นางกระพริบตา “ศิษย์น้องชาย?”ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่แข็งทื่อ หันหลังกลับ และพูดปากแข็งว่า "ข้าไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าข้าจะไม่เข้าร่วมสถาบันว่านซงเหมิน ข้าเป็นเพียงศิษย์ส่วนตัวของเขา"นางยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย "ศิษย์น้อง จะพูดเช่นนี้ก็คือกำลังพูกหลอกลวงแล้วนะ ขนาดศิษย์อาเป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านเป็นศิษย์ของเขา ท่านจะไม่เป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมินได้อย่างไร ศิษย์น้องไหว้ครูตั้งแต่เมื่อใดล่ะ? "ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่ยังคงพยายามยิ้มอย่างหนัก และเขาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างไม่สนใจอะไร "เมื่อกี้เราบอกว่าจะพารุ่ยเอ๋อร์ไปหาซ่งไท่กงสินะ เจ้าวางแผนจะไปเมื่อไหร่?"ซ่งซีซียกคางขึ้นแล้วกระพริบตาให้เขา “ศิษย์น้อง พี่และรุ่ยเอ๋อร์จะไปพรุ่งนี้”ไม่รู้ทำไม พอรู้ว่าเขาเป็นสมาชิกของสถาบันเอง ซ่งซีซีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก และอยู่ต่อหน้าเขาก็ได้เป็นตัวของตนเองมากขึ้น"..." เซี่ยหลูโม่กลอกตามองบนใส่นาง "ข้าอายุมากกว่าเจ้า"“อืม ศิษย์น้องอายุมากกว่าพี่จริงๆ” ซ่งซีซีมีความสุขมาก ไม่น่าแปลกใจในตอนแรกเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย แค่บอกว่าไปภูเขาเหม่ยชานทุกปี ที่แท้
เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเป่ยหมิง แม้ว่าจะไม่มีสงครามและเขาพักอยู่ที่เมืองหลวง แต่กองทัพเป่ยหมิงก็อยู่ไม่ไกล งานที่กองทัพก็มีไม่น้อย บางทีต้องฝึกฝนทหารด้วย จะให้ดำรงตำแหน่งต้าหลี่ซื่อชิงได้อย่างไร?อีกอย่าง หอต้าหลี่รับผิดชอบเรือนจำและทบทวนโทษประหารชีวิตในคดีสำคัญๆ พวกนี้เป็นงานเรื่องเอกสารต่างๆ แต่เขาเป็นแม่ทัพนี่น่ะในเมื่อดำรงตำปหน่งต้าหลี่ซื่อชิงแล้ว เหตุใดต้องทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชากองทัพซวนเจียอีกด้วย?ด้วยตำแหน่งทั้งขุนนางพลเรือนและแม่ทัพ บวกกับผู้บัญชาการแห่งกองทัพเป่ยหมิง เขาจะทำหน้าที่เยอะขนาดนี้ไหวเหรอ?เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย "ตราพยัคฆ์ที่กุมอำนาจทางทหารถูกส่งมอบไปแล้ว และตอนนี้ กองทัพเป่ยหมิงให้หวังเบียวดูแลชั่วคราว"หวังเบียว?ซ่งซีซีรู้จักเขา หวังเบียวคือท่านป๋อผิงซี คนนี้เคยมีชื่อเสียงในกองทัพ แต่เนื่องจากครั้งหนึ่งที่เขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ จากนั้นก็ออกศึกไม่ได้อีกเลย ได้สืบทอดยศถาบรรดาศักดิ์ของท่านปู้เขาก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนอีกเลยเห็นๆ อยู่ว่าจวนป๋อผิงซีใกล้จะตกอับแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฮ่องเต้แต่เหตุใดแม่ทัพพิการคนห
ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก เซี่ยหลูโม่ขอตัวกลับแล้วซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนนางจะเข้าใจบางเรื่องได้ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเมื่อเห็นว่านางกำลังงุนงง แม่นมเหลียงก็ลังเลก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเฉินฟูห้ามไว้ เฉินฟูส่ายหัวให้นาง "ไปหาอะไรให้นายน้อยกินเถอะ ฝึกฝนสักนานขนาดนี้ คงเหนื่อยแย่แล้วนะ"แม่นมเหลียงมองไปที่เฉินฟู แล้วถอนหายใจเบาๆ "ได้เลย!"นางหันกลับมาและไปที่ห้องครัว เฉินฟูเดินกะโผลกกะเผลกและพูดด้วยเสียงต่ำในห้องครัวว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดกับคุณหนู แต่อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ รอให้แต่งงานเสร็จก่อนเลย"แม่นมเหลียงพยักหน้า "เข้าใจแล้ว แค่เห็นคุณหนูกำลังสับสน ข้าเลยหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น"นางยังถอนหายใจ "ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่า ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารของเขา เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจว่าที่ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารก็เพื่อคุณหนู นี่ฝ่าบาทใช้คุณหนูเป็นเหยื่อ กำลังล่อจับท่านอ๋องอยู่เลย"เฉินฟูกล่าวว่า "คำบางคำแค่เข้าใจในใจก็พอ อย่าเอาไปพูดมั่วๆ ไปข้างนอก""เข้าใจเจ้าคะ คำเหล่านี้จะเอาไปพูดข้างนอกได้ยังไง เพียงแต
คนของตระกูลซ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจหรือไม่ก็เป็นเจ้าของที่ดินที่ซื้อทุ่งนาไว้ พวกเขาจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้ยังไงจะรุ่งโรจน์พร้อมกัน หรือไม่ก็ตกอับพร้อมกัน แม้ว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงซ่งจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรอย่างแท้จริง แต่การมีจวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นที่พึ่งพา หากคนอื่นอยากมาสร้างปัญหาก็คงต้องสำนึกและพิจารณาผลที่ตามมาดังนั้นทุกคนจึงเชื่อฟังสิ่งที่ซ่งไท่กงพูด อีกอย่างตระกูลซ่งก็ถือว่าสามัคคีกันมาโดยตลอด หลังจากจวนเสนาบดีกั๋วกงประสบกับเหตุการณ์ถูกฆ่าสังหารหมู่ เลยไม่มีใครรู้สึกอิจฉาจริงๆไท่กงพูดอะไรมากมาย และรุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังเข้าใจหมดตามหลัการปกติแล้ว เขาซึ่งเป็นเด็กน้อยจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมตระกูลได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อได้ยินไท่กงพูดคำพูดดังกล่าวเช่นนี้ ความรู้สึกถึงพันธกิจของครอบครัวก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติเขายังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำอะไร แต่ก่อนอื่นเขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ และทำให้ครอบครัวซ่งและท่านพ่อของตนเองเสียหน้าไปเดือนตุลาคม อากาศเริ่มเย็นลงตระกูลขงส่งเสื้อผ้าจำนวนมากไปให้รุ่ยเอ๋อร์ และยังเลือกหนังชั้นดีให้เขาด้วย บัดนี้ไม่ว่าพวกเขาจะได
หมอมหัศจรรย์ดันพยักหน้า "สิ่งแรกคือการบอกเจ้าเกี่ยวกับการล้างพิษของเขา หลังจากการรักษามาระยะนึง ที่ข้าตรวจชีพจรของเขาและวินิจฉัยในวันนี้ ผลดีกว่าที่คาดไว้ และก้อนในลำคอของเขาก็หายดีไม่น้อย""จริงเหรอ?" แม้ว่าซ่งซีซีจะได้ยินจากหงเชวี่ยบอกว่าความคืบหน้าค่อนข้างดีในเมื่อวานนี้ แต่หลังจากการตรวจชีพจรและวินิจฉัยจากหมอมหัศจรรย์ดัน และเขาก็พูดแบบเดียวกัน ซ่งซีซีก็มีความสุขมากขึ้น "เยี่ยมมาก ขอบคุณหมอหงเชวี่ยจริงๆ นะ"หมอหงเชวี่ยยิ้มเล็กน้อยและไม่ถ่อมตัวอีกต่อไป มาวันเว้นวัน เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆหมอมหัศจรรย์ดันจิบชาแล้วพูดต่อว่า "อย่างที่สอง อย่างที่เจ้าบอกเมื่อกี้ว่าร่างกายเกือบจะหายดีแล้วก็ถึงเวลารักษาขา อย่างที่ข้าเคยบอกไปแล้ว การรักษาขาต้องหักกระดูกแล้วกลับมาต่อใหม่"ซ่งซีซีใจเต้นไม่เป็นจังหวะ "ข้ารู้ มันจะต้องเจ็บปวดมาก""ต้องเจ็บปวดมากอยู่แล้ว เจ้าต้องคุยกับเขา และเตรียมใจให้พร้อม ที่นี่ก็มียาแก้ปวดอยู่บ้าง แต่ปวดกระดูกหัก ยาแก้ปวดไม่ค่อยได้ผล แนะนำให้ฝังจุดฝังเข็ม บรรเทาอาการปวดไปเลย""การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวด? เป็นไปได้ไหม?" ซ่งซีซีมีสงสัยเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยพูดถ
หลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป ซ่งซีซีได้พูดคุยกับรุ่ยเอ๋อร์ก่อน เป็นเรื่องของเขาเอง เขาสามารถให้ความคิดเห็นได้แน่นอนว่าไม่ใช่เขาที่ตัดสินใจ เพียงว่าเขาสามารถให้ความคิดเห็นได้ พอนางไปจวนตระกูลขงก็พูดง่ายหน่อยหลังจากฟังคำพูดของท่านอาแล้ว รุ่ยเอ๋อร์ก็โน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของนางแล้วยิ้ม จากนั้นเขียนคำทีละคำบนฝ่ามือของนาง ว่า "อันที่จริงหมอหงเชวี่ยได้บอกหลานหมดแล้ว ความเจ็บปวดนั้นทนยากมาก ตอนนั้นขาของข้าถูกหัก ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากความเจ็บปวดอยู่แล้ว"ซ่งซีซีให้เขาเขียนใหม่อีกครั้ง แต่คำบางคำยังอ่านไม่ชัด หลังจากที่เขาเขียนอีกครั้ง นางก็เข้าใจและถามว่า "ดังนั้น หนูอยากจะใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวด ใช่ไหม?"รุ่ยเอ๋อร์กลับส่ายหัวและเขียนต่อ "แต่ หากมีความเสี่ยง อาจยังเป็นง่อยหลังจากได้รับการรักษาในอนาคต แล้วมันจะได้ที่ไหน เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะต้องเป็นผู้นำตระกูล เป็นผู้นำของจวนเสนาบดีกั๋วกงจะเป็นคนง่อยได้อย่างไร?"เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเล็กๆ ที่แหลมของเขาตอนนี้ดูอ้วนขึ้นเล็กน้อย และนิ้วของเขายังคงเขียนบนฝ่ามือของท่านอาของเขาว่า "ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บเสมอเมื่อเขาไปสนามรบ บาดเ
เมื่อมาถึงเรือนของรุ่ยเอ๋อร์ หมิงจูก็ออกมาต้อนรับรุ่ยเอ๋อร์กำลังนอนอยู่บนเตียง รอกินยา เขาตัดสินใจว่าจะไม่เสี่ยงใดๆ เขาต้องการให้ตนเองดีขึ้นเขาเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมในดวงตาของพวกเขาแสดงความกังวล ทุกคนต้องการปลอบใจเขา แต่รุ่ยเอ๋อร์กลับแสดงท่าทีให้กำลังใจและเข้มแข็งแก่พวกเขาแทนทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น เขาอายุเพียงเจ็ดขวบนี่เอง ซึ่งเป็นวัยที่มีผู้คนมากมายมารักเขาตามใจเขาในขณะที่หมอมหัศจรรย์ดันกำลังจะเริ่มการรักษา เซี่ยหลูโม่ก็มาสมาชิกของตระกูลขงต่างรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตของรุ่ยเอ๋อร์ ดังนั้นในตอนแรกพวกเขาก็ต้องการไปเยี่ยมและแสดงความขอบคุณต่อเขาอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คาดคิดว่าที่จะเห็นเขาที่นี่ เลยรีบไปแสดงความเคารพและแสดงความขอบคุณทันทีเซี่ยหลูโม่กดมือของเขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "มันก็แค่เรื่องบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรมาก ที่ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับเขาเวลาเขาได้รับการรักษา เราอย่าพูดอะไรมากนัก ทุกอย่างให้การรักษามาก่อน"ตอนแรกคนของตระกูลขงยังกังวลว่า หากรุ่ยเอ๋อร์ติดตามซ่งซีซี ไปที่จวนอ๋องในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ท่านอ๋องจะร
หมอมหัศจรรย์ดันกำลังนึกถึงเสียงกรีดร้องของรุ่ยเอ๋อร์เมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเส้นเสียงของเขาด้วยเสียงนี้ทำให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกปลาบปลื้มใจสำหรับเรื่องการต่อกระดูกให้หงเชวี่ยทำเองก็ได้ แต่หมอมหัศจรรย์ดันให้ความสำคัญกับรุ่ยเอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะทำเองสำหรับเขาแล้ว มันคล่องแคล่วมาก ดูเหมือนจะเป็นทักษะที่ฝังอยู่ในใจของเขา เขาเดินตามกระดูกขาทีละนิ้ว และเมื่อเขาไปถึงตำแหน่ง เขาก็ยืดมันให้ตรงอย่างระมัดระวังรุ่ยเอ๋อร์เจ็บปวดทั้งตัว และร่างกายของเขาก็สั่นเทาไม่หยุด เขาคว้าข้อมือของเซี่ยหลูโม่เอาไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง และเล็บของนางก็แทงเข้าเนื้อจนมีเลือดออกความเจ็บปวดของกระดูกหักนี้เจ็บปวดจริงๆยาแก้ปวดมีผลเพียงเล็กน้อย เขายังคงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส แผลอยู่ที่ขา แต่เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายหลังจากยืดขาให้ตรงแล้วก็เริ่มทายาและใช้แผ่นไม้สองแผ่นช่วยประกอบไว้ เขาทำได้เพียงอยู่บนเตียงจนกว่ากระดูกจะงอกขึ้นมาใหม่ยาทาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้นั้นล้วนได้ผลมาก เขาพัฒนาเองจนไม่สามารถหาซื้อตามร้านขายยาอื่นๆ ได้ จึงจะได้ผลดีม