“เกิดอะไรขึ้น”อินชิงเสวียนเลิกคิ้วคู่งามขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยฉายประกายในดวงตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนของนาง“ข้าคิดหาวิธีเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้แล้ว ใบมีดสีดำของเจ้าทำลายทุกอย่างได้ไม่ใช่หรือ ต้องสามารถผ่าหินเส็งเคร็งนั่นได้อย่างแน่นอน”เย่จิ่งหลานกล่าวด้วยความตื่นเต้นอินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ก็สามารถลองได้ แต่ต้องรอจนกว่าทั้งสองสำนักจะประลองยุทธ์กัน ถ้าเราลองตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการขโมย ขัดกับกฎยุทธภพจริงๆ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นก็จริง ในอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาประลองยุทธ์แล้ว หากเปิดไม่ได้จริงๆ ค่อยใช้ใบมีดสีดำของเสวียนเอ๋อร์ก็ไม่สาย แต่...”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างกังวลว่า “ใบมีดสีดำมีพลังมหาศาล ไม่รู้ว่ามันจะทำลายสิ่งที่อยู่ภายในหรือไม่ ข้อนี้จำเป็นต้องขอความยินยอมจากทั้งสองสำนักก่อน”อินชิงเสวียนเห็นด้วยและกล่าวว่า “อาอวี้กังวลถูกแล้ว ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์เป็นเรื่องของสองสำนัก เราไม่อาจลงมือโดยพลการได้”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย่จิ่งหลานก็อึ้งไปทันที“งั้นก็ได้ ข้าจะรออีกสองสามวัน พวกเจ้าอยากไปตำหนักเทพใช่ไหม”อินชิงเสวียนพยักหน้าและพูดว่า “อื้ม
ตำหนักเทพหอทองคำเมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้กำลังมา เหมยชิงเกอก็รีบออกไปต้อนรับพวกเขาครั้นเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของนาง อินชิงเสวียนก็ทนไม่ไหว ก้าวไปช่วยประคองนาง“ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสเหมยได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังเจ้าคะ”ทันใดนั้นเหมยชิงเกอก็กอดอินชิงเสวียนไว้แน่น ขอบตาแดงก่ำทันที“ชิงเสวียน ลูกสาวคนดีของแม่ เป็นความผิดของแม่เอง แม่ควรจะยอมรับความเป็นแม่ลูกกับเจ้านานแล้ว ในใจเจ้าคงต้องเกลียดแม่มากกระมัง”เหมยชิงเกอกล่าวเสียงเครือสะอื้น นางพยายามกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่ แต่ไม่สามารถควบคุมของเหลวเย็นที่หยดจากดวงตาได้แม้ว่านางจะไม่เอ่ยออกมาตรงๆ ว่ายอมรับ ทว่าในใจกลับเชื่อคำพูดของเฮ่อยวน หากเขาไม่ใช่คนที่ส่งนักฆ่ามาจริงๆ ความมุ่งมั่นในอดีตทั้งหมดของนาง จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปในที่สุดเหมยชิงเกอพาลโกรธเฮ่อยวนจริงๆ และไม่สามารถให้อภัยเขาได้ง่ายๆ ฆ่าคนอย่างไร้เหตุผลเพราะเหตุนี้ และยิ่งไม่อาจทำให้คนที่รักต้องเจ็บปวด ให้ศัตรูต้องมีความสุขอินชิงเสวียนตัวแข็งทื่อเล็กน้อย อันที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นางมักจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลแบบนี
ค่ำคืนนั้นเยือกเย็นดุจธารา สรรพสิ่งเงียบวังเวงเฮ่อยวนยืนอยู่ที่ลานบ้าน ใบหน้าเคร่งเครียดราวกับน้ำนิ่งองครักษ์เดนตายของอิ๋นเฉิงต่างคุกเข่าอย่างนอบน้อมเบื้องหน้าเขา“เรียนท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยได้ค้นหาจนทั่วเมืองอิ๋นเฉิงแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของฉีอวิ๋นจื่อหรือป้าชุยเลย”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งถามว่า “ตรวจค้นชาวบ้านในเมืองด้วยหรือไม่”หัวหน้าทหารองครักษ์ตอบด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยได้ทำตามคำที่ฮูหยินสั่งแล้ว ตรวจค้นชาวเมืองตั้งแต่ทารกแรกเกิดทุกคนที่พักอาศัยอยู่ในเมือง ตราบใดที่มีกลิ่นอายของบุคคลภายนอก พวกเราจะพบได้ทันที”“หรือว่านางหลบหนีออกจากอิ๋นเฉิงไปแล้ว?”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งพึมพำกับตัวเอง และถามว่า “แล้วที่ค่ายกลนี้ในป่าหมอก มีร่องรอยความเสียหายบ้างหรือไม่”“ตอบฮูหยิน ไม่มีขอรับ”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งคว้าแขนเสื้อของเฮ่อยวนอย่างอดไม่ได้ แล้วพูดอย่างกังวลว่า “ท่านพี่ แล้วนี่ควรทำอย่างไรดี ถ้าฉีอวิ๋นจื่อซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองมาหลายปีขนาดนี้ ต้องมีเจตนาชั่วร้ายและแผนการร้ายอยู่แน่นอน อีกทั้งตอนนี้วรยุทธ์ก็ยอดเยี่ยมขึ้นมาก หากทำร้ายผู้อื่นทำร้ายคนของเรา แล้วเราควรทำอย่างไรดี”“อิ๋นเฉิงนับว่าไม่ใ
เฮ่อฉางเฟิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนสง่างาม“ไม่ต้องมากพิธี”จากนั้นเขาก็หันความสนใจไปที่กงซวินอวิ๋นเฟิ่ง“ท่านแม่จะออกจากจวนหรือ”“ดึกดื่นขนาดนี้ แม่จะออกไปทำไมน่ะหรือ แม่แค่ออกไปลาดตระเวนเมือง คิดว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องป้าชุยแล้ว แม่กลัวว่าพ่อของเจ้าไม่อยู่ที่นี่ นางจะทำร้ายชาวบ้าน”ท่าทางของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งนั้นอ่อนโยน มองลูกชายคนโตด้วยสายตารักใคร่เอาใจใส่คนเลี้ยงม้าอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ถ้าคุณชายใหญ่ไม่วางใจ เช่นนั้นก็ไปกับฮูหยินได้”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองคนเลี้ยงม้าด้วยสายตาเย็นชาพูดด้วยความรักเมตตาว่า “ไม่ต้องหรอก เจ้ากลับไปฝึกวรยุทธ์เสีย ถ้าเกิดท่านพ่อเห็นเจ้าเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกอีก เขาจะไม่พอใจเอา”เฮ่อฉางเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรขอรับ ช่วงนี้ท่านพ่ออารมณ์ดีมาก ไม่ตำหนิหรอก ช่วงนี้ลูกก็ไม่ได้อยู่กับท่านแม่มาหลายวันแล้ว วันนี้อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การออกไปเดินเล่นพอดี”เขายื่นมือออกจับบังเหียน แล้วพูดกับคนเลี้ยงม้าว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”คนเลี้ยงม้ายืนนิ่ง ตอนแรกกงซวินอวิ๋นเฟิ่งคิดจะดุเขา แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด จู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจ“ให้เขาตามไป
เมื่อเห็นฉีอวิ๋นจื่อพูดจาอย่างหนักแน่นและน่าเชื่อถือ เหมยชิงเกอก็หยุดกะทันหัน“เฮ่อยวน เกิดอะไรขึ้น”นางสามารถยอมรับเฮ่อยวนกับกงซวินอวิ๋นเฟิ่งได้ แต่นางไม่สามารถยอมรับเฮ่อยวนกับฉีอวิ๋นจื่อได้การแต่งงานระหว่างกงซวินอวิ๋นเฟิ่งและเฮ่อยวนถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเมืองคนเดิมยังมีชีวิตอยู่ หากเขาไม่ได้พบตัวเอง ทั้งสองคงแต่งงานกันนานแล้ว ส่วนฉีอวิ๋นจื่อไม่สำคัญอะไรเลยเฮ่อยวนพูดอย่างกังวลว่า “ชิงเกอ อย่าไปฟังนางพูดเหลวไหล เป็นชิงเสวียนเองที่บอกข้าว่า คนผู้นี้ปลอมตัวเป็นหญิงชราตาเดียวปะปนอยู่ในอิ๋นเฉิง ข้าจะมีอะไรกับนางได้อย่างไร”ฉีอวิ๋นจื่อพูดด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “เฮ่อยวน ท่านยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า ลืมความสุขสมตอนที่นอนกับข้าไปหมดแล้วหรือ ท่านกล้าที่จะรอข้าท้องสิบเดือน พอคลอดแล้วมาตรวจเลือดพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกหรือเปล่าล่ะ”เฮ่อยวนหน้าซีดด้วยความโกรธ ตวาดลั่นว่า “หุบปาก ขืนเจ้ายังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะทำให้เลือดของเจ้าสาดกระเซ็นเดี๋ยวนี้”ฉีอวิ๋นจื่อซัดออกไปสองฝ่ามือราวกับสายฟ้า แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเยาะเย้ย “ดูสิ เหมยชิงเกอ ดูให้ชัดว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นคนแบบไหน เว
