หลังจากออกจากวังแล้ว ซ่งซีซีก็พารุ่ยเอ๋อร์ขึ้นรถม้าเดินทางไปตระกูลขงต่อเวลานี้เป็นยามเย็นแล้ว และคุณท่านของตระกูลขงคงเลิกงานกลับจวนแล้วในรถม้า รุ่ยเอ๋อร์เขียนหนังสือบนมือของซ่งซีซี "จะไปบ้านท่านตาหรือไม่"ซ่งซีซีพยักหน้าแล้วพูดว่า "ใช่ เราไปบ้านท่านตาของหนู หนูไม่คิดถึงพวกเขาเหรอ?"รุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าและเขียนคำเดียวว่า "คิดถึง!"แต่เขามีสีหน้าดูกังวลมากเด็กคนนี้เป็นคนอ่อนไหว และคนของตระกูลขงบอกว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าเขากลับมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตระกูลขงคงไม่อยากเจอเขาซ่งซีซีเห็นความกังวลของเขาออกจึงพูดว่า "อย่ากังวลเลยนะรุ่ยเอ๋อร์ ท่านตาท่านยายและท่านลุงของหนูทุกคนคิดถึงหนูมาก แต่พวกเขาแค่ไม่เชื่อว่าหนูยังมีชีวิตอยู่ พอพวกเขาเจอหน้าหนูแล้ว ต้องดีใจมากๆ เลย"รุ่ยเอ๋อร์พิงตัวท่านอา คางแหลมของเขายกขึ้นเล็กน้อย และเขาก็เปิดปากเพื่อพยายามส่งเสียงออกมา แต่มันก็ออกเสียงไม่ได้ เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยไม่รู้ว่าพวกเขาจะรังเกียจที่เขากลายเป็นใบ้และเป็นง่อยหรือไม่?หลังจากครุ่นคิดพักนึง เขาก็เขียนบนฝ่ามือของท่านอาว่า "พวกเขาจะรังเกียจรุ่ยเอ๋อร์หรือไม่"ซ่งซีซีรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ซ่งซีซีรู้ดีว่าพวกเขามีความเข้าใจผิดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้นางบอกว่าพอจะเข้าใจได้ แต่จริงๆ แล้ว นางไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เช่นเดียวกับเมื่อนางได้รับจดหมายของเซี่ยหลูโม่ นางก็รีบออกเดินทางไปหลิงโจวทันที แม้ว่านางจะพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองว่าอย่ามีความหวังในตลอดทาง แต่นางก็ทำไม่ได้ที่นั่งเฉยๆ ขนาดไม่ไปตรวจดูด้วยตาของตนเองดังนั้น เมื่อนางได้ยินขงหยางพูดแบบนี้อีกครั้ง นางก็อารมณ์เสียขึ้นมา และหันกลับไปเปิดม่าน อุ้มรุ่ยเอ๋อร์ออกมา ยืนอยู่ตรงหน้าขงหยาง และพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่างน้อยก็ลองดูสักครั้งบ้าง ในระหว่างทางมาที่นี่ รุ่ยเอ๋อร์เขียนหนังสือบนฝ่ามือของข้าอย่างกังวลมาก เขากังวลว่าพวกเจ้าจะรังเกียจเขา ข้ายังปลอบใจเขาว่ามันไม่แน่นอน"ขงหยางต่อต้านวิธีการของนาง แต่เขาก็ยังมองดูเด็กที่นางอุ้มอยู่โดยสัญชาตญาณเพียงมองแวบเดียว เขาก็รู้ว่าเขาผิดมากแค่ไหนเพียงมองแวบเดียว ลมหายใจของเขาก็แทบจะหยุดลงคล้ายกันมาก คล้ายกันเกินไป แม้ว่าผอมโซไม่ได้กลมๆ และน่ารักเหมือนรุ่ยเอ๋อร์ในเมื่อก่อน แต่ก็คล้ายกันจริงๆริมฝีปากของเขาสั่น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และเขาก็ตะโกนออกมาอย่างไม่แน่นอนว่า "รุ่ยเ
ทุกคนทั้งบีบนางและนวดขมับให้นาง สุดท้ายนางถึงฟื้นขึ้นมาทันทีที่นางฟื้นตัวยังคงร้องไห้ต่อ "คุณพระช่วย ทำไมต้องให้เด็กทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ ตระกูลซ่งมีแต่วีรบุรุษทั้งนั้น เหตุใดต้องมาตกเป็นสภาพเช่นนี้ สวรรค์เอ๊ย เจ้าไม่ยุติธรรมเลย เจ้าโหดร้ายเกินไป"ซ่งซีซีทนไม่ได้ที่จะได้ยินคำพูดที่บีบคั้นใจเช่นนี้ และรีบออกไปข้างนอก ในช่วงเวลานี้ น้ำตาของนางดูเหมือนจะมาไม่หมดเลย ก่อนหน้านี้จะอดทนมากแค่ไหน บัดนี้ก็จะอ่อนแอมากเท่านั้น น้ำตาที่นางเคยกลั้นไว้ในเมื่อก่อนตอนนี้ก็ไหลออกมาหมดเลยพวกเขานำรุ่ยเอ๋อร์ไปเยี่ยมกับทีละคน จากนั้นจึงพาไปที่เรือนของคุณนายใหญ่ดีที่นางได้รับยาล่วงหน้า เมื่อนางเห็นว่ารุ่ยเอ๋อร์กลายเป็นใบและขาง่อยๆ นางทุกข์ใจจนหลั่งน้ำตา เหลนดีๆ ของนาง ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ล่ะหลานสาวที่นางเลี้ยงมาด้วยมือของตนเองจากไปแล้ว เด็กคนนี้น่าเอ็นดู มีความประพฤติดีเหมือนกับท่านแม่ของเขา แน่นอนว่าหญิงชราเอ็นดูเขา เห็นเขาเป็นแก้วตาดวงใจของตนเอง บัดนี้กลายเป็นสภาพเช่นนี้ เท่ากับว่าเอามีดแทงใจนางจริงๆใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วยาม ทุกคนถึงกลั้นน้ำตาได้ และนั่งอย่างสงบในห้องโถงใหญ่ คุณนายใหญ่เดินออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พูดออกมา แต่ทุกคนรู้ดีว่านางกำลังกังวลว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะสร้างปัญหาให้เด็กแม้ว่าตระกูลขงจะไม่ค่อยได้เข้าร่วมการชุมนุมในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในข้างนอกก็รู้มาไม่น้อยโดยเฉพาะเรื่องของซ่งซีซี พวกเขาให้ความสนใจอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ไปสอบถามอะไรพวกเขาทุกคนรู้ดีว่าสนมฮุ่ยไทเฟยไม่พอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มากนัก หากนางพารุ่ยเอ๋อร์ไปด้วย เกรงว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะยิ่งรังเกียจมากขึ้นซ่งซีซีกล่าวว่า "รุ่ยเอ๋อร์ต้องมาก่อนทุกอย่าง หากสนมฮุ่ยไทเฟยรับรุ่ยเอ๋อร์ไม่ได้ งั้นข้าจะพาเขากลับจวนเสนาบดีกั๋วกง ข้าสัญญากับพวกเจ้าว่า จะไม่ให้รุ่ยเอ๋อร์โดนรังแกแม้แต่น้อยเจ้าคะ"เห็นได้ชัดว่าคำรับรองของนาง ไม่ได้กำจัดความกังวลของทุกคน ถึงยังไงนางแต่งงานเป็นครั้งที่สองแล้ว แม่สามีไม่ชอบ ดังนั้นนางจะต้องโดนเล่นงานทุกวันอย่างแน่นอนแม้ว่าเป่ยหมิงอ๋องจะคืนยุติธรรมให้ แต่เป็นคนที่ต้องมาตัดสินทุกอย่างระหว่าท่านแม่กับภรรยาของตนเอง เมื่อเวลานานๆ ก็จะเสียความอดทนไปคุณท่านรองจากบ้านรองแห่งตระกูลขงกล่าวว่า "จริงๆ แล้ว มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับรุ่ยเอ๋อร์ที่จะอยู่ในตระกูลขง เพราะเรามีผู
วันรุ่งขึ้น จวนตระกูลขงส่งอาหารจานโปรดของรุ่ยเอ๋อร์มาให้ ยังบอกด้วยว่าสตรีในแต่ละเรือนกำลังยุ่งอยู่กับการเย็บผ้าและทำเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าให้กับนายน้อยรุ่ยเอ๋อร์จวนตระกูลขงใช้การกระทำเพื่อแสดงความรักความห่วงใยที่พวกเขามีต่อรุ่ยเอ๋อร์รุ่ยเอ๋อร์ก็ขจัดความกังวลออกไปหมดเช่นกัน ครอบครัวของท่านตาของเขาไม่ได้รังเกียจเขา แต่ยังใส่ใจกับเขามากวันนี้หมอมหัศจรรย์ดันมาด้วยตนเองอีกที โดยบอกว่าจะตรวจชีพจรอีกครั้งเผื่อมีอะไรพลาดไปในความเป็นจริง ด้วยทักษะทางการแพทย์ของเขา ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้วที่เขาตรวจชีพจรเมื่อวานนี้ การระมัดระวังอย่างมากเช่นนี้ก็สามารถบอกได้ว่าเขาห่วงกับสายเลือดของจวนเสนาบดีกั๋วกงที่เหลือไว้ไม่มากมากหลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป เซี่ยหลูโม่ก็มาพร้อมกับจางต้าจ้วงเขาบอกกับซ่งซีซีว่าเขามาเยี่ยมรุ่ยเอ๋อร์และต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับรุ่ยเอ๋อร์รุ่ยเอ๋อร์มีความสุขมากที่เขามา และยังแสดงหินหมึกที่ท่านลุงของเขาให้กับเซี่ยหลูโม่ดู แถมยังบอกว่าสามารถมอบหินหมึกหนึ่งอันให้กับเซี่ยหลูโม่อย่างใจกว้างได้เซี่ยหลูโม่ยอมรับด้วยรอยยิ้ม และสอนให้เขาเขียนอย่างชำนาญด้วยมือของเขาอยู่
นางกระพริบตา “ศิษย์น้องชาย?”ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่แข็งทื่อ หันหลังกลับ และพูดปากแข็งว่า "ข้าไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าข้าจะไม่เข้าร่วมสถาบันว่านซงเหมิน ข้าเป็นเพียงศิษย์ส่วนตัวของเขา"นางยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย "ศิษย์น้อง จะพูดเช่นนี้ก็คือกำลังพูกหลอกลวงแล้วนะ ขนาดศิษย์อาเป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านเป็นศิษย์ของเขา ท่านจะไม่เป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมินได้อย่างไร ศิษย์น้องไหว้ครูตั้งแต่เมื่อใดล่ะ? "ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่ยังคงพยายามยิ้มอย่างหนัก และเขาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างไม่สนใจอะไร "เมื่อกี้เราบอกว่าจะพารุ่ยเอ๋อร์ไปหาซ่งไท่กงสินะ เจ้าวางแผนจะไปเมื่อไหร่?"ซ่งซีซียกคางขึ้นแล้วกระพริบตาให้เขา “ศิษย์น้อง พี่และรุ่ยเอ๋อร์จะไปพรุ่งนี้”ไม่รู้ทำไม พอรู้ว่าเขาเป็นสมาชิกของสถาบันเอง ซ่งซีซีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก และอยู่ต่อหน้าเขาก็ได้เป็นตัวของตนเองมากขึ้น"..." เซี่ยหลูโม่กลอกตามองบนใส่นาง "ข้าอายุมากกว่าเจ้า"“อืม ศิษย์น้องอายุมากกว่าพี่จริงๆ” ซ่งซีซีมีความสุขมาก ไม่น่าแปลกใจในตอนแรกเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย แค่บอกว่าไปภูเขาเหม่ยชานทุกปี ที่แท้
เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเป่ยหมิง แม้ว่าจะไม่มีสงครามและเขาพักอยู่ที่เมืองหลวง แต่กองทัพเป่ยหมิงก็อยู่ไม่ไกล งานที่กองทัพก็มีไม่น้อย บางทีต้องฝึกฝนทหารด้วย จะให้ดำรงตำแหน่งต้าหลี่ซื่อชิงได้อย่างไร?อีกอย่าง หอต้าหลี่รับผิดชอบเรือนจำและทบทวนโทษประหารชีวิตในคดีสำคัญๆ พวกนี้เป็นงานเรื่องเอกสารต่างๆ แต่เขาเป็นแม่ทัพนี่น่ะในเมื่อดำรงตำปหน่งต้าหลี่ซื่อชิงแล้ว เหตุใดต้องทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชากองทัพซวนเจียอีกด้วย?ด้วยตำแหน่งทั้งขุนนางพลเรือนและแม่ทัพ บวกกับผู้บัญชาการแห่งกองทัพเป่ยหมิง เขาจะทำหน้าที่เยอะขนาดนี้ไหวเหรอ?เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย "ตราพยัคฆ์ที่กุมอำนาจทางทหารถูกส่งมอบไปแล้ว และตอนนี้ กองทัพเป่ยหมิงให้หวังเบียวดูแลชั่วคราว"หวังเบียว?ซ่งซีซีรู้จักเขา หวังเบียวคือท่านป๋อผิงซี คนนี้เคยมีชื่อเสียงในกองทัพ แต่เนื่องจากครั้งหนึ่งที่เขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ จากนั้นก็ออกศึกไม่ได้อีกเลย ได้สืบทอดยศถาบรรดาศักดิ์ของท่านปู้เขาก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนอีกเลยเห็นๆ อยู่ว่าจวนป๋อผิงซีใกล้จะตกอับแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฮ่องเต้แต่เหตุใดแม่ทัพพิการคนห
ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก เซี่ยหลูโม่ขอตัวกลับแล้วซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนนางจะเข้าใจบางเรื่องได้ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเมื่อเห็นว่านางกำลังงุนงง แม่นมเหลียงก็ลังเลก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเฉินฟูห้ามไว้ เฉินฟูส่ายหัวให้นาง "ไปหาอะไรให้นายน้อยกินเถอะ ฝึกฝนสักนานขนาดนี้ คงเหนื่อยแย่แล้วนะ"แม่นมเหลียงมองไปที่เฉินฟู แล้วถอนหายใจเบาๆ "ได้เลย!"นางหันกลับมาและไปที่ห้องครัว เฉินฟูเดินกะโผลกกะเผลกและพูดด้วยเสียงต่ำในห้องครัวว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดกับคุณหนู แต่อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ รอให้แต่งงานเสร็จก่อนเลย"แม่นมเหลียงพยักหน้า "เข้าใจแล้ว แค่เห็นคุณหนูกำลังสับสน ข้าเลยหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น"นางยังถอนหายใจ "ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่า ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารของเขา เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจว่าที่ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารก็เพื่อคุณหนู นี่ฝ่าบาทใช้คุณหนูเป็นเหยื่อ กำลังล่อจับท่านอ๋องอยู่เลย"เฉินฟูกล่าวว่า "คำบางคำแค่เข้าใจในใจก็พอ อย่าเอาไปพูดมั่วๆ ไปข้างนอก""เข้าใจเจ้าคะ คำเหล่านี้จะเอาไปพูดข้างนอกได้ยังไง เพียงแต
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม