ตัวอักษรที่บิดเบี้ยวนั้น อ่านอยู่ตั้งนานถึงจะอ่านออกสักทีซ่งซีซีลืมดวงตาที่ทั้งแดงและบวมของนางขึ้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง สามคำนี้ราวกับมีดแทงทะลุหัวใจของนาง ทำให้ร่างกายของนางขดตัวด้วยความเจ็บปวดเมื่อกี่วันก่อนที่ครอบครัวของนางจะถูกสังหารนั้น นางก็เคยกลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง และหารือกับท่านแม่เกี่ยวกับสงครามที่ชายแดนเฉิงหลิงท่านแม่เป็นห่วงท่านตามาก โดยกลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อและพี่ชายของนาง หลังจากที่นางปลอบท่านแม่สักพักใหญ่ ก็จากไปด้สนความกังวลใจ นางก็เป็นห่วงท่านตาด้วย แต่ห่วงท่านแม่มากกว่านางพบกับรุ่ยเอ๋อร์อยู่นอกเรือนของท่านแม่ รุ่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วถามท่านอาว่าอารมณ์เสียหรือเปล่า นางยังลูบผมของเขาด้วยรอยยิ้ม "อาอารมณ์เสียนิดหน่อย แต่อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง รุ่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล"ตอนนั้นนางยังมีเรื่องกลุ้มใจเก็บไว้ในใจ เลยตอบไปอย่างขอไปทีบางทีรุ่ยเอ๋อร์อาจรู้สึกว่านางไม่สบอารมณ์ เลยคิดที่จะไปซื้อของหวานเพื่อกล่อมนางในช่วงเวลากว่าหนึ่งปีที่นางอยู่บ้านรอออกเรือนหลังจากกลับจากภูเขาเหม่ยชาน นางเล่นกับเด็กๆ เกือบทุกวัน เพื่อกล่อมให้พวกเขามีความสุข และพยายามขจั
หลังจากที่เขาเขียนแค่นี้เสร็จ เขาก็เหนื่อยมากจนไม่ไหวแล้วซ่งซีซีให้เขาไปพักผ่อน เมื่อเห็นเขาหลับไป ซ่งซีซีก็ไม่อยากจะจากไปนางกลัวว่าหากตนเองอยู่ห่างจากรุ่ยเอ๋อร์แม้แต่ครึ่งก้าว ทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้านางจะพังทลายลงราวกับความฝัน และเมื่อนางกลับสู่ความเป็นจริง จะไม่มีรุ่ยเอ๋อร์แล้วนางรู้สึกทุกข์ใจมากที่เด็กคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย และการเห็นเขาเดินกะโผลกกะเผลกก็เหมือนกับเข็มเหล็กแทงทะลุหัวใจของนางทีละเข็มเซี่ยหลูโม่กำลังเตรียมการที่จะกลับไปยังเมืองหลวง อาการของรุ่ยเอ๋อร์ยังคงต้องได้รับการรักษาโดยหมอมหัศจรรย์ดันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่สามารถชักช้าได้เด็กอายุเจ็ดขวบสูงพอๆ กับเด็กอายุห้าขวบ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สูงขึ้นเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาจากไป ไม่รู้ว่าเขาได้กินยาพิษชนิดใดอีก หากไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน มักจะไม่สบายใจเซี่ยหลูโม่ยังให้นายอำเภอหลิงโจวส่งจดหมายด่วนถึงฮ่องเต้ในนามของเขา เพื่ออธิบายสถานการณ์อย่างชัดเจนตระกูลซ่งมีเลือดเนื้อเหลือไว้อยู่ เชื่อว่าทั้งฮ่องเต้และเขุนนางต่างในราชสำนักล้วนจะมีความสุขมากส่วนตระกูลขง เด็กคนนี้ก็เป็นผู้ช่วยให้รอดแก่ตระก
หลังจากที่รุ่ยเอ๋อร์หลับไป นางก็ไปหาเซี่ยหลูโม่ และแสดงกระดาษที่เขียนโดยรุ่ยเอ๋อร์ให้เขาดูหลังจากอ่านดูแล้ว เซี่ยหลูโม่ก็รู้สึกในใจซับซ้อนมาก เขาดูเหมือนกับพวกผู้ค้ามนุษย์ที่ทำร้ายเขามากหรือ?อาจกระมัง หลังจากที่จมอยู่ในสนามรบมานานหลายปี เขาก็มีรัศมีแห่งความเย็นชาอย่างหนักถอนหายใจช้าๆ "ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ข้าจะพยายามทำตัวให้ดูอ่อนโยนหน่อย และยิ้มกับเขาให้มากๆ"เด็กต้องการการรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย"ตลอดทางนี้ ลำบากท่านแล้ว ขอบคุณเจ้าคะ" ความซาบซึ้งที่ซ่งซีซีมีต่อเซี่ยหลูโม่ ไม่สามารถสรุปได้เพียงประโยคเดียวเท่านั้นแต่มีเรื่องหนึ่งที่นางควรบอกเขาอย่างชัดเจนนางดึงปิ่นปักผมออก แล้วยกไส้ตะเกียงขึ้น เปลวไฟริบหรี่และห้องก็สว่างขึ้น ส่องแสงถึงแก้มบางๆ และริมฝีปากซีดของนางนางพูดช้าๆ "อาการของรุ่ยเอ๋อร์ จะห่างจากข้าไม่ได้อย่างน้อยสองสามปี หากการแต่งงานของเรายังคงดำเนินการต่อ ข้าคงต้องนำเขาให้ติดตามข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง ข้าไม่สามารถทิ้งเขาไว้ตามลำพังในจวนเสนาบดีกั๋วกง"ใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยหลูโม่มีสีหน้าสงบนิ่ง และดวงตาสีเข้มของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสว่าง "การแต่งงานของเราจะดำเน
ในที่สุด ในคืนนั้นที่จะพักที่โรงเตี้ยม หลังจากที่เซี่ยหลูโม่เอื้อมมือออกไปเพื่อช่วยพยุงซ่งซีซีลงจากรถม้ารุ่ยเอ๋อร์ก็รวบรวมความกล้าที่จะลงออกจากรถม้า จากนั้นยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองด้วยร่างกายที่สั่นเทาของเขา เขาอ้าแขนออกไปเพื่อปกป้องท่านอาอยู่ด้านหลัง เขาจ้องมองเซี่ยหลูโม่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเขากลัวมากจนขาที่ผอมแห้งราวกับแท่งไม้ของเขายังคงสั่น ริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาเช่นกัน จากนั้นก็ส่งเสียงครวญครางเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมองหน้ากันด้วยความตกใจ เกิดอะไรขึ้น? ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล จะเกิดผลข้างเคียงอย่างนั้นหรือ?"อ๊า!"ซ่งซีซีตบศีษะตนเองเบาๆ และตระหนักถึงเหตุผล รุ่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่านางไม่ใช่ฮูหยินของจ้านเป่ยว่างอีกแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่คืนนั้น อาหลานสองคนคุยกันตั้งนานเลยไม่สามารถปฏิบัติกับรุ่ยเอ๋อร์เหมือนเป็นเด็กน้อยได้อีกต่อไป เขาขอทานในตลาดต่างๆ มาสองปีแล้ว เรื่องต่างๆ แค่บอกกับเขา เขาก็จะเข้าใจอีกอย่างเขารู้เกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกสังหารจากชาวบ้านชาวเมืองที่พูดคุยกัน ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไงเขายังไม่รู้เขาอายุเจ็ดขวบแล้ว เรื่องบางเรื่องเขาต้องรู้
วันรุ่งขึ้น คนขับรถเซี่ยหลูโม่รู้สึกสดชื่นแต่รอยคล้ำใต้ตาของเขาดำมากทีเดียวซ่งซีซีประหลาดใจมากว่าเขาทำได้ยังไง ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเขานอนหลับไม่ดีแต่กลับมีชีวิตชีวาเช่นนี้ยกเว้นรอยคล้ำใต้ตาของเขาแล้ว ใบหน้าและดวงตาของเขาเป็นประกายจริงๆหลังจากพูดคุยกับรุ่ยเอ๋อร์เมื่อคืน รุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้กลัวและระแวดระวังกับเซี่ยหลูโม่มากขนาดนั้นอีก บางครั้งเขายังเปิดม่านเพื่อแอบมองที่แผนหลังของเขาด้วยเขาเป็นคนอย่างกับท่านปู่ของเขางั้นเหรอ? งั้นเขาก็จะเป็นผู้ที่สุดยอดมาก เขาแค่ฆ่าศัตรูเท่านั้น ไม่ทำร้ายประชาชนดังนั้นไม่ต้องกลัวเขาเลยรุ่ยเอ๋อร์บอกกับตัวเองในใจเช่นนี้ตลอด บอกว่าตลอดทาง จากนั้น ในสายตาของเขา เซี่ยหลูโม่ก็กลายเป็นคนที่เหมือนกับท่านปู่และท่านพ่อของเขาเข้า ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะเป็นอาเขยของตนเอง และเป็นญาติสนิทของเขาในอนาคตเมื่อมาถึงอำเภอเย่ รุ่ยเอ๋อร์ได้ริเริ่มทำท่าด้วยมือให้กับเซี่ยหลูโม่ แล้ว และยังกล้าให้เซี่ยหลูโม่จับมือของเขาเพื่อซื้อขนมอบอีกด้วยซ่งซีซีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นสภาพเช่นนี้ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่นั้น รุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะเชื่อใจท่านอ
เสนาบดีมู่ปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า "แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ดีแล้วนะ"เขายืนขึ้นและโค้งคำนับ "กระหม่อมเสียท่าไป หวังว่าฝ่าบาททรงอย่าถือสาพะยะค่ะ""ข้าก็เกือบเสียท่าเช่นกัน ไม่โทษเจ้า ผู้ใดที่รู้เรื่องนี้จะไม่ดีใจด้วยล่ะ" ฮ่องเต้ยิ้มอย่างสดใสและคิดบางสิ่งขึ้นมา เขารีบสั่ง "อู๋ต้าปั้น เจ้าไปตระกูลขงด้วยตนเองไป หรือไปสำนักเขตจิงจ้าวเพื่อตามหาใต้เท้าขง บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้และทำให้พวกเขาดีใจสักหน่อย"อู๋ต้าปั้นกำลังปาดน้ำตาที่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำสั่งจากฮ่องเต้ เขาจึงรีบตอบว่า "พะยะค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้"อู๋ต้าปั้นจากไปอย่างมีความสุข ตระกูลซ่งมีทายาทสืบตระกูลอู๋ต้าปั้นรู้สึกมีความสุขจริงๆ ซ่งฮูหยินมีบุญกับเขา เขาอย่างให้ตระกูลซ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีกเสนาบดีมู่มองดูอู๋ต้าปั้นออกไปพร้อมกับความคิดในใจมากมาย แม้ว่าเขาจะยังมีงานราชการที่ต้องทำมากมาย แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะกลับไปสำนักเร็วเช่นนี้"ฝ่าบาท สงครามที่ชายแดนเฉิงหลิงเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับแคว้นซางของเรามาโดยตลอด เรื่องนี้ถูกปกปิดไว้ เมืองซีจิงไม่ยอมที่จะเปิดเผยในตอนนี้ แต่รัชทายาทของเมืองซีจิงก็จากไปแล้ว และการต่อ
เสนาบดีมู่ตอบปากรับคำกับงานนี้แทนฮูหยิน ในใจของเขารู้สึกสับสนมากเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางในตอนนั้น มีคนนับถือชื่นชมนับไม่ถ้วน ได้รับการสดุดี มีขุนนางมากแค่ไหนที่ราชสำนักมีความหวังสูงกับทั้งสองคนแม้แต่ประชาชนยังชื่นชมความรักของพวกเขา และยังรู้สึกสงสารและนับถือยี่ฝาง เห็นได้ชัดว่านางเป็นแม่ทัพหญิงที่สร้างผลงานทางทหารยิ่งใหญ่ กลับยอมเป็นแค่ภรรยาที่เท่าเทียมกันยิ่งมีคนยกย่องจ้านเป่ยว่างว่า แม้ว่าเขากับยี่ฝางมีใจให้กันและกัน แต่เขาก็ไม่เคยลืมภรรยาเอกที่บ้าน เพียงเพื่อให้ยี่ฝางสามารถดำรงตำแหน่งเป็นภรรยาที่เท่าเทียมกันเท่านั้นชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง ทำให้ทุกคนดีใจจนเสียสติ ให้ผู้คนร่วมฉลองอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหลังจากร่วมฉลองเสร็จ ถึงค่อยๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และพบว่ามีสิ่งสกปรกมากมายซ่อนอยู่ในเรื่องราวที่ดูสวยงามเหล่านั้นในท้ายที่สุดได้พบว่าภรรยาเอกคนนั้นกลับโด่ดเด่นกว่ายี่ฝางเสียอีก และทุกคนก็จำได้ว่าตระกูลซ่งเคยสร้างผลงานมากมายให้กับแคว้นซาง และนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสงสารของตระกูลซ่งแต่ไหนแต่ไรมา คุณหนูซ่งไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากความคิด
สมาชิกในตระกูลขงต่างก็งุนงงเมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยหมิงอ๋องสามารถนำข่าวดีอะไรมาสู่ตระกูลขงได้?เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของทุกคน อู๋ต้าปั้นกล่าวต่อว่า "ท่านเป่ยหมิงอ๋องพบขอทานตัวน้อยคนหนึ่งในอำเภอเย่ หน้าหน้าคล้ายกับแม่ทัพรองของตระกูลซ่ง ดังนั้นเขาจึงเรียกรุ่ยเอ๋อร์อย่างหยั่งเชิงแต่เขาไม่คาดคิดว่าขอทานตัวน้อยคนนั้นได้ตอบสนอง..."ขงหยางรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อจึงขัดจังหวะอู๋ต้าปั้น "อู๋กงกง ท่านอ๋องเห็นคนที่ดูคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์ เขาจึงถวายฎีกาต่อฝ่าบาท เขาต้องการสื่ออะไร ดูคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์ แต่ไม่ใช่รุ่ยเอ๋อร์ จะไปบอกฝ่าบาทเพื่ออะไรหรือ?"ขงหยางไม่เพียงแต่รู้สึกเหลือเชื่อ แต่ยังรู้สึกโกรธเล็กน้อยอีกด้วยม่านชิงและรุ่ยเอ๋อร์คือปมบาดแผลทางใจของคนตระกูลขง โดยเฉพาะฝั่งคุณนายใหญ่ จะให้นางฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาดแค่ได้เห็นคนหน้าตาคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์คนหนึ่ง จะมาบอกว่าเป็นข่าวดีแล้วหรือ? นี่มันข่าวดีอะไรกัน? เสียแรงและเวลาที่ทุกคนเร่งรีบกลับมาที่มาฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ขงหยางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธกับเป่ยหมิงอ๋องเล็กน้อยอู๋ต้าปั้นคลายมอเบาๆ "ใต้เท้าขง โปรดใจเย็นๆ ก่อน หากเป็นแค่ดู