“ชิงเกอ!”เหมยชิงเกอได้ลงมือนำไปก่อนแล้ว เฮ่อยวนจึงทำได้เพียงลงมือตามเท่านั้นเมื่อฝ่ามือทั้งสี่ข้างปะทะกัน ทั้งสามต่างก้าวถอยหลังพร้อมกันในระยะไกล มีร่างสองร่างซ่อนอยู่ในความมืด เฝ้าดูสถานการณ์การต่อสู้ที่นี่สองคนนี้คืออินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้“อาอวี้ ทำไมเรายังไม่ลงมืออีก นี่เป็นวิชาต้องห้ามของอิ๋นเฉิงเชียวนะ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างสงบไม่ตื่นตระหนก “ไม่จำเป็น เสวียนเอ๋อร์คงเคยได้ยินคำที่ว่าในความทุกข์ยาก จะเห็นความจริงใจ ขอเพียงท่านพ่อท่านแม่ร่วมมือกันเอาชนะศัตรูได้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน”“นี่...ไม่อันตรายจริงหรือ”อินชิงเสวียนมีสีหน้าเป็นกังวลเย่จิ่งอวี้ยื่นนิ้วออกมา แล้วเกาสันจมูกของนางเบาๆ“เจ้าคิดว่าเจ้าสำนักหลักทั้งสองในยุทธจักรล้วนเป็นคนขายผักในตลาดงั้นหรือ พวกเขาไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”อินชิงเสวียนมองไปข้างหน้าอย่างกังวล“แต่ท่านแม่ข้าเพิ่งโดนวรยุทธ์นั้นมา ถ้าไม่โดดเด่นจริงๆ แล้วจะเรียกว่าวิชาต้องห้ามได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจน “อย่ากังวล แม้ว่าวิชาต้องห้ามจะร้ายกาจ แต่เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมจึงเป็นวิชาต้องห
หน้าผาสูงหลายพันจั้ง สายลมหนาวพัดหวีดหวิวดังเข้าหูทั้งสองคนเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับสูง หลังจากผ่านไปสิบห้านาทีก็ตกลงไปในหุบเขาลึกที่นี่ไม่มีป่าไม้หรือลำธารไหลผ่าน มีภูเขาหินทั้งสองด้าน ซึ่งเพียงชำเลืองมองก็สามารถแลเห็นได้ชัดเจน“ถ้านางตกลงมาที่ก้นหุบลึกจริงๆ ถึงไม่ตายก็ต้องพิการ แต่ตอนนี้ไม่มีวี่แววของนางเลย หรือว่านางจะสามารถหนีไปได้?”อินชิงเสวียนมองไปรอบๆ ก็ไม่พบใครเลย นึกก่นด่าอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ว่า ตัวหายนะตายยากจริงๆเย่จิ่งอวี้มองไปที่ยอดเขาด้านหลัง“ไม่หรอก ฉีอวิ๋นจื่อเป็นคนของตำหนักเทพ ต้องคุ้นเคยกับภูมิประเทศที่นี่เป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่านางอาจซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อรอโอกาสที่จะหลบหนี”ครั้นมองตามสายตาของเย่จิ่งอวี้ ก็เห็นว่ามีหินขรุขระอยู่บนยอดเขา ดูเหมือนว่าจะมีหลุมชะง่อนหินอยู่มากมาย การจะซ่อนคนสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก“งั้น...เราแยกย้ายกันไปหาดีไหม”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น หากต้องการตามหาคน ข้าสามารถทำได้อยู่แล้ว”เขาเอามือไพล่หลัง แยกขาออกจากกันเล็กน้อย ท่าทางดูสบายๆ มาก ทว่าเรียวตาหงส์ทั้งคู่ปิดลงเบาๆทันใดนั้นอินช
หันเจิงหมิงไม่ได้ยินฉีอวิ๋นจื่อบอกว่าเกมจบลงแล้ว คิดว่ายังเล่นอยู่ จึงกลั้นหายใจไม่พูดอะไรอยู่ตลอดอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้อาวุโสหันไม่ใช่คนดีอะไร แต่เมื่อพิจารณาจากความตั้งใจของท่านแม่แล้ว หันเจิงหมิงก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเลว นอกจากนี้ตอนนี้เขายังดูบ้าๆ บอๆ จนทนลงมือไม่ได้จริงๆเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยืนนิ่ง ฉีอวิ๋นจื่อก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย พูดต่อว่า “คนบ้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าก็เป็นหนึ่งในราษฎรใต้หล้าเช่นกัน หรือพวกเจ้าที่เป็นผู้ที่อยู่เหนือหัว จะไม่สนใจชีวิตมนุษย์รากหญ้าเช่นนั้นหรือ”เมื่อได้ฉีอวิ๋นจื่อพูดว่าตัวเองเป็นคนบ้า หันเจิงหมิงก็รู้ว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ดี ดวงตาเบิกกว้างในทันใดเย่จิ่งอวี้เหลือบมองอย่างเย็นชา แล้วพูดเรียบๆ “ปล่อยเขาไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“ข้าไม่เชื่อพวกเจ้า เขาต้องมากับข้า”ฉีอวิ๋นจื่อผลักหันเจิงหมิงให้เดินไปข้างหน้าสองก้าว วางฝ่ามือขวาไว้ที่ด้านหลังหัวใจของเขา และผลักกำลังภายในออกมา“ขืนพวกเจ้ากล้าวู่วาม ข้าจะฆ่าเขาทันที”อินชิงเสวียนก้าวถอยหลัง“ฉีอวิ๋นจื่อ เจ้าโปรดคิดให้ดี ตอนนี้ทั้งอิ๋นเฉิงและตำหนักเทพรู้ตัวตนของเจ้าหมดแล้ว ต่อให้เจ้าจะหนีจา