เสนาบดีมู่ปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า "แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ดีแล้วนะ"เขายืนขึ้นและโค้งคำนับ "กระหม่อมเสียท่าไป หวังว่าฝ่าบาททรงอย่าถือสาพะยะค่ะ""ข้าก็เกือบเสียท่าเช่นกัน ไม่โทษเจ้า ผู้ใดที่รู้เรื่องนี้จะไม่ดีใจด้วยล่ะ" ฮ่องเต้ยิ้มอย่างสดใสและคิดบางสิ่งขึ้นมา เขารีบสั่ง "อู๋ต้าปั้น เจ้าไปตระกูลขงด้วยตนเองไป หรือไปสำนักเขตจิงจ้าวเพื่อตามหาใต้เท้าขง บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้และทำให้พวกเขาดีใจสักหน่อย"อู๋ต้าปั้นกำลังปาดน้ำตาที่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำสั่งจากฮ่องเต้ เขาจึงรีบตอบว่า "พะยะค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้"อู๋ต้าปั้นจากไปอย่างมีความสุข ตระกูลซ่งมีทายาทสืบตระกูลอู๋ต้าปั้นรู้สึกมีความสุขจริงๆ ซ่งฮูหยินมีบุญกับเขา เขาอย่างให้ตระกูลซ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีกเสนาบดีมู่มองดูอู๋ต้าปั้นออกไปพร้อมกับความคิดในใจมากมาย แม้ว่าเขาจะยังมีงานราชการที่ต้องทำมากมาย แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะกลับไปสำนักเร็วเช่นนี้"ฝ่าบาท สงครามที่ชายแดนเฉิงหลิงเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับแคว้นซางของเรามาโดยตลอด เรื่องนี้ถูกปกปิดไว้ เมืองซีจิงไม่ยอมที่จะเปิดเผยในตอนนี้ แต่รัชทายาทของเมืองซีจิงก็จากไปแล้ว และการต่อ
เสนาบดีมู่ตอบปากรับคำกับงานนี้แทนฮูหยิน ในใจของเขารู้สึกสับสนมากเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางในตอนนั้น มีคนนับถือชื่นชมนับไม่ถ้วน ได้รับการสดุดี มีขุนนางมากแค่ไหนที่ราชสำนักมีความหวังสูงกับทั้งสองคนแม้แต่ประชาชนยังชื่นชมความรักของพวกเขา และยังรู้สึกสงสารและนับถือยี่ฝาง เห็นได้ชัดว่านางเป็นแม่ทัพหญิงที่สร้างผลงานทางทหารยิ่งใหญ่ กลับยอมเป็นแค่ภรรยาที่เท่าเทียมกันยิ่งมีคนยกย่องจ้านเป่ยว่างว่า แม้ว่าเขากับยี่ฝางมีใจให้กันและกัน แต่เขาก็ไม่เคยลืมภรรยาเอกที่บ้าน เพียงเพื่อให้ยี่ฝางสามารถดำรงตำแหน่งเป็นภรรยาที่เท่าเทียมกันเท่านั้นชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง ทำให้ทุกคนดีใจจนเสียสติ ให้ผู้คนร่วมฉลองอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหลังจากร่วมฉลองเสร็จ ถึงค่อยๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และพบว่ามีสิ่งสกปรกมากมายซ่อนอยู่ในเรื่องราวที่ดูสวยงามเหล่านั้นในท้ายที่สุดได้พบว่าภรรยาเอกคนนั้นกลับโด่ดเด่นกว่ายี่ฝางเสียอีก และทุกคนก็จำได้ว่าตระกูลซ่งเคยสร้างผลงานมากมายให้กับแคว้นซาง และนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสงสารของตระกูลซ่งแต่ไหนแต่ไรมา คุณหนูซ่งไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากความคิด
สมาชิกในตระกูลขงต่างก็งุนงงเมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยหมิงอ๋องสามารถนำข่าวดีอะไรมาสู่ตระกูลขงได้?เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของทุกคน อู๋ต้าปั้นกล่าวต่อว่า "ท่านเป่ยหมิงอ๋องพบขอทานตัวน้อยคนหนึ่งในอำเภอเย่ หน้าหน้าคล้ายกับแม่ทัพรองของตระกูลซ่ง ดังนั้นเขาจึงเรียกรุ่ยเอ๋อร์อย่างหยั่งเชิงแต่เขาไม่คาดคิดว่าขอทานตัวน้อยคนนั้นได้ตอบสนอง..."ขงหยางรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อจึงขัดจังหวะอู๋ต้าปั้น "อู๋กงกง ท่านอ๋องเห็นคนที่ดูคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์ เขาจึงถวายฎีกาต่อฝ่าบาท เขาต้องการสื่ออะไร ดูคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์ แต่ไม่ใช่รุ่ยเอ๋อร์ จะไปบอกฝ่าบาทเพื่ออะไรหรือ?"ขงหยางไม่เพียงแต่รู้สึกเหลือเชื่อ แต่ยังรู้สึกโกรธเล็กน้อยอีกด้วยม่านชิงและรุ่ยเอ๋อร์คือปมบาดแผลทางใจของคนตระกูลขง โดยเฉพาะฝั่งคุณนายใหญ่ จะให้นางฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาดแค่ได้เห็นคนหน้าตาคล้ายกับรุ่ยเอ๋อร์คนหนึ่ง จะมาบอกว่าเป็นข่าวดีแล้วหรือ? นี่มันข่าวดีอะไรกัน? เสียแรงและเวลาที่ทุกคนเร่งรีบกลับมาที่มาฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ขงหยางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธกับเป่ยหมิงอ๋องเล็กน้อยอู๋ต้าปั้นคลายมอเบาๆ "ใต้เท้าขง โปรดใจเย็นๆ ก่อน หากเป็นแค่ดู
แต่มันจะเป็นจริงได้อย่างไร?ย่อมมีแต่ทำให้ผิดหวังเท่านั้น...ทุกคนต่างเสียใจมาก แต่ก็เห็นใจซ่งซีซีด้วย หากนางไปที่นั่นด้วยความหวังสูง นางจะผิดหวังอย่างแน่นอนเมื่อไปถึงที่นั่นไม่สิ อู๋ต้าปั้นบอกว่าพวกเขาจะกลับมาถึงเมืองหลวงในไม่ช้า หรือว่านางพาขอทานตัวน้อยกลับมาโดยคิดว่าคนคนนั้นเป็นรุ่ยเอ๋อร์หรือมันเรื่องอะไรกันเนี่ย? เพิ่งชมว่านางเป็นผู้ใหญ่ทำอะไรมีเหตุผล แต่แล้วก็ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้หรือ?ซ่งซีซีออกจากเมืองหลวงในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตอนนางกลับมาก็เป็นวันที่เจ็ดของเดือนกันยายนแล้วนฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นสบายมากองครักษ์ที่เฝ้าประตูเมืองตกตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่ขับรถม้านั้นเป็นท่านเป่ยหมิงอ๋อง กลับให้ท่านอ๋องเป็นคนขับให้ แล้วคนที่อยู่ในรถม้าจะเป็นผู้ใดกันเมื่อรถม้าของท่านอ๋องกลับมาเมืองหลวง มันก็ถูกปล่อยผ่านโดยธรรมชาติทันทีโดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ รถม้าก็มุ่งตรงไปที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเมื่อมาถึงจวนเสนาบดีกั๋วกง เซี่ยหลูโม่พูดกับซ่งซีซีและรุ่ยเอ๋อร์ว่า "ข้าจะไม่เข้าไป เจ้ากับรุ่ยเอ๋อร์พักผ่อนให้ดีๆ ก่อน ข้าจะมาเยี่ยมอีกทีวันหลัง"คิดว่าพรุ่งนี้พวกเขาต้องไปตระกูลขง พรุ่งนี้
ลุงฟูไม่ได้ให้เขาพักเรือนเดิมที่เขาเคยอยู่ประจำ แม้ว่ากางตกแต่งได้ปรับปรุงใหม่แล้ว แต่ยังกลัวว่าเขาจะคำนึงถึงเรื่องเศร้าได้ ดังนั้นจึงให้เขาอาศัยอยู่กับคุณหนูที่เรือนจือหลาน ถึงยังไงเรือนจือหลานก็มีขนาดใหญ่ มันมากพอที่ให้สองคนอสศัยอยู่ลุงฟูยังพิจารณาถึงนายน้อยต้องทนทุกข์มามาก ความทุกข์ที่เขาเจอพวกนั้น ต้องให้คุณหนูคอยดูแลอยู่เคียงข้างนายน้อยอายุยังไม่ครบเจ็ดขวบ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรไม่เหมาะที่อาศัยอยู่กับคุณหนูอย่างน้อยผ่านเวลาสองสามเดือนแรกไปก่อน หลังจากคุณหนูออกเรื่อนแล้ว ค่อยวางแผนใหม่หลังจากจัดการรุ่ยเอ๋อร์ให้เรียบร้อย ซ่งซีซีก็เรียกทุกคนไปที่ห้องโถงด้านข้าง และให้เฉินฟูส่งคนไปส่งข่าวที่ซ่งไท่กงและตระกูลขงด้วยโดยบอกว่ารอให้รุ่ยเอ๋อร์จัดการกับสติอารมณ์ให้ดีขึ้นหน่อย เดี๋ยวจะพาเขาไปเบี่ยมทุกคน"ใช่แล้ว หากตระกูลขงอยากเจอรุ่ยเอ๋อร์ก่อน ก็สามารถให้พวกเขามา รุ่ยเอ๋อร์สนิทกับท่านตาท่านยายและท่านลุงของตนเอง จะไม่ต่อต้านกับพวกเขา ส่วนทางไทกงให้เขารอก่อน"ซ่งซีซีไม่รู้ว่าตระกูลขงไม่เชื่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเฉินฟูจึงส่งคนไปบอก ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมมา แถมยังบอกด้วยว่าหาก
ความเจ็บปวดจากกระดูกหักนั้นเจ็บปวดมากแค่ไหน ซ่งซีซีย่อมรู้โดยธรรมชาติ หาใช่ว่านางไม่เคยกระดูกหักเมื่อตอนที่นางยังเด็กมียาแก้ปวดหรือฝังเข็มเพื่อแก้ปวด แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสซ่งซีซีรู้สึกเป็นกังวล จากนั้นถามขึ้นอีกว่า "แล้วเขาเคยใช้ยาเสพติดด้วย จะเป็นอะไรหรือไม่?"หมอมหัศจรรย์ดันกล่าวว่า "ยานั้นชื่อยาไส้หมู่ด่าน พอกินแล้วจะทำให้คนติดยา แต่ดูเหมือนว่าอาการของเขาตอนนี้ยังดีอยู่ ตลอดทางที่พวกเจ้ากลับมาเขาได้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่"ซ่งซีซีนึกถึงระหว่างทางนี้ ดูเหมือนเขาเคยอาการกำเริบบ้าง แต่เขาก็ทนเอาไว้ จากนั้นมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีวี่แววที่จะกำเริบอีก เลยกล่าวว่า "ไม่ค่อย ที่อาการกำเริบล่าสุด เขาอดทนไว้จนได้""โอ้ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเคยกล่าวไว้ว่าเขาเคยกำเริบตอนอยู่หลิงโจว มีอาการหนักมาก ตอนนั้นเขาชนกำแพงไม่ก็ทำร้ายตัวเอง หลังจากที่ข้าไปถึงที่นั่นก็ไม่เคยเห็นอาการเช่นนั้นอีก"หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจ "แรกๆ มันทนยากที่สุด แต่อาการจะเบาลงทุกครั้งจนกว่าจะเลิกเลย ยานี้จะมีผลเสียหายต่อร่างกาย หลังเลิกอย่างสมบูรณ์แล้ว ต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง แต่เด็กคนนี้ไม่ได้สูงขึ้นเท่าไร เหตุผ
เมื่อนางส่งหมอมหัศจรรย์ดันออกไป หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจก่อนพูดว่า "ถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวไปก็เป็นเรื่องโชคร้าย แต่สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติจากสังหารหมู่ก็ถือเป็นโชคดีอันยิ่งใหญ่ท่ามกลางความโชคร้ายเลย"แต่ซ่งซีซีกลับไม่คิดเช่นนั้นถ้ารุ่ยเอ๋อร์ส่งของหวานไปที่จวนแม่ทัพ นางต้องส่งรุ่ยเอ๋อร์กลับมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้ที่นางจะค้างคืนที่จวนสักคืนหนึ่งเมื่อสายลับจากเมืองซีจิงเข้ามาสังหารหมู่ ถ้านางอยู่ที่นั่น แม้ว่านางจะไม่สามารถปกป้องทุกคนได้ แต่คงไม่ถึงขั้นถูกฆ่าตายทั้งครอบครัวดังนั้น นางจึงเกลียดพวกค้ามนุษย์เหล่านั้นถึงที่สุดแค่หวังว่าจะสามารถกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก ไม่ปล่อยผู้ใดไปหลังจากส่งหมอมหัศจรรย์ดันออกไปแล้ว ซ่งซีซีก็ให้คนเตรียมรถ จะนำรุ่ยเอ๋อร์เข้าไปในพระราชวัง เพื่อไปถวายกับฮ่องเต้และไทเฮา จากนั้นค่อยไปที่ตระกูลขงนางสั่งคนไปทำเสื้อผ้าใหม่ให้แล้ว แต่ชุดเดิมของเขายังคงใส่ได้ เพียงแต่เหลือไม่กี้ชิ้นเองแล้วตอนนั้นที่ทำงานศพ เสื้อผ้าบางส่วนของพวกเขาถูกฝังอยู่กับหลุมฝังศพพวกเขาไป เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นสำหรับเป็นที่ระลึกแม้ว่าเสื้อผ้านั้นที่รุ่ยเอ๋อร์ใส่ไ
หลังจากออกจากวังแล้ว ซ่งซีซีก็พารุ่ยเอ๋อร์ขึ้นรถม้าเดินทางไปตระกูลขงต่อเวลานี้เป็นยามเย็นแล้ว และคุณท่านของตระกูลขงคงเลิกงานกลับจวนแล้วในรถม้า รุ่ยเอ๋อร์เขียนหนังสือบนมือของซ่งซีซี "จะไปบ้านท่านตาหรือไม่"ซ่งซีซีพยักหน้าแล้วพูดว่า "ใช่ เราไปบ้านท่านตาของหนู หนูไม่คิดถึงพวกเขาเหรอ?"รุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าและเขียนคำเดียวว่า "คิดถึง!"แต่เขามีสีหน้าดูกังวลมากเด็กคนนี้เป็นคนอ่อนไหว และคนของตระกูลขงบอกว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าเขากลับมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตระกูลขงคงไม่อยากเจอเขาซ่งซีซีเห็นความกังวลของเขาออกจึงพูดว่า "อย่ากังวลเลยนะรุ่ยเอ๋อร์ ท่านตาท่านยายและท่านลุงของหนูทุกคนคิดถึงหนูมาก แต่พวกเขาแค่ไม่เชื่อว่าหนูยังมีชีวิตอยู่ พอพวกเขาเจอหน้าหนูแล้ว ต้องดีใจมากๆ เลย"รุ่ยเอ๋อร์พิงตัวท่านอา คางแหลมของเขายกขึ้นเล็กน้อย และเขาก็เปิดปากเพื่อพยายามส่งเสียงออกมา แต่มันก็ออกเสียงไม่ได้ เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยไม่รู้ว่าพวกเขาจะรังเกียจที่เขากลายเป็นใบ้และเป็นง่อยหรือไม่?หลังจากครุ่นคิดพักนึง เขาก็เขียนบนฝ่ามือของท่านอาว่า "พวกเขาจะรังเกียจรุ่ยเอ๋อร์หรือไม่"ซ่งซีซีรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม