เหลียนกงกงเก็บตั๋วเงิน หยิบชาไป แต่ดูเหมือนจะถูกเย็บปากไว้ “เข้าวังไปพบฮองเฮา ก็จะทราบแล้วไม่ใช่หรือ? ฮูหยินเป็นฮูหยินตราตั้ง จะเสียมารยาทไปได้อย่างไร?”พ่อบ้านยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ๆ ท่านกงกงพูดมีเหตุผล”แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่ก็สาปแช่งอยู่ในใจ เว้นแต่จะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทำไมถึงไม่ยอมเปิดเผยอะไรเลย?เดิมทีซ่งซีซีจะไปสถาบันการศึกษาสตรี ฉีซี่หลี่คนนั้นเริ่มก่อปัญหาอีกแล้ว กั๋วไท่ฮูหยินส่งคนไปแจ้งนางเมื่อคืนนี้ ขอให้นางไปช่วยจัดการให้สงบบ้างแต่ทันทีที่นางออกไป ก็เห็นเกี้ยวของตระกูลฝางมาถึงแล้ว คนแบกเกี้ยววิ่งเร็วมาก ราวกับว่ามีเรื่องสำคัญ นางจึงรีบเข้าไปถามว่า “มาจากตระกูลฝางหรือเปล่า”ฮูหยินฝางเปิดม่านแล้วพูดอย่างเร่งรีบ “พระชายา ฮองเฮาเชิญอาสะใภ้เข้าวัง เกรงว่าจะเป็นเรื่องการแต่งงานระหว่างฉีซี่หลี่ของบ้านสี่ฉีกับเจ้าสิบเอ็ด อาสะใภ้บอกว่ากลัวว่าฮองเฮาจะออกพระราชเสาวนีย์ให้สมรสโดยตรง”ซ่งซีซียังไม่รู้เรื่องนี้ นางตกตะลึงเล็กน้อย “ฉีซี่หลี่? ฉีซี่หลี่จากสถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวิน?”“เรียนที่สถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวิน” ฮูหยินฝางพูดอย่างกังวล “เมื่อวานส่งคนมาคุยเรื่องแต่งงาน แต่อาสะใภ้ไม
ฮองเฮายิ้มและพูดว่า “ไทเฮาจำชื่อของนางได้ ช่างวเป็นวาสนาของนางโดยแท้ ปีนี้น้องสาวหลี่ถึงวัยปักปิ่นจริง ตอนนี้นางอายุสิบห้าปีครึ่ง จริงสิ อาสะใภ้กำลังจะหางานแต่งงานให้นาง จึงมาหาหม่อมฉันเพคะ”“อื้ม ข้าก็ได้ยินมาว่า อาสะใภ้เจ้าพอใจลูกชายคนที่สามของตระกูลโหวกวางหลิง ข้าส่งคนไปสอบถามเป็นพิเศษ เขามีความสามารถ ประพฤติตนดี เป็นลูกเขยที่ดีได้ นอกจากนี้พวกเขายังอายุไล่เลี่ยกัน จึงเหมาะสมมาก”ทันใดนั้นสีหน้าของฮองเฮาก็เปลี่ยนไป ภายใต้สายตาอันคมกริบของไทเฮา นางรู้สึกว่าความคิดทั้งหมดของตัวเองถูกเปิดโปง ทว่านางยังคงพยายามแก้ไขสถานการณ์ พูดอ้อมแอ้ม “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่จะเร่งรีบไม่ได้ ต้องให้น้องสาวหลี่ชอบถึงจะเหมาะสม”ไทเฮาพยักหน้า “นั่นก็มีเหตุผล ดังนั้นข้าจะไม่ให้ประทานสมรสให้นางแล้ว ให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้ามีคนที่ชอบจริงๆ ก็มาขอจากข้าได้ ข้าเห็นแก่หน้าฮองเฮา จึงยินดีจะประทานสมรสให้”ใบหน้าของฮองเฮาบิดเบี้ยวเหยเก แบบนี้ก็หมายความว่านางไม่อนุญาตให้ประทานสมรสใช่ไหม?ใครกันแน่ที่เป็นคนมาฟ้อง? เรื่องนี้เพิ่งส่งไปยังตระกูลฝางเมื่อวาน เช้าวันนี้ก็เรียกลู่ซูเหรินเข้าวัง ยังไม่ได้พูดอะไร ไท
นางโกรธจนทุบแก้วใบหนึ่ง “นางช่างขวางมือขวางเท้าจริงๆ มักสร้างปัญหาให้ข้า”ป้าหลานเจี่ยนอยู่ด้านข้างกล่าว “เหนียงเหนียง ตั้งแต่นางสร้างสถาบันการศึกษาสตรีตามพระประสงค์ของไทเฮา ก็ได้รับการยกย่องจากสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง ตอนนี้เกรงว่ามีครอบครัวผู้มีอำนาจครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงเคารพนางอยู่หลายส่วน จัดการได้ไม่ง่ายเลย”ฮองเฮาฉีนึกถึงวันเหมายันวันนั้น สนมของฮ่องแต้เหล่านั้นยกย่องซ่งซีซีอย่างมาก ไม่ใช่ยกย่องพวกเขาสามีภรรยารักใคร่ แต่เป็นยกย่องที่นางมีความสามารถ เป็นตัวอย่างที่ดีงามของสตรีนางเป็นตัวอย่างที่ดีงามของสตรี แล้วฮองเฮาอย่างนางเป็นสิ่งใด?คิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเกลียดชังเพิ่มหลายส่วน“ไทเฮาเคยตรัสว่ายี่ฝางผู้นั้นเป็นตัวอย่างของสตรี แต่ตอนนี้นางได้ชื่อเสียงนี้แล้ว นางไม่รู้สึกรังเกียจหรือ?”ป้าหลานเจี่ยนกล่าว “เหนียงเหนียง นางตอนนี้คุ้นเคยกับการเป็นจุดสนใจ จุดสนใจกำลังรุ่งเรืองเต็มที่ อย่าจงใจไปยั่วโมโหนางในเวลานี้ เพียงแต่ ทุกเรื่องเมื่อถึงจุดสูงสุดก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงวันที่เวลาย้อนกลับมาทำร้าย จุดสนใจก็จะกลายเป็นหายนะ บวกกับไทเฮาปกป้อง ท่านอย่าไปยั่วโมโหนางตอนน
หลังจากซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือออกจากวัง เสิ่นว่านจือไปโรงงาน ซ่งซีซีไปสถาบันการศึกษาสตรีก่อนหน้านี้ได้เตือนฉีซี่หลี่ ให้นางอย่าได้เล่นเล่ห์เหลี่ยมอีก มิฉะนั้นจะขับไล่นางออกจากสถาบันการศึกษาสตรี นึกไม่ถึงหยุดไปได้ไม่นาน ก็กลับมาอีกครั้งแล้วกั๋วไท่ฮูหยินพบซ่งซีซี รู้ว่านางจัดการปัญหาของฉีซี่หลี่ จึงกล่าว “นางไม่มีใจเรียนรู้ ไม่สู้เกลี่ยกล่อมนางให้ถอนตัวเถอะ นางถอนตัวเอง ก็ไม่ถึงขั้นก่อเรื่องจนไม่น่าดู ถึงเช่นไรก็เป็นแม่นางที่ต้องดูตัวแต่งงาน”กั๋วไท่ฮูหยินไม่ได้หวาดกลัวตระกูลฉี แต่คิดเพื่อฉีซี่หลี่ด้วยความด้วยความจริงใจ หากถูกสถาบันการศึกษาหย่าจวินขับไล่ออกไป จะส่งผลกระทบไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางกั๋วไท่ฮูหยินเห็นอกเห็นใจเด็กๆ รู้ว่าเด็กสาวต้องดูตัวแต่งงาน หากไม่ได้จับคู่กับคนดี นั่นเป็นเรื่องทั้งชีวิตซ่งซีซีกล่าว “กั๋วไท่ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อน นางถามให้ชัดเจนว่านางทำสิ่งใด ค่อยไปคุยกับนาง” กั๋วไท่ฮูหยินกล่าว “หากบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่นางและเด็กสาวผู้นั้นก่อกวนห้องเรียนตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะตอนที่หรูอวี้ฮูหยินสอนบรรยาย นางส่งเสียงดังอยู่ด้านล่าง ทำให้ทุกคนคับ
ซ่งซีซีก้าวขาเข้าไป กวาดมองด้วยสายตาเย็นชา พวกนางสามคนล้วนก้มศีรษะ ไม่กล้าสบตาซ่งซีซีหยานหรูอวี้เห็นนางมาแล้ว ถอนหายใจโล่งออกออกมาราวมกับเจอดาวช่วยชีวิตซ่งซีซีตะโกนสั่ง “ยังไม่ไปอีก? จะต้องให้เพิ่มขึ้นหรือว่าจะไปจากสถาบันการศึกษาสตรี? หากไม่เรียน ก็อย่าใช้อิทธิพลครอบครองพื้นที่ พวกเจ้าไม่เรียนก็มีคนที่อยากมาเรียน”เซี่ยงฮวยอวี้และจูช่างอวีตกใจ รีบร้อนดึงแขนเสื้อของฉีซี่หลี่ สายตาส่งสัญญานลับ ไปเถอะ รีบไปเดิมทียี่สิบครั้ง ตอนนี้ต้องตีสามสิบครั้งแล้ว หากยังไม่ไปคงเป็นสี่สิบห้าสิบครั้งแล้วฉีซี่หลี่เป็นคนอายุน้อยใจร้อน แล้วก็เป็นคุณหนูที่ถูกเอาอกเอาใจของตระกูลฉี ไหนเลยจะรับเรื่องเกินขอบเขตนี้ได้?นางใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่จึงสามารถเก็บสายตาคุกกรุ่นไม่ยอมแพ้ได้ ก่อนที่ซ่งซีซีจะกล่าวคำว่าสี่สิบครั้งออกมาจากปาก นางพาสองคนหมุนตัวเดินไปออกจากประตู นางโกรธจนหน้าแดงแล้ว หากไม่ใช่เพราะพี่สาวฮองเฮากำชับเอาไว้ นางก็ไม่อยากอยู่ในสถานที่ผีเช่นนี้ต่อไปสตรีรู้อักษรก็พอแล้ว เรียนเยอะแยะไปก็ไม่ได้ใช้ ไม่สู้เรียนรู้วิธีดูแลบ้านและดูแลคนดีกว่า วันหน้าแต่งออกไปจะได้ไม่เสียเปรียบหยานหรูอวี้ลุกขึ้น
ฮูหยินสี่รีบปิดปากนาง “เจ้าอย่าเอะอะโวยวาย วัวแก่กินหญ้าอ่อนไม่น่าฟังก็พูดออกมาได้ หากกลับไปลอยเข้าหูของท่านลุงเจ้า คงสั่งสอนเจ้าสักรอบ”ตระกูลฉีกฎเกณฑ์เข้มงวด ลูกหลานในตระกลูต้องพูดีทำดีฉีซี่หลี่สะบัดศีรษะ สะบัดมือของท่านแม่ กล่าว “ท่านลุงร่างกายไม่ปกติ ยังกล้าว่าพวกเรา?” วันนี้ไม่กลัวเขา”“เอาล่ะ หุบปากซะ” ฮูหยินสี่ตำหนิ “นิสัยเด็กจริงๆ คนนอกกัดเรื่องนั้นของท่านลุงเจ้าไม่ปล่อย พวกเราทำการปิดบังอำพรางยังไม่ทัน ไม่ว่าเช่นไร เขายังควบคุมกรมขุนนาง ลูกเขยของเขาวันนี้เป็นฝ่าบาท อนาคตคนมากมายอยู่ในมือเขา”ฉีซี่หลี่สูดจมูก เบ้ปาก ไม่กล้าพูดถึงเรื่องของผู้ใหญ่ “ถึงเช่นไรข้าก็ไม่ชอบเจ้าสิบเอ็ดฝางคนนั้น ไร้ความสามารถ ขี้ขลาดตาขาว ภรรยาของตัวเองถูกคนอื่นขโมยไป เกิดเรื่องฉาวโฉ่ดังไปทั่ว แม้แต่พายลมเขายังไม่กล้าผาย”“นี่คือความต้องการของเหนียงเหนียง เจ้าฟังนางไม่ผิด” นางใส่ยาให้ลูกสาว ค่อยๆ วิเคราะห์ในนางฟัง ความแตกต่างระหว่างแต่งานกับเซี่ยงซานหลางและเจ้าสิบเอ็ดฝางฉีซี่หลี่เลื่อมใสฮองเฮาฉีเสมอมา แต่เรื่องนี้ นางไม่มีทางตกลง อีกทั้งวันนั้นเหนียงเหนียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ น
ประโยคว่าลงโทษอย่างหนัก พวกเซี่ยงฮวยอวี้กลัวแล้ว พากันถอยไปด้านหลัง คิดจะดึงระยะห่างออกจากฉีซี่หลี่ฉีซี่หลี่ร้องได้อย่างน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง คิดว่าหวังจืออวี่ไม่ควรพูดเพื่อเจ้าสิบเอ็ดฝาง “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ใครใช้ให้นางปากเสีย? ท่านป้านางทำเรื่องฉาวโฉ่นั่น นางยังร่วมวงช่วยเจ้าสิบเอ็ดฝางพูดจา นางไม่รู้สึกอับอายหรือ?”หวังจืออวี่ตอนที่ถูกตียังไม่ร้องไห้ เมื่อได้ฟังประโยคนี้ น้ำตานางไหลแหมะๆ ออกมา หันหน้าไป ซบไหล่เพื่อนร่วมชั้นอีกครั้งร้องไห้ออกมาเหล่าอาจารย์ถูกเชิญมาจัดการเรื่องนี้ แม้แต่ซ่งซีซีก็ถูกเชิญมาด้วยนักเรียนที่ร่วมทะเลาะเบาะแว้งต่างก็กังวล เป็นห่วงว่าตัวเองจะถูกลงโทษเพราะเหตุนี้ ทั้งหมดต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่ส่งเสียง สองคนที่สร้างสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ ตอนนี้ไม่มีทิฐิแม้แต่น้อยเพื่อเข้าใจเหตุการณ์ก่อนหลังแล้ว บนใบหน้าหยานหรูอวี้ที่ใจเย็นเสมอมาเผยสีหน้าเย็นชา “ก่อนหน้านี้นางก่อเรื่องตลอดเวลา วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือตีคน ดูท่าทางคงไม่ได้มาเพื่อเรียน ข้าแนะนำให้เขาไล่นางออกจากสถานบันการศึกษา เพื่อป้องกันไม่ใช้ทำลายชื่อเสียงของสถานบันการศึกษาพวกเรา”ฉีซี
นางจีก็พาจินซิ่วมาถึงด้วย ได้ยินว่าบุตรสาวของตนเองถูกตี นางไปดูลูกสาวก่อน ใบหน้าบวมแล้ว แถมยังมีแผลเล็กละเอียดอีกเส้นหนึ่ง พอรู้ว่ากั๋วไท่ฮูหยินได้ทายาให้นางแล้ว หลังจากที่ปลอบใจลูกสาวตัวเองสองสามคำ ก็กลับเรือนซูหย่าเพื่อคำนับขอบคุณกั๋วไท่ฮูหยินฮูหยินทั้งสองนั่งลง ซ่งซีซีเป็นคนออกหน้าบอกเล่าเรื่องราวจนกระจ่างชัด หลังจากที่เล่าจนจบแล้ว จึงได้ส่งคนไปเรียกตัวฉีซี่หลี่และหวังจืออวี่มา และนำตัวนักเรียนหลายคนมาเป็นพยานด้วย เพื่อสะดวกต่อการให้ฮูหยินทั้งสองซักถามสีหน้าของฮูหยินฉีสี่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก หนึ่งคือโกรธที่ลูกสาวไม่ได้เรื่อง ไม่รู้ความ ถึงขั้นนำเรื่องแบบนี้มาพูดกล่าวที่สถานบัน สองคือโกรธเกลียดหวังจืออวี่ปากพล่อย มาพูดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ชอบลูกสาวนาง คำพูดนี้แพร่ออกไป จะทำให้ลูกสาวนางเสื่อมเสียได้ทว่า เป็นฉีซี่หลี่ที่ลงมือตีคน เนื้อแท้นี้กับการทะเลาะเบาะแว้งนั้นต่างกัน นางไม่อาจไม่ก้มหัวได้ นางกล่าวขอโทษอย่างไร้รสไร้ชาติกับนางจี “แม้นจะบอกว่าเป็นพวกเด็กสาวไม่รู้ความมีปากมีเสียงกัน แต่เป็นลูกสาวข้าที่ลงมือทำร้ายผู้อื่นก่อนนั้นไม่ถูก ฮูหยินจีได้โปรดอย่าถือสาหาความกับนางเลย”นางจ
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย