ซ่งซีซีรู้ดีว่าพวกเขามีความเข้าใจผิดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้นางบอกว่าพอจะเข้าใจได้ แต่จริงๆ แล้ว นางไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เช่นเดียวกับเมื่อนางได้รับจดหมายของเซี่ยหลูโม่ นางก็รีบออกเดินทางไปหลิงโจวทันที แม้ว่านางจะพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองว่าอย่ามีความหวังในตลอดทาง แต่นางก็ทำไม่ได้ที่นั่งเฉยๆ ขนาดไม่ไปตรวจดูด้วยตาของตนเองดังนั้น เมื่อนางได้ยินขงหยางพูดแบบนี้อีกครั้ง นางก็อารมณ์เสียขึ้นมา และหันกลับไปเปิดม่าน อุ้มรุ่ยเอ๋อร์ออกมา ยืนอยู่ตรงหน้าขงหยาง และพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่างน้อยก็ลองดูสักครั้งบ้าง ในระหว่างทางมาที่นี่ รุ่ยเอ๋อร์เขียนหนังสือบนฝ่ามือของข้าอย่างกังวลมาก เขากังวลว่าพวกเจ้าจะรังเกียจเขา ข้ายังปลอบใจเขาว่ามันไม่แน่นอน"ขงหยางต่อต้านวิธีการของนาง แต่เขาก็ยังมองดูเด็กที่นางอุ้มอยู่โดยสัญชาตญาณเพียงมองแวบเดียว เขาก็รู้ว่าเขาผิดมากแค่ไหนเพียงมองแวบเดียว ลมหายใจของเขาก็แทบจะหยุดลงคล้ายกันมาก คล้ายกันเกินไป แม้ว่าผอมโซไม่ได้กลมๆ และน่ารักเหมือนรุ่ยเอ๋อร์ในเมื่อก่อน แต่ก็คล้ายกันจริงๆริมฝีปากของเขาสั่น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และเขาก็ตะโกนออกมาอย่างไม่แน่นอนว่า "รุ่ยเ
ทุกคนทั้งบีบนางและนวดขมับให้นาง สุดท้ายนางถึงฟื้นขึ้นมาทันทีที่นางฟื้นตัวยังคงร้องไห้ต่อ "คุณพระช่วย ทำไมต้องให้เด็กทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ ตระกูลซ่งมีแต่วีรบุรุษทั้งนั้น เหตุใดต้องมาตกเป็นสภาพเช่นนี้ สวรรค์เอ๊ย เจ้าไม่ยุติธรรมเลย เจ้าโหดร้ายเกินไป"ซ่งซีซีทนไม่ได้ที่จะได้ยินคำพูดที่บีบคั้นใจเช่นนี้ และรีบออกไปข้างนอก ในช่วงเวลานี้ น้ำตาของนางดูเหมือนจะมาไม่หมดเลย ก่อนหน้านี้จะอดทนมากแค่ไหน บัดนี้ก็จะอ่อนแอมากเท่านั้น น้ำตาที่นางเคยกลั้นไว้ในเมื่อก่อนตอนนี้ก็ไหลออกมาหมดเลยพวกเขานำรุ่ยเอ๋อร์ไปเยี่ยมกับทีละคน จากนั้นจึงพาไปที่เรือนของคุณนายใหญ่ดีที่นางได้รับยาล่วงหน้า เมื่อนางเห็นว่ารุ่ยเอ๋อร์กลายเป็นใบและขาง่อยๆ นางทุกข์ใจจนหลั่งน้ำตา เหลนดีๆ ของนาง ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ล่ะหลานสาวที่นางเลี้ยงมาด้วยมือของตนเองจากไปแล้ว เด็กคนนี้น่าเอ็นดู มีความประพฤติดีเหมือนกับท่านแม่ของเขา แน่นอนว่าหญิงชราเอ็นดูเขา เห็นเขาเป็นแก้วตาดวงใจของตนเอง บัดนี้กลายเป็นสภาพเช่นนี้ เท่ากับว่าเอามีดแทงใจนางจริงๆใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วยาม ทุกคนถึงกลั้นน้ำตาได้ และนั่งอย่างสงบในห้องโถงใหญ่ คุณนายใหญ่เดินออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พูดออกมา แต่ทุกคนรู้ดีว่านางกำลังกังวลว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะสร้างปัญหาให้เด็กแม้ว่าตระกูลขงจะไม่ค่อยได้เข้าร่วมการชุมนุมในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในข้างนอกก็รู้มาไม่น้อยโดยเฉพาะเรื่องของซ่งซีซี พวกเขาให้ความสนใจอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ไปสอบถามอะไรพวกเขาทุกคนรู้ดีว่าสนมฮุ่ยไทเฟยไม่พอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มากนัก หากนางพารุ่ยเอ๋อร์ไปด้วย เกรงว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะยิ่งรังเกียจมากขึ้นซ่งซีซีกล่าวว่า "รุ่ยเอ๋อร์ต้องมาก่อนทุกอย่าง หากสนมฮุ่ยไทเฟยรับรุ่ยเอ๋อร์ไม่ได้ งั้นข้าจะพาเขากลับจวนเสนาบดีกั๋วกง ข้าสัญญากับพวกเจ้าว่า จะไม่ให้รุ่ยเอ๋อร์โดนรังแกแม้แต่น้อยเจ้าคะ"เห็นได้ชัดว่าคำรับรองของนาง ไม่ได้กำจัดความกังวลของทุกคน ถึงยังไงนางแต่งงานเป็นครั้งที่สองแล้ว แม่สามีไม่ชอบ ดังนั้นนางจะต้องโดนเล่นงานทุกวันอย่างแน่นอนแม้ว่าเป่ยหมิงอ๋องจะคืนยุติธรรมให้ แต่เป็นคนที่ต้องมาตัดสินทุกอย่างระหว่าท่านแม่กับภรรยาของตนเอง เมื่อเวลานานๆ ก็จะเสียความอดทนไปคุณท่านรองจากบ้านรองแห่งตระกูลขงกล่าวว่า "จริงๆ แล้ว มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับรุ่ยเอ๋อร์ที่จะอยู่ในตระกูลขง เพราะเรามีผู
วันรุ่งขึ้น จวนตระกูลขงส่งอาหารจานโปรดของรุ่ยเอ๋อร์มาให้ ยังบอกด้วยว่าสตรีในแต่ละเรือนกำลังยุ่งอยู่กับการเย็บผ้าและทำเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าให้กับนายน้อยรุ่ยเอ๋อร์จวนตระกูลขงใช้การกระทำเพื่อแสดงความรักความห่วงใยที่พวกเขามีต่อรุ่ยเอ๋อร์รุ่ยเอ๋อร์ก็ขจัดความกังวลออกไปหมดเช่นกัน ครอบครัวของท่านตาของเขาไม่ได้รังเกียจเขา แต่ยังใส่ใจกับเขามากวันนี้หมอมหัศจรรย์ดันมาด้วยตนเองอีกที โดยบอกว่าจะตรวจชีพจรอีกครั้งเผื่อมีอะไรพลาดไปในความเป็นจริง ด้วยทักษะทางการแพทย์ของเขา ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้วที่เขาตรวจชีพจรเมื่อวานนี้ การระมัดระวังอย่างมากเช่นนี้ก็สามารถบอกได้ว่าเขาห่วงกับสายเลือดของจวนเสนาบดีกั๋วกงที่เหลือไว้ไม่มากมากหลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป เซี่ยหลูโม่ก็มาพร้อมกับจางต้าจ้วงเขาบอกกับซ่งซีซีว่าเขามาเยี่ยมรุ่ยเอ๋อร์และต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับรุ่ยเอ๋อร์รุ่ยเอ๋อร์มีความสุขมากที่เขามา และยังแสดงหินหมึกที่ท่านลุงของเขาให้กับเซี่ยหลูโม่ดู แถมยังบอกว่าสามารถมอบหินหมึกหนึ่งอันให้กับเซี่ยหลูโม่อย่างใจกว้างได้เซี่ยหลูโม่ยอมรับด้วยรอยยิ้ม และสอนให้เขาเขียนอย่างชำนาญด้วยมือของเขาอยู่
นางกระพริบตา “ศิษย์น้องชาย?”ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่แข็งทื่อ หันหลังกลับ และพูดปากแข็งว่า "ข้าไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าข้าจะไม่เข้าร่วมสถาบันว่านซงเหมิน ข้าเป็นเพียงศิษย์ส่วนตัวของเขา"นางยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย "ศิษย์น้อง จะพูดเช่นนี้ก็คือกำลังพูกหลอกลวงแล้วนะ ขนาดศิษย์อาเป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านเป็นศิษย์ของเขา ท่านจะไม่เป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมินได้อย่างไร ศิษย์น้องไหว้ครูตั้งแต่เมื่อใดล่ะ? "ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่ยังคงพยายามยิ้มอย่างหนัก และเขาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างไม่สนใจอะไร "เมื่อกี้เราบอกว่าจะพารุ่ยเอ๋อร์ไปหาซ่งไท่กงสินะ เจ้าวางแผนจะไปเมื่อไหร่?"ซ่งซีซียกคางขึ้นแล้วกระพริบตาให้เขา “ศิษย์น้อง พี่และรุ่ยเอ๋อร์จะไปพรุ่งนี้”ไม่รู้ทำไม พอรู้ว่าเขาเป็นสมาชิกของสถาบันเอง ซ่งซีซีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก และอยู่ต่อหน้าเขาก็ได้เป็นตัวของตนเองมากขึ้น"..." เซี่ยหลูโม่กลอกตามองบนใส่นาง "ข้าอายุมากกว่าเจ้า"“อืม ศิษย์น้องอายุมากกว่าพี่จริงๆ” ซ่งซีซีมีความสุขมาก ไม่น่าแปลกใจในตอนแรกเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย แค่บอกว่าไปภูเขาเหม่ยชานทุกปี ที่แท้
เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเป่ยหมิง แม้ว่าจะไม่มีสงครามและเขาพักอยู่ที่เมืองหลวง แต่กองทัพเป่ยหมิงก็อยู่ไม่ไกล งานที่กองทัพก็มีไม่น้อย บางทีต้องฝึกฝนทหารด้วย จะให้ดำรงตำแหน่งต้าหลี่ซื่อชิงได้อย่างไร?อีกอย่าง หอต้าหลี่รับผิดชอบเรือนจำและทบทวนโทษประหารชีวิตในคดีสำคัญๆ พวกนี้เป็นงานเรื่องเอกสารต่างๆ แต่เขาเป็นแม่ทัพนี่น่ะในเมื่อดำรงตำปหน่งต้าหลี่ซื่อชิงแล้ว เหตุใดต้องทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชากองทัพซวนเจียอีกด้วย?ด้วยตำแหน่งทั้งขุนนางพลเรือนและแม่ทัพ บวกกับผู้บัญชาการแห่งกองทัพเป่ยหมิง เขาจะทำหน้าที่เยอะขนาดนี้ไหวเหรอ?เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย "ตราพยัคฆ์ที่กุมอำนาจทางทหารถูกส่งมอบไปแล้ว และตอนนี้ กองทัพเป่ยหมิงให้หวังเบียวดูแลชั่วคราว"หวังเบียว?ซ่งซีซีรู้จักเขา หวังเบียวคือท่านป๋อผิงซี คนนี้เคยมีชื่อเสียงในกองทัพ แต่เนื่องจากครั้งหนึ่งที่เขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ จากนั้นก็ออกศึกไม่ได้อีกเลย ได้สืบทอดยศถาบรรดาศักดิ์ของท่านปู้เขาก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนอีกเลยเห็นๆ อยู่ว่าจวนป๋อผิงซีใกล้จะตกอับแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฮ่องเต้แต่เหตุใดแม่ทัพพิการคนห
ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก เซี่ยหลูโม่ขอตัวกลับแล้วซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนนางจะเข้าใจบางเรื่องได้ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเมื่อเห็นว่านางกำลังงุนงง แม่นมเหลียงก็ลังเลก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเฉินฟูห้ามไว้ เฉินฟูส่ายหัวให้นาง "ไปหาอะไรให้นายน้อยกินเถอะ ฝึกฝนสักนานขนาดนี้ คงเหนื่อยแย่แล้วนะ"แม่นมเหลียงมองไปที่เฉินฟู แล้วถอนหายใจเบาๆ "ได้เลย!"นางหันกลับมาและไปที่ห้องครัว เฉินฟูเดินกะโผลกกะเผลกและพูดด้วยเสียงต่ำในห้องครัวว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดกับคุณหนู แต่อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ รอให้แต่งงานเสร็จก่อนเลย"แม่นมเหลียงพยักหน้า "เข้าใจแล้ว แค่เห็นคุณหนูกำลังสับสน ข้าเลยหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น"นางยังถอนหายใจ "ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่า ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารของเขา เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจว่าที่ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารก็เพื่อคุณหนู นี่ฝ่าบาทใช้คุณหนูเป็นเหยื่อ กำลังล่อจับท่านอ๋องอยู่เลย"เฉินฟูกล่าวว่า "คำบางคำแค่เข้าใจในใจก็พอ อย่าเอาไปพูดมั่วๆ ไปข้างนอก""เข้าใจเจ้าคะ คำเหล่านี้จะเอาไปพูดข้างนอกได้ยังไง เพียงแต
คนของตระกูลซ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจหรือไม่ก็เป็นเจ้าของที่ดินที่ซื้อทุ่งนาไว้ พวกเขาจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้ยังไงจะรุ่งโรจน์พร้อมกัน หรือไม่ก็ตกอับพร้อมกัน แม้ว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงซ่งจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรอย่างแท้จริง แต่การมีจวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นที่พึ่งพา หากคนอื่นอยากมาสร้างปัญหาก็คงต้องสำนึกและพิจารณาผลที่ตามมาดังนั้นทุกคนจึงเชื่อฟังสิ่งที่ซ่งไท่กงพูด อีกอย่างตระกูลซ่งก็ถือว่าสามัคคีกันมาโดยตลอด หลังจากจวนเสนาบดีกั๋วกงประสบกับเหตุการณ์ถูกฆ่าสังหารหมู่ เลยไม่มีใครรู้สึกอิจฉาจริงๆไท่กงพูดอะไรมากมาย และรุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังเข้าใจหมดตามหลัการปกติแล้ว เขาซึ่งเป็นเด็กน้อยจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมตระกูลได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อได้ยินไท่กงพูดคำพูดดังกล่าวเช่นนี้ ความรู้สึกถึงพันธกิจของครอบครัวก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติเขายังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำอะไร แต่ก่อนอื่นเขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ และทำให้ครอบครัวซ่งและท่านพ่อของตนเองเสียหน้าไปเดือนตุลาคม อากาศเริ่มเย็นลงตระกูลขงส่งเสื้อผ้าจำนวนมากไปให้รุ่ยเอ๋อร์ และยังเลือกหนังชั้นดีให้เขาด้วย บัดนี้ไม่ว่าพวกเขาจะได
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
หลายปีที่ข้าประจำการอยู่ชายแดนเฉิงหลิง ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึงสองครั้ง บัดนี้ข้ามียศเป็นแม่ทัพ ดูแลทหารนับพันนายข้าไม่เคยกลับเมืองหลวงอีกเลย เมื่อประจำอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง หากไม่มีพระราชโองการ ย่อมมิอาจกลับได้ตามอำเภอใจข้ายังคงโดดเดี่ยว ไร้ภรรยา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลมทรายแห่งเฉิงหลิงพัดผ่านปีแล้วปีเล่า ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าข้า จนข้าดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปีข้าเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายปี ต้องพึ่งยาเพื่อระงับจิตใจจึงจะหลับได้บางครั้ง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิด...หากวันนั้นข้าไม่ก่อเรื่องกับยี่ฝาง ชีวิตของข้าในวันนี้จะเป็นเช่นไร?ข้ากับซ่งซีซี อาจได้เป็นสามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก เป็นที่อิจฉาของผู้คนกระมัง?พวกเราอาจมีลูกที่น่ารัก ข้าทุ่มเทอยู่ในกองทัพ ส่วนซีซีก็ดูแลบ้าน เฝ้ารับใช้พ่อแม่ ดูแลลูกๆ แม้ว่าข้าจะไม่เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง คงเป็นเพียงแม่ทัพชั้นผู้น้อยตลอดชีวิต...แต่นางก็คงจะไม่จากข้าไปแต่ก่อน ข้าไม่รู้เลยว่านางคืออินทรีที่โผบินบนฟากฟ้า ทว่าเต็มใจหักปีกเพื่อข้าคนเดียว คอยดูแลมารดาที่ป่วยหนัก จัดการทุกเรื่องจุกจิกในจวนแม่ทัพของข้าเมื่อข้ารู้ตัว...ข้าจะเสียใจหรื
ข้าขอร้องท่านแม่ไม่สำเร็จ ก็หันไปพึ่งท่านพ่อ แต่กลับได้รับการตำหนิที่รุนแรงยิ่งกว่ามิใช่เพียงเท่านั้น พวกท่านเห็นว่าข้าคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเหลียงจือชุน จึงตัดสินใจให้เขาพาข้าออกไปเที่ยว เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นข้าไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ถูกคุณนางข้างกายท่านแม่บังคับให้ขึ้นรถม้าไป อีกทั้งยังกำชับสาวใช้ให้จับตาข้าไว้ อย่าให้พูดจาเสียหายเหลียงจือชุนหน้าตามันเยิ้ม ตอนแรกก็แสดงความเคารพต่อข้าบ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เผยนิสัยแท้ วิจารณ์หน้าตาข้าอย่างไร้มารยาท บอกว่าหากข้ามิใช่หญิงงามเช่นนี้ และมิใช่บุตรีตระกูลเสิ่น เขาคงไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาแน่นอนท่าทางอวดดีของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากมีแค่เพียงเท่านี้ ข้าอาจไม่ถึงขั้นคิดทำสิ่งร้ายแรงนักแต่ระหว่างทางกลับ เขาอ้างว่าจะช่วยพาข้าขึ้นรถ แล้วแอบหยิกก้นข้าเข้าอย่างหนึ่งในขณะนั้น เลือดทั้งร่างข้าพุ่งขึ้นหัวเมื่อสบตากับสายตาหยอกล้อของเขา น้ำตาข้าก็พรั่งพรูออกมา ความอัปยศทำให้ข้าทั้งตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยวาจาใดไม่ออกเลยสักคำสาวใช้กับสารถีไม่เห็นเหตุการณ์นั้น กลับคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุ
ข้าสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปทันที ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักใต้เงาไม้ เขาสวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีขาวทั้งชุด ผอมแห้งทรุดโทรม ดวงตายังมีรอยคล้ำอยู่ใต้เบ้าตาเป็นเขา...บัณฑิตที่ขายภาพวาดอยู่ริมสะพานในวันนั้น คนเดียวกับที่ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อว่าเป็นศิษย์ที่ไม่เอาถ่าน เลี้ยงหญิงคณิกาแล้วขอลาออกจากสำนัก“เจ้าพูดมั่วแล้ว” ข้าถลึงตาใส่เขา คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าทะเลสาบนี้มีผี เจ้าหลอกข้า!”ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวผี ยิ่งกลัวการถูกจมอยู่ใต้โคลนเลนนั่น“ข้ามิได้หลอกเจ้า” เขาเดินออกมา ในลมหนาวทำให้เขาดูบอบบางยิ่งขึ้น “เจ้าดูสิ บริเวณริมทะเลสาบนี้ไม่มีใครเลย มิแปลกหรือ? ทั้งที่ทิวทัศน์ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครมา?”“นั่นเพราะคนที่มาวัดล้วนมาสักการะ มิใช่มาชมทิวทัศน์ พวกเขากราบพระเสร็จก็จากไป” ข้ากล่าว แต่พลางถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือนในทะเลสาบลึกนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่เขาหยุดยืน กล่าวว่า “ผู้ที่มีใจสักการะ ล้วนเคารพฟ้าดินและธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ใยจะไม่มาชมเล่า? ที่แห่งนี้สมควรจะเปี่ยมด้วยพลังแห่งสวรรค์ กลับกลาย
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา