สีหน้าของฮูหยินฉีสี่ย่ำแย่ขึ้นอีก นางไม่เชื่อว่านางจีฟังไม่ออกถึงนัยยะในคำพูดของนางท่าทีของนางแข็งขึ้นบ้าง “ไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ให้ขอโทษนั้นได้ แต่จะให้ออกจากสถาบันนั้นรุนแรงเกินไปแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องที่เด็กๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้ลาออกเพราะเรื่องเล็กแค่นี้ หากแพร่งพรายออกไปจะทำให้ผู้คนว่าเอาได้ว่านักเรียนของหย่าจวินนั้นทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ฮูหยินไม่คิดเผื่อลูกสาวของตนเอง ก็ควรจะเห็นแก่สถานบันหย่าจวินบ้าง อย่างไรเสีย หากลูกสาวของข้าต้องลาออกไปจริงๆ หากมีคำพูดต่างๆ ลือกันออกไป ที่เสียหายก็เป็นชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาสตรีหย่าจวินแล้ว”เมื่อกี้ข่มขู่นางจี ตอนนี้ข่มขู่สถานบันการศึกษาสตรีหย่าจวินแล้วซีงซีซียิ้มเย็นเยียบ “ตีคนแล้วยังไม่ถูกลงโทษให้ออก หากแพร่งพรายออกไปแล้วจึงจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของสถาบันหย่าจวินอย่างแท้จริง พวกเราเชิญฮูหยินสี่มา ก็เพราะอยากทำให้ทุกคนไม่ต้องเสียหน้า ควรขอโทษก็ขอโทษ ควรรับผิดก็รับผิด พูดคุยกันให้กระจ่างชัดทั้งสองบ้านจะได้ไม่ต้องผูกความแค้นกันเพราะเด็กสองคน แต่การออกจากสถาบันนั้นอย่างไรก็ต้องออก หากว่าเจ้าไม่ยอมล
ฉีซี่หลี่ดึงตัวเองออกจากมือของฮูหยินฉีสี่ แล้วตะคอกใส่นางจีว่า “ข้าไม่ขอโทษ เจ้าจะทำไมข้า หากมีปัญญาเจ้าก็ตีข้าคืนสิ”นางยื่นหน้าใบเล็กของนางไปตรงหน้านางจี ในดวงตามีน้ำตาคลอ ใบหน้าแดงจัด ราวกับว่ามีความไม่พอใจที่ยากจะกล่าวออกมาได้นางจีย่อมไม่ตีนางแน่นอน แต่จู่ๆ กลับแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปหาอาจารย์ฉีแห่งตระกูลฉีถามว่าตระกูลฉีพวกเจ้านั้นสอนกันมายังไง”นางหันกายกลับไปถามซ่งซีซี “เจ้าสำนักซ่ง ต้องรบกวนท่านให้เป็นพยานหม่อมฉันด้วย”ซ่งซีซีกล่าวว่า “หากว่าจะไปพบอาจารย์ฉี แน่นอนว่าข้าต้องกล่าวตามจริง”ฮูหยินฉีสี่รู้ว่าไม่อาจรบกวนคุณท่านใหญ่ได้ หากเดือดร้อนไปถึงผู้อาวุโส เรือนสี่ต้องโดนด่าตายแน่ๆเมื่อคิดถึงเช่นนี้ นางก็กัดฟันกรอดแล้วพูดกับฉีซี่หลี่ว่า “ขอโทษนาง”น้ำตาสองสายไหลพรากจากดวงตาของฉีซี่หลี่ กระทืบเท้า “ท่านแม่ ข้าไม่ขอโทษ เป็นพวกนางที่แกล้งข้า แถมยังจะขับไล่ข้าออกจากสถาบัน ควรเป็นพวกนางที่ต้องขอโทษข้า”ฮูหยินฉีสี่มองไปทางนางจีและซ่งซีซีที่สีหน้าเย็นชา จึงต้องทำหน้าจริงจังแล้วพูดอย่างเข้มงวดว่า “ในเมื่อทำผิดแล้ว ขอโทษนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ”ฉีซี่หลี่ก็คิดว่
นางจีและลูกสาวหวังจืออวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในส่วน ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ แต่ยังเติบโตได้ไม่ดีมากนัก อีกอย่างตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทำให้ดูรกร้างเหี่ยวเฉา “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดแทนอา...แม่ทัพฝางเล่า?” นางจีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบาๆ รอบๆ แผลบนใบหน้าของลูกสาว ลองกดๆ ดู ไม่มีเลือดไหลออกมา โชคดีที่บาดแผลไม่ได้ลึกมาก มิเช่นหน้าต้องเสียโฉมแล้วแต่รอยฝ่ามือนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก พอเห็นแล้วในใจนางจีรู้สึกบีบรัดแน่นนางเองก็แปลกใจว่าเหตุใดลูกสาวจึงได้พูดแทนเจ้าสิบเอ็ดฝาง เวลาที่ในจวนพูดคุยเรื่องราวเหล่านั้นก็จะปิดบังพวกเด็กๆ ไว้นางถามตัวเองแล้วว่านางปกปิดเรื่องฉาวโฉ่ไม่เป็นเรื่องพวกนี้ไว้อย่างดีแล้ว หรืออาจเป็นเพราะในเร็วๆ นี้คำพูดเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเขา นางอยากรู้ว่าพวกเด็กๆ เข้าใจหรือรู้เรื่องราวเหล่านี้ดีมากน้อยเพียงใดหวังจืออวี่เอยหน้าที่บวมแดง เห็นได้ชัดว่าแววตานั้นไร้มุ่งมั่น มักจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่านางเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่แท้จริงของนาง“ท่านแม่ ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านอาเขยพาท่านอากลับมานั้นได้ให้อะไรแก่ข้า?”นางจีย้อนความจำ “แม่จำได้ว่าป้าที่อยู่ข้างกา
ซ่งซีซีและนางจีกลับไปด้วยกัน นางไม่ได้ขี่ม้าของตัวเองแล้ว สั่งให้คนจูงไว้ นางนั่งอยู่ในรถม้าของนางจีซ่งซีซีมีสองเรื่องที่จะคุยกับนาง “ศิษย์พี่ห้าเลือกบางส่วนที่ไม่ค่อยดีแล้วขายออกไป ดังนั้นเงินที่ขายได้นั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน ล้วนถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินของตึกว่างจิง”นางจีพูดเสียงเบา “เดิมทีก็เป็นจวนป๋อผิงซีที่ติดค้างเขา เงินพวกนั้น หากเขาอยากใช้ก็ใช้เถอะ ข้าเองก็ได้เก็บแล้วบางส่วนเช่นกัน”“เขาไม่ใช้หรอก เขาไม่ขาดเงิน” ซ่งซีซีพูดเรื่องที่สอง “สถานะของกู้ชิงหวู่นั้น ฮ่องเต้ได้ตรวจสอบแล้ว และได้รู้แล้วว่านางได้รับฮูหยินท่านหนึ่งในหลูโจวเป็นแม่บุญธรรม ส่วนเรื่องสกุลเสิ่นนั้น เมาจากสาขาหนึ่งของตระกูลเสิ่นในเมืองเจียงหนาน ทำการค้าอยู่ที่หลูโจวเช่นกัน ตอนแรกที่เจ้าตรวจพบว่านางไปมาหาสู่กับคนที่คิดก่อกบฏ คนผู้นั้นเห็นทีจะเป็นคนของตระกูลเสิ่น หากฮ่องเต้ลงมือกับเขาในตอนนี้ก็ยังดี แต่หากไม่แตะต้องเขา เช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่ผิงซีป๋อจะติดหล่มจมโคลน”ซ่งซีซีไม่ได้บอกเรื่องสำคัญแก่นาง เช่น จะตรวจสอบเรื่องทหารส่วนตัวในหลูโจว นี่เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เด็ดขาดบอกนางเท่านี้ เพื่อให้นางเตรียมต
เจ้ากรมฉียืนอยู่อย่างโง่งม เขาไม่ได้ถูกตบ แต่กลับรู้สึกเจ็บแสบที่ใบหน้าอย่างรุนแรงในเวลานี้เอง เขาเพิ่งตระหนักถึงความประมาทของตัวเอง เพราะเรื่องลูกศิษย์ของสถาบันการศึกษาหญ่าจวิน เขาถึงกลับต้องบุกมาถึงราชสำนักเขายืนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งเลิกประชุม จักรพรรดิซูชิงตรัสรั้งตัวเขาไว้ให้เขาไปที่ห้องทรงพระอักษร แต่กลับบอกให้เขายืนข้างนอก วันที่อากาศหนาว สายลมเย็นเฉียบราวกับใบมีด เขายืนอยู่ที่นั่นสองชั่วยามเต็มๆ ทว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้เรียกให้เขาเข้าไปในใจเขารู้สึกถึงผสมปนเปหมด ความโกรธก็พลุ่งพล่านไปทั่วอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ แม้ว่าเรื่องนี้จะทำไม่ถูก แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องทนหนาวอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองชั่วยาม ร่างกายของเขาแทบจะแข็งทื่อจากความหนาวเย็น เมื่ออู๋ต้าปั้นเห็นว่าเขาใกล้จะทนไม่ไหวอีกแล้ว ก็มอบเตาอุ่นมือเล็กๆ ให้อุ่นมือภายใต้ความหนาวขีดสุด พอมีความอบอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกดีขึ้นมากอู๋เยว่เร่งรีบเข้าไปในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นไม่นาน อู๋เยว่ก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขา "เจ้ากรมฉี ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?"เจ้ากรมฉีหนาวสั่นจนแทบพูดไม่ออก “รอฝ่าบาทเรียกเข
ส่วนทางด้านนี้ เจ้ากรมฉีกลับมาถึงจวน เรียกคนจากบ้านสี่เข้ามาหา ระบายอารมณ์ใส่เสียยกใหญ่ฮูหยินฉีสี่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน "พี่ใหญ่ พวกเราก็ทำตามความประสงค์ของฮองเฮา เดิมทีข้าต้องการคุณชายสามโหวกวางหลิงให้หลี่เอ๋อร์ แต่ฮองเฮาบอกว่าเราจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพ”ครั้นแล้วนางก็เล่าเรื่องที่ฮองเฮาเกือบจะประทานสมรสแต่ก็ถูกไทเฮายับยั้งไว้ ระหว่างพูดก็แสดงความโกรธออกมา "ตระกูลฝางก็หยิ่งยะโสยิ่งนัก คุณหนูจากตระกูลฉีของเราไม่คู่ควรกับเขาหรือ? พี่ใหญ่ ตระกูลฝางไม่เห็นตระกูลฉีของเราอยู่ในสายตาเลย"“ทำไมพวกเขาตระกูลฝางถึงต้องเห็นตระกูลฉีของเราอยู่ในสายตา? พวกเราเห็นตระกูลฝางอยู่ในสายตาแล้วอย่างนั้นหรือ?” เจ้ากรมฉีถามกลับ เขารู้สึกว่านี่ปัญหาเกิดจากจุดนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่คนในตระกูลคิดว่าบุคคลภายนอกต้องให้เกียรติตระกูลฉีความกลัวผุดขึ้นมาในใจไม่รู้ตัวโดยไม่รู้ตัว ตระกูลฉีในสายตาของทุกคนนั้นมีอำนาจมากมายมหาศาล คนในตระกูลฉีก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน เหตุใดพวกเขาถึงคิดเช่นนั้นน่ะหรือ? ย่อมเป็นเพราะว่าคนภายนอกยกย่องขึ้นฮูหยินฉีสี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ พึมพำว่า "แต่เราคือตระก
ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบสอง จักรพรรดิซูชิงเสด็จมายังตำหนักฉางชุนฮองเฮาดวงตาแดงก่ำ เล่าเรื่องที่ฉีซี่หลี่ถูกให้ถอนตัวออกจากสถาบันสำหรับเรื่องนี้จักรพรรดิซูชิงได้ติเตียนตระกูลฉีไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้ เขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยฮองเฮาฉีสังเกตสีหน้าท่าทาง ก็รู้ว่าเขาไม่พอใจ จึงเปลี่ยนหัวข้อ กล่าวว่าตอนนี้ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงทุกคนต่างยกย่องซ่งซีซี คิดว่านางมีมาตรฐานเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับกุลสตรีจักรพรรดิซูชิงมองนางเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม "ข้ากลับสงสัยยิ่งนัก ว่าเหตุใดบรรดาฮูหยินสุภาพสตรีในตระกูลชั้นสูงจึงไม่ยกย่องฮองเฮา? ตามหลักแล้วฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดิน ก่อนที่จะแต่งงานกับข้า ยิ่งเป็นสตรีที่มีความสามารถเป็นที่รู้จักในเมืองหลวง เจ้าต่างหากถึงควรได้รับยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดี”ฮองเฮาฉีไม่แน่ใจว่าคำพูดของฝ่าบาทเป็นคำชมหรือคำวิจารณ์ ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นการเสียดสีหรือจริงๆ แล้วกำลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางอยู่ตอนนี้นับวันนางยิ่งไม่เข้าใจฝ่าบาทนางถวายชาให้พระองค์ด้วยท่าทางกระดากใจ หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดหยั่งเชิงว่า "เวลานี้พระชายาเป
นอกเหนือจากการเป็นอาจารย์แล้ว เสิ่นว่านจือยังจัดตั้งกลุ่มเล็กๆ ร่วมกับศิษย์พี่ซือโซและคนอื่นๆ เพื่อจับตัวโจรเด็ดบุปผาพวกนั้นโดยเฉพาะเมื่อก่อนเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ แค่ตามหาตัวพวกเขาให้เจอ ทุบตีให้พวกเขาสารภาพ แล้วส่งไปให้ทางการ สุดท้ายพอไปถึงทางการกลับให้การว่าถูกทุบตีถึงได้ยอมรับสารภาพศิษย์พี่ซือโซแอบติดตามเด็กสาวที่ถูกรังแกอย่างลับๆ แต่พวกนางต่างก็ปฏิเสธ บอกว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นคนที่ไม่ยอมรับยังถือว่าดี มีบางคนพอเห็นหน้าพวกนางก็ไล่ตะเพิดออกไปดังนั้นเนื่องจากขาดหลักฐาน จึงได้รับการปล่อยตัวในที่สุดเจตนาฆ่าของเสิ่นว่านจือเกิดขึ้นมากกว่าพันครั้ง ตามหลักการแก้แค้นให้สาสมของยุทธภพ นางสามารถฆ่าคนและเดินจากไปได้เลยแต่ตอนนี้นางไม่ใช่คนในยุทธภพ ท่านอ๋องเป็นคนของทางการ ซีซีก็ดูแลรับผิดชอบกองทัพซวนเจีย นางไม่อาจเป็นนักโทษฆ่าคนได้นี่เป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุดที่นางคิดได้ แต่มันก็โง่เขลาและไม่ได้ผลจริงๆนางทำงานหนักโดยเปล่าประโยชน์ จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครถูกส่งเข้ามาเลยดังนั้น ในดวงตาของนางจึงมีความโศกเศร้าและโกรธขึ้งอยู่เสมอทั้งสองคุยกันสักพัก ซ่งซีซีก็ปลอบนางว่า "ท่
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม
อาจารย์ฉีมอบหมายให้ซ่งซีซีตามหาบุคคลหนึ่งชื่อชิวเหมิงบรรพบุรุษของตระกูลชิวเคยร่วมรบสร้างแคว้นกับจักรพรรดิ์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางตลอดกาลในฐานติ้งปังโหว แต่ต่อมาชิวเหมิงกลับล่วงเกินจักรพรรดิ์องค์ก่อน และถูกลดตำแหน่งลงเป็นผิงอันป๋อเขาจึงย้ายออกจากเมืองหลวงไปปลีกวิเวกที่แถบเจียงหนาน และดูเหมือนว่าคนในเมืองหลวงที่จำเขาได้คงเหลือน้อยเต็มที"เขาไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต และห้างชิวเจียก็เป็นของเขา"ซ่งซีซีประหลาดใจ "เขาคือเจ้าของเบื้องหลังของห้างชิวเจียอย่างนั้นหรือ?"ห้างชิวเจียในแถบเจียงหนานถือเป็นกิจการใหญ่โต แม้ทรัพย์สินจะไม่เทียบเท่าตระกูลเสิ่น แต่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและมีเครือข่ายความสัมพันธ์กว้างขวางในแคว้นซางมีคนแซ่ชิวอยู่ไม่น้อย ประกอบกับชิวเหมิงที่ซ่อนตัวและไม่พบปะใครเลย ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้าของห้างชิวเจียแต่ห้างชิวเจียมีอายุเกินร้อยปี เป็นป้ายเก่าแก่ ก่อนที่ชิวเหมิงจะออกจากเมืองหลวง ก็ไม่เคยมีข่าวว่าครอบครัวเขาทำธุรกิจหงเซียวรีบอธิบาย "เดิมทีห้างชิวเจียไม่ได้เป็นของชิวเหมิง แต่ภายหลังเมื่อเขาไปถึงเจียงหนาน ห้างชิวเจียประส
ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจินชางหมิงถูกส่งมาถึงมืออาจารย์หยูจินชางหมิง เป็นชาวเยี่ยนโจว อายุ 47 ปี สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉตอนอายุ 13 ปี และจวี่เหรินตอนอายุ 18 ปี ในตอนนั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในเยี่ยนโจวแต่หลังสอบจวี่เหรินได้ เขาถูกชะลอไม่ให้เดินทางไปสอบในเมืองหลวงเพราะมารดาป่วย เขาจึงหางานทำในสำนักอำเภอที่เยี่ยนโจว และได้ตำแหน่งเลขานุการเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งของเขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งเยี่ยนโจวและกรมโยธาธิการต่างให้คะแนนว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์และลงมือทำจริงในการประเมินผลสามปีครั้งของกรมการปกครอง เขาได้คะแนนดีเยี่ยมว่ากันว่าการเป็นหัวหน้ากรมแม่น้ำเพียงอย่างเดียวเป็นการฝังพรสวรรค์ของเขา บ้างก็ว่าเขาไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดี มิฉะนั้นเขาคงได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นรองเสนาบดีกรมโยธาธิการแล้วแคว้นต้าซางมีข้าราชการแบบเขาอยู่มากมาย ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ทำงานทุกอย่างราบรื่น ไม่มีความทะเยอทะยานมาก และทำงานเงียบๆ อย่างมีประสิทธิภาพเขาไม่ได้โดดเด่น ไม่มีเรื่องให้พูดถึง มีภรรยาหลวงหนึ่งคน ภรรยาน้อยหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน และคนรับใช้สามคน บ้านที่เขาอยู่เดิมเป็นบ้านเช่า เพิ