ตัวอักษรที่บิดเบี้ยวนั้น อ่านอยู่ตั้งนานถึงจะอ่านออกสักทีซ่งซีซีลืมดวงตาที่ทั้งแดงและบวมของนางขึ้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง สามคำนี้ราวกับมีดแทงทะลุหัวใจของนาง ทำให้ร่างกายของนางขดตัวด้วยความเจ็บปวดเมื่อกี่วันก่อนที่ครอบครัวของนางจะถูกสังหารนั้น นางก็เคยกลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง และหารือกับท่านแม่เกี่ยวกับสงครามที่ชายแดนเฉิงหลิงท่านแม่เป็นห่วงท่านตามาก โดยกลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อและพี่ชายของนาง หลังจากที่นางปลอบท่านแม่สักพักใหญ่ ก็จากไปด้สนความกังวลใจ นางก็เป็นห่วงท่านตาด้วย แต่ห่วงท่านแม่มากกว่านางพบกับรุ่ยเอ๋อร์อยู่นอกเรือนของท่านแม่ รุ่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วถามท่านอาว่าอารมณ์เสียหรือเปล่า นางยังลูบผมของเขาด้วยรอยยิ้ม "อาอารมณ์เสียนิดหน่อย แต่อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง รุ่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล"ตอนนั้นนางยังมีเรื่องกลุ้มใจเก็บไว้ในใจ เลยตอบไปอย่างขอไปทีบางทีรุ่ยเอ๋อร์อาจรู้สึกว่านางไม่สบอารมณ์ เลยคิดที่จะไปซื้อของหวานเพื่อกล่อมนางในช่วงเวลากว่าหนึ่งปีที่นางอยู่บ้านรอออกเรือนหลังจากกลับจากภูเขาเหม่ยชาน นางเล่นกับเด็กๆ เกือบทุกวัน เพื่อกล่อมให้พวกเขามีความสุข และพยายามขจั
หลังจากที่เขาเขียนแค่นี้เสร็จ เขาก็เหนื่อยมากจนไม่ไหวแล้วซ่งซีซีให้เขาไปพักผ่อน เมื่อเห็นเขาหลับไป ซ่งซีซีก็ไม่อยากจะจากไปนางกลัวว่าหากตนเองอยู่ห่างจากรุ่ยเอ๋อร์แม้แต่ครึ่งก้าว ทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้านางจะพังทลายลงราวกับความฝัน และเมื่อนางกลับสู่ความเป็นจริง จะไม่มีรุ่ยเอ๋อร์แล้วนางรู้สึกทุกข์ใจมากที่เด็กคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย และการเห็นเขาเดินกะโผลกกะเผลกก็เหมือนกับเข็มเหล็กแทงทะลุหัวใจของนางทีละเข็มเซี่ยหลูโม่กำลังเตรียมการที่จะกลับไปยังเมืองหลวง อาการของรุ่ยเอ๋อร์ยังคงต้องได้รับการรักษาโดยหมอมหัศจรรย์ดันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่สามารถชักช้าได้เด็กอายุเจ็ดขวบสูงพอๆ กับเด็กอายุห้าขวบ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สูงขึ้นเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาจากไป ไม่รู้ว่าเขาได้กินยาพิษชนิดใดอีก หากไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน มักจะไม่สบายใจเซี่ยหลูโม่ยังให้นายอำเภอหลิงโจวส่งจดหมายด่วนถึงฮ่องเต้ในนามของเขา เพื่ออธิบายสถานการณ์อย่างชัดเจนตระกูลซ่งมีเลือดเนื้อเหลือไว้อยู่ เชื่อว่าทั้งฮ่องเต้และเขุนนางต่างในราชสำนักล้วนจะมีความสุขมากส่วนตระกูลขง เด็กคนนี้ก็เป็นผู้ช่วยให้รอดแก่ตระก
หลังจากที่รุ่ยเอ๋อร์หลับไป นางก็ไปหาเซี่ยหลูโม่ และแสดงกระดาษที่เขียนโดยรุ่ยเอ๋อร์ให้เขาดูหลังจากอ่านดูแล้ว เซี่ยหลูโม่ก็รู้สึกในใจซับซ้อนมาก เขาดูเหมือนกับพวกผู้ค้ามนุษย์ที่ทำร้ายเขามากหรือ?อาจกระมัง หลังจากที่จมอยู่ในสนามรบมานานหลายปี เขาก็มีรัศมีแห่งความเย็นชาอย่างหนักถอนหายใจช้าๆ "ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ข้าจะพยายามทำตัวให้ดูอ่อนโยนหน่อย และยิ้มกับเขาให้มากๆ"เด็กต้องการการรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย"ตลอดทางนี้ ลำบากท่านแล้ว ขอบคุณเจ้าคะ" ความซาบซึ้งที่ซ่งซีซีมีต่อเซี่ยหลูโม่ ไม่สามารถสรุปได้เพียงประโยคเดียวเท่านั้นแต่มีเรื่องหนึ่งที่นางควรบอกเขาอย่างชัดเจนนางดึงปิ่นปักผมออก แล้วยกไส้ตะเกียงขึ้น เปลวไฟริบหรี่และห้องก็สว่างขึ้น ส่องแสงถึงแก้มบางๆ และริมฝีปากซีดของนางนางพูดช้าๆ "อาการของรุ่ยเอ๋อร์ จะห่างจากข้าไม่ได้อย่างน้อยสองสามปี หากการแต่งงานของเรายังคงดำเนินการต่อ ข้าคงต้องนำเขาให้ติดตามข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง ข้าไม่สามารถทิ้งเขาไว้ตามลำพังในจวนเสนาบดีกั๋วกง"ใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยหลูโม่มีสีหน้าสงบนิ่ง และดวงตาสีเข้มของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสว่าง "การแต่งงานของเราจะดำเน
ในที่สุด ในคืนนั้นที่จะพักที่โรงเตี้ยม หลังจากที่เซี่ยหลูโม่เอื้อมมือออกไปเพื่อช่วยพยุงซ่งซีซีลงจากรถม้ารุ่ยเอ๋อร์ก็รวบรวมความกล้าที่จะลงออกจากรถม้า จากนั้นยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองด้วยร่างกายที่สั่นเทาของเขา เขาอ้าแขนออกไปเพื่อปกป้องท่านอาอยู่ด้านหลัง เขาจ้องมองเซี่ยหลูโม่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเขากลัวมากจนขาที่ผอมแห้งราวกับแท่งไม้ของเขายังคงสั่น ริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาเช่นกัน จากนั้นก็ส่งเสียงครวญครางเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมองหน้ากันด้วยความตกใจ เกิดอะไรขึ้น? ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล จะเกิดผลข้างเคียงอย่างนั้นหรือ?"อ๊า!"ซ่งซีซีตบศีษะตนเองเบาๆ และตระหนักถึงเหตุผล รุ่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่านางไม่ใช่ฮูหยินของจ้านเป่ยว่างอีกแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเซี่ยหลูโม่คืนนั้น อาหลานสองคนคุยกันตั้งนานเลยไม่สามารถปฏิบัติกับรุ่ยเอ๋อร์เหมือนเป็นเด็กน้อยได้อีกต่อไป เขาขอทานในตลาดต่างๆ มาสองปีแล้ว เรื่องต่างๆ แค่บอกกับเขา เขาก็จะเข้าใจอีกอย่างเขารู้เกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกสังหารจากชาวบ้านชาวเมืองที่พูดคุยกัน ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไงเขายังไม่รู้เขาอายุเจ็ดขวบแล้ว เรื่องบางเรื่องเขาต้องรู้
วันรุ่งขึ้น คนขับรถเซี่ยหลูโม่รู้สึกสดชื่นแต่รอยคล้ำใต้ตาของเขาดำมากทีเดียวซ่งซีซีประหลาดใจมากว่าเขาทำได้ยังไง ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเขานอนหลับไม่ดีแต่กลับมีชีวิตชีวาเช่นนี้ยกเว้นรอยคล้ำใต้ตาของเขาแล้ว ใบหน้าและดวงตาของเขาเป็นประกายจริงๆหลังจากพูดคุยกับรุ่ยเอ๋อร์เมื่อคืน รุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้กลัวและระแวดระวังกับเซี่ยหลูโม่มากขนาดนั้นอีก บางครั้งเขายังเปิดม่านเพื่อแอบมองที่แผนหลังของเขาด้วยเขาเป็นคนอย่างกับท่านปู่ของเขางั้นเหรอ? งั้นเขาก็จะเป็นผู้ที่สุดยอดมาก เขาแค่ฆ่าศัตรูเท่านั้น ไม่ทำร้ายประชาชนดังนั้นไม่ต้องกลัวเขาเลยรุ่ยเอ๋อร์บอกกับตัวเองในใจเช่นนี้ตลอด บอกว่าตลอดทาง จากนั้น ในสายตาของเขา เซี่ยหลูโม่ก็กลายเป็นคนที่เหมือนกับท่านปู่และท่านพ่อของเขาเข้า ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะเป็นอาเขยของตนเอง และเป็นญาติสนิทของเขาในอนาคตเมื่อมาถึงอำเภอเย่ รุ่ยเอ๋อร์ได้ริเริ่มทำท่าด้วยมือให้กับเซี่ยหลูโม่ แล้ว และยังกล้าให้เซี่ยหลูโม่จับมือของเขาเพื่อซื้อขนมอบอีกด้วยซ่งซีซีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นสภาพเช่นนี้ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่นั้น รุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะเชื่อใจท่านอ
เสนาบดีมู่ปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า "แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ดีแล้วนะ"เขายืนขึ้นและโค้งคำนับ "กระหม่อมเสียท่าไป หวังว่าฝ่าบาททรงอย่าถือสาพะยะค่ะ""ข้าก็เกือบเสียท่าเช่นกัน ไม่โทษเจ้า ผู้ใดที่รู้เรื่องนี้จะไม่ดีใจด้วยล่ะ" ฮ่องเต้ยิ้มอย่างสดใสและคิดบางสิ่งขึ้นมา เขารีบสั่ง "อู๋ต้าปั้น เจ้าไปตระกูลขงด้วยตนเองไป หรือไปสำนักเขตจิงจ้าวเพื่อตามหาใต้เท้าขง บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้และทำให้พวกเขาดีใจสักหน่อย"อู๋ต้าปั้นกำลังปาดน้ำตาที่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำสั่งจากฮ่องเต้ เขาจึงรีบตอบว่า "พะยะค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้"อู๋ต้าปั้นจากไปอย่างมีความสุข ตระกูลซ่งมีทายาทสืบตระกูลอู๋ต้าปั้นรู้สึกมีความสุขจริงๆ ซ่งฮูหยินมีบุญกับเขา เขาอย่างให้ตระกูลซ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีกเสนาบดีมู่มองดูอู๋ต้าปั้นออกไปพร้อมกับความคิดในใจมากมาย แม้ว่าเขาจะยังมีงานราชการที่ต้องทำมากมาย แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะกลับไปสำนักเร็วเช่นนี้"ฝ่าบาท สงครามที่ชายแดนเฉิงหลิงเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับแคว้นซางของเรามาโดยตลอด เรื่องนี้ถูกปกปิดไว้ เมืองซีจิงไม่ยอมที่จะเปิดเผยในตอนนี้ แต่รัชทายาทของเมืองซีจิงก็จากไปแล้ว และการต่อ
เสนาบดีมู่ตอบปากรับคำกับงานนี้แทนฮูหยิน ในใจของเขารู้สึกสับสนมากเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางในตอนนั้น มีคนนับถือชื่นชมนับไม่ถ้วน ได้รับการสดุดี มีขุนนางมากแค่ไหนที่ราชสำนักมีความหวังสูงกับทั้งสองคนแม้แต่ประชาชนยังชื่นชมความรักของพวกเขา และยังรู้สึกสงสารและนับถือยี่ฝาง เห็นได้ชัดว่านางเป็นแม่ทัพหญิงที่สร้างผลงานทางทหารยิ่งใหญ่ กลับยอมเป็นแค่ภรรยาที่เท่าเทียมกันยิ่งมีคนยกย่องจ้านเป่ยว่างว่า แม้ว่าเขากับยี่ฝางมีใจให้กันและกัน แต่เขาก็ไม่เคยลืมภรรยาเอกที่บ้าน เพียงเพื่อให้ยี่ฝางสามารถดำรงตำแหน่งเป็นภรรยาที่เท่าเทียมกันเท่านั้นชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง ทำให้ทุกคนดีใจจนเสียสติ ให้ผู้คนร่วมฉลองอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหลังจากร่วมฉลองเสร็จ ถึงค่อยๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และพบว่ามีสิ่งสกปรกมากมายซ่อนอยู่ในเรื่องราวที่ดูสวยงามเหล่านั้นในท้ายที่สุดได้พบว่าภรรยาเอกคนนั้นกลับโด่ดเด่นกว่ายี่ฝางเสียอีก และทุกคนก็จำได้ว่าตระกูลซ่งเคยสร้างผลงานมากมายให้กับแคว้นซาง และนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสงสารของตระกูลซ่งแต่ไหนแต่ไรมา คุณหนูซ่งไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากความคิด
สมาชิกในตระกูลขงต่างก็งุนงงเมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยหมิงอ๋องสามารถนำข่าวดีอะไรมาสู่ตระกูลขงได้?เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของทุกคน อู๋ต้าปั้นกล่าวต่อว่า "ท่านเป่ยหมิงอ๋องพบขอทานตัวน้อยคนหนึ่งในอำเภอเย่ หน้าหน้าคล้ายกับแม่ทัพรองของตระกูลซ่ง ดังนั้นเขาจึงเรียกรุ่ยเอ๋อร์อย่างหยั่งเชิงแต่เขาไม่คาดคิดว่าขอทานตัวน้อยคนนั้นได้ตอบสนอง..."ขงหยางรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อจึงขัดจังหวะอู๋ต้าปั้น "อู๋กงกง ท่านอ๋องเห็นคนที่ดูคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์ เขาจึงถวายฎีกาต่อฝ่าบาท เขาต้องการสื่ออะไร ดูคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์ แต่ไม่ใช่รุ่ยเอ๋อร์ จะไปบอกฝ่าบาทเพื่ออะไรหรือ?"ขงหยางไม่เพียงแต่รู้สึกเหลือเชื่อ แต่ยังรู้สึกโกรธเล็กน้อยอีกด้วยม่านชิงและรุ่ยเอ๋อร์คือปมบาดแผลทางใจของคนตระกูลขง โดยเฉพาะฝั่งคุณนายใหญ่ จะให้นางฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาดแค่ได้เห็นคนหน้าตาคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์คนหนึ่ง จะมาบอกว่าเป็นข่าวดีแล้วหรือ? นี่มันข่าวดีอะไรกัน? เสียแรงและเวลาที่ทุกคนเร่งรีบกลับมาที่มาฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ขงหยางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธกับเป่ยหมิงอ๋องเล็กน้อยอู๋ต้าปั้นคลายมอเบาๆ "ใต้เท้าขง โปรดใจเย็นๆ ก่อน หากเป็นแค่ดู
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู
หลังจากสนมฮุ่ยไทเฟยออกจากวังและกลับจวน นางพารุ่ยเอ๋อร์มาเยี่ยมซ่งซีซี นางเป็นคนพูดไม่หยุด พอรุ่ยเอ๋อร์พูดคุยกับซ่งซีซีเสร็จและเดินออกไป นางก็เล่าทุกเรื่องที่ได้ยินในวัง รวมถึงเรื่องที่ไทเฮาลงโทษอย่างหนัก ซ่งซีซีฟังจบแล้วกลับปลอบใจนางแทนว่า "คนที่ติดอยู่ในวังหลังไม่มีอะไรทำทุกวัน จะเหมือนข้าออกไปเดินเล่นหรือฟังละครไม่ได้ ย่อมชอบแต่งเรื่องเล่าต่างๆ เพื่อผ่านเวลาไป หากไม่ทำเช่นนั้น วันเวลาที่เนิ่นนานจะผ่านไปได้อย่างไร?" สนมฮุ่ยไทเฟยกล่าวด้วยความโกรธ "ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไร้สาระ พูดออกมาน่าเกลียดขนาดนั้น หากทำให้หมอเอ๋อร์ของเราถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัว นี่หรือคำพูดของคน? แล้วนี่เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่ควรพูดหรือ? ช่างไม่สำรวมจริงๆ" ซ่งซีซีถอนหายใจ นางเพียงเสียใจว่าตอนที่เริ่มรู้สึกผิดปกติ นางไม่ได้ "บาดเจ็บ" ในทันที แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ดื่มน้ำซุปนั้น แม้นางจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติถึงขนาดนั้น นางกลับคิดว่าฝ่าบาทต้องการสืบเรื่องของสถาบันว่านซงเหมิน แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้นางก็ไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกันแน่ พระองค์ทรงมีความคิดล
ไม่นานนัก สนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับมาถึงตำหนักฉือหนิงด้วยท่าทางโกรธจัด ไม่สนใจว่าฝูกงกงอยู่ด้วย นางก็กล่าวด้วยความโกรธว่า "จะไม่ให้พูดได้อย่างไรว่าคนที่อยู่ในวังหลวงนั้นมองโลกแคบ ใจคับแคบเหมือนรูเข็ม เห็นใครดีกว่าไม่ได้! ซีซีของพวกเรามีความดีความชอบจนฝ่าบาททรงชื่นชม เรียกให้นางไปเข้าร่วมการปรึกษาหารือเสมอ แต่คนพวกนั้นกลับแอบพูดกระแนะกระแหนเรื่องหญิงชายอยู่ในที่เดียวกัน ว่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกันไม่เหมาะสม ช่างน่าขำสิ้นดี พวกนางลืมไปแล้วหรือว่าซีซีเป็นขุนนางราชสำนัก? หากไม่ไปห้องทรงพระอักษรเพื่อประชุมราชการ จะให้นางไปแย่งความโปรดปรานในวังหลังหรืออย่างไร?" ไทเฮาทรงจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ตรัสถามว่า "พวกนางพูดอย่างนั้นหรือ?" สนมฮุ่ยไทเฟยโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา "ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เรื่อง พวกนางชมซีซีอย่างกับว่าเป็นคนใหม่ ว่าช่วงนี้นางมักจะอยู่ในห้องทรงพระอักษรกับฝ่าบาท ข้ายังรู้สึกภูมิใจอยู่พักหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็รู้สึกแปลกๆ พวกนางพูดเหมือนกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี แล้วบอกว่าซีซีของเราคิดจะเกาะกิ่งไม้สูงกลายเป็นหงส์ อ๊าก! ข้าโกรธจนแทบตาย พวกนางยังกลั้นหัวเราะพลางปิดปาก เหมือนพวกแม่ค้าในตลาดเ
การแกล้งป่วยนั้นต้องมีทักษะ ไม่อาจอ้างว่าเพิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรหลังเหตุการณ์น่าอึดอัด แล้วจู่ๆ ก็ป่วยจนไม่สามารถทำงานได้และต้องพักรักษาตัวที่จวนทันที วิธีเช่นนี้เท่ากับทำลายความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างเจ้านายและขุนนาง ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความกระอักกระอ่วนในใจ สำหรับผู้มีอำนาจสูงเช่นฝ่าบาท อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำหรับคู่สามีภรรยาที่เป็นขุนนางอย่างพวกเขา การกระทำเช่นนั้นจะถือว่าไม่ให้เกียรติ พวกเขาจึงปรึกษากันและวางแผนว่า พรุ่งนี้จะกลับไปทำงานที่จวนกองกำลังเมืองหลวงตามปกติ พาคนออกไปนอกเมืองเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และอีกสองสามวันค่อยจัดฉากให้เกิด "อุบัติเหตุเล็กน้อย" เนื่องจากก่อนหน้านี้โจรผู้ร้ายอาละวาดไปทั่ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อหลบภัย แต่เพราะไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนจึงไม่สามารถเข้าเมืองได้ และต้องติดค้างอยู่ชานเมือง บริเวณชานเมืองมีขุนนางผู้มั่งคั่งและเศรษฐีที่เลียนแบบการแจกจ่ายอาหารของจีซูเซิ่นมากขึ้น ทำให้ผู้คนไม่อยากจากไป เพราะอย่างน้อยก็มีอาหารและเครื่องดื่ม หากเจ็บป่วยก็มีคนแจกยา หากหนาวก็มีคนมอบผ้าห่ม แม้จะลำบากบ้าง แต่ก็ดีกว่า
ทันทีที่ซ่งซีซีออกไป รอยยิ้มของจักรพรรดิ์ซูชิงก็เลือนหาย พระองค์ดื่มน้ำแกงเพียงสองสามคำ แล้วทรงอนุญาตให้เต๋อเฟยและองค์ชายรองกลับไป เต๋อเฟยไม่ได้พูดอะไร นางเพียงสั่งให้คนเก็บของแล้วจูงมือองค์ชายรองออกไป อู๋ต้าปั้นปิดประตูพระตำหนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาท ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาประชุม กระหม่อมขอทูลเชิญให้ฝ่าบาทพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมงเพคะ" แต่เดิม พระองค์มักจะทรงพักผ่อนเล็กน้อยในช่วงกลางวัน แต่หลังจากที่ทรงเรียกซ่งซีซีมาสนทนา พระองค์ก็ไม่ได้พักกลางวันอีกเลย จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนวดขมับและตรัสว่า "ก็ได้ ข้าปวดหัวนิดหน่อย" "หรือจะให้กระหม่อมไปเชิญหมอหลวงมาตรวจพระชีพจรพ่ะย่ะค่ะ?" "ไม่ต้อง ข้าเบื่อพวกหมอหลวงฝีมือแย่ แค่ปวดหัวนิดหน่อยก็รักษาไม่หาย ยาก็กินตั้งเยอะ" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสก่อนจะเสด็จไปยังห้องด้านใน ทรงเอนกายลงทั้งที่ยังสวมฉลองพระองค์อยู่ ความปวดหัวกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น อู๋ต้าปั้นคลุมผ้าห่มให้พระองค์ แต่จักรพรรดิ์ซูชิงพลันลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้าเหม่อลอย "ช่วงนี้ข้าเป็นอะไรไปนะ?" อู๋ต้าปั้นกล่าวปลอบใจ "ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องศึกสงครามมากเกินไป ทำให้พระทัยและพระวรกายอ