หันเจิงหมิงไม่ได้ยินฉีอวิ๋นจื่อบอกว่าเกมจบลงแล้ว คิดว่ายังเล่นอยู่ จึงกลั้นหายใจไม่พูดอะไรอยู่ตลอดอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้อาวุโสหันไม่ใช่คนดีอะไร แต่เมื่อพิจารณาจากความตั้งใจของท่านแม่แล้ว หันเจิงหมิงก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเลว นอกจากนี้ตอนนี้เขายังดูบ้าๆ บอๆ จนทนลงมือไม่ได้จริงๆเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยืนนิ่ง ฉีอวิ๋นจื่อก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย พูดต่อว่า “คนบ้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าก็เป็นหนึ่งในราษฎรใต้หล้าเช่นกัน หรือพวกเจ้าที่เป็นผู้ที่อยู่เหนือหัว จะไม่สนใจชีวิตมนุษย์รากหญ้าเช่นนั้นหรือ”เมื่อได้ฉีอวิ๋นจื่อพูดว่าตัวเองเป็นคนบ้า หันเจิงหมิงก็รู้ว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ดี ดวงตาเบิกกว้างในทันใดเย่จิ่งอวี้เหลือบมองอย่างเย็นชา แล้วพูดเรียบๆ “ปล่อยเขาไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“ข้าไม่เชื่อพวกเจ้า เขาต้องมากับข้า”ฉีอวิ๋นจื่อผลักหันเจิงหมิงให้เดินไปข้างหน้าสองก้าว วางฝ่ามือขวาไว้ที่ด้านหลังหัวใจของเขา และผลักกำลังภายในออกมา“ขืนพวกเจ้ากล้าวู่วาม ข้าจะฆ่าเขาทันที”อินชิงเสวียนก้าวถอยหลัง“ฉีอวิ๋นจื่อ เจ้าโปรดคิดให้ดี ตอนนี้ทั้งอิ๋นเฉิงและตำหนักเทพรู้ตัวตนของเจ้าหมดแล้ว ต่อให้เจ้าจะหนีจา
คนชุดดำตัวสูงใหญ่มากเกินไปจริงๆ รูปร่างอันใหญ่โตนี้เมื่อปรากฏอยู่เหนือหัว ก็เหมือนกับเนินเขาสูงใหญ่ แค่ความกดดันเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้ฉีอวิ๋นจื่อเหงื่อชุ่มโชกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นมือเหล็กประหลาดนี้ นางยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดเพียงเล็กน้อยในการตอบโต้“ผู้มีพระคุณโปรดไว้ชีวิตด้วย!”ดวงตาของนางเหลือกโพลง พูดด้วยความยากลำบากทันใดนั้นมือเหล็กก็ถูกดึงกลับ คนชุดดำใช้แขนเพียงข้างเดียวก็กระแทกนางให้ล้มลงกับพื้นพูดอย่างเย็นชา “เศษสวะเช่นเจ้า สมควรที่จะตั้งคำถามกงซวินฮูหยินงั้นรึ”ปากของฉีอวิ๋นจื่อเลือดออก ล้มลงกับพื้น เอาแต่พูดว่า “ข้าผิดไปแล้ว คราวหน้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว”คนชุดดำแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา และมองไปที่หันเจิงหมิง“ถ้าข้าสามารถรักษาคนผู้นี้ได้ จะมีประโยชน์กับเจ้าและข้าหรือไม่”ฉีอวิ๋นจื่อรู้ว่าทุกคนในอิ๋นเฉิงมีทักษะด้านการแพทย์ นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าหันเจิงหมิงได้สติ เขาต้องล้างแค้นแทนผู้อาวุโสหันอย่างแน่นอน หากเขาโชคดีพอที่จะฆ่าเย่จิ่งอวี้ หรืออินชิงเสวียนได้ ก็สามารถกำจัดตัวช่วยของเหมยชิงเกอได้ แม้ว่าจะทำไม่ได้ แต่เขาก็สามารถเป็นพันธ
ฉีอวิ๋นจื่อมองไปที่หันเจิงหมิง ไม่คาดคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของผู้มีพระคุณจะล้ำเลิศขนาดนี้ แค่ฝังเข็มเพียงครั้งเดียว ก็สามารถฟื้นคืนสติของเขาได้ ฉีอวิ๋นจื่อยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเขามากบุคคลนี้ต้องเป็นศัตรูกับเฮ่อยวน และเกลียดเหมยชิงเกอจนเข้าไส้ด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ จู่ๆ ฉีอวิ๋นจื่อก็นึกถึงบุคคลผู้หนึ่งเจ้าของสวนกงซวินเขามีทักษะด้านวรยุทธ์สูง และทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม อยู่ในอิ๋นเฉิงยังได้รับความไว้วางใจจากเฮ่อยวนอีกด้วย กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเป็นลูกสาวของเขา เขาย่อมไม่อยากเห็นลูกเขยใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่นแน่นอน จึงหลอกใช้ให้ตัวเองลงมือฆ่าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าฉีอวิ๋นจื่อยิ่งคิดว่าเป็นเช่นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะถูกเขาหลอกใช้ก็ดี หรือได้สมรู้ร่วมคิดกับเขาก็ช่าง ตราบใดที่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ มันก็คุ้มค่ากับความพยายามแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีนางต้องการฆ่าเหมยชิงเกอให้ตายอยู่แล้ว เรียกได้ว่าประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ง่ายหลังจากมองไปที่หันเจิงหมิงที่ยังนอนอยู่ที่พื้น ฉีอวิ๋นจื่อก็เดินไปที่กำแพงหินที่แท้ที่นี่คือทางสู่วิถีแห่
หันเจิงหมิงตกตะลึงทันที“เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ ท่านพ่อข้า...ตายแล้ว?”น้ำตาของฉีอวิ๋นจื่อไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง“ศิษย์พี่หัน ท่านไม่หลงเหลือความทรงจำเลยหรือ ตอนนั้นท่านเป็นคนพาผู้อาวุโสหันหนีไป คนที่ฆ่าเขาก็คือลูกสาวกับลูกเขยของเหมยชิงเกอ!”ขณะมองไปที่ดวงตาอันแดงก่ำของฉีอวิ๋นจื่อ ในดวงตาของหันเจิงหมิงก็ปรากฏเส้นเลือดสีแดงเขาเห็นท่านพ่อกระอักเลือด ขอให้เขาล้างแค้นแทนตัวเอง...เขาก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว กุมหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ท่านพ่อของข้ามีวรยุทธ์สูงส่งขนาดนี้ จะถูกคนรุ่นหลังสองคนฆ่าตายได้อย่างไร”ฉีอวิ๋นจื่อกล่าวอย่างดุดันว่า “ศิษย์พี่หัน แม้ว่าท่านจะไม่ต้องการเผชิญกับความจริง แต่นี่ก็ยังคงเป็นความจริง เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน ว่าคนที่ฆ่าเขาคือเย่จิ่งอวี้”“เย่จิ่งอวี้...เย่จิ่งอวี้?”หันเจิงหมิงก้าวถอยหลัง ภาพของพ่อที่ถูกชายหนุ่มทำร้ายจนกระอักเลือดก็แวบขึ้นมาในใจของเขานี่ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือทั้งหมดนี้เป็นความจริงงั้นหรือ“ไม่ เหมยชิงเกอตายแล้วไม่ใช่หรือ นางจะมีลูกสาวและลูกเขยได้อย่างไร”หันเจิงหมิงกุมศีรษะของเขาอีกครั้ง ความคิดตกอยู่ในความ
“ศิษย์พี่หันอย่าเพิ่งเร่งร้อน ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องรักษาที่นี่ก่อน จึงจะแข็งแรงพอที่จะต่อสู้ได้”ฉีอวิ๋นจื่อบอกว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บจากเหมยชิงเกอ เพราะไปช่วยเขา ขณะนี้หัวสมองของหันเจิงหมิงประเดี๋ยวก็มีสติประเดี๋ยวก็เลอะเลือน ยังไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริงเรื่องเท็จได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจำได้แม่นยำคือ คนที่ฆ่าพ่อของเขา ต้องเป็นชายหนุ่มที่มีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมคนนั้นอย่างแน่นอนเขาจะไม่ฆ่าเหมยชิงเกอก็ได้ แต่เขาต้องฆ่าบุคคลผู้นั้น เพื่อล้างแค้นให้กับพ่อของเขา!“ให้ข้าช่วยรักษาหรือไม่”“ไม่ต้องหรอก ข้าจัดการเองได้ ศิษย์พี่เพิ่งฟื้นคืนสติ ลมปราณยังติดขัด เมื่อกำลังภายในในร่างกายราบรื่น จะเลื่อนขั้นวรยุทธ์จนถึงจุดสูงสุดได้”หันเจิงหมิงพยักหน้า แล้วนั่งลงบนพื้นเมื่อจิตใจสงบลง ก็ได้ยินเสียงของตัวเอง“หันเจิงหมิง เหมยชิงเกอมีผู้ช่วยมากมาย เจ้าจะฆ่านางได้จริงหรือ เจ้าจะแก้แค้นได้จริงหรือ เจ้าต้องการยืมพลังของข้าหรือไม่”หันเจิงหมิงสะดุ้งเล็กน้อยหรือจะเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ฝังอยู่ในจิตใจ?เลือดลมขัดข้องอย่างฉับพลัน เกือบจะเป็นโดนธาตุไฟเข้าแทรกอีกครั้งอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า
เหมยชิงเกอเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “คำพูดของท่านจริงใจใช่ไหม”“แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นล้วนเป็นความผิดพลาดจริงๆ หากข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่ในตำหนักเทพ แม้ต้องทำลายสถานที่นี้จนพังทลาย ข้าคงจะพาเจ้าออกไปจากยอดเขาบรรจบสวรรค์นี้ให้ได้”เมื่อคิดถึงความทุกข์ทรมานที่เหมยชิงเกอต้องทนมานานกว่าสิบปี เฮ่อยวนก็ตาแดงก่ำอย่างอดไม่ได้“ชิงเกอ หากเจ้าเต็มใจที่จะเชื่อข้าสักครั้ง ข้าจะใช้ทั้งชีวิตที่เหลือชดเชยความสุขที่เราสูญเสียไปอย่างแน่นอน”เมื่อมองไปที่เส้นผมสีเทาของเฮ่อยวน แววตาของเหมยชิงเกอก็เริ่มไหวหวั่นนางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าท่านมีความตั้งใจเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นเราก็สามารถร่วมกันบริหารต่อ เพียงแต่ว่าทั้งสองสำนักต่างตั้งตารอการประลองยุทธ์ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ ห้าสิบปี หากพูดออกไปตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้ศิษย์รับไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้ดำเนินการประลองยุทธ์ครั้งนี้ตามปกติ เมื่อประลองจบแล้ว ค่อยหาโอกาสพูดคุยเรื่องการบริหารต่อ ก็ถือว่ามีช่วงเวลาให้ปรับตัว”เฮ่อยวนกล่าวชมอย่างความสุขว่า “ชิงเกอคิดได้รอบคอบที่สุด เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าพูด”เหมยชิงเกอพยักหน้า แล้วสีหน้า
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างมีความสุขว่า “ถ้าท่านพ่อสั่ง จิ่งอวี้ย่อมเชื่อฟัง”เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้เรียกอย่างกับใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะกระแอมไอ หากนางไม่เห็นเขาสวมมงกุฎฮ่องเต้ ท่วงท่าสง่างาม ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่ปากหวานปานน้ำผึ้งคนนี้จะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแม้ว่าเหมยชิงเกอจะรู้ตัวตนของเย่จิ่งอวี้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง นางเติบโตขึ้นมาในยุทธภพ ปฏิบัติตามกฎมารยาทของยุทธภพ ไม่มีความรู้ในเรื่องราชสำนักนางอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไว้ในอ้อมแขน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อยู่ที่นี่ก็ดีเช่นกัน การประลองยุทธ์กำลังใกล้เข้ามาแล้ว นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญของทั้งสองสำนัก อยู่ดูก่อนแล้วค่อยกลับก็ยังไม่สาย”อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเหมยชิงเกอ นางไม่ได้วางแผนที่จะบังคับให้นางอยู่ต่อแล้วอย่างนั้นหรือเวลาแค่เพียงคืนเดียว ก็ทำให้นางเปลี่ยนใจได้แล้ว พลังแห่งความรักนี้ ไม่อาจมองข้ามได้จริงๆเมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของอินชิงเสวียน เหมยชิงเกอก็หันกลับมา ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และถามเป็นเชิงสัพยอกว่า “หรือว่าเจ้าชอบยอดเขาบรรจบสวรรค์เข้าแล้ว จึงไม่อยากจากไป?”ใบหน้าของอิ
รอยร้าวทั้งหมดดูเหมือนจะหายไปกับรอยยิ้มนี้ เหมยชิงเกอยื่นมือออกมา โอบตัวอินชิงเสวียนไว้ในอ้อมแขนของนางนางอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงในมือซ้าย มือขวาก็กอดลูกสาว เพลิดเพลินกับความรักในครอบครัวที่หาได้ยากและแสนสั้นพวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จากนั้นอินชิงเสวียนก็ตกใจเมื่อรู้ว่าดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้นตรงหัวแล้ว“ท่านแม่กับจ้าวเอ๋อร์คงจะหิวแล้ว ข้าจะเตรียมของกินมาหน่อย เรามาฉลองกันให้เต็มที่”เหมยชิงเกอพยักหน้าอย่างมีความสุข“ให้เย่จิ่งอวี้มาด้วยสิ เมื่อก่อนแม่กลัวว่าเขาจะมาแย่งเจ้าไป ถึงไม่ชอบเขาทุกอย่าง แต่เขาก็ยังปฏิบัติด้วยความสุภาพเรียบร้อย เป็นผู้ชายที่ควรค่าแก่การไว้วางใจอย่างยิ่ง แม่ขอกลับคำพูดที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้ พวกเจ้าสองคนเหมาะสมกันมาก วันหน้าเมื่อกลับสู่ราชสำนัก แม่จะไปส่งพวกเจ้าทั้งสามคนในครอบครัวลงเขาด้วยตัวเอง”ตั้งแต่ได้พบกับเฮ่อยวน อารมณ์ของเหมยชิงเกอก็อ่อนโยนมากขึ้นลักษณะอันโหดร้ายถูกปกคลุมไปด้วยความเมตตาที่มีอยู่ดั้งเดิม และนางในตอนนี้ ดูมีความเป็นแม่มากขึ้นเรื่อยๆอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ได้รับการยอมรับจากท่านแม่แบบนี้ อาอวี้จะต้องดีใจมา
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี