ฮูหยินสี่รีบปิดปากนาง “เจ้าอย่าเอะอะโวยวาย วัวแก่กินหญ้าอ่อนไม่น่าฟังก็พูดออกมาได้ หากกลับไปลอยเข้าหูของท่านลุงเจ้า คงสั่งสอนเจ้าสักรอบ”ตระกูลฉีกฎเกณฑ์เข้มงวด ลูกหลานในตระกลูต้องพูดีทำดีฉีซี่หลี่สะบัดศีรษะ สะบัดมือของท่านแม่ กล่าว “ท่านลุงร่างกายไม่ปกติ ยังกล้าว่าพวกเรา?” วันนี้ไม่กลัวเขา”“เอาล่ะ หุบปากซะ” ฮูหยินสี่ตำหนิ “นิสัยเด็กจริงๆ คนนอกกัดเรื่องนั้นของท่านลุงเจ้าไม่ปล่อย พวกเราทำการปิดบังอำพรางยังไม่ทัน ไม่ว่าเช่นไร เขายังควบคุมกรมขุนนาง ลูกเขยของเขาวันนี้เป็นฝ่าบาท อนาคตคนมากมายอยู่ในมือเขา”ฉีซี่หลี่สูดจมูก เบ้ปาก ไม่กล้าพูดถึงเรื่องของผู้ใหญ่ “ถึงเช่นไรข้าก็ไม่ชอบเจ้าสิบเอ็ดฝางคนนั้น ไร้ความสามารถ ขี้ขลาดตาขาว ภรรยาของตัวเองถูกคนอื่นขโมยไป เกิดเรื่องฉาวโฉ่ดังไปทั่ว แม้แต่พายลมเขายังไม่กล้าผาย”“นี่คือความต้องการของเหนียงเหนียง เจ้าฟังนางไม่ผิด” นางใส่ยาให้ลูกสาว ค่อยๆ วิเคราะห์ในนางฟัง ความแตกต่างระหว่างแต่งานกับเซี่ยงซานหลางและเจ้าสิบเอ็ดฝางฉีซี่หลี่เลื่อมใสฮองเฮาฉีเสมอมา แต่เรื่องนี้ นางไม่มีทางตกลง อีกทั้งวันนั้นเหนียงเหนียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ น
ประโยคว่าลงโทษอย่างหนัก พวกเซี่ยงฮวยอวี้กลัวแล้ว พากันถอยไปด้านหลัง คิดจะดึงระยะห่างออกจากฉีซี่หลี่ฉีซี่หลี่ร้องได้อย่างน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง คิดว่าหวังจืออวี่ไม่ควรพูดเพื่อเจ้าสิบเอ็ดฝาง “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ใครใช้ให้นางปากเสีย? ท่านป้านางทำเรื่องฉาวโฉ่นั่น นางยังร่วมวงช่วยเจ้าสิบเอ็ดฝางพูดจา นางไม่รู้สึกอับอายหรือ?”หวังจืออวี่ตอนที่ถูกตียังไม่ร้องไห้ เมื่อได้ฟังประโยคนี้ น้ำตานางไหลแหมะๆ ออกมา หันหน้าไป ซบไหล่เพื่อนร่วมชั้นอีกครั้งร้องไห้ออกมาเหล่าอาจารย์ถูกเชิญมาจัดการเรื่องนี้ แม้แต่ซ่งซีซีก็ถูกเชิญมาด้วยนักเรียนที่ร่วมทะเลาะเบาะแว้งต่างก็กังวล เป็นห่วงว่าตัวเองจะถูกลงโทษเพราะเหตุนี้ ทั้งหมดต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่ส่งเสียง สองคนที่สร้างสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ ตอนนี้ไม่มีทิฐิแม้แต่น้อยเพื่อเข้าใจเหตุการณ์ก่อนหลังแล้ว บนใบหน้าหยานหรูอวี้ที่ใจเย็นเสมอมาเผยสีหน้าเย็นชา “ก่อนหน้านี้นางก่อเรื่องตลอดเวลา วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือตีคน ดูท่าทางคงไม่ได้มาเพื่อเรียน ข้าแนะนำให้เขาไล่นางออกจากสถานบันการศึกษา เพื่อป้องกันไม่ใช้ทำลายชื่อเสียงของสถานบันการศึกษาพวกเรา”ฉีซี
นางจีก็พาจินซิ่วมาถึงด้วย ได้ยินว่าบุตรสาวของตนเองถูกตี นางไปดูลูกสาวก่อน ใบหน้าบวมแล้ว แถมยังมีแผลเล็กละเอียดอีกเส้นหนึ่ง พอรู้ว่ากั๋วไท่ฮูหยินได้ทายาให้นางแล้ว หลังจากที่ปลอบใจลูกสาวตัวเองสองสามคำ ก็กลับเรือนซูหย่าเพื่อคำนับขอบคุณกั๋วไท่ฮูหยินฮูหยินทั้งสองนั่งลง ซ่งซีซีเป็นคนออกหน้าบอกเล่าเรื่องราวจนกระจ่างชัด หลังจากที่เล่าจนจบแล้ว จึงได้ส่งคนไปเรียกตัวฉีซี่หลี่และหวังจืออวี่มา และนำตัวนักเรียนหลายคนมาเป็นพยานด้วย เพื่อสะดวกต่อการให้ฮูหยินทั้งสองซักถามสีหน้าของฮูหยินฉีสี่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก หนึ่งคือโกรธที่ลูกสาวไม่ได้เรื่อง ไม่รู้ความ ถึงขั้นนำเรื่องแบบนี้มาพูดกล่าวที่สถานบัน สองคือโกรธเกลียดหวังจืออวี่ปากพล่อย มาพูดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ชอบลูกสาวนาง คำพูดนี้แพร่ออกไป จะทำให้ลูกสาวนางเสื่อมเสียได้ทว่า เป็นฉีซี่หลี่ที่ลงมือตีคน เนื้อแท้นี้กับการทะเลาะเบาะแว้งนั้นต่างกัน นางไม่อาจไม่ก้มหัวได้ นางกล่าวขอโทษอย่างไร้รสไร้ชาติกับนางจี “แม้นจะบอกว่าเป็นพวกเด็กสาวไม่รู้ความมีปากมีเสียงกัน แต่เป็นลูกสาวข้าที่ลงมือทำร้ายผู้อื่นก่อนนั้นไม่ถูก ฮูหยินจีได้โปรดอย่าถือสาหาความกับนางเลย”นางจ
สีหน้าของฮูหยินฉีสี่ย่ำแย่ขึ้นอีก นางไม่เชื่อว่านางจีฟังไม่ออกถึงนัยยะในคำพูดของนางท่าทีของนางแข็งขึ้นบ้าง “ไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ให้ขอโทษนั้นได้ แต่จะให้ออกจากสถาบันนั้นรุนแรงเกินไปแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องที่เด็กๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้ลาออกเพราะเรื่องเล็กแค่นี้ หากแพร่งพรายออกไปจะทำให้ผู้คนว่าเอาได้ว่านักเรียนของหย่าจวินนั้นทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ฮูหยินไม่คิดเผื่อลูกสาวของตนเอง ก็ควรจะเห็นแก่สถานบันหย่าจวินบ้าง อย่างไรเสีย หากลูกสาวของข้าต้องลาออกไปจริงๆ หากมีคำพูดต่างๆ ลือกันออกไป ที่เสียหายก็เป็นชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาสตรีหย่าจวินแล้ว”เมื่อกี้ข่มขู่นางจี ตอนนี้ข่มขู่สถานบันการศึกษาสตรีหย่าจวินแล้วซีงซีซียิ้มเย็นเยียบ “ตีคนแล้วยังไม่ถูกลงโทษให้ออก หากแพร่งพรายออกไปแล้วจึงจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของสถาบันหย่าจวินอย่างแท้จริง พวกเราเชิญฮูหยินสี่มา ก็เพราะอยากทำให้ทุกคนไม่ต้องเสียหน้า ควรขอโทษก็ขอโทษ ควรรับผิดก็รับผิด พูดคุยกันให้กระจ่างชัดทั้งสองบ้านจะได้ไม่ต้องผูกความแค้นกันเพราะเด็กสองคน แต่การออกจากสถาบันนั้นอย่างไรก็ต้องออก หากว่าเจ้าไม่ยอมล
ฉีซี่หลี่ดึงตัวเองออกจากมือของฮูหยินฉีสี่ แล้วตะคอกใส่นางจีว่า “ข้าไม่ขอโทษ เจ้าจะทำไมข้า หากมีปัญญาเจ้าก็ตีข้าคืนสิ”นางยื่นหน้าใบเล็กของนางไปตรงหน้านางจี ในดวงตามีน้ำตาคลอ ใบหน้าแดงจัด ราวกับว่ามีความไม่พอใจที่ยากจะกล่าวออกมาได้นางจีย่อมไม่ตีนางแน่นอน แต่จู่ๆ กลับแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปหาอาจารย์ฉีแห่งตระกูลฉีถามว่าตระกูลฉีพวกเจ้านั้นสอนกันมายังไง”นางหันกายกลับไปถามซ่งซีซี “เจ้าสำนักซ่ง ต้องรบกวนท่านให้เป็นพยานหม่อมฉันด้วย”ซ่งซีซีกล่าวว่า “หากว่าจะไปพบอาจารย์ฉี แน่นอนว่าข้าต้องกล่าวตามจริง”ฮูหยินฉีสี่รู้ว่าไม่อาจรบกวนคุณท่านใหญ่ได้ หากเดือดร้อนไปถึงผู้อาวุโส เรือนสี่ต้องโดนด่าตายแน่ๆเมื่อคิดถึงเช่นนี้ นางก็กัดฟันกรอดแล้วพูดกับฉีซี่หลี่ว่า “ขอโทษนาง”น้ำตาสองสายไหลพรากจากดวงตาของฉีซี่หลี่ กระทืบเท้า “ท่านแม่ ข้าไม่ขอโทษ เป็นพวกนางที่แกล้งข้า แถมยังจะขับไล่ข้าออกจากสถาบัน ควรเป็นพวกนางที่ต้องขอโทษข้า”ฮูหยินฉีสี่มองไปทางนางจีและซ่งซีซีที่สีหน้าเย็นชา จึงต้องทำหน้าจริงจังแล้วพูดอย่างเข้มงวดว่า “ในเมื่อทำผิดแล้ว ขอโทษนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ”ฉีซี่หลี่ก็คิดว่
นางจีและลูกสาวหวังจืออวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในส่วน ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ แต่ยังเติบโตได้ไม่ดีมากนัก อีกอย่างตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทำให้ดูรกร้างเหี่ยวเฉา “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดแทนอา...แม่ทัพฝางเล่า?” นางจีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบาๆ รอบๆ แผลบนใบหน้าของลูกสาว ลองกดๆ ดู ไม่มีเลือดไหลออกมา โชคดีที่บาดแผลไม่ได้ลึกมาก มิเช่นหน้าต้องเสียโฉมแล้วแต่รอยฝ่ามือนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก พอเห็นแล้วในใจนางจีรู้สึกบีบรัดแน่นนางเองก็แปลกใจว่าเหตุใดลูกสาวจึงได้พูดแทนเจ้าสิบเอ็ดฝาง เวลาที่ในจวนพูดคุยเรื่องราวเหล่านั้นก็จะปิดบังพวกเด็กๆ ไว้นางถามตัวเองแล้วว่านางปกปิดเรื่องฉาวโฉ่ไม่เป็นเรื่องพวกนี้ไว้อย่างดีแล้ว หรืออาจเป็นเพราะในเร็วๆ นี้คำพูดเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเขา นางอยากรู้ว่าพวกเด็กๆ เข้าใจหรือรู้เรื่องราวเหล่านี้ดีมากน้อยเพียงใดหวังจืออวี่เอยหน้าที่บวมแดง เห็นได้ชัดว่าแววตานั้นไร้มุ่งมั่น มักจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่านางเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่แท้จริงของนาง“ท่านแม่ ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านอาเขยพาท่านอากลับมานั้นได้ให้อะไรแก่ข้า?”นางจีย้อนความจำ “แม่จำได้ว่าป้าที่อยู่ข้างกา
ซ่งซีซีและนางจีกลับไปด้วยกัน นางไม่ได้ขี่ม้าของตัวเองแล้ว สั่งให้คนจูงไว้ นางนั่งอยู่ในรถม้าของนางจีซ่งซีซีมีสองเรื่องที่จะคุยกับนาง “ศิษย์พี่ห้าเลือกบางส่วนที่ไม่ค่อยดีแล้วขายออกไป ดังนั้นเงินที่ขายได้นั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน ล้วนถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินของตึกว่างจิง”นางจีพูดเสียงเบา “เดิมทีก็เป็นจวนป๋อผิงซีที่ติดค้างเขา เงินพวกนั้น หากเขาอยากใช้ก็ใช้เถอะ ข้าเองก็ได้เก็บแล้วบางส่วนเช่นกัน”“เขาไม่ใช้หรอก เขาไม่ขาดเงิน” ซ่งซีซีพูดเรื่องที่สอง “สถานะของกู้ชิงหวู่นั้น ฮ่องเต้ได้ตรวจสอบแล้ว และได้รู้แล้วว่านางได้รับฮูหยินท่านหนึ่งในหลูโจวเป็นแม่บุญธรรม ส่วนเรื่องสกุลเสิ่นนั้น เมาจากสาขาหนึ่งของตระกูลเสิ่นในเมืองเจียงหนาน ทำการค้าอยู่ที่หลูโจวเช่นกัน ตอนแรกที่เจ้าตรวจพบว่านางไปมาหาสู่กับคนที่คิดก่อกบฏ คนผู้นั้นเห็นทีจะเป็นคนของตระกูลเสิ่น หากฮ่องเต้ลงมือกับเขาในตอนนี้ก็ยังดี แต่หากไม่แตะต้องเขา เช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่ผิงซีป๋อจะติดหล่มจมโคลน”ซ่งซีซีไม่ได้บอกเรื่องสำคัญแก่นาง เช่น จะตรวจสอบเรื่องทหารส่วนตัวในหลูโจว นี่เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เด็ดขาดบอกนางเท่านี้ เพื่อให้นางเตรียมต
เจ้ากรมฉียืนอยู่อย่างโง่งม เขาไม่ได้ถูกตบ แต่กลับรู้สึกเจ็บแสบที่ใบหน้าอย่างรุนแรงในเวลานี้เอง เขาเพิ่งตระหนักถึงความประมาทของตัวเอง เพราะเรื่องลูกศิษย์ของสถาบันการศึกษาหญ่าจวิน เขาถึงกลับต้องบุกมาถึงราชสำนักเขายืนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งเลิกประชุม จักรพรรดิซูชิงตรัสรั้งตัวเขาไว้ให้เขาไปที่ห้องทรงพระอักษร แต่กลับบอกให้เขายืนข้างนอก วันที่อากาศหนาว สายลมเย็นเฉียบราวกับใบมีด เขายืนอยู่ที่นั่นสองชั่วยามเต็มๆ ทว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้เรียกให้เขาเข้าไปในใจเขารู้สึกถึงผสมปนเปหมด ความโกรธก็พลุ่งพล่านไปทั่วอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ แม้ว่าเรื่องนี้จะทำไม่ถูก แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องทนหนาวอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองชั่วยาม ร่างกายของเขาแทบจะแข็งทื่อจากความหนาวเย็น เมื่ออู๋ต้าปั้นเห็นว่าเขาใกล้จะทนไม่ไหวอีกแล้ว ก็มอบเตาอุ่นมือเล็กๆ ให้อุ่นมือภายใต้ความหนาวขีดสุด พอมีความอบอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกดีขึ้นมากอู๋เยว่เร่งรีบเข้าไปในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นไม่นาน อู๋เยว่ก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขา "เจ้ากรมฉี ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?"เจ้ากรมฉีหนาวสั่นจนแทบพูดไม่ออก “รอฝ่าบาทเรียกเข
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด