็นหรือไม่เหยาจี แม้ว่าข้าจะไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้แต่ความสามารถในการสื่อสารของข้าก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เจ้าเองก็อย่าละเลยเรื่องการรวบรวมปราณเด็ดขาดเลยเชียว”“แต่พี่สี่เสิน ถึงแม้เวลานี้เราจะยังไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของข้าจะพูดได้ดังเดิมหรือไม่ แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันกำลังปกป้องเราอยู่ แล้วอย่างนี้พี่ยังคิดจะออกจากเกาะไปเรียนวิชายุทธ์อีกหรือเจ้าคะ”“ท่านอาเกาบอกว่าผู้ฝึกตนในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน พวกเขาก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเข่นฆ่าสังหารกันเกิดขึ้น เรายังวางใจไม่ได้นะเหยาจี”“แล้วเซียนสายพฤกษาอย่างข้าจะฝึกฝนอะไร ความทรงจำเดิมของข้าก็ไม่เคยมีเรื่องที่เกี่ยวกับพลังการโจมตีแม้แต่น้อย
“พวกท่านพายต่อไปหาเหยาจี นางอยู่ข้างหลังข้า!” มู่สี่เสินต้อนเรือเล็กให้เข้ามาในพื้นที่เกาะลอยทีละลำ บนเรือแต่ละลำมีชาวบ้านที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคนรวมทั้งครอบครัวของหนูน้อยหนิงเอ๋อร์ที่เหยาจีเคยช่วยเหลือเอาไว้ด้วย“ท่านอาหญิงแล้วท่านอาเกาเล่าเจ้าคะ” “สามีข้ากับสหายควบคุมเรือใหญ่ที่บรรทุกเสบียงอาหาร เรือหนักมากมันเคลื่อนตัวได้ช้า ข้าก็ห่วงเขาเหลือเกิน เจ้าสองคนช่วยพวกเขาได้หรือไม่”“ท่านอาหญิงใจเย็นๆ เจ้าค่ะ เราต้องรอให้เขาเข้ามาถึงเขตของเกาะลอย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”“ท่านอา หากคิดว่าไม่ทันท่านโดดลงน้ำว่ายมาหาข้า!! ทิ้งเรือไปเสีย! ทิ้งเรือไป!” เสียงมู่สี่เสินตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เบื้องหน้า เกาโหลวกับกู้หยุนควบคุมเรือร่วมกับสหายลำละสี่คน พวกเขาหันมาสบตากัน แม้ว่าจะมีชาวบ้านเต็มใจจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่เกาะลอยไม่ถึง 40 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ใช้เงินของมู่สี่เสินแจกจ่ายให้ชาวบ้านคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งหลักที่อื่นไม่น้อย เสบียงอาหารในเรือทั้งสองลำที่ซื้อมาด้วยเงินของสองพี่น้องสกุลมู่พวกเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้“ออกแรงอีก! อีกนิดเดียวเท่านั้น!”ทางฝ่ายมู่เหยาจีนางและชาวบ้านที่ข้ามเขตมาแ
“เหยาจี เมื่อครู่ท่านอาเกาบอกเรื่องหนึ่งกับข้าซึ่งเจ้าก็ควรจะรู้ไว้เช่นกัน”มองดูใบหน้างามของน้องสาวแล้วมู่สี่เสินก็รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตนเองและน้องสาวจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบบนเกาะลอยที่ปลอดภัยได้อยู่แล้วเชียว“บนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่ ดูเหมือนว่าเราจะลงมายังแดนมนุษย์ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะฟื้นฟูการฝึกฝนกันเข้าพอดี”“ผู้ฝึกตน? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ข้าจำได้ว่าท่านมหาเทพมู่ซีบอกว่าแดนสวรรค์ยึดสมบัติเทพ สิ่งของแทนเทพรวมทั้งพืชผักผลไม้เสริมปราณจากแดนมนุษย์ไปหมดแล้ว พวกเขายังอยากจะฝึกฝนกันอยู่อีกหรือเจ้าคะ”“ใช่ นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าทวยเทพในอดีต พวกเขาคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถขึ้นมาแดนสวรรค์ได้อีก ก็คงล้มเลิกความคิดในการฝึกฝนไปในที่สุด แต่เวลานี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”“นี่คือเรื่องที่ท่านอาร้อนใจจนต้องพายเรือมายามดึกดื่นเพื่อเตือนพวกเราสองคน?”“นั่นก็ใช่อีก จากที่ท่านอาเกาเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่ เมื่อก่อนผู้ฝึกตนก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ดีๆ ก็เกิดสำนักและตระกูลใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่เคยมีผู้นำจึงกำลั
“นั่นสี่เสินแน่แล้ว! เราขยับเข้าไปใกล้กองไฟอีกสักนิดให้เขาเห็นเราชัดๆ จะดีกว่า”มู่สี่เสินจ้องมองตำแหน่งของวัตถุสีขาวที่ขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรือของเกาโหลวและกู้หยุนเคลื่อนที่มาใกล้กองเพลิงเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเกาโหลวและกู้หยุนกำลังโบกผ้าสีขาวในมือไปมาอยู่บนเรือ“ท่านอาเกา!! ท่านอากู้!! เกิดอะไรขึ้นขอรับเหตุใดจึงมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้” ชายหนุ่มรีบเร่งฝีพายเข้ามาหาคนทั้งคู่และได้เห็นว่าทั้งสองกำลังช่วยกันวิดน้ำดับกองไฟที่จุดเผาเรือลำเก่าที่ตนเคยใช้กันพัลวัน“ช่วยกันดับไฟก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นก่อนสี่เสิน เดี๋ยวเจ้าพาเราสองคนเข้าไปที่เกาะลอยแล้วค่อยคุยกัน”ดับไฟและจมซากเรือลำเก่าลงสู้ก้นทะเลแล้ว คนทั้งสามก็ยังคงลอยเรือจับตาดูความเคลื่อนไหวบนผืนน้ำรอบๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนเกาโหลวแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา มู่สี่เสินจึงได้พาคนทั้งคู่กลับมาที่เกาะลอย“ท่านอาเกา ท่านอากู้ เป็นพวกท่านเองหรือเจ้าคะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แสงไฟเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร” มู่เหยาจีย่ำลงน้ำเดินมาหาคนทั้งสามอย่างร้อนใจ“เหยาจี น้ำเย็นมากเจ้าทำไมไม่ไปรอข้างบนฝั่ง รีบกลับขึ้นไปก่อน”“จะให้ข้ายืนรอเฉยๆ ได้อย่างไรพี่สี่เ
วันต่อๆ มามู่สี่เสินและมู่เหยาจีก็ได้เรือขนาดใหญ่ลำใหม่จากการช่วยเหลือของหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวมา 2 ลำ พวกเขาจึงคืนเรือสองลำเดิมรวมทั้งแพให้กับเกาโหลวไป “เรือสองลำนี้เราบรรจุผลไม้ได้ถึง 160 ตะกร้าเลยทีเดียวขอรับ ครั้งนี้การทยอยเอาผลไม้ทั้งหมดออกจากเกาะลอยคงเสร็จเร็วกว่าเก่า”“พวกเจ้าปลูกต้นท้อเอาไว้อีก 200 กว่าต้นมิใช่หรือ ข้าว่าคงจะใช้เวลา 3 เดือนดังเดิมนั่นล่ะ นอกจากเรือแล้วเจ้าอยากได้สิ่งใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมการหาซื้อไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ"“ข้าวสารขอรับ แล้วก็ผ้า หากลมหนาวมาเยือนอีกครั้งข้าไม่มั่นใจว่าเกาะลอยจะพาเราไปที่ใดอีก และยังไม่รู้ว่าจะนานเท่าใดมันจึงจะยอมเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสบียงอาหารของใช้จำเป็นอะไรเพิ่มเติมจากนี้ข้าจะให้เหยาจีจดมาส่งให้ท่านเอง”ระหว่างที่เกาโหลวกับมู่สี่เสินกำลังสนทนากันอยู่ ร่างสามร่างของอู๋ฉ่าง นางลู่และอู๋หนิง ก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดตรงเข้ามาบริเวณเรือที่รับส่งสินค้า“คุณชายคุณหนู เราสามคนมาขอบคุณพวกท่านขอรับ” อู๋ฉ่างเป็นคนนำภรรยาและบุตรสาวคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะคำนับสองพี่น้องด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ“พี่ชาย พี่สาว!! ท่านลุกขึ้นก่อน! ไม่เห็นต้องทำ
ได้ยินเช่นนี้ทั้งมู่สี่เสินและมู่เหยาจีต่างก็ดีใจกันมาก ครั้งนี้โชคดีที่เกาะลอยยอมเคลื่อนที่มาที่เกาะจิงเหมิน พวกเขาจำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารไว้ให้มากกว่าเดิม ป้องกันการขาดแคลนในอนาคตหากว่าเกาะลอยเคลื่อนตัวไปอยู่กลางมหาสมุทรที่ห่างไกลอีกครั้ง“ดีเลยเจ้าค่ะ อีกครึ่งเดือนผลท้อบนเกาะก็น่าจะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เราจะได้เอาพวกมันมาขายด้วย”“ผลท้อ? ผลท้อหน้าตาเป็นอย่างไรหรือหลานสาว"“ก็ลูกสีแดงๆ ขนาดประมาณเท่านี้อย่างไรเจ้าคะ” มู่เหยาจีทำมือกะขนาดให้เกาโหลวดู“นั่นมันผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ไม่ใช่หรือ? ก็ไหนพวกเจ้าว่าบนเกาะลอยไม่มีผิงกั่วอย่างไรเล่า?"“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ผิงกั่ว ดอก ผล ใบและกิ่งท้อล้วนเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้นท่านอาเกาไม่รู้เรื่องนี้หรือเจ้าคะ”เกาโหลวกับชาวบ้านขมวดคิ้วพยายามคิดถึงผลไม้ดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเคยได้ยินชื่อหรือสรรพคุณที่ดีงามของผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว“เอาไว้ข้าข้ามไปแผ่นดินใหญ่แล้วจะลองถามคนที่นั่นดู บางทีอาจเป็นผลไม้ทางเหนือที่เมืองหยุนไห่ของพวกเราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้”มู่สี่เสินและมู่เหยาจีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หากผลท้อไม่มีปลูกที่เม
หลายวันต่อมาสองพี่น้องก็ทำงานร่วมกันได้ตามปกติ มู่เหยาจียังเสนอตัวจะเย็บชุดต่อกันให้กับมู่สี่เสินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง“ให้ข้าใส่ชุดน่าเกลียดเช่นนั้น ข้ายอมแก้ผ้าเดินรอบเกาะยังจะดีเสียกว่า!!”“ท่านมันปากเสีย! ดี แก้ผ้าเดินไปเลย อยู่กับลิงมากท่านก็จะเหมือนลิงเข้าไปทุกทีแล้ว จริงสินะพวกมันก็ไม่ใส่เสื้อผ้าเช่นกันนี่นา!” มู่เหยาจีบ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ลิงน้อยพากันล้มตัวลงนอนแผ่หลาไปกับพื้นกันเป็นแถว พอตั้งสติได้พวกมันก็เข้าไปรุมดึงเสื้อผ้าของมู่สี่เสินคล้ายกำลังประท้วงว่าพวกมันก็อยากใส่เสื้อผ้าเช่นกัน“เหยาจี พวกมันฟังเรารู้เรื่องทุกอย่างเลยใช่ไหมนี่!! เจ้ามาช่วยข้าด้วย!!” มู่สี่เสินส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากน้องสาวไป มือก็ปัดป้องต่อสู้กับลิงไป“ลิงน้อย อย่าเสียมารยาทกับพี่ชายสิ พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า เจ้าดูเอาเถิดเขาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นพวกเจ้ายังอยากได้เสื้อผ้าจากเขาอีกหรือ?” ฝูงลิงสิบกว่าตัวหยุดชะงักลงทันใด พวกมันกระโดดลงจากร่างของมู่สี่เสินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง หันมองซ้ายทีขวาที แล้วก็เบ้หน้าทำปากเบี้ยว เสื้อผ้าของมนุษย์สองคนนี้ไม่น่าสวมใส
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึง 3 ปี“พี่สี่เสิน ข้าชักอยากให้เกาะลอยเคลื่อนที่บ้างเสียแล้วล่ะ ข้าวสารกับแป้งของเราหมดไปตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนแล้ว ข้ากินแต่ผลไม้ กับพวกกุ้งปลาจนหน้าข้าจะยาวเป็นกุ้งอยู่แล้วเจ้าค่ะ”มู่สี่เสินพรวนดินใต้ต้นท้อที่เติบโตและกำลังออกผลเล็กๆ มากมายต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองน้องสาว“อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลท้อกินแล้ว พวกมันโตเร็วและมากมายถึงเพียงนี้เจ้ากินได้อีกนานหายเบื่อแน่นอนเหยาจี”“เราอยู่กันแค่สองคน ต่อให้เด็ดลงมาแจกจ่ายให้สัตว์ทั้งเกาะกินด้วยอย่างไรก็กินไม่หมด ข้าอยากขายผลท้อจัง อยากรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวจะคิดราคาให้พวกเราเท่าใด”ในที่สุดมู่สี่เสินก็หยุดมือจากการทำงาน ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงใช้ฝ่ามือหนาปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าออก ยามนี้มู่สี่เสินเป็นชายหนุ่มวัย 17 ปีแล้ว เขาตัวสูงใหญ่จนเสื้อผ้าที่เคยใส่สั้นเต่อมาถึงหน้าแข้ง แขนเสื้อก็ดูคล้ายจะหดสั้นลงจนดูน่าขัน “ข้าก็คิดถึงคนในหมู่บ้านจิงไห่เช่นกัน เสียดายที่ครั้งนั้นข้าเลือกซื้อเสบียงอาหารแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเรือกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าพายเรือออกไปท่องเที่ยวนอกเกาะบ้าง”“ต่อให้เราซื้